แนะวิธีรักษาและป้องกันกรดไหลย้อน

ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว ก็มีแฟน ๆ หลายคน สอบถามกันเข้ามาถึงวิธีการรักษาอาการกรดไหลย้อน ทำอย่างไรกรดจะไม่ไหลย้อนขึ้นมา เพราะทุกวันปวดหัวกังวลใจเหลือเกิน!!

แนวทางการรักษาโรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน สามารถรักษาให้หายได้ บางคนอาจหายได้ด้วยยา ซึ่งยาส่วนใหญ่ที่มีการใช้เพื่อรักษาได้แก่ กลุ่มยาที่ช่วยยับยั้งการหลั่งกรด หรือบางคนอาจหายได้ด้วยการผ่าตัด โดยที่การรักษาจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้แพทย์จะแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อเปลี่ยนแนวทางการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมให้กับท่าน เพราะการให้ยาเป็นเพียงการช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะลงเท่านั้น แต่กรดก็ยังคงไหลย้อนขึ้นมาอยู่ ซึ่ง “ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางการดำเนินชีวิต ยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมก็จะยังคงเป็นโรคนี้ซ้ำ ๆ และยังต้องพึ่งยาไปเรื่อย ๆ”

ดังนั้นควรรับประทานอาหารให้อิ่มพอดี และอย่ารับประทานอาหารใกล้เวลานอน เพราะส่วนใหญ่กลับถึงบ้าน คนจะทานมื้อดึกแล้วก็นอน ซึ่งจะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อบริเวณหูรูดทำงานได้ดีขึ้น การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปจนเกินไปก็มีส่วนให้เกิดโรคนี้ได้ง่าย เนื่องจากจะเพิ่มความดันในช่องท้องมากขึ้น
การรักษาด้วยยา

ปัจจุบันกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาโรคกรดไหลย้อนได้ผลดีที่สุด เป็นกลุ่มยาที่ยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งควรรับประทานยาก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เต็มที่เมื่ออาหารลงถึงกระเพาะอาหาร และไม่ควรรับประทานยาโดยไม่รับประทานอาหารเลย เพราะอาจทำให้การรักษาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร การรักษาด้วยยากลุ่มนี้จะใช้เวลา 2-3 เดือน ซึ่งถ้าอาการดีขึ้นหรือหายเป็นปกติ แพทย์จะพิจารณาลดยาลงจนถึงหยุดยาได้ ยกเว้นบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาในระยะยาว

การรักษาด้วยการผ่าตัด

ในบางกรณี คนใช้อาจต้องรับการรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยวิธีการผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปได้ ซึ่งแพทย์จะพิจารณารักษาโดยวิธีนี้เมื่อกรณีที่การรักษาด้วยยาได้ผลดีแต่คนไข้ไม่ต้องการทานยาต่อไปอีกหรือต้องการผ่าตัด เมื่อมีอาการข้างเคียงจากยา ไม่สามารถทนต่อการให้ยา หรือไม่สามารถทานยาได้สม่ำเสมอเป็นเวลานาน เมื่อผู้ป่วยอายุน้อย ไม่ต้องการใช้ยาเป็นเวลานาน สำหรับการผ่าตัดมีหลายวิธี เช่น ผ่าตัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของหูรูดหลอดอาหารโดยผ่านการเปิดช่องท้อง หรือผ่านทางกล้องส่องหลอดอาหารทางปากโดยไม่ต้องเปิดช่องท้อง

การปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน

1. เลิกสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มความเป็นกรดหรือ รบกวนการทำงานของหูรูดในกระเพาะ อาหาร เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว มะเขือเทศ หัวหอม สะระแหน่ กาแฟ ช็อกโกแลต
3. ไม่ควรล้มตัวลงนอนในช่วง 2-3 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร
4. ไม่สวมใส่เสื้อผ้า กางเกง กระโปรง ที่รัดแน่นจนเกินไป
5. ไม่รับประทานอาหารมาก หรืออิ่มจนเกินไปในแต่ละมื้อ
6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และรับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ที่มีใยอาหารให้มากขึ้น
7. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากจนเกินไป
8. หนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว (15 ซม.) ไม่ควรหนุนหมอนให้สูงขึ้นแทน เนื่องจากส่วนท้องจะงอลงและเพิ่มความดันในช่องท้องให้กรดไหลย้อนได้มากขึ้น
9. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่เครียดจนเกินไป

นพ.ภูริช ประณีตวตกุล
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา เดลินิวส์

เมื่อ "หวัดใหญ่" ระบาดพร้อมกัน 3 สายพันธุ์

ในช่วงฤดูฝนจะมีผู้ป่วยไม่สบายกันมาก บางโรงพยาบาลถึงกับไม่มีเตียงรับผู้ป่วย ผู้ป่วยนอกมากันแน่นโรงพยาบาล ทั้งนี้เพราะทุกปีในช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคไวรัสที่เกี่ยว กับระบบทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสประกอบไปด้วยไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ และชนิด บี สำหรับชนิด เอ ยังแยกสายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยได้อีกเป็นจำนวนมาก ตามชนิดของฮีมากลูตินิน (Hemagglutinin) ใช้ตัวย่อว่า H และนิวรามินิเดส (Neuraminidase) ใช้ตัวต่อว่า N โดยที่ H ยังแบ่งสายพันธุ์ได้อีกเป็นจำนวนมาก 16 ชนิด คือ H1, H2, H3 … และ N สามารถแบ่งได้เป็น 9 ชนิด ตั้งแต่ N1-N9 ดังนั้นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ จึงแยกจำนวนสายพันธุ์ได้มากมาย แต่อย่างไรก็ตามไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ ที่เป็นปัญหาสำคัญในมนุษย์ได้แก่ ชนิด H1N1, H3N2 และ H5N1 (ไข้หวัดนก) ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลกหรือในประเทศไทยส่วนใหญ่จึงมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ H1N1 (มีทั้งตามฤดูกาลและชนิด H1N1 2009) H3N2 และไข้หวัดใหญ่ชนิด บี

ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าไข้หวัดใหญ่ในประเทศหนาวจะพบมากในฤดูหนาว ในซีกโลกเหนือ เช่นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น จะพบมากในเดือน ธ.ค.-มี.ค. ในซีกโลกใต้ เช่นประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาใต้ จะพบมากในเดือน มิ.ย.-ก.ย. สำหรับประเทศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ซึ่งไม่มีฤดูหนาวที่แท้จริง ไข้หวัดใหญ่จะพบมากตลอดทั้งปี โดยมีช่วงการระบาด เป็น 2 ระลอก ในระลอกแรกจะพบมีผู้ป่วยจำนวนมากเกิดขึ้นในฤดูฝนตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ย. และในระลอกที่ 2 จะเกิดขึ้นในฤดูหนาวตั้งแต่เดือน ธ.ค.–มี.ค. แต่จะมีผู้ป่วยน้อยกว่าระลอกแรก ดังนั้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาการพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนมาก ก็เป็นไปตามฤดูกาลระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปี ถึงแม้จะพบได้ทั้ง 3 สายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากไข้หวัดใหญ่ทีละสายพันธุ์ เช่น บางปีเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด บี เป็นจำนวนมาก หรือในปีที่แล้วจะพบไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นจำนวนมาก และชนิดอื่น พบน้อยแต่ในปีนี้การระบาดของไข้หวัดใหญ่ ในระลอกแรกที่ผ่านมา เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 สายพันธุ์ ทำให้มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จำนวนมาก ดูเหมือนกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดในปีที่แล้ว ความรุนแรงและลักษณะอาการของไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ไม่แตกต่างกัน ลักษณะอาการทางคลินิก แยกจากกันได้ยาก จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้ง ๆ ที่การระบาด เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 สายพันธุ์ กล่าวคือ ในผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่คือ มีอาการไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส มีอาการระบบทางเดินหายใจ ปวดเมื่อยตามตัว เมื่อตรวจอย่างละเอียดทางห้องปฏิบัติการจะพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 ประมาณร้อยละ 50 ร้อยละ 25 จะเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ H3N2 และ ร้อยละ 25 จะเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด บี ดังนั้นจึงทำให้ดูเหมือนว่าในปีนี้มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่

มาตรการในการป้องกันของไข้หวัดใหญ่ควรจะเข้มข้นแบบปีที่แล้ว ทั้งทางด้านสุขอนามัย ล้างมือ เวลาป่วยควรอยู่บ้านและใช้หน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ให้การศึกษา เข้าใจถึงวิธีการดูแลรักษา ป้องกันไม่ให้ติดโรค และลดการแพร่กระจายของโรค ปฏิบัติตัวให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอเช่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนให้เพียงพอ

นอกจากนี้การป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ดังกล่าวสามารถป้องกันได้ด้วย วัคซีน และจากการตรวจสอบสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปีนี้ตรงกับสายพันธุ์ที่มีอยู่ใน วัคซีน ดังนั้นวัคซีน จึงมีประโยชน์ในการใช้ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ทั้ง 3 ถึงแม้ว่าวัคซีนจะป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ การฉีดวัคซีนแล้วยังต้องปฏิบัติตัวทางด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการระบาดของโรค และผลกระทบในวงกว้างต่อสังคม.

นวพรรณ บุญชาญ :รายงาน
ที่มา เดลินิวส์

เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ

เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
พักกาย พักใจ ชมภาพเหล่านางแบบเรียงแถวเดินแบบชุดสวยงามจากห้องเสื้อจีน Aimer ได้แก่คอลเลคชั่นชุดชั้นในแห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนประจำปี 2011 ในงานแฟชั่น วีค ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง วันที่ 25ต.ค.2553 งานแฟชั่น วีค นี้ จัดขึ้นปีละสองครั้ง เพื่อเป็นเวทีให้เหล่าบริษัทออกแบบเสื้อผ้าทั้งในและต่างประเทศได้แสดงผลงานชุดล่าสุด - ภาพเอเอฟพี
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
เกาะติดปักกิ่งแฟชั่นวีค 2011 โชว์ชุดชั้นในหวิวๆ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แพทย์ฮ่องกงเตือนภัย เทรนด์ฮิต "ตากลมโต"

คอนแทคเลนส์แบบแฟนซี ที่เด็กนักเรียนหญิงฮ่องกงกำลังนิยมโดยรู้เท่าไม่ถึงการของอันตราย จนบรรดาจักษุแพทย์ต้องออกโรงเตือน แม้จะขัดใจวัยรุ่นก็ตาม (ภาพSCMP)

เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - 3 สมาคมจักษุแพทย์ฮ่องกง ออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (26 ต.ค.) เตือนประชาชนให้ระมัดระวังอันตรายที่เกิดจากการสวมคอนแทคเลนส์แฟนซี ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด

มีคำกล่าวว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และคือความงดงามของใบหน้า จึงไม่แปลกที่เด็กหญิงชาวจีนซึ่งมีดวงตาเล็กตี่ จะให้ความสำคัญเพื่อเปลี่ยนแปลงมันจนกลายเป็นเทรนด์ฮิตอินเทรนด์สุดๆ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญนี้

สมาคมวิชาชีพจักษุแพทย์ฮ่องกง สมาคมโรคสายตาฮ่องกง และสมาคมจักษุแพทย์เอกชน ได้ร่วมกันแถลงผลการสำรวจนักเรียนสตรีในฮ่องกง จำนวน 1,000 คน พบว่า กว่าร้อยละ 29 ต้องสวมใส่คอนแทคเลนส์ และเกือบครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นกล่าวว่า เคยสวมใส่คอนแทคเลนส์แบบแฟนซี

จากการศึกษาพบว่า ผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์แบบแฟนซีนั้น เข้าใจดีว่าเป็นเพียงความสวยงาม และไม่คิดว่าจะมีความเสี่ยงอันตรายใดๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด

โฆษกฯ ผู้แทนของสมาคมเหล่านั้น กล่าวว่า ประชาชน ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้คอนแทคเลนส์เพื่อประดับ เพราะอาจติดเชื้อ อักเสบ และอาจส่งผลเสียหากสวมใส่นานเกินกว่า 4 ชั่วโมง หรือใส่นอนข้ามคืน เพราะแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ปกติ ยังต้องถอดออกหลังใช้นานเกิน 12 ชั่วโมง
รูฟิน่า ชาน ประธานสมาคมวิชาชีพจักษุแพทย์ เตือนว่า เลนส์ที่ใช้สำหรับแฟชั่นที่ซื้อตามร้านเครื่องประดับทั่วไปนั้น ไม่ได้มาตรฐานรับรองทางการแพทย์ เมื่อทดสอบดูจะพบว่า น้ำและออกซิเจนไม่สามาถซึมผ่านไปได้ และมีสีผสมที่เป็นสารเคมีซึ่งอันตรายต่อการสัมผัสอยู่ตลอดเวลา

สมาคมจักษุแพทย์เอกชน และสมาคมจักษุแพทย์ฮ่องกง ยังได้สำรวจพบว่า คอนแทคเลนส์เหล่านั้นมีขายอย่างแพร่หลายตามร้านค้า และเว็บไซต์โดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ

ชาน กล่าวว่า ไม่ว่าผู้จำหน่ายจะบรรยายสรรพคุณอย่างไร แต่เลนส์เหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะใช้กับดวงตา เพราะหากมันติดแน่นจนอากาศไม่สามารถทะลุผ่านจะทำให้แก้วตาแห้งและตาย นอกจากนั้นรูปทรงที่ไม่ได้มาตรฐานยังส่งผลต่อการมองเห็นรับรู้ภาพที่เพี้ยนไปถาวร

อเล็กซ์ ยิม กวอก จากสมาคมจักษุแพทย์ฮ่องกง กล่าวว่า ประชาชนไม่ควรสวมใส่คอนแทคเลนส์ประดับนี้นานเกินกว่า 4-6 ชั่วโมง และยิ่งมีสีสันฉูดฉาดมากเพียงใดยิ่งต้องระวัง

สมาคมทั้งสาม ยังได้เรียกร้องให้ทางการฮ่องกง เฝ้าควบคุมการจำหน่ายเลนส์ชนิดนี้ ซึ่งเป็นเพียงสินค้าตกแต่ง ไม่ใช่วัสดุการแพทย์

ทั้งนี้ สื่อได้สัมภาษณ์ความเห็นของ อีดิธ ฮกยี่ วัย 23 ปี ที่กล่าวกับนักข่าวว่า เธอสวมใส่คอนแทคเลนส์ประดับดวงตาเธอมานานกว่า 3 ปีแล้ว เธอชอบเพราะมันทำให้ดวงตาเธอดูกลมโต สวยงามขึ้น และ ณ เวลานี้ยังไม่พบปัญหาสายตาอะไร
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

7 เทคนิคดูแล "ลูกสมาธิสั้น" อย่างสร้างสรรค์

ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของลูกสมาธิสั้น หรือสมาธิบกพร่อง คงต้องรับบทหนักกันหน่อย เพราะเด็กในกลุ่มนี้จะมีความบกพร่องในการใส่ใจ การคงสมาธิ ทำให้วอกแวก อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น วู่วาม หรือทำอะไรโดยไม่ทันได้คิด จึงมักประสบอุบัติเหตุจากความซน และความไม่ระวังของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
ในเรื่องนี้ พญ.อังคณา อัญญมณี จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ บอกว่า การดูแลลูกที่เป็นสมาธิบกพร่อง พ่อแม่ต้องมีความรู้ และความเข้าใจ เพราะเด็กในกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเรียน การเล่น หรืออื่น ๆ ดังนั้น เด็กไม่ได้แกล้งซน แกล้งไม่เชื่อฟัง หรือขาดความรับผิดชอบ แต่มันเป็นอาการผิดปกติการทำงานของสมอง ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

"ลูกที่มีสมาธิบกพร่อง เป็นเด็กเลี้ยงยากที่พ่อแม่มักเกิดอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย บางครั้งจึงใช้วิธีตีลูก เพื่อให้ลูกทำในสิ่งต้องการ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกเป็นว่าลูกไม่ได้แกล้งดื้อ หรือแกล้งซน เมื่อเป็นเช่นนี้จะยิ่งทำให้ลูกมีอาการของตัวโรคมากขึ้น นำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว และใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา" จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นท่านนี้กล่าว

ดังนั้น พ่อแม่ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น หรือสมาธิบกพร่อง จำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้อง เพื่อช่วยในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของเด็ก ซึ่งการตี หรือการลงโทษทางร่างกาย เป็นวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ผล และจะมีส่วนทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธ หรือแสดงพฤติกรรมดื้อต่อต้าน จนก้าวร้าวมากขึ้น

7 เทคนิคดูแลลูกสมาธิสั้นอย่างสร้างสรรค์

1. ลดสิ่งเร้า

สิ่งเร้าเป็นตัวสำคัญที่ทำให้สมาธิของลูกน้อยลง ดังนั้นการลดสิ่งเร้า สมองจะไม่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เด็กไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญ นำไปสู่การมีสมาธิกับสิ่งสำคัญได้มากขึ้น

สำหรับวิธีลดสิ่งเร้านั้น คุณหมอแนะนำว่า พ่อแม่ควรจัดบ้านให้เรียบง่าย และเรียบร้อย ไม่ควรมีลวดลายสีฉูดฉาด หรือของตกแต่งบ้านมากเกินไป พร้อมทั้งจัดของให้เป็นระเบียบ เก็บของในตู้ทึบแทนตู้กระจก

- ควรจัดที่เงียบ ๆ ให้ลูกได้ทำงาน หรือทำการบ้าน ต้องไม่มีเสียงโทรทัศน์รบกวน ส่วนบนโต๊ะควรมีเฉพาะสมุด ดินสอ และยางลบ

- มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสงบ พูดกับเด็กด้วยเสียงเบา ไม่ตะโกน โวยวาย รวมทั้งพ่อแม่ไม่ควรทะเลาะ หรือใช้ความรุนแรงต่อหน้าลูก

- หัดให้ลูกอยู่ในบรรยากาศที่สงบ หรือทำกิจกรรมเงียบ ๆ เช่น หัดให้นั่งเล่นในสนามหญ้าเงียบ ๆ ลดการเที่ยวศูนย์การค้า ไม่ซื้อของเล่นให้มากเกินไป อีกทั้งจำกัดเวลาดูโทรทัศน์ เล่นเกม และคอมพิวเตอร์

ด้านสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน ควรจัดให้เด็กมานั่งใกล้ ๆ ครู ไม่ควรให้นั่งใกล้ประตูหน้าต่าง หรือเพื่อนที่ชอบเล่น ชอบคุย
2. เฝ้ากระตุ้น

- จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่คอยติดตาม และตักเตือนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กเล็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดเวลา แม้จะรู้ และเข้าใจว่าควรทำสิ่งใดก็ตาม

- เด็กต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่ และครูตลอดเวลา

- ทำบันทึกร่วมกันระหว่างพ่อแม่ และครู

วิธีการกระตุ้น

- เตือนเด็กเมื่อถึงเวลาทำงาน หรือเตือนเมื่อหมดเวลาเล่น

- โน้ตข้อความสำคัญในที่ที่เด็กเห็นได้ง่าย เช่น กล่องดินสอ โต๊ะเรียน ผนังห้อง หรือกระดาน

- ตั้งนาฬิกา หรือเครื่องจับเวลาให้เด็กเห็นชัด ๆ ขณะทำงาน เพื่อให้เด็กกะเวลาได้ดีขึ้น และตั้งใจทำงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด

- แบ่งงานให้สั้นลง โดยให้เด็กได้พักเป็นช่วง ๆ

- แนะเคล็ดวิธีช่วยจำให้ลูก เช่น การย่อ ทำสัญลักษณ์ ผูกเป็นโคลง

- ให้เด็กอ่านออกเสียง หัดขีดเส้นใต้ขณะเรียน

3. หนุนจิตใจ

- เด็กมักทำสิ่งต่างๆ ไม่สำเร็จ เพราะได้รับแต่คำตำหนิติเตียน หมดความมั่นใจ เด็กจึงต้องการกำลังใจอย่างมากจากพ่อแม่ และคุณครู

- ระวังที่จะไม่เข้มงวด จับผิด แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิด

- ช่วยเด็กหาวิธีแก้ไขจุดอ่อน เช่น ขี้ลืม

- หาเรื่องตลกขำขันมาคุยกับเด็ก เล่นกับเด็กอย่างสนุกสนาน หรือพาเด็กออกกำลังกายบ้าง

- ชมเด็กบ่อย ๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี หรือมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ

- บอกสิ่งที่สังเกตได้ในทางบวก เช่น เหนื่อยไหม แม่เห็นลูกทำมานานแล้ว วันนี้ลูกคิดได้เร็วกว่าเมื่อวานเยอะเลยนะ หรือ ทำมาได้ตั้ง 3 ข้อแล้ว เอ้าเหลืออีก 2 ข้อเองคนเก่งของพ่อ

4. ให้รางวัล

เด็กที่สมาธิบกพร่อง มักจะเบื่อ และขาดความอดทน แต่หากมีรางวัลตามมา เด็กจะรู้สึกท้าทาย และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น โดยการให้รางวัล ควรให้ง่ายๆ บ่อยๆ มากกว่าที่ให้เด็กทั่วไป และต้องให้ในทันที

นอกจากนี้ควรเปลี่ยนรางวัลบ่อยๆ เพื่อให้เด็กได้สนุก และสนใจ อาจให้เด็กได้ลองคิดรางวัลเองบ้าง หรือให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการให้แต้ม/รางวัลแก่เด็กตลอดเวลา

สำหรับการให้รางวัล ถือเป็นแรงจูงใจที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็กได้ โดยมีขั้นตอนการให้รางวัลง่ายๆ คือ

- ระบุพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นทดแทนพฤติกรรมปัญหา (เลือกให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่มีผลต่อเด็กในระยะยาวก่อน)

- ให้รางวัลกับพฤติกรรมใหม่ทุกครั้งที่เห็น

- หลังจากฝึกได้ 1-2 สัปดาห์ เริ่มใช้การลงโทษแบบไม่รุนแรง เช่น Time out ตัดสิทธิ์ อดรางวัล เมื่อเกิดพฤติกรรมปัญหา

- ใช้วิธีการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ

5. การพูดกับเด็ก

- ไม่พูดมาก ไม่เหน็บแนม ประชดประชัน ไม่ติเตียน

- บอกกับเด็กสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าต้องการให้ทำอะไรในตอนนี้

- หากไม่แน่ใจว่าเด็กฟังอยู่ เข้าใจ พ่อแม่ควรให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่ง หรือพูดไปคืออะไรบ้าง

อย่างไรก็ดี หากเด็กไม่ทำตามคำสั่ง พ่อแม่ควรใช้วิธีเดินเข้าไปหา จับมือ แขน หรือบ่า สบตาเด็ก พูดสั้น ๆ จากนั้นให้เด็กพูดทวน หากเด็กไม่ทำ ให้พาไปทำด้วยกัน หลีกเลี่ยงการบังคับ หรือออกคำสั่งตรงๆ แต่ใช้วิธีบอกกับเด็กว่าเขามีทางเลือกอะไรบ้าง เช่น หากต้องการให้เด็กเริ่มต้นทำการบ้าน แทนที่จะสั่งให้เด็กทำการบ้านตรงๆ อาจพูดว่า “เอาล่ะได้เวลาทำการบ้านแล้ว...หนูจะเริ่มทำภาษาไทยก่อน หรือจะทำเลขก่อนดีจ้ะ” เป็นต้น

6. นับสิ่งดี

- หาเวลาหยุดพักสั้น ๆ ในแต่ละวัน

- เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เด็กไม่ได้ตั้งใจทำตัวให้มีปัญหา แต่เด็กมีความผิดปกติในการทำงานของสมอง ทำให้คุมตัวลำบาก หยุดตัวเองได้ยาก และไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้

- ให้อภัยแก่เด็ก ตัวเราเอง และทุกคนที่อาจไม่เข้าใจในพฤติกรรมของลูก

- คิดถึงความน่ารัก และความดีในตัวเด็ก และตัวเรา (พ่อแม่) เอง

7. มีขอบเขต

- มีตารางเวลา หรือรายการสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้เด็กรับรู้ขีดจำกัด และช่วยควบคุมให้เด็กทำตามง่ายขึ้น

- เรียงลำดับกิจกรรมง่าย ๆ ให้ชัดเจน และแน่นอน เช่น เวลาตื่น เวลานอน เวลาทำการบ้าน อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นๆ

- ไม่ปล่อยปละละเลย หรือตามใจมากเกินไป เพื่อไม่ให้เด็กสับสนและผัดผ่อนต่อรองบ่อย ๆ

การดูแลลูกสมาธิสั้น สำคัญที่สุด พ่อแม่ต้องมีทัศนคติต่อเด็กในทางบวก ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าลูกไม่ได้แกล้งซน แกล้งดื้อ จากนั้นใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมที่ไม่ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของเด็กให้ลดลงตามวิธีที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อรู้จักลูกของเราแล้ว เรามาเลี้ยงเขาอย่างสร้างสรรค์กันดีกว่า
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

มหัศจรรย์ดอก"ทานตะวันสีแดง"

ใกล้ถึงเทศกาลดอกทานตะวันบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งกันอีกแล้ว ที่สำคัญปีนี้ดูเหมือนจะพิเศษกว่าทุกปี เมื่อล่าสุดเกษตรกรไทยสามารถทดลองปลูก “ทานตะวันสีแดง” ได้เป็นผลสำเร็จ โดย จะนำผลงานมาโชว์ให้เห็นเป็นขวัญตาครั้งแรกในงาน “เชียงใหม่ ฟลอร่า บลอสซั่ม เซเลเบรชั่น” (Chiangmai Flora Blossom Celebra- tion) ซึ่งจัดขึ้นที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2553
งานนี้ หากใครมีโอกาสขึ้นเหนือแอ่วเชียงใหม่ อย่าลืมแวะไปชมทานตะวันสีแดงก่อนใคร ๆ ทั้งนี้กว่าจะเพาะเลี้ยงจนประสบความสำเร็จดังที่เห็นไม่ใช่เรื่องง่ายต้องใช้เวลาหลายปี โดย วัฒนะ แย้มเจิม เจ้าของผลงาน วัย 47 ปี เจ้าของไร่ทานตะวันจำปี ซันฟลาวเวอร์ปาร์ค จ.ลพบุรี เล่าถึงแรงบันดาลใจในการพัฒนาทานตะวันสีแดงให้ฟังว่า ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ประมาณปลายปี พ.ศ. 2542 ทำให้ตนเห็นดอกทานตะวันเหลืองอร่ามเต็มทุ่งและมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก จึงมีความคิดอยากปลูกทานตะวันบ้าง เมื่อปลูกมาได้ 2 ปี เริ่ม รู้สึกว่าอยากคิดอะไรนอก กรอบบ้าง ไม่ใช่แค่มีทุ่งทาน ตะวันสีเหลืองเหมือนทุ่งอื่น ๆ เพราะจากการศึกษาค้นคว้าจากเว็บไซต์ของต่างประเทศพบว่ามีดอกทานตะวันหลายสี คือ สีเหลือง สีขาว สีฟ้าและสีแดง

เหตุผลที่เลือกดอกทาน ตะวันสีแดง เพราะหากปลูกสีขาวจะดูไม่โดดเด่นและสวยสู้สีเหลืองไม่ได้ แต่ถ้าปลูกสีฟ้าก็จะกลมกลืนไปกับท้องฟ้า จึงตัดสินใจเลือกสีแดง เพราะตัดกับดอกทานตะวันสีเหลือง ตัดกับท้องฟ้าและดูสวยเด่น กว่าสีอื่น ๆ จึงทุ่มเทศึกษาเพิ่มเติมจนทราบอีกว่าดอกทานตะวันสีแดงไม่ได้มีแค่พันธุ์เดียว แต่ยังมีอีกมากมายหลากหลายสายพันธุ์ จึงได้ติดต่อไปยังบริษัทจำหน่ายเมล็ดทาน ตะวันสีแดงที่ต่างประเทศเพื่อขอ ตัวอย่างเมล็ด แต่ละพันธุ์มาทดลองปลูก โดยเลือกปลูกทานตะวัน สีแดงได้ 3 พันธุ์ ได้แก่ แดงประกายส้ม แดงเข้ม และแดงจาง

นอกจากนี้ยังได้ทดลองนำเมล็ดพันธุ์ของทานตะวัน สีเหลืองแบบอื่นมาปลูกอีก 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์กำมะหยี่และปุยฝ้าย แต่ช่วงแรกที่ขอตัวอย่างเมล็ดพันธุ์มาปลูกได้ทดลองปลูกอยู่หลายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ไม่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราจนได้พันธุ์ที่เหมาะสม 5 สายพันธุ์นี้

“ผมเริ่มสั่งลอตแรกมาปลูกซึ่งราคาก็แตกต่างกันมาก เช่น เมล็ดทานตะวันธรรมดาบ้านเรากิโลกรัมละ 500 บาท แต่เมล็ดทานตะวันสีแดงของต่างประเทศ กิโลกรัมละ 90,000 บาท ถามว่าทำไมถึงยอมลงทุนมากขนาดนี้ เหตุผลก็เพราะอยากเห็นความต่างและใจก็รักในด้านนี้ด้วย รวมทั้งรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมแล้วมีรอยยิ้มพอใจกับทุ่งทานตะวันของเราทำให้อยากนำสิ่ง ใหม่ ๆ มาให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน”

สำหรับการปลูกใหม่ ๆ ยอมรับว่ามีปัญหาบ้างเพราะมันไม่เหมือนดอกทานตะวันทั่วไป การเพาะปลูกต้องจัดการเรื่องน้ำ ดิน ปุ๋ย เมล็ด ให้ดีเพราะถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไปจะส่งผลลัพธ์ที่ไม่ดี ซึ่ง อันนี้เป็นปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหาเรื่องอากาศร้อนมากไป ฝนตกชุกมากเกินไป ซึ่งปัญหาตรงนี้เราไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้บางครั้งทานตะวันตายหมด แต่เราก็พยายามทำการทดลองมาเรื่อย ๆ โดยสั่งเมล็ดพันธุ์เข้ามาไว้ให้เพียงพอต่อ 1 ฤดูกาล บางปีฝนตกหนักก็เสียหายมาก แต่ถามว่าท้อไหม ขอตอบ ว่าด้วยใจรักไม่ เคยคิดว่าจะลดจำนวนหรือเลิกปลูกมีแต่จะปลูกเพิ่มให้เป็นทุ่งกว้าง และต่อไปในอนาคตจะดัดแปลงสายพันธุ์เองให้มีคุณภาพมากกว่าเดิมด้วย

ความแตกต่างระหว่างดอกทานตะวันสีเหลืองกับดอกทานตะวันสีแดง แตกต่างกันตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกเลย ก็ว่าได้ เพราะว่าต้องดูแลมาก กว่าปกติหากดอกทานตะวัน สีแดงตายไป 1 ดอก ถ้าตีเป็นราคาก็เท่ากับเมล็ดละ 20 บาททีเดียว จึงต้องดูแลทุกวัน เช้า-เย็น คอยฉีดยาฆ่าแมลงไม่ให้มีแมลงมารบกวน แต่ถ้าเป็นดอกสีเหลืองทั่ว ๆ ไปดูแลอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนการใส่ปุ๋ยหากใส่มากเกินไปมันก็จะช็อกตายได้ เพราะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยความที่อยาก ให้มันโตเร็ว ๆ จึงเร่งใส่ปุ๋ยบ่อย ๆ ทำให้มันตาย สำหรับขนาดของดอกทานตะวันสีแดงมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ส่วนสูงเฉลี่ยประมาณ 1.50 เมตร แต่ดอกทานตะวันสีเหลืองบางสายพันธุ์สูงถึง 2 เมตร ก็มี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ก็มากกว่าสีแดงประมาณ 12 นิ้ว แต่คำว่าพิเศษคือ ดอกทานตะวันสีแดงมีต้นหนึ่งประมาณ 5 ดอก แตกต่างจากสีเหลืองที่มีต้นละ 1 ดอก

ปัจจุบันทุ่งทานตะวันจำปีซันฟลาวเวอร์ปาร์คมีเนื้อที่ทั้งหมด 50 ไร่ แยกปลูก 1 ไร่ ต่อ 1 แปลง ช่วงแรก ๆ ที่ปลูกทานตะวันสีแดงได้แล้ว เราจะติดป้ายบอกนักท่องเที่ยวว่าทุ่งเรามีดอกทานตะวันสีแดงด้วย และทำลูกศรชี้ให้เดินไปชม ซึ่งนักท่องเที่ยวรู้สึกประหลาดใจมาก บางคนดูอย่างเดียวไม่เชื่อบอกว่าเอาสีมาทาบ้าง ดอกไม้ปลอมบ้าง ก็หยิบจับดอกทานตะวันมาขยี้ดูบ้าง แต่เพื่อให้นักท่องเที่ยวสบายใจว่าเราไม่ได้หลอกลวงก็จะไม่ได้ว่าอะไร

เจ้าของไร่ทานตะวันสีแดงทิ้งท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประทับใจกับผลงานการคิดค้น และทำให้รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งก็คือ ความประทับใจของนักท่องเที่ยวที่เห็นทุ่งทานตะวันของเราแล้วมีความสุข รวมทั้งทำชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรีเรื่องการท่องเที่ยวด้วย เพราะ มีทุ่งเราทุ่งเดียวเท่านั้นที่มี ดอกทานตะวันสีแดง

หากใครที่อยากตามไปพิสูจน์ดอกทานตะวันสีแดง ว่าจะสวยงามแปลกตาสมคำร่ำลือหรือไม่ ไปพบกันได้ในงานฯ ก่อนจะไปเที่ยวชมกันต่อในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้.

เชิญเที่ยวงาน "Chiangmai Flora Blossom Celebration"

บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง, สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสพรรณไม้นานาพันธุ์เต็มพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ ตระการตากับครั้งแรกของทุ่งดอกทานตะวันสีแดงและประติมา กรรมดอกไม้สดในบรรยากาศของโลกแห่งเทพนิยายสุดมหัศจรรย์

เปิดประสบการณ์ใหม่กับเหล่าตัวละครในเทพนิยายที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยดอกไม้นานาชนิด อาทิ Snow White, Aladdin, Beauty and The beast, Cinderella, Alice in Wonderland พร้อมตื่นตาตื่นใจกับแฟชั่นโชว์เล็บดอกไม้แฟนซี ซึ่งทุกท่านจะสัมผัสกับศิลปะการปั้นดอกไม้บนเล็บอย่างใกล้ชิด พร้อมชมดอกไม้หายากรวมถึงพันธุ์ไม้นามพระราชทาน (กล้วยไม้นารี)

นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการภาพวาดดอกไม้ จากศิลปินล้านนา กิจกรรม เวิร์กช็อป จัดดอกไม้ โดยนักจัดดอกไม้ชื่อดังที่มีความรู้เรื่องการออกแบบงานดอกไม้ พิเศษ!! เลือก ซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์คุณภาพจากดอกไม้ของโครงการหลวงมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุงและร้านค้าภายในศูนย์การค้าฯ ในงาน Chiangmai Flora Blossom Celebration ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2553 บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต.

ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

ประโยชน์ของ"พริก"เผ็ดแต่ประโยชน์มากล้น

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงติดใจรสชาติเผ็ดร้อนของ “พริก” ยิ่งรับประทานยิ่งเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อยจนหยุดไม่ได้ นอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็ก ๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนคาดไม่ถึง โดย น.ท.หญิง พญ.อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานาน ในพริกมีส่วนประกอบของสาร แคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สังเกตได้ว่าเมื่อกินเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยต่อว่า ปัจจุบันพริกไม่เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น ในด้านการแพทย์ผิวหนังและความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาในรูปแบบของครีม เจล เพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ นอกจากนี้แพทย์แผนจีนยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ช่วงผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้กินอาหารรสเผ็ดร้อน นอกจากส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนธาตุไฟแกร่งควรกินพริกแต่ น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้

ด้วยประโยชน์มากมายและรสชาติร้อนแรงถึงใจคนไทย ผู้นำด้านธุรกิจอาหารจานด่วนเบอร์เกอร์ คิง ออกเป็นนโยบายหลักหันมาพัฒนาและครีเอทเมนู เบอร์เกอร์ตอบสนองความต้องการแฟนเบอร์เกอร์คนไทย โดยนำพริกชี้ฟ้า ซึ่งมีรสเผ็ดปานกลาง ปนด้วยรสหวานนิด ๆ มาหั่นกันสด ๆ ใส่ลงไปในเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ให้คนไทยได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกทำให้คนที่ได้กิน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจรู้สึกว่าการกินสมุนไพรที่มีประโยชน์เป็นเรื่องยาก สามารถอิ่มอร่อยพร้อมรับคุณค่าทางอาหารได้แบบเต็ม ๆ.
ที่มา เดลินิวส์

อนุภาคทองคำเสริมคุณค่าแห่งความงาม

ตอบโจทย์ปัญหาสี่มิติความหม่นหมองแห่งวัยของผิวพรรณในเรื่องริ้วรอย ความหมองคล้ำ ความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และความชุ่มชื่นให้หมดไป พอนด์ส ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นนำ โดย มร. บาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย และ วรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหารด้านการตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จัดงาน “โกลด์ เรเดียนซ์ ฟีโนเมนอน” เปิดตัว นวัตกรรมล่าสุด “พอนด์ส โกลด์ เรเดียนซ์” ชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวผสมอนุภาคทองคำแท้ ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาสี่มิติดังกล่าว พร้อมเปิดตัว แบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด แบม-จณิสตา จรูญสมิทธิ์ ที่มาอวดผิว อ่อนเยาว์ และตื่นตา กับไฮไลต์ดิสเพลย์โกลด์ แกเลอรี่จัดแสดงสมบัติทองชิ้นเด่นทรงคุณค่าของคนดังทุกวงการ 40 ชิ้น ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

บรรยากาศภายในงานดูเรืองรองโดดเด่นเป็น พิเศษท่ามกลางสาว ๆ เซเลบริตี้ และดารานางแบบชื่อดังที่เข้ามาทดลองประสิทธิภาพของชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวผสมอนุภาคทองคำแท้ โดยเริ่มไฮไลต์แห่งค่ำคืนด้วยการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ในชุดราตรียาวสีทอง อวดความเปล่งประกายผ่านผิวอ่อนเยาว์จาก พอนด์ส โกลด์ เรเดียนซ์ ซึ่ง แบม-จณิสตา เผยว่า ผิวเคยมีปัญหาเรื่องริ้วรอยบนใบหน้าและสีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่ปัญหาต่าง ๆ หมดไป หลังทดลองใช้พอนด์ส โกลด์ เรเดียนซ์ ใหม่ ที่ตอบปัญหาผิวสี่มิติความหม่นหมองแห่งวัยของผิว รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณ ผิวหน้ากลับมาอ่อนเยาว์เปล่งประกายอีกครั้ง และริ้วรอยต่าง ๆ ลดเลือนลง

นอกจากแบรนด์แอมบาสเดอร์สาวสวย พอนด์สยังได้จับแฟชั่น ดีไซเนอร์มือทองมารังสรรค์แฟชั่นโชว์โดยได้แรงบันดาลใจจาก พอนด์ส โกลด์ เรเดียนซ์ 3 ธีม เผย 3 เลดี้ ออฟ เรเดียนซ์ ตัวแทนสาว ๆ ผู้ใช้จริง ส่วนโกลด์ แกเลอรี่จัดแสดงทองคำชิ้นเด่นทรงคุณค่า อาทิ สุวดี พึ่งบุญพระ โชว์แผงสร้อยคอทองคำและกำไลสุดอลังการ, วัฒน์ธิดา ชุมสาย ณ อยุธยา ในชุดสวยโชว์เข็มกลัดสมเด็จย่า เผยชุดเครื่องทองโบราณ 8 ชิ้น ของตระกูลชุมสาย ณ อยุธยา, พลอย จริยะเวช อวดหนังสือเข้าปกพิเศษจากแอสพรีย์ ลอนดอน, ปิลันท์ ศรีวีระกุล โชว์กลักไม้ขีดไฟทองคำยุคทศวรรษที่ 60 อรธิรา ภาคสุวรรณ อวดสร้อยคอห้อยตุ้งติ้งตราประทับจากเมืองฟลอเรน เป็นต้น.
ที่มา เดลินิวส์

จัดสวนถาดจุดเล็กๆสร้างสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม

เพราะรู้ว่าโลกในวันนี้ต้องการความเขียวขจีของต้นไม้ เพื่อลดภาวะโลกร้อน ดิ เอ็มโพเรียม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ จัดกรีนอีเวนต์ “เอ็มโพเรียม ฟลอร่า แอนด์ ฟาวน่า เอ็กโซติก้า” ต่อเนื่องปีที่ 4 ในธีม “มิราเคิล ออฟ เนเจอร์ มหัศจรรย์ แห่งสวนสวรรค์” เนรมิตสวนสวรรค์จำลองน้ำตกสูงกว่า 20 เมตร และจำลองอะควาเรียมน้ำเค็มสุดยิ่งใหญ่มาให้ชมกันอย่างใกล้ชิดถึง 26 ต.ค.นี้ ที่ ดิ เอ็มโพเรียม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์

นอกจากได้ชมความอุดมสมบูรณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งแสดงสัตว์น้ำหลายชนิด เพื่อสร้างกระแสการ อนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนในโซนต่าง ๆ ในงานยังร่วมกับผู้สนับสนุน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด จัดกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จัดกิจกรรมมินิ การ์เด้น เวิร์กช็อป หรือการจัดสวนถาดโดย ชาติศิลป์ ชาตบุตร ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้าน “แคทรียา” ให้คำแนะนำในการจัดสวนถาดอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมอุปกรณ์ทั้งภาชนะและเลือกต้นไม้พันธุ์จิ๋วเป็นประเภท แคคทัซ อาทิ ต้นมะพร้าวจิ๋วซึ่งมีการออกดอกสวยงาม ว่านหางจระเข้ คุณนายตื่นสาย และกระบองเพชร รวมไปถึงองค์ประกอบธรรมชาติ อาทิ ขอนไม้ขนาดหลัก หินกรวด เพื่อนำไปตกแต่งตามจินตนาการ ระหว่างการจัดวิทยากรได้สอดแทรกเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

กิจกรรมเวิร์กช็อปนี้ได้รับความสนใจจากเซเลบริตี้ชื่อดังเข้าร่วมกิจกรรมมากมาย อาทิ ชาติศิริ-ณินทิรา โสภณพนิช พร้อมลูกสาว ณัชชา-ณุชนา กล่าวว่า ดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรมดี ๆ แบบนี้อย่างน้อยได้สอนให้รู้ว่าแม้พื้นที่เล็ก ๆ ก็สามารถปลูกต้นไม้ได้ และยังเป็น การสอนให้เด็กรู้จักรักษ์ต้นไม้ รักษาธรรมชาติให้คงอยู่ตลอดไป ขณะที่ พิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ เผยว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการนำธรรมชาติ มาอยู่ใกล้ตัว สามารถนำไปไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานได้ ไม่ต้องลงทุนมากเพียงซื้ออุปกรณ์มาก็สามารถ แบ่งปันกันทำกับครอบครัว หรือเพื่อน ๆ เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ที่สำคัญสามารถสอนให้เด็กรู้จักเรียนรู้การรักษ์สิ่งแวดล้อมทางอ้อมได้ด้วย

ด้าน เพ็ญสุภา คชเสนีควงลูกสาว “หนูนวล” ร่วมกิจกรรม บอกว่า โลกในวันนี้ต้องการเรื่องการปลูกต้นไม้เพื่อลดโลกร้อน การจัดสวนถาดจึงเป็นเหมือนจุดเล็ก ๆ ทำให้เรียนรู้ที่จะรักษาต้นไม้และธรรมชาติเอาไว้ กิจกรรมในวันนี้ยังช่วยให้เด็ก ๆ รู้ว่าแม้พื้นที่เล็ก ๆ ก็สามารถนำความเขียวขจีและความสดชื่นของธรรมชาติมาอยู่ใกล้ตัวได้ ส่วน ประหนึ่งอร วัฒนธรรม ผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บอกว่า กิจกรรมเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้ผู้ปกครองและเด็ก ๆ รู้ว่าต้นไม้มีความสำคัญกับโลกอย่างไร และตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ที่จะนำมาซึ่งความร่มเย็นและเป็นธรรมชาติ.
ที่มา dailynews

‘ทรีทเม้นท์ผม’ ตามสั่ง ขอมา SP จัดให้

วิวัฒนการความสวยความงามไม่เคยหยุดนิ่ง ล่าสุด WELLA PROFESSIONAL ปฏิวัติการดูแลสุขภาพเส้นผมให้สวยเสร็จภายในหนึ่งเดียวกับ SP HAIR ALCHEMY TREATMENT ที่นำเทคโนโลยี ‘อินฟิวชั่น’ มาเพิ่มคุณค่าพิเศษให้กับมาสก์ทรีทเม้นท์ ซึ่งอินฟิวชั่นเป็นเทคโนโลยีที่ผสานคุณค่าระหว่าง SP INFUSION และ SP MASK เข้าไว้ด้วยกันเพื่อดูแลเส้นผมและหนังศีรษะในคราวเดียว SP HAIR ALCHEMY TREATMENT เป็นตัวช่วยในการ วิเคราะห์ความต้องการของผม เพื่อการดูแลที่ตรงจุดและถนอมเรือนผมในแบบที่ต้องการ โดยเริ่มจาก วิเคราะห์สภาพเส้นผม เพื่อหาสูตรแชมพูและครีมนวดที่เหมาะสม เช่น ผมหยิกชี้ฟู, ผมแห้ง, ผมเสีย, ผมขาดน้ำหนัก, ผมทำสี, ผมด้านขาดความเงางาม, รังแคบนหนังศีรษะ หรือปัญหาผมหลุดร่วง

จากนั้น เลือกความต้องการที่อยากให้ผมสวย จากอินฟิวชั่น เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ SPมี 5 ตัวหลัก ได้แก่ SMOOTHEN เพื่อผมเรียบลื่น, VOLUMIZE เพิ่มมิติให้เส้นผม, HYDRATE คืนความชุ่มชื่น, COLOR SAVE ปกป้องสีผมสวย และ REPAIR ฟื้นบำรุงผมเสีย เพื่อนำไป ผสมกับมาสก์หลักสำหรับบำรุงผม ที่มีทั้ง SMOOTHEN, COLOR SAVE, HYDRATE, SHINE DEFINE, REPAIR, CLEAR SCALP ขจัดรังแคบนหนังศีรษะ, VOLUMIZE และ BALANCE SCALP สร้างสมดุลให้หนังศีรษะสำหรับผิวที่บอบบางและมีปัญหาผมร่วง ซึ่ง SP MASK และ SP INFUSION ผสมกันได้มากกว่า 35 สูตร

ตัวอย่างเช่น ผมเส้นเล็ก ชี้ฟู หนังศีรษะมัน ต้องการผมเรียบและมีมิติ ควรเลือก แชมพู ครีมนวด และมาสก์ สูตร SMOOTHEN เติมอินฟิวชั่น VOLUMIZE เท่านี้ก็ครบสูตร

แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการทำทรีทเม้นท์ตามปกติ คือ สระผมและนวดศีรษะ ต่อด้วยการผสม SP MASK และ SP INFUSION สูตรเฉพาะตัว เสร็จแล้วนำมานวดศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่ ล้างทรีทเม้นท์ออก จะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

ลองสัมผัส SP HAIR ALCHEMY TREATMENT ได้แล้ววันนี้ ที่ซาลอนเวลล่าใกล้บ้าน

dailyshopaholic@gmail.com
ที่มา dailynews

ไขข้อเท็จจริงเรื่อง "นม" "มากคุณค่า เสี่ยงโรค ไม่น่ากลัว???

"การดื่มนมเพียง 1 แก้ว มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย...” ...นี่เป็นสิ่งที่มีการระบุในประเทศไทยมานานแล้ว และรัฐบาลก็มีการส่งเสริมให้เด็ก ๆ วัยเรียนได้มีการดื่มนมมานานแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนในสังคมไทยก็น่าจะมีการดื่มนมกันอย่างแพร่หลาย แต่เอาเข้าจริงกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้ จากการจัดงานโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนงานโภชนาการ เพื่อคุณภาพชีวิต” ณ ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกลุ่มบริษัทดัชมิลล์ร่วมสนับสนุน ในงานนี้มีการสะท้อนถึงเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือ... การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทุกวันนี้ น่าจะทำให้มนุษย์เรา ที่สำคัญทำให้คนไทย ได้มีโอกาสบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น

แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ตรงกันข้าม กลับสร้างความโน้มเอียงไปในทางการบริโภคอาหารที่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของเด็ก ๆ และทำให้สุขภาพคนไทยที่ควรจะสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ กลับต้องอ่อนแอลง

แท้ที่จริงแล้ว ธรรมชาติได้มอบอาหารที่ทรงคุณค่ายิ่งมาให้มนุษย์ หลายร้อยหลายพันปีแล้ว นั่นคือ “นม” แต่ในประเทศไทยกลับขาดการส่งเสริม การให้ข้อมูลข่าวสารในด้านคุณประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ

ซ้ำร้าย กลับมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดื่มนม ในมุมที่เกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพ อาทิ การก่อให้เกิดโรคมะเร็ง? การก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด?

ถามว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร?

คำตอบของคำถามนี้ ในงานโภชนาการแห่งชาตินั้นมีเฉลย โดย รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เขียนหนังสือ “นม อาหารมากคุณค่า...เพื่อชีวิตและสุขภาพ” ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้สนใจขอรับได้ฟรี (ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. 0-2881-2222) ได้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมีสาระและมีการไขข้อข้องใจของสังคมในหลายประเด็น โดยสรุปก็เช่น.....

การดื่มนมเพียง 1 แก้ว ก็ทำให้ได้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย โดยเฉพาะการดื่มนมพาสเจอไรซ์รสจืดจะให้ประโยชน์และมีคุณค่ามาก นมเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินบี 2 วิตามินเอ และแคลเซียมที่มีคุณภาพและมีปริมาณที่ได้มาตรฐานพอเหมาะกับความต้องการในชีวิตประจำวัน การดื่มนมเป็นประจำยังสามารถป้องกันกระดูกพรุน ช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูก ลดความดันโลหิตสูง และลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งสามารถส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักได้ ทั้งนี้ นี่ก็ตอบโจทย์เรื่องประโยชน์ของการดื่มนม

จากรายงานเกี่ยวกับการประชุม อาหาร โภชนาการกับการป้องกันมะเร็ง ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2540 ได้มีการสรุปการวิเคราะห์ผลงานวิจัยมากกว่า 4,500 ฉบับ ซึ่งหลักใหญ่ใจความคือ อาหารที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง คืออาหารที่มีไขมันสูง มีใยอาหารต่ำ และมีสารต้านออกซิเดชั่นต่ำ

ต่อกรณีที่มีกระแสว่าการดื่มนมเกี่ยวข้องกับมะเร็งนั้น ข้อสรุปเป็นเพียงว่า... อาจเป็นไปได้ หรือเป็นการคาดเดา และที่มีรายงานคือความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งของบางอวัยวะ เช่น ไต ต่อมลูกหมาก ซึ่งในผลสรุปนั้นระบุไว้ว่าไขมันในนมอาจเป็นตัวที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดนี้ โดยคนตะวันตกกินอาหารที่มีไขมันสูง ดื่มนมปริมาณมาก และกินผักผลไม้น้อย ได้ใยอาหารต่ำ จึงมีความเสี่ยงมาก ถ้ากินอาหารแบบไทย ๆ มีข้าว เนื้อสัตว์ไม่ติดไขมัน มีผัก มาก ๆ และกินผลไม้เป็นประจำ เลี่ยงอาหารผัด ๆ ทอด ๆ ไขมันที่ร่างกายได้รับก็จะไม่มากนัก

ที่สำคัญ จากผลการศึกษายังไม่มีข้อมูลยืนยันได้ว่านมเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดมะเร็ง ในทางตรงกันข้ามส่วนประกอบในนมหลายชนิด มีส่วนช่วย “ป้องกันมะเร็ง” ได้เป็นอย่างดี

จุดนี้น่าจะตอบคำถาม...นมกับมะเร็ง

นอกจากนี้ กับกระแสเรื่องนมอาจเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น ก็ไม่มีปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าการดื่มนมหรืออาหารนมอื่น ๆ ตามคำแนะนำ จะทำให้เป็นโรคดังกล่าวนี้ ในทางตรงกันข้าม การกินอาหารที่มีนมและผลิตภัณฑ์นม อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

นี่ก็ตอบคำถามได้อีกหนึ่งคำถาม...อีกหนึ่งโรค

ทั้งนี้ จากข้อมูลเกี่ยวกับ “นม” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ บางช่วงบางตอนก็ระบุว่า... ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนม ช่วยทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว และงานวิจัยระยะหลังยังพบว่า แคลเซียมที่มีในนมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ขณะที่ข้อมูลจากรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า คนไทยดื่มนมราว 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย

ต่อให้อาจเกิดผลลบได้บ้าง...แต่ดูที่ผลบวกแล้วมีเพียบ

“ดื่มนม” จึงเป็นสิ่งที่ควรจะสนใจทำ...มากกว่ากลัว!!.
ไขข้อเท็จจริงเรื่อง "นม" "มากคุณค่า เสี่ยงโรค ไม่น่ากลัว???
ที่มา dailynews

ขายดี คู่แข่งยาทำแท้ง 'ยาคุมฉุกเฉิน' อันตรายที่ 'กำลังฮิต'

กรณีน่าสลดใจ สาวรุ่นวัยเรียนใช้ยาอันตรายที่ซื้อผ่านทางเว็บไซต์เพื่อการ “ทำแท้ง” ได้สร้างกระแสล้อมคอกให้กับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็จะเลือน ๆ ไป เหมือนไฟไหม้ฟาง อีกหรือเปล่า...ก็ต้องรอดู?? อย่างไรก็ตาม กับเรื่องของ “ยา” ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องการ “ท้อง-ตั้งครรภ์” มิใช่มีเพียงยาทำแท้งเถื่อน!!
ในมุมกลับกัน...ยังมีเรื่องของ “ยาคุม” ไม่ให้ท้อง

และในมุมนี้ก็มีอันตราย...ถ้ามีการใช้แบบผิด ๆ!!

“ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ในตลาดจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อหลัก ๆ ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น และในกลุ่มคนวัยทำงานด้วย ช่วงนี้ในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามาซื้อตลอด ที่น่าสังเกตคืออายุเฉลี่ยของคนที่ซื้อลดลงเรื่อย ๆ ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่พบว่าอายุมากที่สุดที่ใช้เฉลี่ยประมาณ 40 ปีขึ้นไป” ...นี่เป็นเสียงสะท้อนจากร้านขายยาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ทั้งนี้ “ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน” นับวันจะเป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่ถูกซื้อใช้มาก และดูเหมือนว่าเรื่อง “ผลเสีย” ที่อาจเกิดขึ้นจาก “การใช้-การกินอย่างผิด ๆ” ยังถูกมองข้าม?? ซึ่งกับเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ ในเว็บไซต์ www.clinicrak.com มีข้อมูลระบุไว้ โดยสรุปคือ... ยาชนิดนี้เป็นการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ กรณีที่เกิดความผิดพลาดที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการ อาทิ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใด ๆ เลย หรือใช้แล้วแต่ไม่ได้ผลหรือไม่แน่ใจ กรณีถูกบังคับล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์ หรือกรณีถูกข่มขืน นี่ ไม่ใช่การคุมกำเนิดตามปกติ และไม่ใช่วิธีในการวางแผนครอบครัว

ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินหลัก ๆ มีอยู่ 2 แบบคือ 1. ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสม ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปร เจสตินผสมกัน และ 2. ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมน โปรเจสตินเพียงอย่างเดียว โดยยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ในไทยมีขายอยู่หลัก ๆ 2 ยี่ห้อ ต่างก็เป็นยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนเดี่ยว

การออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีลักษณะเดียวกับยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา แต่จากการศึกษาพบว่ายาคุม ฉุกเฉินมีการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน อาทิ ขัดขวางการตกไข่, ทำให้การตกไข่ช้าลงกว่าเดิม, ขัดขวางการปฏิสนธิโดยสร้างเมือกขึ้นในท่อนำไข่ทำให้อสุจิและไข่เคลื่อนที่เข้าหากันลำบากขึ้น, ขัดขวางการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ

แต่...ไม่สามารถที่จะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

และถ้าใช้พร่ำเพรื่อ-ไม่ถูกวิธี...ก็มี “มีอันตราย” ได้!!

“การใช้ยาชนิดนี้ ตามวิธีคือครั้งแรกกิจภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และอีก 12 ชั่วโมงถัดมากินครั้งที่สอง จึงจะมีประสิทธิภาพในการลดโอกาสตั้งครรภ์ แต่ก็ประมาณ 75% ไม่ใช่เต็มร้อย และที่มีปัญหาก็คือ มีความเชื่อที่ผิด ๆ ว่านี่เป็นยาคุมแบบใหม่ ไม่ต้องกินทุกวันเหมือนแบบเก่า หนักกว่านั้นคือ เชื่อผิด ๆ ว่ากินยาแบบนี้แล้วไม่ติดโรค ไม่ติดเอดส์ ซึ่งความเชื่อแบบนี้ไม่ใช่มีแค่ในกลุ่มวัยรุ่น แต่ยังได้ยินจากปากกลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนที่เข้าใจในยาชนิดนี้ดี ก็ยังใช้เป็นประจำอยู่ เพราะเห็นว่าสะดวก ใช้ง่าย”

แหล่งข่าวร้านขายยารายเดิมระบุต่อไปอีกว่า... ปัจจุบันคนกล้าที่จะมาซื้อยาคุมมากขึ้น ไม่ค่อยเขินอาย หรือกระมิดกระเมี้ยนหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนในอดีต อย่างที่ร้านเองยอดขายเฉลี่ย ของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ก็อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า ขายดีมาก บางวันเคยขายได้สูงสุด 25 แผง โดยยาคุมแบบนี้มีราคาขายอยู่ที่แผงละ 50-60 บาท และยังพบว่ามีลูกค้าหลายรายมาเหมาซื้อยกกล่องไป เข้าใจว่าอาจจะนำไปขายต่อ

“เท่าที่ได้ยินมา เดี๋ยวนี้ตามสถานบันเทิงก็มีคนนำยาชนิดนี้ไปขาย และร้านขายของชำ ร้านโชห่วย บางร้านก็มีขาย ไม่มีการจำกัดอายุผู้ซื้อ ยาชนิดนี้เลยมีสภาพซื้อง่าย-ขายคล่องยิ่งกว่ายาแก้ไข้แก้หวัดเสียอีก ทั้ง ๆ ที่หากใช้ระยะเวลานาน ๆ ต่อเนื่อง ใช้ผิดประเภท อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ตั้งแต่อาการแพ้ยา เกิด ความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เกิดการตกเลือด หรือร้ายแรงกว่านี้”

ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายเดิมยังบอกด้วยว่า... สำหรับผู้ใช้ยา ด้วยจำนวนยาที่กินน้อยกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติ หลายคนก็เลยคิดแบบง่าย ๆ ว่าสะดวกดี โดยไม่คิดถึงผลกระทบ ซึ่งยาชนิดนี้หากใช้ผิดประเภทหรือใช้นาน ๆ ต่อเนื่อง อาจมีผลเสียต่อร่างกาย และสำหรับผู้ขายยา ถ้าไม่คิดอะไร ก็คงดีใจที่สินค้าขายได้มากขึ้น แต่สำหรับตนเองแล้วพอยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มสงสัย จึงพยายามสอบถามหาข้อมูล ก็พบเรื่องน่าตกใจว่าหลายคนมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยาชนิดนี้ “นี่อาจสะท้อนว่านโยบายให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และความรู้ในเรื่องเพศศึกษา รัฐทำมานาน แต่ก็ยังล้มเหลว” ...แหล่งข่าวระบุทิ้งท้าย

“ยาคุมฉุกเฉิน” ขายดีมากขึ้น...เรื่องนี้ก็น่าคิดหลายมุม

ทั้งในมุมอันตรายจากการใช้ยา...ค่านิยมในการมีเซ็กซ์

เรื่องนี้ก็น่าห่วง...ไม่แพ้กรณียาทำแท้งเถื่อน?!?!?.
ขายดี คู่แข่งยาทำแท้ง 'ยาคุมฉุกเฉิน' อันตรายที่ 'กำลังฮิต'
ที่มา dailynews

วิธีแก้ปัญหาเด็กไม่กินผัก

ในปัจจุบันมีเด็กจำนวนมากเห็นผักในจานแล้วเขี่ยทิ้งเพราะไม่ชอบรับประทาน แม้ว่าพ่อแม่จะคะยั้นคะยอหรือบังคับก็ไม่เป็นผล ไม่เหมือนกับขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูง หรือลูกอม ขนมหวานต่าง ๆ ไม่ต้องบอกเด็กก็สรรหามารับประทานเอง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.ชุติมา ศิริ กุลชยานนท์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า คนไทยบริโภคผักผลไม้น้อยมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก สาเหตุที่เด็กไม่ชอบรับประทานผักเพราะมีกลิ่นเหม็นฉุน ไม่อร่อย นอกจากนี้อาจเกิดจากผู้ปกครองไม่ได้ปลูกฝังในเรื่องนี้ พอเด็กไม่ชอบก็ปล่อย และหาแต่สิ่งที่เด็กชอบมาให้เด็กรับประทาน

วิธีการจะกระตุ้นให้เด็กรับประทานผักต้องไม่บังคับ แต่เราจะต้องมีกลเม็ดที่ทำให้เด็กสนุกและสนใจอยากที่จะทำ โดยในปี 2546 ได้ทำวิจัยศึกษาหาวิธีที่จะให้เด็กบริโภคผักมากขึ้น เป็นวิธีการที่สนุกที่ทำให้เด็กคล้อยตาม เช่น การเล่านิทาน ดูการ์ตูน เนื่องจากพื้นฐานความคิดในการบริโภค หรือ นิสัยของเด็กเริ่มสร้างตั้งแต่วัยเด็กเล็ก และจะต่อเนื่องจนเป็นผู้ใหญ่ หากไม่ได้รับการฝึกมาตั้งแต่เล็กตามช่วงวัยของพัฒนาการ ก็จะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปจนโต ทำให้เด็กปฏิเสธผัก

ทั้งนี้ได้ดำเนินการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งหนึ่งใน กทม. ในเด็กอนุบาล อายุ 4-5 ขวบ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยการสอนเด็กวัยนี้ให้เรียนรู้เรื่องผัก ผลไม้ด้วยวิธีที่เข้าใจง่าย สนุก และเด็กได้ร่วมกิจกรรม ในการวิจัยได้ใช้สื่อต่าง ๆ คือถ้าเด็กผู้ชายให้ดูการ์ตูนป๊อปอาย ส่วนเด็กผู้หญิงก็เล่านิทานหนูนิดกับฟักทอง นอกจากนี้ยังมีกิจ กรรม ร้องเพลงผักผลไม้ เล่นเกม ทดลองให้เด็กปลูกผัก แล้วนำมาปรุงอา หาร ให้เด็กมีส่วนร่วมในการช่วยเตรียม ล้างผัก ดูการหั่นและประกอบอาหารจากผักร่วมกับผู้วิจัย แล้วให้เด็กได้ลิ้มรส

ประสบการณ์จริงที่เด็กได้จับต้อง สัมผัส ล้าง ชั่ง ตวง คน ตัก ชิมอาหารที่ปรุงจากผัก ทำให้เด็กชอบและกระตือรือร้น ต้องการรับประทานผัก และถามคุณครูว่าตอนเที่ยงนี้จะมีผักอะไร คนที่ไม่ชอบผักเมื่อนั่งรับประทานอาหารกับเพื่อน ๆ ที่ชอบผักจะถูกชักชวนให้เพื่อนรับประทานผัก เด็กผู้ชายจะยึดป๊อปอาย เป็นสัญลักษณ์กินผักแล้วแข็งแรง ขณะที่เด็กผู้หญิงจะยึดหนูนิดเป็นสัญลักษณ์ กินผักแล้วแก้มแดง ผิวสวย

นอกจากนี้การที่คุณครูได้นั่งร่วมวงอาหารกับเด็ก เด็กก็จะสังเกตเห็นครูรับประทานผักก็จะทำตาม และที่น่าสนใจคือการจัดปาร์ตี้ผัก และผลไม้ หลากหลายชนิดให้เด็กได้เห็น สัมผัส บอกชื่อ สี และเล่นเกม สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นความสนใจในผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ ได้อย่างมาก

ขณะเดียวกันได้มีการส่งจดหมายไปถึงผู้ปกครอง เพื่อเป็นการสื่อสารถึงพัฒนาการของเด็กในการบริโภคผัก และขอความร่วมมือ สนับสนุนการรับประทานผักที่บ้าน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี ผู้ปกครองรายงานว่าเด็กมักคุยให้ฟังเรื่องผักต่าง ๆ มากขึ้น และมีความภาคภูมิใจที่รับประทานผักในอาหารมื้อกลางวันที่โรงเรียน จากการพูดคุยกับเด็กได้รับทราบว่าทางบ้านได้มีการเตรียมผักในมื้ออาหารเพิ่มขึ้น หลัง การศึกษาเด็กรับประทานผักเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของก่อนการศึกษา

รศ.พญ.ชุติมา ฝากไปยังเด็ก ๆ ทุกคน ว่า ผักมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีใยอาหารมีประโยชน์ในการขับถ่าย เด็กจะไม่ท้องผูก เพราะส่วนมากที่กุมารแพทย์เจอคือ เด็กมักจะมีปัญหาท้องผูก ถ่ายอุจจาระไม่ออก ที่สำคัญผักยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยต่อต้านโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันใยอาหารจะชวยดูดซับไขมันที่ปนมากับอาหารรวมทั้งสารพิษอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ปัญหาไขมันในเลือดสูงลดลงไปด้วย ดังนั้นเด็ก ๆ ทุกคนควรหันมารับประทานผักให้มากขึ้น คือหมอเคยตรวจในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กไทยมีภาวะไขมันในเลือดสูงเยอะมากเกินครึ่งซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ ไม่ว่าจะเด็กอ้วนหรือผอมเนื่องจากมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารเหมือน ๆ กันคือกินอาหารที่มีไขมันสูง.

นวพรรษ บุญชาญ รายงาน
วิธีแก้ปัญหาเด็กไม่กินผัก
ที่มา เดลินิวส์

ยาเม็ดปาร์ตี้ชนิดใหม่ในประเทศไทย

ในปัจจุบันนอกจากยาบ้าจะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ล่าสุดสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจพบยาเสพติดชนิดใหม่ที่เข้ามากับนักท่องเที่ยวชาวยุโรป คือ ยาเม็ดปาร์ตี้ชนิดใหม่ในประเทศไทย

นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า ยาเม็ดปาร์ตี้ เป็นชื่อเรียกของสารกลุ่มพิเพอราซีน สารกลุ่มนี้มีหลายตัว ที่พบมาก คือ BZP (Benzylpiperazine) และ TFMPP (Trifluo romethyl phenyl piperazine)

BZP จะมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางคล้ายยาอีและยาบ้า ทำให้เกิดอาการเคลิ้มฝัน และมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัว ส่วน TFMPP จะมีฤทธิ์ทำให้ประสาทหลอนคล้ายยาอี ดังนั้นผู้เสพจึงมักใช้สารสองชนิดร่วมกันเพื่อเสริมบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย เช่น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง สับสน นอนไม่หลับ และจากการศึกษาในหนูพบว่า การใช้ร่วมกันในขนาดสูง จะทำให้เกิดอาการชัก (seizure) หรือถ้าใช้ร่วมกับยาเสพติดอื่น และแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้

สารเสพติดในกลุ่มพิเพอราซีน ได้มีการแพร่ระบาดในไทยมาตั้งแต่ปี 2552 จากการตรวจพิสูจน์ของกลางยาเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 3 ชลบุรี และสำนักยาและวัตถุเสพติด ระหว่างปี 2552-2553 พบสารเสพติดในกลุ่มพิเพอราซีน 2 ชนิด คือ BZP และ TFMPP ลักษณะตัวอย่างเป็นแคปซูล คล้ายอาหารเสริม และชนิดเม็ดยามีสีและสัญลักษณ์ต่าง ๆ รูปแบบคล้ายยาอี พบใน 3 จังหวัด คือ ชลบุรี นนทบุรี และกรุงเทพฯ โดยมักพบสาร 2 ชนิดร่วมกันหรืออาจพบชนิดเดียวและพบร่วมกับยาอีชนิดเอ็มดีเอ็มเอ และเอ็มดีเอ

สารอนุพันธ์พิเพอราซีน มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทน้อยกว่าเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า 10 เท่า ยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในอนุ สัญญาสหประชาชาติ ในประเทศไทยยังไม่มีการควบคุมตามกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีการ แพร่ระบาดที่ชัดเจน ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ควบคุมสารเหล่านี้ เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซี แลนด์ ญี่ปุ่น

การตรวจพิสูจน์สารในกลุ่มพิเพอราซีน สามารถตรวจเบื้องต้นด้วยปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดสีและยืนยันผลด้วยเทคเนคโครมาโตกราฟี เช่น ธินแลร์เยอร์โครมาโตกราฟี หรือ ทีแอลซี หรือ แก็สโครมาโตกราฟี หรือ แก็สโครมาโต กราฟี/แมสสเปคโตเมทรี

แม้ประเทศไทยจะยังไม่มีการระบาด แต่ได้มีการตรวจพบยาดังกล่าวมาเรื่อย ๆ คือ

1. ระหว่างวันที่ 10-11 ก.ค. 2552 พื้นที่เกิดเหตุคือ จ.ชลบุรี พบของกลาง 8,000 แคปซูล ตรวจพบ BZP และ TFMPP

2. วันที่ 12 พ.ย. 2552 พื้นที่เกิดเหตุคือชลบุรี พบยาเม็ดกลมแบนสีส้มอ่อน 2 เม็ด ตรวจพบ BZP และ TFMPP

3. วันที่ 27 ม.ค. 2553 พื้นที่เกิดเหตุกรุงเทพฯ พบยาเม็ดกลมแบนสีแดงสัญลักษณ์รูปหัวใจ 4 เม็ด ตรวจพบ TFMPP

4. วันที่ 6 พ.ค.2553 พื้นที่เกิดเหตุ จ. นนทบุรี พบของกลางยาเม็ดกลมแบนสีชมพู สัญลักษณ์ Adidas 1 เม็ด ตรวจพบ BZP และ TFMPP

และ 5.วันที่ 8 พ.ค. 2553 พื้นที่เกิดเหตุจ.ชลบุรี พบของกลางยาเม็ดกลมแบนสีขาวขุ่น สัญลักษณ์รูปการ์ตูน 5 เม็ด ผลการตรวจพิสูจน์พบ BZP และ TFMPP อย่างไรก็ตามจากการตรวจพบยาเสพติดชนิดใหม่ในครั้งนี้ ทาง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ประสานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังแล้ว

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการควบคุมเพราะคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษจะติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อมูลการระบาดทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด คงจะให้ข้อมูล และนำมาพิจารณาว่าสมควรที่จะออกประกาศควบคุมหรือไม่ อย่างไร.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
ที่มา dailynews

ประโยชน์ของ'"วิตามินดี"กับสุขภาพ

หลายคนรู้จัก “วิตามินดี” แต่ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ขาดวิตามินดี?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.บุญส่ง องค์พิพัฒนกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า วิตามินดีเป็นวิตามินตัวหนึ่งในร่างกายที่ละลายในไขมัน แต่จะแปลกกว่าวิตามินตัวอื่นคือ ร่างกายสามารถสร้างได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด เวลาผิวหนังได้รับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ ก่อนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด

หน้าที่ของวิตามินดีในร่างกาย เราทราบมานานแล้วว่ามันเกี่ยวข้องกับการดูดซึมแคลเซียม ถ้าหากขาดวิตามินดีไป จะทำให้แคลเซียมไปจับกับกระดูกไม่ค่อยได้ กลายเป็นโรคกระดูกหักง่าย แต่ตอนหลังพบมากขึ้นว่า นอกจากวิตามินดีเกี่ยวข้องกับกระดูกแล้ว ยังมีบทบาทต่ออย่างอื่นด้วย เช่น บทบาทในเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อ การเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหวัด วัณโรค โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น โดยความสัมพันธ์กับโรคต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าท้ายที่สุดวิตามินดีนอกจากจะมีความสัมพันธ์กับโรคกระดูกแล้วสัมพันธ์กับโรคอะไรบ้าง

แหล่งที่มาของวิตามินดี ต้องยอมรับว่าจะหาอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีที่คนเรารับประทานเป็นประจำไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น วิธีง่าย ๆ คือการถูกแสงแดด แต่ถ้าหากเราถูกแสงแดดไม่พอก็จะทำให้วิตามินดีในร่างกายไม่พอด้วย

ความจริงในบ้านเราแสงแดดเยอะ ไม่น่าจะขาดวิตามินดี แต่ตรงกันข้าม ถ้าคนในชนบทอาจจะไม่ค่อยขาดวิตามินดี แต่ถ้าอยู่ในเขตเมือง แม้แสงแดดจะเยอะ แต่คนจะไม่ค่อยถูกแสงแดด สุดท้ายก็ขาดวิตามินดี โดยวิตามินดีมีความสำคัญกับทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนสูงอายุ

ในบ้านเรายังไม่มีตัวเลขว่าควรจะถูกแสงแดดกี่นาที แต่ในต่างประเทศ แนะนำให้ถูกแดดช่วง 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมงประมาณ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอแล้ว สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในสังคมเมือง วันเสาร์-อาทิตย์อาจจะหาเวลาในการรับแสงแดด ประเด็นสำคัญคือต้องไม่ทาครีมกันแดด ทั้งนี้การถูกแสงแดดเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีที่เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องนานเราใช้เวลาสั้น ๆ เท่านั้น

สำหรับอาหารที่มีวิตามินดี เช่น ปลาทะเลตามธรรมชาติ อย่างปลาแซลมอน เหตุที่มีวิตามินดีเยอะเพราะปลาเหล่านี้กินแพลง ตอน แต่ปัจจุบันปลาเหล่านี้ก็ มีการเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ก็จะมีวิตามินดีน้อย

ส่วนปลาทูนั้นยังไม่เคยมีการศึกษาว่ามีปริมาณวิตามินดีเท่าใด ดังนั้นการรับประทาน อาหารอาจจะได้วิตามินดีไม่เพียงพอ วิธีง่าย ๆ คือการถูกแสงแดดบ้าง

ศ.นพ.บุญส่ง กล่าวว่า คนอ้วนและดำจะรับแสงแดดได้น้อยกว่าคนผิวขาวและผอม เพราะคนอ้วนแม้จะมีพื้นที่ผิวหนังโดนแสงแดดเยอะกว่าคนผอมแต่พอสร้างวิตามินดีแล้วจะไปอยู่ในไขมันหมด ถูกดูดซึมไปใช้น้อยกว่า

การตรวจปริมาณวิตามินดีในร่างกายจะใช้วิธีเจาะเลือด เนื่องจากการตรวจเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราขาดวิตามินดีมากน้อยแค่ไหน การใช้ชีวิตแบบคนเมืองแน่นอนว่า อาจจะขาดวิตามินดี แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปวัด เพียงแต่เราใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะคือโดนแสงแดด ใช้ชีวิตกลางแจ้ง ออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง ตรงนี้เป็นทางแก้ง่าย ๆ ส่วนบางคนที่ถูกแสงแดดไม่ได้ก็อาจจะรับประทานวิตามินชนิดเม็ด.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
ประโยชน์ของ'"วิตามินดี"กับสุขภาพ
ที่มา dailynews

หญิงจีนกวาดแท่นสามอับดับแรกของกลุ่มเศรษฐีนีโลก

จัง อิน แห่ง บริษัทกระดาษ ไนน์ ดรากอน ครองอันดับเศรษฐีนี อันดับหนึ่งของโลกประจำปี 2553 ด้วยสินทรัพย์ ราว 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการจัดอันดับเศรษฐีนีโลกของรายงานหูรุ่น ประจำปี 2553
เอเจนซี--เมื่อพูดถึงหญิงเหล็กที่ต่อสู้ด้วยลำแข้งตัวเอง จนกลายเป็นเศรษฐีนีแถวหน้าของโลก หลายคนก็มักนึกถึงราชินีพิธีกรรายการทอล์ค โชว์ดังของสหรัฐอเมริกา โอปราห์ วินฟรีย์ หรือ เจ.เค โรว์ลิง ผู้เขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่ขณะนี้เศรษฐีนีจีนกลับมาแรงแซงหน้าพวกเธอไปไกลลิบเสียแล้ว โดยเศรษฐีนีระดับพันล้านเหรียญของโลกในสามอันดับแรกล้วนเป็นเลือดจีน นอกจากนี้ ในกลุ่มเศรษฐีนีผู้มีสินทรัพย์มากสุดในโลก 20 อันดับ นั้น กว่าครึ่ง คือ 11 คน เป็น เศรษฐีนีแดนมังกร ทั้งนี้ เป็นการจัดอันดับของสำนักจัดอันดับความมั่งคั่งหูรุ่นแห่งนครเซี่ยงไฮ้

สำนักจัดอันดับความมั่งคั่งหูรุ่นแห่งนครเซี่ยงไฮ้ แถลงรายงานอันดับเศรษฐีนีระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ ประจำปี 2553 เมื่อวันอังคาร(12 ต.ค.) ระบุ จัง อิน วัย 53 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทกระดาษ ไนน์ ดรากอน (Nine Dragons Paper) ได้ครองแท่นอันดับหนึ่งในกลุ่มเศรษฐีนีทั้งหมดในโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ส่วนบุคคล ราว 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

เศรษฐีนีที่รั้งท้ายอันดับสอง คือ อู๋ ย่าจวิน วัย 46 ปี กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลงหู (หรือ Longfor Property) มีสินทรัพย์ 4,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และเศรษฐีนีอันดับสาม คือ เฉิน ลี่หวา วัย 69 ปี กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งฝูหวา อินเตอร์เนชั่นนัล มีสินทรัพย์ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โอปราห์ วินฟรีย์ หรือ ชื่อจริง โอปราห์ เกล วินฟรีย์ แห่งรายการ The Oprah Winfrey Show กลายเป็นเศรษฐีนีอันดับเก้า ด้วยตัวเลขสินทรัพย์ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการจัดอันดับเศรษฐีนีโลกของรายงานหูรุ่น ประจำปี 2553


ส่วนเศรษฐีนีโลกในแดนตะวันตก ได้แก่ โอปราห์ วินฟรีย์ หรือ ชื่อจริง โอปราห์ เกล วินฟรีย์ แห่งรายการ The Oprah Winfrey Show กลายเป็นเศรษฐีนีอันดับเก้า ด้วยสินทรัพย์ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และ นาง เจ.เค โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กลายเป็นเศรษฐีนีอันดับที่ 20 ด้วยสินทัพย์ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

“กลุ่มผู้หญิงจีนได้กลายเป็นผู้นำแห่งโลกธุรกิจอย่างลอยลำแล้ว” Rupert Hoogewerf ผู้ก่อตั้ง และผู้จัดทำรายงานอันดับความมั่งคั่งแห่งหูรุ่น (Hurun Rich List) กล่าว

หญิงจีนมีบทบาทในโลกผู้บริหารภาคบริษัทธุรกิจหนาตากว่าแต่ก่อนมากขึ้น จากข้อมูลนิตยาสาร China Entrepreneur ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหญิง กว่า 29 ล้านคนในจีน คิดเป็นสัดส่วน 20 เปอร์เซนต์ ของกลุ่มผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นกระดานเอ ของฮ่องกง 1,107 ราย หรือ 69 เปอร์เซนต์ของกลุ่มบริษัทในตลาดหุ้นกระดานเอ มีสมาชิกในคณะกรรมการบอร์ดผู้บริหาร หรือผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้หญิง รวม 1,980 คน

นอกจากนี้ ยักษ์ใหญ่สื่อแห่งอังกฤษ ไฟแนนเชียล ไทมส์ ก็ชี้ว่า หญิงจีนเป็นกลุ่มหญิงที่มีความทะเยอทะยานสูงสุดในโลก โดยอ้างอิงจากตัวเลข Center for Work-Life Policy ในนิวยอร์ก ซึ่งระบุว่า 76 เปอร์เซนต์ ของหญิงเลือดมังกร มีความปรารถนาไต่เต้าทางอาชีพการงานระดับสูงสุด เทียบกับตัวเลข 52 เปอร์เซนต์ในสหรัฐอเมริกา

Center for Work-Life Policy ยังได้ระบุเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่มคุณแม่ที่เป็นผู้หญิงทำงานในจีน มีโอกาสบรรลุเป้าหมายที่สูงเช่นนี้ได้ มากกว่ากลุ่มหญิงทำงานในอเมริกาและในยุโรป ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากพวกเธอมีมือช่วยเหลือในการดูแลครอบครัวมากกว่า อย่างเช่น หญิงจีนในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคนโยบายลูกคนเดียว มีผู้ช่วยดูแลลูกถึง 4 คน ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย

อย่างไรก็ตาม แม้หญิงจีนก้าวหน้าในโลกธุรกิจอย่างโดดเด่นเช่นนี้ แต่พวกเธอก็ยังรั้งท้ายกลุ่มผู้ชายในสายอาชีพเดียวกัน ดูจากรายงานความมั่งคั่งของหูรุ่น ระบุว่ากลุ่มผู้หญิงที่ร่ำรวยในจีน มีสัดส่วนเพียง 11 เปอร์เซนต์ ของกลุ่มคนมั่งคั่งทั้งหมด
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เคล็ดลับขจัดรังแค

เคล็ดลับขจัดรังแค รังแคเกิดจากเซลล์ชั้นบนสุดของหนังศีรษะลอกตัวหลุดออกมา ลักษณะเป็นขุยขาวเล็ก ๆ ติดตามเส้นผม ส่วนบริเวณหนังศีรษะจะมีอาการคัน แลดูไม่สะอาดตา หนำซ้ำยังบั่นทอนบุคลิกภาพอีกด้วย วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีขจัดรังแค มาเล่าสู่กันฟัง

- สระผมให้บ่อยขึ้น จาก 2-3 วันครั้ง เป็นวันละครั้ง โดยใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยา เช่น เซเลเนี่ยม ซัลไฟด์, ซิงค์ ไพรีตั้น หรือ คีโตโคนาโซล เป็นต้น ตัวยาเหล่านั้นจะช่วยบรรเทาอาการคันหนังศีรษะและการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เนื่องจากมีส่วนผสมของตัวยาที่อาจทำให้ผมแห้งเสียได้

- แชมพูที่มีส่วนผสมของ เซเลเนี่ยม ซัลไฟด์ และ ซิงค์ ไพรีตั้น จะมีสารช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์หนังศีรษะ มีอยู่ในแชมพูสูตรอ่อนโยน ส่วนแชมพูที่ผสมของทาร์จะมีตัวยับยั้งการเติบโตของเซลล์

- ถ้าใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนแล้วไม่ดีขึ้น ให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล เป็นยาฆ่าเชื้อรา มีฤทธิ์ฆ่ายีสต์ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดรังแค

- ถ้าใช้แชมพูขจัดรังแคไปสักพักแล้วเริ่มกลับมามีรังแคอีก แนะนำให้เปลี่ยนแชมพูที่มีส่วนผสมของยาขจัดรังแคชนิดอื่น หากไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์

การขจัดรังแคให้ได้ผลต้องหมั่นดูแลความสะอาดของหนังศีรษะ และหลีกเลี่ยงการรบกวนหนังศีรษะจากการเกา
ที่มา dailynews

"นมแพะ" สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้จริงหรือ?

"นมแพะ" สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้จริงหรือ? การเลือกนมให้กับลูกน้อย ถือว่าเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้จักแต่นมผงที่มีส่วนผสมมาจากนมวัว หรือแม้แต่นมพร้อมดื่มยูเอสที (UHT) ตามท้องตลาดก็ต้องเลือกชนิดที่มีส่วนผสมของนมวัวหรือพวกธัญพืชต่างๆ ด้วย จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งจะต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคย แต่การเลือกซื้อต้องมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่า นมที่เลือกนั้นมีสารอาหารที่ลูกควรได้รับอย่างครบถ้วนหรือไม่ หรือเมื่อลูกดื่มแล้วจะเกิดอาการแพ้ไหม? ยิ่งตอนนี้มีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากจึงจำเป็นต้องพิถีพิถัน โดยเฉพาะ "นมแพะ" ที่หลายบ้านยังมีคำถามอยู่ในใจว่าสามารถให้ทารกดื่มได้จริงหรือ

"นพ. ธวัชชัย อรุณเรืองรัศมี" กุมารแพทย์ โรงพยาบาลรามคำแหง จึงไขข้อสงสัยเกี่ยวกับนมแพะให้ฟังว่า มีการนำนมแพะมาบริโภคกันตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซึ่งเชื่อว่าโปรตีนในนมแพะช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้ดีขึ้น โดยพบว่ามีคนป่วยจำนวนมาก ฟื้นจากอาการป่วยได้เร็วจากการดื่มนมแพะ เนื่องจากนมแพะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีขนาดเม็ดไขมันที่เล็ก จึงสามารถย่อยได้ง่าย หลังจากดื่มนมไปเพียงประมาณ 20 นาที ร่างกายก็สามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ทันที

ปัจจุบัน นมแพะได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงดูเด็กทารก จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนมแพะผงกับนมแม่ นมแพะถือว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด แต่อย่างไรนมแม่ก็มีสารอาหารที่ครบถ้วนและดีที่สุดสำหรับทารกอยู่แล้ว เนื่องจากในนมแม่มีโปรตีนที่ย่อยได้ง่ายทั้งหมดในเวลาที่รวดเร็ว ลูกน้อยจึงสามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการและเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

"นมผงที่เตรียมจากนมแพะมีปริมาณแอลฟ่า เอสวัน เคซีน (Alpha-S1 casein) น้อยกว่านมวัวอย่างมีนัยสำคัญ (3% เทียบกับ 26%) ยิ่งไปกว่านั้น จากผลงานวิจัยในเชิงลึกพบว่าน้ำนมของแพะในนิวซีแลนด์มีปริมาณแอลฟ่า เอสวันเคซีนน้อยกว่าน้ำนมของแพะในแถบยุโรปและอเมริกาอีกด้วย โปรตีนชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นก้อนโปรตีนที่ถูกย่อยได้ยากเมื่อสัมผัสกับกรดในกระเพาะอาหาร การที่นมแพะมีปริมาณโปรตีนแอลฟ่า เอสวันเคซีนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับนมวัว แสดงถึงก้อนโปรตีนที่อาจเกิดจากนมแพะมีขนาดเล็กและมีความนุ่มกว่าก้อนโปรตีนที่เกิดขึ้นจากนมวัว ดังนั้นทารกและเด็กเล็กที่ได้รับนมผงที่เตรียมจากนมแพะจึงสามารถย่อยโปรตีนได้ง่ายและรวดเร็วกว่า" นพ. ธวัชชัย อธิบาย
ขณะเดียวกัน กุมารแพทย์ท่านนี้ยังบอกอีกว่า นมแพะประกอบด้วยอนุภาคไขมันที่มีขนาดเล็กกว่าอนุภาคไขมันในนมวัว เอนไซม์สามารถแตกสลายอนุภาคไขมันได้ง่ายกว่า และทำให้ย่อยได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังมีกรดไขมันสายยาวปานกลาง (Medium Chain Triglycerides, MCT) สัดส่วนสูง เนื่องจากน้ำย่อยไลเปสสามารถย่อยสลายอาหารที่ประกอบด้วยกรดไขมันสายยาวปานกลางให้เป็นกรดไขมันอิสระ ดังนั้นทารกและเด็กเล็กที่ดื่มนมแพะจะสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่ายและรวดเร็วกว่านมผงดัดแปลงจากนมวัว และนมแพะยังมีปริมาณของโปรตีนแอลฟ่า เอสวันเคซีนที่น้อยมาก ทำให้มีคุณสมบัติช่วยส่งเสริมให้ร่างกายทารกมีประสิทธิภาพการย่อยสารอาหารโปรตีนชนิดอื่นได้มากขึ้นอีกด้วย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเป็นภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ นมแพะยังมีนิวคลีโอไทด์ (Natural Nucleotide) 5 ชนิดที่คล้ายกับนมแม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดการเกิดการแพ้อาหาร มีสารโพลีเอมีนส์ (Polyamines) ช่วยลดปฎิกิริยาของการแพ้อาหารมี โกรทแฟคเตอร์ (Growth factor) ชนิดไอจีเอฟวัน (IGF-1) และทีจีเอฟ เบต้า (TGF- β) ช่วยให้เกิดการพัฒนาของระบบลำไส้และการย่อยสมบูรณ์ พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ครบถ้วน การที่นมแพะประกอบด้วยสารนิวคลีโอไทด์จำนวนมาก มันจะทำหน้าที่ในการป้องกันเชื้อแบคทีเรียไวรัสและปรสิตในทางเดินอาหาร ช่วยให้แบคทีเรียมีประโยชน์ชนิดบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ในลำไส้ของทารกเพิ่มขึ้น แต่จะกำจัดแบคทีเรียแกรมลบที่ก่อให้เกิดโรคชนิดเอนเทอโรแบคทีเรีย (Enterobacteria)

อย่างไรก็ตาม นพ.ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะมีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากในท้องตลาด แต่นมแม่ก็ยังถือว่าเป็นนมที่ดีที่สุดของทุกๆ ชีวิต ควรให้นมแม่เป็นทางเลือกที่หนึ่งของลูก แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ทดแทน ควรมีการเลือกอย่างละเอียดและต้องใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมองและร่างกายของลูกน้อยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องราคาต้องคำนึงให้เหมาะสมกันประโยชน์ที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องมีราคาสูงเกินไป เพราะของแพงบางอย่างก็ไม่ได้ให้คุณค่าอย่างที่คาดหวังเอาไว้เลย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แนะวิธีเลือก "ร.ร. นานาชาติ" ให้ตรงใจลูก ถูกใจพ่อแม่

แนะวิธีเลือก "ร.ร. นานาชาติ" ให้ตรงใจลูก ถูกใจพ่อแม่ ถึงแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ หลายบ้าน แต่เชื่อได้เลยว่ามีบางบ้านที่ส่งลูกไปเรียนพิเศษ เพื่อให้กับลูกเรียนเสริมในเรื่องที่ไม่เข้าใจ หรือเรียนเนื้อหาวิชาอื่นๆ ไว้ล่วงหน้าก่อนเปิดเทอมใหม่ ซึ่งมีพ่อแม่บางคนก็ปฏิเสธทางเลือกนี้ให้กับลูก โดยจะใส่ใจในการเลือกโรงเรียนให้ลูกตั้งแต่เริ่มแรก เด็กๆ จึงมีเวลาพักผ่อนเที่ยวเล่นในช่วงปิดเทอมกันมากขึ้น แต่กระนั้นการเลือกโรงเรียนให้กับลูกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เนื่องจากมีโรงเรียนเปิดสอนจนนับไม่ถ้วน

โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และเด็กๆ ในขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นตามมาไม่น้อยเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน ไม่ว่าจะเป็น การเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีอยู่มากมายในกรุงเทพฯ กว่า 80 โรงเรียน ดังนั้นความเข้าใจระหว่างระบบการศึกษา ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกที่เติบโตขึ้นในสภาวะแวดล้อมและวัฒนธรรมสองภาษา ตลอดจนการหาแนวทางในการเลือกโรงเรียนที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรใส่ใจเป็นอย่างมาก

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า ความพร้อมทางการเงินจะเป็นปัจจัยต้นๆ ในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ แต่ความพร้อมของเด็กๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย "พญ.เกศินี โอวาสิทธิ์" กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลสมิติเวช กล่าวสะท้อนมุมมองกับเรื่องนี้ว่า การที่จะทราบว่าเด็กช่วงวัยอนุบาลเหมาะกับการเรียนในโรงเรียนนานาชาติหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เริ่มจากพัฒนาการของตัวเด็กเองว่า สามารถเข้าใจภาษาและสื่อสารให้คนอื่นทราบสิ่งที่เขาต้องการได้หรือไม่ และเด็กมีทักษะการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไร

ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทางโรงเรียนในการเตรียมความพร้อมของคุณครูในการสร้างความเข้าใจกับตัวเด็ก ผู้ปกครองสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่โรงเรียนใช้เพื่อช่วยให้ลูกเข้าใจภาษานั้นได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนั้น ควรดูบริบทของวัฒนธรรมและความต้องการโดยรวมของครอบครัวทั้งหมด ว่าชอบระบบการเรียนการสอนแบบโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ ทั้งนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ต้องช่วยเติมเต็มในบางส่วนที่ต้องการเพิ่มจากโรงเรียนด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน

"พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็เปรียบเสมือนครูของลูกเหมือนกัน และมีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูที่โรงเรียน เพราะเด็กๆ เรียนรู้ได้ตลอดเวลาไม่เฉพาะในห้องที่โรงเรียนเท่านั้น เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้ทั้งที่บ้าน สนามเด็กเล่น ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือระหว่างเดินทางไปเที่ยว ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรพยายามใช้ทุกวินาทีที่อยู่กับลูกให้เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่มีความสุข สนุก น่าสนใจเพื่อส่งเสริมให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ" พญ.เกศินี กล่าวเสริมคุณพ่อปิ๊บกับลูกชาย


สอดคล้องกับ "ตัน ภาสกรนที" นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และในฐานะเป็นคุณพ่อที่มีลูกชายเรียนอยู่ชั้น ป. 4 โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ได้เผยมุมมองและแนวคิดในการส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติว่า "อยากให้ลูกกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น เข้าใจพื้นฐานในการเรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้มากกว่าการท่องจำ โดยคิดว่าลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่ต้องเป็นคนดี การให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์แล้วนำมาแบ่งปันกับผู้อื่น และจะไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของลูก

"อีกอย่างเรื่องสัดส่วนของเวลาที่ลูกใช้ระหว่างโรงเรียนและบ้านค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน ดังนั้น การเลือกโรงเรียนให้ลูกเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก โดยมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ แต่ต้องใช้ความใส่ใจและเวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างพิถีพิถัน โดยอาจจะใช้หลักในการเลือก คือ เป็นโรงเรียนขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ไป อัตราส่วนระหว่างครูกับนักเรียนไม่น้อยหรือมากจนเกินไป คุณภาพของครู สิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน และสุดท้ายคือ ระยะทางในการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนต้องไม่ไกลเกินไป หรือใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมง" คุณพ่อนักธุรกิจกล่าว

เช่นเดียวกับ คุณพ่อดารา อย่าง "รวิชญ์ เทิดวงส์" กล่าวแสดงความคิดเห็นเสริมว่า ปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากกว่าสมัยก่อนและจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต คุณพ่อคุณแม่ควรมีการเตรียมพื้นฐานด้านภาษาที่ดีให้กับลูก และคิดว่าระบบการเรียนของโรงเรียนนานาชาติเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมเมืองไทย โดยเฉพาะพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัย มีมารยาท ในขณะเดียวกันก็สอนให้เด็กมีอิสระทางความคิด กล้าแสดงออกในขอบเขตที่เหมาะสม และที่สำคัญเขาจะปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน เกิดความอยากเรียนรู้อยากค้นคว้าเอง ไม่ใช่เรียนด้วยความรู้สึกฝืนใจหรือโดนบังคับจากคุณครูหรือพ่อแม่

อย่างไรก็ดี การศึกษาในโรงเรียนนานาชาติ ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานในความแตกต่างในด้านต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนแต่ละแห่ง ก่อนส่งลูกไปเรียน เพราะถ้าหากเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกตั้งแต่แรก ลูกจะเรียนได้อย่างเข้าใจและมีความสุข รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาในช่วงปิดเทอมไปนั่งเรียนพิเศษในช่วงเวลาของการพักผ่อน คุณพ่อคุณแม่เองก็ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ดูแลผิวใต้วงแขนให้สวยอย่างมั่นใจ

ดูแลผิวใต้วงแขนให้สวยอย่างมั่นใจ ผิวใต้วงแขน เป็นส่วนที่บอบบาง ง่ายต่อการหมองคล้ำ เวลาใส่เสื้อเปิดไหล่หรือเปิดหลัง อาจทำให้สาว ๆ ขาดความมั่นใจ วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีดูแลผิวใต้วงแขนให้ขาว เรียบเนียน เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง

วิธีแรก นำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย แล้วทาบริเวณรักแร้ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วิธีที่สอง หั่นมะนาวครึ่งซีก แล้วนำมาถูรักแร้เบา ๆ เสร็จแล้วอาจนำมาถูกที่ข้อศอก เข่า และตาตุ่ม เพื่อลดความหยาบกร้านของผิวก็ได้

วิธีที่สาม นำครีมบำรุงผิวที่ทาทุกวันมาทาที่รักแร้ ก่อนอาบน้ำประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เพียงเท่านี้ วงแขนก็จะขาว พร้อมโชว์แล้ว

ที่มา dailynews

วิธีสร้างบุคลิกภาพให้ดูดี

วิธีสร้างบุคลิกภาพให้ดูดี บุคลิกภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นปราการด่านแรกที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่คาดหวังไว้ วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีการสร้างบุคลิกภาพให้ดูดีมาแนะนำ

เริ่มจาก การมอง เพราะสายตาสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ เช่น ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเคารพ หรือความเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น เวลามองผู้อื่นควรใช้สายตาที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย การเดิน ต้องใส่ความมั่นใจและสง่างาม คือเดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้ายาวพอประมาณและสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่

ถัดมาคือ การแต่งกาย ที่บ่งบอกถึงการเอาใจใส่ตัวเอง เพราะการแต่งกายจะทำให้ดูดีหรือดูแย่ได้ ดังนั้นควรเลือกเครื่องแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ สะอาดเรียบร้อย

มาถึงหัวใจสำคัญ คือ การพูด การพูดต้องมีศิลปะ พูดเพื่อให้ชนะใจผู้ฟัง โดยคำพูดต้องสุภาพ มีเหตุผล น้ำเสียงไพเราะชวนฟัง และการใช้คำพูดควรเหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง

สุดท้ายที่ สุขภาพ คือ สุขภาพดี ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง เพราะคนป่วยออด ๆ แอด ๆ จะดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว บางโรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยวหม่นหมอง จนขาดสง่าราศรี ฉะนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญ

ที่มา dailynews

วิธีง่าย ๆ สังเกตุผู้ชายอารมณ์เสีย

วิธีง่าย ๆ สังเกตุผู้ชายอารมณ์เสีย คู่รักคู่ไหน ที่มีเรื่องไม่สบอารมณ์กันบ่อย ๆ เพราะไม่รู้อีกฝ่ายคิดอย่างไร โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่เดาใจยากสุด ๆ วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีสังเกตุสภาวะอารมณ์บ่จอยมาฝาก

1. ผู้ชายจะเริ่มเรียกร้องความสนใจ อยากให้เอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ซึ่งคุณผู้หญิงไม่ควรถามว่าหงุดหงิดเรื่องอะไร เพราะถ้าเขาอยากเล่าเขาจะเล่าเอง

2. ถ้าอารมณ์เสียเพราะทะเลาะกัน ให้คุณผู้หญิงพยายามทำตัวนิ่ง ๆ แล้วพูดจาเฉไฉไปเรื่องอื่น เพื่อลดความรุนแรงของอารมณ์ไม่ดีที่อาจเกิดขึ้น

3. แสดงความเป็นห่วงเป็นใยและเข้าใจเขาทุกเรื่อง ด้วยการพูดจาให้กำลังใจ ส่งยิ้มหวาน หรืออยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา เพราะพฤติกรรมอ่อนหวานของผู้หญิงจะช่วยซ่อมอารมณ์เสียของคุณผู้ชายให้ดีขึ้นได้

4. หากิจกรรมสนุก ๆ ทำ ดึงให้เขามีส่วนร่วม เดี่ยวอารมณ์ขุ่นหมองใจก็จะหายไปเอง

5. ตามใจเขาทุกเรื่องสักหนึ่งวัน แต่ต้องไม่โอเว่อร์มากนัก ให้เขาได้สบายใจว่าอย่างน้อยก็มีคนใกล้ตัวที่ได้ดั่งใจ
ที่มา dailynews

เทคนิคการรีดผ้าให้เรียบ

เทคนิคการรีดผ้าให้เรียบ การรีดผ้านั้นไม่ยาก แต่รีดอย่างไรให้ดูเนี้ยบ เรียบนาน วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีคำตอบ

การรีดผ้า ควรรีดผ้าที่มีความชื้น เพราะความชื้นจะทำให้เส้นใยอ่อนตัว เมื่อถูกความร้อนจึงทำให้ผ้าเรียบ ดังนั้น เสื้อผ้าชิ้นไหนที่ต้องการรีด ควรนำมาพรมน้ำแและม้วนไว้ตั้งไว้ เพื่อจะได้สะดวกในการหยิบมารีด

ก่อนการรีดผ้า ควรปรับอุณหภูมิเตารีดให้เหมาะสมกับชนิดของผ้า เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าลินิน ควรใช้ความร้อนปานกลาง แต่หากเป็นผ้าใยสังเคราะห์ควรรีดด้วยความร้อนต่ำ เป็นต้น

ในการรีดผ้าสี ควรรีดด้านใน เพื่อป้องกันผ้าสีซีดหรือเก่าเร็ว ผ้าชนิดใดที่รีดด้านในแล้วผ้าเรียบถึงด้านนอก ก็ควรรีดด้านใน เพราะจะทำให้สีผ้าไม่ซีดเร็ว ผ้าบางชนิดเมื่อรีดด้านนอกบ่อย ๆ ความร้อนจากเตารีดจะทำให้เกิดความมันเป็นแนวตามรอยตะเข็บ ดูไม่สวยงาม

ส่วนการรีดผ้าขนสัตว์ ผ้าสักราด หรือเสื้อที่ทำด้วยไหมพรม ควรใช้ผ้าขาวปิดทับ เช่น ผ้ามัสลิน ผ้าสาลู ถ้าใช้เตารีดแบบธรรมดา ให้นำผ้าขาวไปชุบน้ำบิดหมาดแล้วนำมาปิดทับด้านบน จากนั้นใช้เตารีดที่มีความร้อน รีดโดยกดทับ ถ้ารีดด้วยวิธีไถไปมาจะทำให้ผ้าเสียรูปทรง แต่ถ้าเป็นเตารีดไอน้ำให้ใช้ผ้าขาวปิดทับโดยไม่ต้องชุปน้ำ และเมื่อทำการรีดให้พ่นไอน้ำผ่านจะทำให้ผ้าเรียบ

สำหรับการรีดผ้าที่ถูกวิธีให้รีดตามลำดับ ดังนี้ ‘เสื้อ’ ควรรีดปก ตะเข็บ ตัวเสื้อด้านหน้า ตัวเสื้อด้านหลัง และแขนเสื้อ ตามลำดับ, ‘กางเกง’ ควรรีดขอบเอว กระเป๋าขา และตัวกางเกงด้านหน้าและด้านหลัง, ‘กระโปรง’ ควรรีดซับใน ขอบตะเข็บ และตัวกระโปรงด้านหน้าและด้านหลัง

ที่มา เดลินิวส์

เหรียญปราบฮ่ออีกครั้ง

เหรียญปราบฮ่ออีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ก่อนโน้น ได้ลงเรื่องเกี่ยวกับเหรียญปราบฮ่อบกพร่อง

ปรากฏว่ามีความผิดพลาดบางประการ ด้านหลังเหรียญซึ่งเป็นรูปช้างออกศึกไม่ชัดเจน พิมพ์รูปไม่เต็มเหรียญ

บรรดาแฟน “เดลินิวส์” จึงสอบถามมาเป็นจำนวนมาก ต้องขออภัยในความผิดพลาดครั้งนั้นด้วย

ต้องขอเล่าเรื่องย้อนหลังอีกว่าเหรียญปราบฮ่อนี้ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้จัดสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกและยังมีแพรแถบสำหรับใช้เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อีกด้วย

ทรงโปรดเกล้าฯ ให้วัดสร้างขึ้น หลังจากที่การปราบปรามกบฏฮ่อที่ชายแดนด้านแม่น้ำโขงได้สิ้นสุดลง

เหรียญดังกล่าวนี้ ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานแก่ทหารที่เข้าร่วมรบในสมรภูมิในการปราบปรามกบฏฮ่อ เมื่อ จ.ศ. 1239 จ.ศ. 1247 และ จ.ศ. 1249
การจัดสร้างเหรียญนี้ เท่าที่ทราบมานั้น สร้างเฉพาะ “เหรียญเงิน” เท่านั้น

ส่วนเหรียญทองคำและเหรียญทองแดงนั้นก็ได้มีการพบเห็นกันบ้าง แต่ในวงการนักสะสมเหรียญไม่ยอมรับ

เนื่องจากเหรียญนี้หายากมาก จึงมีราคาแพงมาก ระดับเงินล้านบาท

จึงมีการปลอมแปลงเหรียญปราบฮ่อกันอย่างกว้างขวาง

การปลอมแปลงทำได้แนบเนียน ฝีมือเฉียบขาดมาก ขนาดเซียนหรือผู้ชำนาญโดนต้มมาแล้วไม่น้อย

วิธีการปลอมใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย การแกะแม่พิมพ์ใช้ไฟฟ้าช็อต แต่ก็มีหลายจุดช็อตไม่สำเร็จ ต้องจดจำจุดตำหนิเหล่านี้ให้ดี ซึ่งจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ลักษณะเป็นเหรียญกลมขนาดใหญ่ มีหูเชื่อมแบบขวางเพื่อไว้ติดแพรแถบ

ด้านหน้าเหรียญเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ครึ่งองค์ ผินพักตร์ไปทางซ้าย ด้านบนมีพระปรมา ภิไธยจุฬาลงกรณ์บรมราชา ธิราช ด้านล่างประดับลายช่อดอกไม้

ด้านหลังเป็นภาพช้างศึก ด้านบนมีข้อความว่า ปราบฮ่อ ๑๒๓๙ ๑๒๔๗ และ ๑๒๔๙

ตำหนิเหรียญจริงด้านหน้าคำว่าจุฬานั้น ตัวขมวด “ฬ” จะไม่ติดกัน

ตรงพระศอ (ลำคอ) มีเส้นซ้อนกันหลายเส้น มีขนแมวเล็ก ๆ หลายเส้น

ตรงโบมีจุดแตกเล็ก ๆ ทั่วไป ใบไม้ทุกใบแกะพลิ้วเส้นเป็นสันคล้ายมีชีวิตชีวา

ด้านหลัง หูเชื่อมเป็นแบบขวาง

ใต้เท้าช้างหลังสุด มีเส้นขีด 1 เส้น

ตะขอคนท้ายช้าง ปลายตะขอมีติ่งเล็ก ๆ ยื่นออกมา

ก่อนจะซื้อขายต้องระวังให้ดี ของปลอมมีเยอะแยะ

พบกันวันอาทิตย์หน้า.
สมเจตน์ วัฒนาธร
ที่มา dailynews

วิธีแก้ปัญหา ‘ผ้า’ เหม็นอับ

วิธีแก้ปัญหา ‘ผ้า’ เหม็นอับ การซักเสื้อผ้าในวันฝนตก คุณพ่อบ้านแม่บ้าน อาจกังวลใจเรื่องของกลิ่นอับชื้นบนเสื้อผ้าที่ตามมา วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ อาสาคลายความกังวลด้วยการนำวิธีซักผ้าที่ลดการเหม็นอับอย่างได้ผล มาฝาก

สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ผงฟู หรือ เบคกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต นำมาใช้ซักเสื้อผ้าแทนผงซักฟอก โดยปริมาณการใช้ 3-4 ช้อนโต๊ะ ต่อการซักหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณเสื้อผ้าด้วย หากมีเสื้อผ้าจำนวนมากก็ให้เพิ่มปริมาณผงฟูตามความเหมาะสม หากเสื้อผ้ามีคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนมาก ๆ ให้ใช้ผงซักฟอกธรรมดาควบคู่ไปด้วย

สำหรับการเลือกผงฟูมาซักผ้านั้น ขอย้ำให้เลือกที่เป็นผงฟูแท้ โดยดูจากหน้าซองที่เขียนว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต เนื่องจากปัจจุบันผงฟูบางยี่ห้อมีส่วนผสมของสารประกอบอื่นด้วย

ที่มา dailynews

ประโยชน์ของ"พริก" ช่างอุดมไปด้วยประโยชน์

คนไทยกับรสแซบนะคู่กันคู่กัน โดยเฉพาะรสเผ้ดของพริกถ้าไม่จัดจ้านถึงใจไม่มีที่จะอร่อยเด็ด(ยกเว้นคนไม่กินเผ็ด) แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง!!! และในโอกาสที่เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ที่นำพริกชี้ฟ้ามาเป็นส่วนสำคัญ พร้อมยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพริก

นาวาอากาศโทแพทย์หญิง อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานานแล้ว ซึ่งพริกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารไทยให้จัดจ้าน และทำให้เจริญอาหาร นอกจากนี้ในพริกยังมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกยังช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จะสังเกตได้ว่าเมื่อทานเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

"ปัจจุบันพริกไม่เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น แต่ในด้านการแพทย์ผิวหนังและด้านความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาในรูปแบบของครีม เจลเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยขยายเส้นเลือดบริเวณนั้น เมื่อใช้ร่วมกับตัวยาสลายไขมันอื่นๆ ด้วย

นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีนยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ในช่วงที่ผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้ทานอาหารรสเผ็ดร้อน อาทิ พริก พริกไทย จะช่วยบรรเทาอาการหวัด ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้คึกคัก สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ธาตุไฟแกร่งควรทานพริกแต่น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้

ที่มา komchadluek

เปิดใจ "นพดล ธรรมวัฒนะ" วันที่พายุผ่านพ้น?? ตระกูลนี้ "ต้องคำสาป" จริงหรือ (ตอนที่ 2)

“ชีวิตผมเปลี่ยนไป เพราะหมอพรทิพย์” เจ้าของบ้านธรรมวัฒนะ นพดล ธรรมวัฒนะ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน หลักฐานการผ่าศพจาก แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้กลายเป็นพยานชิ้นเด็ดที่ฝ่ายอัยการนำไปฟ้อง นพดล ให้ต้องตกเป็นฆาตกรสังหารพี่ชายตัวเอง

และนั่นทำให้นพดลยื่นฟ้องหมอพรทิพย์ต่อแพทยสภากรณีจรรยาบรรณแพทย์ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว โดย “เรื่องยังไม่ไปไหนเลย” และพ่วงด้วยฟ้องคดีอาญา กล่าวหาหมอพรทิพย์ สร้างพยานหลักฐานเท็จ อีกคดีด้วย

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เมื่อ 2 กันยายน 2553 ตอนหนึ่ง มีว่า
“ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดรอบคอบแล้ว เห็นว่า ในทางนำสืบเกี่ยวกับการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายทั้ง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกดำเนินการโดยสถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดเหตุเวลา 10.00 น. พบบาดแผลภายนอกที่ผิวหนังศีรษะ บาดแผลฟกช้ำต้นขาซ้าย ภายในพบบาดแผลมีรอยทะลุจากด้านขวาของสมองน้อย โดยสาเหตุการเสียชีวิต กระสุนปืนทำลายสมอง เชื่อว่า น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย

ส่วนการผ่าพิสูจน์ศพ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2546 โดยคณะของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และคณะแพทย์ รพ.รามาธิบดี พบบาดแผลภายนอกและภายใน โดยภายในพบกะโหลกขาด สมองแตกรุนแรง มีร่องรอยของกระสุนลูกปราย 20 เม็ดใต้ฐานสมอง และมีเศษกระสุนเล็กน้อยที่ต้นคอ ในหลอดลมพบเลือดที่เชื่อว่า ผู้ตายน่าจะมีการสำลักเลือดก่อนเสียชีวิต และแนวทางการยิงไม่น่าจะยิงในแนวระดับ เชื่อว่า ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย แต่เป็นการจัดฉากฆาตกรรม

สำหรับการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2549 โดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากชมรมนิติเวชแห่งประเทศไทยตามที่นายนพดล ธรรมวัฒนะ ได้ให้ความเห็นว่า เป็นการยิงระยะประชิด พบการสำลักเลือดในปอด แต่ไม่พบสารหนูหรือสารกล่อมประสาทตกค้าง เชื่อว่า ขณะที่เสียชีวิตผู้ตายไม่ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่การตายโดยผู้อื่น แต่ร่องรอยของบาดแผลเข้ากับการกระทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่กระทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่การกระทำของผู้อื่น

ส่วนการพิสูจน์ผิวหนังใต้ศีรษะ ไม่พบรอยฟกช้ำ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีอาญา โจทก์มีภาระที่จะต้องนำพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลย แต่ผลการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายทั้ง 3 ครั้ง กลับมีความเห็นตรงกันข้าม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ยังไม่สามารถที่จะทำให้เชื่อว่า จำเลยกระทำผิด

ส่วนในชั้นนำสืบโจทก์อ้างถึงปริมาณคราบเขม่าดินปืนที่หลังมือผู้ตายมีจำนวนน้อย ทั้งที่ขณะเสียชีวิต ผู้ตายกำปืนอยู่ ซึ่งในชั้นนำสืบก็มีอดีต ผบก.กองพิสูจน์หลักฐาน พยานจำเลย เบิกความกรณีดังกล่าวแล้ว แต่ไม่มีข้อพิรุธ ส่วนการขัดแย้งเกี่ยวกับการฟ้องร้องแบ่งทรัพย์มรดกในครอบครัว หรือการที่ผู้ตายกำลังจะแต่งงานใหม่ ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิด

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน”

แม้ผ่านมานานเป็นทศวรรษ แต่นพดลไม่เคยลืม มีคนพาไปหาสำนักงานทนายความหลายแห่งเพื่อแก้คดี “ผมเดินคอตกกลับมาทุกที ทุกคนเรียกผม ต่ำสุด 20 ล้าน 40-50 ล้าน”

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ในเมื่อจะหาความยุติธรรมให้ตัวเอง ก็ไปเรียนมันเสียเลย.....รู้แล้วรู้รอด
“ผมจบนิติศาสตร์ มีใบอนุญาตทนายความว่าความด้วยตัวเองได้ ที่เรียนเพราะคดีนี้แหละ เป็นทนายหลักให้ตัวเองก็ว่าได้ ผมพูดแต่แรก ให้เขาสืบพยานโจทก์เสร็จ ผมจะลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ แถลงศาลเลยว่า ท่านครับ ผมไม่ติดใจสืบพยาน ให้ศาลตัดสินเลย ผมเชื่อ ชนะคดี เพราะพยานหลักฐานมันไม่มีอะไรเลย...

ผมกล้าพูดได้เลย ผมไม่เคยขอเลื่อนศาล ตรงข้ามกับฝ่ายโจทก์ หาเหตุเลื่อนศาลเรื่อย อ้างตามพยานไม่ได้ พยานมี 3 กลุ่ม กลุ่มคนใกล้ชิด ญาติพี่น้อง กลุ่มคนรับใช้ในบ้าน กลุ่มทางนิติวิทย์ พยานตำรวจ คนรับใช้ที่บ้านหลายคนย้ายภูมิลำเนากลับบ้าน เขาก็ยื่นเป็นพยานร้อยห้าหกสิบปาก เขาบอกตามพยานไม่ได้ ขอเลื่อน ผมบอกไม่เป็นไร ผมตามให้ ออกเงินค่ารถให้ ตลกมั้ย แม้แต่ ดร.เอเดรียน ก็ไม่ยอมมาศาล 1 ปี 3 เดือน ไม่มีอะไรคืบเลย.....

ดร.เอเดรียน เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพืช ไปผ่านการฝึกอบรมนิติวิทยาศาสตร์ประมาณ 3 อาทิตย์ เหมือนเข้าสัมมนา ผมไปค้นหมดว่าผู้สมัครเรียนนิติวิทย์จะต้องดูอะไรบ้าง ผมยื่นให้ศาลหมด เป็นผู้เชี่ยวชาญได้ยังไง เสร็จแล้วก็ไม่มาเบิกความ เค้าอ้างผู้เชี่ยวชาญไปทั่วหมด เดนมาร์กบ้าง อะไรบ้าง แต่ถามว่า ชื่ออะไรก็ไม่รู้

ผมจะให้ดูว่าเขากล่าวหาผมยังไง เขานึกไม่ถึงว่า ผมจะเอา ดร.เฮนรี่ ลี เขาอ้าง ดร.เฮนรี่ ลี มาก่อนว่าห้างทองถูกฆาตกรรม ปรากฏว่า 25 พ.ย.2546 ผมสามารถติดต่อ ดร.เฮนรี่ ลี ได้ และดอกเตอร์ได้ส่งความเห็นมา ปรากฏว่า สื่อมวลชนไปสัมภาษณ์หมอพรทิพย์ เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ หมอพรทิพย์บอก เป็นสิทธิของนายนพดลที่จะไปเอาผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นว่า ตัวเองไม่ได้ฆ่าพี่ชาย ผมอยากถามราชบัณฑิตหรือคนไทยทั้งประเทศว่า พูดอย่างนั้นหมายความว่าไง แปลว่าผมฆ่าใช่ไหม”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ไม่ขัดจังหวะการสนทนา เจ้าของบ้านแค่หยิบมันจากกระเป๋าส่งให้เลขาฯ รับสายแทน “ศพมันโกหกไม่ได้” ก่อนอธิบายถึงการทำงานอย่างหนักหน่วง เพื่อสู้กับหมอคนดัง

“เชื่อไหม คดีของพี่ห้างทองคดีเดียว ผมอัดข่าวหมอพรทิพย์และเก็บข้อมูลเฉพาะทางทีวีอย่างเดียว 200 กว่าชั่วโมง เช้าขึ้นตั้งแต่ตี 5 เธอให้สัมภาษณ์ ตั้งแต่รายการวิทยุ แล้วก็วิ่งรอกไปช่อง 3-5-7-9 งงเลยว่า มีวิธีการที่จะ ประชาสัมพันธ์ได้ดุเดือดมากเลย ผมอัดหมด

แล้วต้องดูคลิปข่าว มาตั้งเรียงกันมันสูงกว่าตัวผมอีก ลองนึกดู เอาหนังสือพิมพ์ที่เป็นข่าวมากองดู มันคิดไม่ออกเลย ถ้าเป็นงบทำพีอาร์ให้บริษัท ขายกันนาทีเท่าไหร่ นาทีละหลายแสน ถ้าผมต้องไปจ้างโฆษณา เอานาทีคูณ 200 ชั่วโมง แค่นาทีละแสน ใช้เงินเป็นหมื่นล้าน ยังทำไม่ได้เลย

ผมขึ้นศาลเกือบทุกวัน จันทร์ ถึงพฤหัสบดี เว้น ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ชีวิตแทบไม่ได้ทำอย่างอื่น ...มีการปลุกเร้าสังคม เกิดการพิพากษาไปอย่างรุนแรง คดีผม ติดคุกยังไม่ได้เลย ต้องประหารสถานเดียว ลดโทษก็ไม่ได้ เพราะฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คนที่ถูกฆ่า ก็พี่ชายเราอีกต่างหาก มันเป็นโทษที่แบบว่าไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ปรัชญากฎหมายทั่วโลก เขาถึงบอก ปล่อยคนชั่วร้อยคน ดีกว่าประหารชีวิตคนดีคนเดียว...”

คำพูดพรั่งพรูเหมือนทำนบแตก.....เทปอัดเสียง ทำหน้าที่ของมันแทบไม่ทัน

“ชีวิตผม เสียเวลาไป 11 ปี....11 ปี เต็ม-เต็ม” เขาเน้นเสียงเข้มข้น ผิดกับการแต่งตัว...ที่ติดดินมากวันนี้
ก่อนจะถึงคำถามที่เราอยากถามมาก ๆ แล้วเขาเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” หรือไม่ ???.

เปิดโลงมาผงะเลย
“ประมาณปลายปี 48 จู่ ๆ ก็มีข่าว จะมีการพระราชทานเพลิงศพพี่ห้างทอง หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลง เงียบมาก เราเป็นน้องยังไม่รู้เลย บ้านนี้ก็ไม่รู้จะมีการเผาพ่อเขา ให้คนที่บ้านไปดูที่วัดพระศรีฯ ปรากฏมีการจองศาลาไว้ จองเมรุเผาระบุวันชัดเจนเรียบร้อย ปริญญากับนฤมลไปขอ บอกอะไรต่าง ๆ จบแล้ว ผมไปคุยกับ ท่านแก้วขวัญ พอท่านรู้ความจริง ก็เปลี่ยนกำหนดการ พอผมกลับออกมา น้อง 2 คนก็วิ่งไปหาท่านใหม่ ก็เปลี่ยนกำหนดการอีก

...ผมต้องไปหาศาล ว่าจะมีการทำลายหลักฐาน ที่สุดศาลท่านนัดพร้อม วันที่ 5 เขาจะเผาวันที่ 6 กันยายน ศาลก็มีคำสั่งให้อายัดศพ แต่ยังไม่ได้ให้ผ่าครั้งที่ 3 ผ่านไป 2-3 อาทิตย์ น้องผมไปร้องศาลให้ถอนอายัดอีก.... ที่สุดศาลมีคำสั่งให้ผ่าศพเป็นครั้งที่ 3

ตอนถูกผ่าครั้งที่ 2 เปิดโลงมา ผงะเลย ใส่เสื้อเชิ้ตเหมือนจิ๊กโก๋ ติดกระดุมเบี้ยวเงี้ยะ แค่ 2 เม็ด ตับไตไส้พุง ไปกองอยู่ที่เท้า พาหมาไปหาหมอยังดีกว่านี้เลย ....วิญญาณพี่ห้าง ดลใจ ทีมแพทย์ชุด 3 เอาตับไตไส้พุงเย็บเก็บเข้าไปเรียบร้อยใหม่”

อีกไม่นาน ร่างไร้วิญญาณของ ห้างทอง ธรรมวัฒนะ คงจะได้รับการเผาตามประเพณีทางศาสนาเสียที...และคงจะได้ไปสู่สุคติ....ชั่วนิรันดร์.

ชุติมา บรูณรัชดา/เชาวลีชุมขำ : เรื่อง สุรเชษฏ์ : ภาพ
ที่มา dailynews