การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ถึงแม้จะมีข้อมูลมากมาย แต่หลายคนก็ยังเกิดคำถามและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ดังคำถามที่มักได้ยินดังต่อไปนี้
หากจะค้นคว้าข้อมูลเรื่องการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ รับรองว่าทั้งอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ นิตยสาร บทความหรือแม้แต่โฆษณา ก็ล้วนแต่นำเสนอข้อมูลหลากหลาย บ้างก็มีแหล่งอ้างอิง บ้างก็ไม่มี ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังปักใจเชื่อ ทำให้เกิดคำถามและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ดังคำถามที่มักได้ยินดังต่อไปนี้ Myth : การรับประทานไขมันก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
Fact : ไม่จริง แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคหลอดเลือดตีบตัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องงดโดยสิ้นเชิง เพียงแต่รับประทานให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้งนี้ร่างกายต้องการกรดไขมันจำเป็นในการดูดซึมวิตามินที่ได้จากผักและผลไม้ต่างๆ อีกทั้งเป็นไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ไขมันมีประโยชน์ต่อการผลิตฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์ ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ ฯลฯ ดังนั้นการรับประทานไขมันจึงไม่ได้เป็นผลเสียต่อร่างกายเสียทั้งหมด ยกเว้นพวกที่เป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด

Myth : การรับประทานมังสวิรัตอย่างเคร่งครัดดีต่อสุขภาพ
Fact : หัวข้อนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แต่การรับประทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งงดรับประทานอาหารใดๆ ที่ได้มาจากสัตว์ (รวมถึงไข่และนมต่างๆ) จนอาจทำให้เกิดการขาดสารอาหารบางประเภทได้ เช่น กรดอะมิโนจำเป็นที่มีในสัตว์และนมเท่านั้น และวิตามินบี 12 ที่มีมากในเนื้อและเครื่องในสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจเกิดภาวะโลหิตจางได้ และที่สำคัญคนรับประทานมังสวิรัติจำเป็นต้องเน้นรับประทานผักและผลไม้ที่มีแคลเซียม เช่น คะน้า บร็อคโคลี ผักโขม เต้าหู้ ธาตุเหล็ก เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่วแดง และสังกะสี เช่น โฮลวีท เมล็ดธัญพืช เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์มักได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้น้อยกว่าคนปกติ ซึ่งล้วนจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย

Myth : การจำกัดปริมาณอาหารเพียงอย่างเดียวก็ทำให้น้ำหนักลดลงได้
Fact : ไม่จริง แม้ว่าช่วงแรกของการจำกัดอาหารจะรู้สึกว่าน้ำหนักลดลง แต่ไม่ใช่วิธีควบคุมน้ำหนักในระยะยาว นอกจากนี้การอดอาหารอย่างเคร่งครัดอาจนำไปสู่โรคแอนโนร็อกเซีย ซึ่งปฏิเสธอาหารเพราะเกรงว่าจะทำให้อ้วนจนร่างกายขาดสารอาหาร ผอมแห้งและอาจเสียชีวิตในที่สุด การลดน้ำหนักให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพคือ การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานพอเหมาะแก่ร่างกายควบคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่ ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้รูปร่างสมส่วนแล้ว ยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอนโดรฟีนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

Myth : ยาลดความอ้วนช่วยเร่งระบบเมตาบอลิซม ทำให้ลดน้ำหนักได้
Fact : ไม่จริงแน่นอน ไม่มียาชนิดใดในโลกที่รับประทานแล้วช่วยให้ผอมได้จริง ส่วนใหญ่ยาลดความอ้วนจะทำหน้าที่กดประสาทไม่ให้เกิดความอยากอาหาร ซึ่งยาลดความอ้วนบางชนิดมีส่วนผสมของฟีเนลโพรพาโนลามีน ก่อให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์หงุดหงิด แปรปรวน ความดันโลหิตสูงและส่งผลเสียต่อไต คณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าคนที่รับประทานยาลดความอ้วนจะกลับมาอ้วนใหม่อีกในที่สุด หรือที่เรียกว่า Yoyo effect วิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักคือ การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
http://lifestyle.th.msn.com/health/eatingwell/article.aspx?cp-documentid=3546778

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี
วันนี้เราขอแนะเคล็ดลับวิธีเพิ่มน้ำหนัก สำหรับคนที่มีน้ำหนักน้อยให้อวบอิ่มสุขภาพดีมาฝาก

เริ่มจาก การแบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น แทนที่จะกินอาหาร 3 มื้อหลัก ให้แบ่งเป็น 5 -6 มื้อต่อวัน

เลือกกินคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต หรือคาร์โบไฮเดรตจากผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโพด เผือก และมันอบ

เน้นรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา โดยเฉพาะปลานึ่ง

ดื่มน้ำผลไม้ เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจนเกินไป วิธีนี้ช่วยเพิ่มแคลอรี่อีกทางหนึ่ง

ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เพราะจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ
เพียงเท่านี้น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นแบบไม่เสียสุขภาพแน่นอน.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ที่มาข้อมูล :หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เมนูอาหารคู่บ้านสำหรับสาวอินเทรนด์

อาหารคู่บ้านสำหรับสาวอินเทรนด์
ลองนึกย้อนไปสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสักกี่วันที่คุณกินผักได้วันละ 5 ทัพพี และผลไม้ได้วันละ 3 ส่วนบ้าง?
กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร
สาวๆ สมัยใหม่ ไม่ได้มีเวลานั่งอยู่บ้านเย็บปักถักร้อยหรือทำกับข้าวกันทั้งวัน เธอต่างมีชีวิตเร่งรีบ ทั้งทำงาน ดูแลบ้าน และยังต้องดูแลครอบครัวในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการเลือกอาหารการกินมักเป็นสิ่ง ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยการซื้ออาหารนอกบ้านเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่การเลือกอาหาร ง่ายๆ ที่ว่านี้ ผู้หญิงสมัยใหม่อาจขาดสารอาหารที่สำคัญ ซึ่งอาจนำพาไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้นะคะ สารอาหารที่สำคัญก็ได้มาจากผักและผลไม้นั่นเอง!

ผลไม้นี่อาจจะไม่มีปัญหา เพราะบ้านเรามีผลไม้เยอะ น้ำผลไม้และสมู้ตตี้ก็มีเยอะด้วยเช่นกัน แต่ผักนี่สิ กินกันน้อยนิด นอกจากแตงกวา 4 ชิ้นที่วางมาบนจานข้าว หรือถั่วงอกนิดหน่อยที่ใส่มากับก๋วยเตี๋ยว ลองมานับปริมาณผักและผลไม้ในเมนูของผู้หญิง 3 คนนี้ดูค่ะ

1. เช้า : กาแฟ ขนมปังปิ้งทาแยม
กลางวัน : ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส่ถั่วงอก ผัก 1 ทัพพี
มอคค่าปั่น
บ่าย : ฝรั่ง 10 บาท คุ้กกี้ 3 ชิ้น ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ข้าวไข่เจียวหมูสับ
แตงโมปั่น ผลไม้ 0.5 ส่วน
รวม : ผัก 1 ทัพพี ผลไม้ 1.5 ส่วน



2. เช้า : ข้าวแกงจืด หมูทอด ผัก 1 ทัพพี
กลางวัน : ข้าวไก่กะเพรา แตงกวา 4 ชิ้น ผัก 0.5 ทัพพี
มะม่วงดิบ 1 ลูก ผลไม้ 1 ส่วน
บ่าย : ขนมปังไส้ทูน่า กาแฟ
เย็น : มาม่า น้ำชาเขียว
รวม : ผัก 1.5 ทัพพี ผลไม้ 1 ส่วน



3. เช้า : ข้าวเหนียว หมูปิ้ง
น้ำเต้าหู้ใส่เครื่อง
กลางวัน : ข้าวผัดผักใส่หมู โค้ก ผัก 1 ทัพพี
แคนตาลูป ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ยำผลไม้ ผลไม้ 1.5 ส่วน
นมจืด
รวม : ผัก 1 ทัพพี ผลไม้ 2.5 ส่วน


ผู้หญิงทั้ง 3 คน เป็นผู้หญิงวัยทำงาน คนหนึ่งมีครอบครัวแล้ว ทุกคนกินผักและผลไม้ได้ แต่ดูสิคะ ไม่มีใครกินได้ถึงข้อแนะนำเลยสักคน! บ้านเรามีการรณรงค์ให้เด็กกินผักกันมากขึ้น แต่สงสัยต้องคอยดูแลผู้ใหญ่กันด้วยแล้ว ข้ออ้างที่มักได้ยินบ่อยๆ ก็มีตั้งแต่ผักผลไม้นั้นแพง ไปจนถึงร้านค้าไม่ค่อยมีจานผักให้เลือกมากนัก

ทำไมถึงต้องเน้นผักผลไม้ด้วย?

ทุกคนทราบดีว่าผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ มากด้วยสารอาหารและสารพฤกษเคมี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในร่างกายคนเรา ซึ่งจะไปทำลายเซลล์และโปรตีนในเซลล์ นำไปสู่ริ้วรอยบนผิวหนัง โรคหัวใจ โรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ที่สารอนุมูลอิสระเป็นต้นเหตุ ผักและผลไม้ยังมากด้วยเส้นใยอาหารที่เป็นตัวดีท็อกซ์ตามธรรมชาติ และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี ผักบางชนิดมีแคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับคนทุกวัยโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะมีกระดูกบางกว่าผู้ชาย ดูจากตัวอย่างการกินอาหาร ท่านที่ 1 และ 2 ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน


ผักและผลไม้ที่ให้สารอาหารสูงนั้น ควรเลือกชนิดที่มีสีเข้มและเลือกให้หลากสี เพราะสารพฤกษเคมีส่วนมากจะอยู่ที่สีในพืช ตัวอย่างเช่น

สีแดง สีม่วง เช่น ในผลไม้เบอร์รี่ต่างๆ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ องุ่นแดง กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง มีสาร anthocyanins ที่ช่วยดูดซึมและดับพิษสารอนุมูลอิสระที่ไปทำลายเซลล์ พบว่ามีส่วนช่วยระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของสมอง

สีส้ม สีเหลือง ในฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ แครอท มันเทศ มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ผักผลไม้ในกลุ่มนี้มีขายกันตลอดปีในบ้านเรา ไม่มีขาดแน่ๆ

สีเขียวเข้ม ในผักคะน้า ผักโขม ผักหวาน บรอคโคลี แขนงผัก มีสารลูทีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นผัดผักหรือแกงจืด ผักเหล่านี้สามารถนำมาเลือกประกอบอาหารต่างๆ ได้

สีแดง ในมะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคพีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งและโรคหัวใจ


นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ เพราะสารพฤกษเคมีที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบนั้นมีมากเป็นร้อยชนิด ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น ถ้าเราได้กินเข้าไปในรูปของอาหารธรรมชาติ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะกินอาหารเสริม แต่ประโยชน์ที่ได้รับก็ไม่เท่ากับที่ได้จากการกินผักผลไม้

ย้อนกลับมาในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักตัวกันสักหน่อย ผู้หญิงหลายท่านอาจมีความเห็นที่ตรงกัน คือ การควบคุมน้ำหนักตัวนั้นยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ก็ไม่ได้มากนักหรอกค่ะ แต่ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปก็เริ่มรู้สึกกันแล้ว หรือผู้ที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุ 30-40 ปี ก็อาจมีปัญหาลดน้ำหนักหลังคลอดไม่ค่อยได้ ซึ่งการควบคุมน้ำหนักที่พูดถึง ณ ที่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องความสวยความงามแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของสุขภาพล้วนๆ นั่นคือ การควบคุมน้ำหนักจะช่วยป้องกันเบาหวานประเภทที่ 2 โรคหัวใจและสมองขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งบางชนิด การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ไม่ผอมเกินไป ยังช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน และยังทำให้มีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยลดความเครียดให้กับตนเอง

วิธีการควบคุมน้ำหนักนั้นก็ไม่ได้มีวิธีวิเศษอะไรและเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีด้วย นั่นคือ เลือกอาหารการกินให้เหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ถ้าคุณจะยอมเปลี่ยนนิสัยเพียงแค่ 1 อย่าง ก็ขอให้เป็นการกินผักให้ได้เป็น 2 เท่าของที่กินอยู่ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอาหารอย่างอื่นที่กินเลย เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงมาได้ ผักเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำ ถ้าเอาไปทดแทนอาหารที่ให้พลังงานสูง พลังงานทั้งหมดที่ได้รับก็จะลดลง ไม่ยากเลยค่ะ แถมยังช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นจากสารอาหารที่มากด้วยคุณค่าที่ผักมี

ผักผลไม้ที่ควรเลี่ยง : เครื่องดื่มรสผลไม้ ผักชุบแป้งทอด ผักชุบไข่ทอด กล้วยทอด เผือกทอด มันทอด กล้วยกวน กล้วยแผ่น มันฝรั่งทอด



ควรทำให้เป็นนิสัย :

สั่งผักเพิ่ม เช่น ในก๋วยเตี๋ยว หรือผัดผักแขนงกินกับข้าวต้ม
แต่ละมื้อให้กินผัก 2 ทัพพี ถ้าจะสั่งอาหารจานเดียว เช่น ข้าวหมูแดง ที่ไม่มีผัก แสดงว่าคุณอาจต้องสั่งผักคะน้าลวกมาเพิ่ม หรือจะเป็นเกาเหลา หรือแกงจืดก็ได้
รับประทานผลไม้เป็นของว่าง หรือของหวานตบท้ายมื้ออาหาร
เวลาทำอาหารให้ใส่ผักเข้าไปเยอะๆ เช่น ใส่เห็ดในต้มยำ ขูดแครอทเข้าไปในซอสสปาเก็ตตี้
เปลี่ยนมาเป็นรับประทานผักเป็นของว่างบ้าง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่จิ้มบ๊วย แตงกวาสด แครอทสด หั่นจิ้มซอสหรือน้ำสลัดใส หรือผักต้มจิ้มน้ำพริก
พกผลไม้ (ที่พกง่าย) ติดตัวไปเผื่อหิว เช่น แอปเปิ้ล กล้วย องุ่น หรือผลไม้หั่นแล้ว ที่ไม่ช้ำไม่ดำง่าย
เลือกผักที่มีสีเข้ม สีต่างๆ กันให้ได้หลากหลายในแต่ละวัน เปลี่ยนจากถั่วงอกมาเป็นตำลึงบ้าง ตำส้มตำใส่แครอทขูด เปลี่ยนจากซีซ่าร์สลัดมาเป็นสลัดผักโขม หรือสลัดร็อกเกตใส่มะเขือเทศ


บางท่านอาจเป็นห่วงเรื่องของยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ ถ้ามีทางเลือกก็ขอให้เลือกซื้อผักผลไม้ที่ปลอดสาร และนำผักผลไม้มาล้างน้ำผ่านหลายๆ ครั้ง หรือแช่ในน้ำส้มสายชูเจือจางก่อนนำมากิน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบประโยชน์ของการกินผักผลไม้มากกว่าโทษที่จะได้จากสารพิษ

เมนูใหม่ที่อยากจะเสนอแนะให้ทั้ง 3 สาวในตัวอย่าง มีดังนี้
1. เช้า : กาแฟ ขนมปังปิ้งทาแยม
ไข่กวนใส่มะเขือเทศ ผัก ½ ทัพพี
ส้ม 1 ผล ผลไม้ 1 ส่วน
กลางวัน : ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส่ถั่วงอกเพิ่ม ผัก 1 ½ ทัพพี
นมถั่วเหลือง 1 กล่อง
บ่าย : ฝรั่ง 10 บาท น้ำชาร้อน ผลไม้ 1 ส่วน
แครอทหั่น 1 หัว ผัก 1 ทัพพี
เย็น : ข้าว แกงเลียง 1 ถ้วย ไก่ผัดขิง ผัก 2 ทัพพี
แตงโมหั่น 1 จานเล็ก ผลไม้ 1 ส่วน
รวม : ผัก 5 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน


2. เช้า : ข้าว แกงจืดผักกาดขาวกับแครอท หมูทอด ผัก 1 ทัพพี
นมจืด
กลางวัน : ข้าว (ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง) ไก่กะเพราผัดผัก ผัก 1 ทัพพี
มะม่วงดิบ 1 ลูก ผลไม้ 1 ส่วน
บ่าย : ส้มตำ 1 จาน ผัก 2 ทัพพี
เย็น : ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า 1 จาน ผัก 2 ทัพพี
กล้วยหอม 1 ใบ ผลไม้ 2 ส่วน
รวม : ผัก 6 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน


3. เช้า : ซุปฟักทอง หรือ ซุปผักโขม 1 ถ้วย ผัก 2 ทัพพี
แอปเปิ้ล 1 ผล ผลไม้ 1 ส่วน
กลางวัน : ข้าว (ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง)
ผัดผักใส่หมู แกงส้มผักรวม 1 ถ้วย ผัก 2 ทัพพี
แคนตาลูป ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ไก่ย่าง ส้มตำจานเล็ก ผัก 1 ทัพพี
ยำผลไม้ นมจืด ผลไม้ 1 ส่วน
รวม : ผัก 5 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน

คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคุณค่าทางอาหารจะสูญเสียไปกับการทำผักให้สุก (จริงๆ แล้วสารพฤกษเคมีบางอย่าง เช่น เบต้าแคโรทีน และไลโคพีน จะดูดซึมในร่างกายได้ดีขึ้นเมื่อผ่านความร้อน) ขอให้นึกว่าเราจะกินผักให้มากขึ้นในทุกมื้อ และกินผลไม้ในปริมาณพอเหมาะทุกวัน เพียงเท่านี้ทุกคนก็สามารถก้าวสู่การมีสุขภาพดีได้ไม่ยาก


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/eatingwell/article.aspx?cp-documentid=3626471

กลิ่นอับติดเสื้อผ้า แก้ปัญหาอย่างไรให้ได้ผล

กลิ่นอับติดเสื้อผ้า แก้ปัญหาอย่างไรให้ได้ผล
งานบ้านอย่างหนึ่งที่คุณแม่บ้านคนไหนก็ไม่มีทางเลี่ยงได้คือ การซักผ้า ถึงแม้ว่าปัจจุบัน งานซักผ้าอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก เพราะทุกวันนี้มีผงซักฟอกมากมายหลายแบบที่ตอบสนองความต้องการของคุณแม่บ้านได้ตรงใจมาช่วยแบ่งเบาภาระให้เบาแรงลงได้เยอะ แต่ปัญหาหนึ่งที่หลายคนยังคงกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่เสมอก็คือ เรื่องกลิ่นอับ ยิ่งช่วงนี้ฝนตกๆ หยุดๆ จะซักผ้าแต่ละที ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ซักไปจะแห้งสนิทไร้กลิ่นอับหรือเปล่า
มากไปกว่านั้น กลิ่นอับยังไม่ได้เกิดกับผ้าที่ไม่ได้ตากแห้งสนิทเท่านั้น บางครั้งเสื้อผ้าที่เราเก็บไว้ในตู้แล้วไม่ได้หยิบมาใส่เป็นเวลานานก็ยังเกิดกลิ่นอับได้เช่นกัน หากทุกครั้งที่หยิบเสื้อผ้าจากตู้มาใส่ กลิ่นอับยังตามมารังควาน คงขาดความมั่นใจน่าดู สุดท้ายหลายคนพยายามจะแก้ปัญหานี้ด้วยการหยิบเสื้อผ้ามาซักซ้ำใหม่ แต่ก็ไม่แน่ว่ากลิ่นจะหมดอย่างที่ต้องการหรือเปล่า วันนี้เรามาลองดูกันว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยขจัดปัญหากลิ่นอับบนเสื้อผ้าของคุณ

กลิ่นมาจากไหน แก้ให้ตรงจุด

กรณีนี้หมายถึงว่า หากกลิ่นอับของเสื้อผ้ามาจากตู้ใส่เสื้อผ้า เราก็ต้องแก้ปัญหาที่ตู้ก่อน หลังจากนี้จะได้ไม่มีเสื้อผ้าติดกลิ่นอับอีก เริ่มแรก คุณต้องนำเสื้อผ้าออกจากตู้ให้หมด เปิดตู้ทิ้งไว้เพื่อระบายอากาศสัก 1 วัน พร้อมทั้งทำความสะอาดตู้ให้ทั่ว จากนั้นค่อยเพิ่มกลิ่นหอมให้ตู้เสื้อผ้าแบบที่ทั้งง่ายและประหยัดด้วยขวดน้ำหอมที่ใช้หมดแล้ว เพียงเปิดฝาขวดแล้วนำไปวางไว้ในตู้ น้ำหอมที่เหลือจะระเหยความหอมติดตู้ ช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อผ้ามีกลิ่นอับได้อีกทางหนึ่ง

กลิ่นอับมารังควาน งานนี้ต้องใช้ผู้ช่วย

คุณอาจเลือกเบคกิ้งโซดาหรือผงฟูมาเป็นผู้ช่วยในการขจัดกลิ่นอับบนเสื้อผ้า เพียงผสมผงฟู 3-4 ช้อนลงในน้ำ 1 กะละมัง นำผ้าลงแช่สักครู่ หรือจะลองแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนก็สามารถทำได้ ถ้ากลัวว่ากลิ่นอับจะยังติดทน แล้วค่อยซักตามปกติ จากนั้นอาจจะใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มผสมในน้ำสุดท้ายด้วยก็ได้ เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่คำเตือนก็คือ เสื้อผ้าที่บอบบางมากๆ อาจไม่เหมาะกับวิธีการนี้

ผึ่งแดดก็ได้ ง่ายนิดเดียว

วิธีนี้ง่ายแต่อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่รับรองว่าได้ผล นั่นคือ เมื่อคุณพบเสื้อผ้ามีกลิ่นอับ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือ เอาเสื้อผ้าชุดนั้นไปผึ่งแดดในวันที่แดดจ้าฟ้าใสก่อนสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ “ไอแดด” ได้ชโลมตัวบนเสื้อผ้า จากนั้นจึงค่อยนำไปซัก ซักเสร็จแล้วนำไปตากกลางแจ้ง รับรองกลิ่นอับไม่กลับมาแน่นอน

หน้าฝนกลิ่นอับมา บอกลานิสัยเดิมๆ

ในช่วงหน้าฝน แทนที่จะสะสมผ้าใช้แล้วไว้เยอะๆ แล้วค่อยซัก คุณต้องเปลี่ยนนิสัยมาซักผ้าให้บ่อยขึ้น เพราะไม่งั้นการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นอับมากยิ่งขึ้น เช่นวันนี้รวบรวมได้ 4-5 ตัวแล้ว ฝนไม่ตกพอดี ก็จัดการนำมาซักเสียเลย โดยอาจจะใช้ผงซักฟอกที่สามารถลดกลิ่นอับชื้นได้แม้ตากในที่ร่ม ซักเสร็จบิดให้แห้ง แล้วนำมาตากโดยเว้นระยะห่างสักหน่อยเพื่อให้ลมพัดผ่านได้อย่างทั่วถึง เท่านี้ก็ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากลิ่นอับได้ง่ายๆ แล้ว

แต่ละวิธีที่เล่ามา คุณสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์และความถนัดของคุณ ใช้แล้วถูกใจวิธีไหนเป็นพิเศษ อย่าลืมบอกต่อให้เพื่อนๆ ของคุณทราบด้วยล่ะ ทุกๆ คนจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้ามีกลิ่นอับอีก

ขอบคุณเทคนิคดี ๆ จากทีมงานบรีสค่ะ


ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์/http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000027728

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก
คนสมัยนี้ได้รับความรู้เรื่องสุขนิสัย สุขบัญญัติจากโรงเรียน จากสื่อ จากเพื่อนร่วมงาน ร่วมก๊วนกอล์ฟ ก๊วนเทนนิส ก๊วนซิ่ง และจากคนข้างบ้าน

พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์
คนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ญี่ปุ่น แขก ฝรั่ง ต่างก็มีความโน้มเอียงจะเชื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันทั้งนั้น ทำให้มีมิจฉาทิฐิในเรื่องต่างๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะทุกคนสนใจอยากจะมีสุขภาพดีมีความสุขมากๆ ตลอดไป ลองคิดดูว่าท่านมีมิจฉาทิฐิต่อไปนี้บ้างหรือไม่?

Q: ล้างมือด้วยสบู่ยาดีไหม?
A: การล้างมือเป็นสุขนิสัยที่ดีอย่างหนึ่ง เนื่องจากการติดเชื้อทางมือเป็นสาเหตุสำคัญมากอย่างหนึ่งของการเจ็บป่วย เช่น การติดโรคหวัด แผลผ่าตัดเป็นหนอง โรคท้องร่วงจากอาหาร ฯลฯ การล้างมือที่ถูกหลักเกณฑ์จึงเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อทางมือที่ดีอย่างหนึ่ง หลายคนจึงมีความคิดต่อไปว่าการล้างมือด้วยสบู่ยาฆ่าเชื้อจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการล้างด้วยสบู่ธรรมดา แต่ปรากฏจากข้อมูลของกรมควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาว่าการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อที่มีขายในท้องตลาดไม่ได้ดีกว่าสบู่ธรรมดาเลย แถมยังฆ่าได้เฉพาะเชื้อโรคอ่อนๆ ปล่อยให้ตัวร้ายๆ แพร่พันธุ์ต่อไป เขาพบว่าการล้างมือที่ได้ผลดีและทำง่าย คือ การใช้แอลกอฮอล์ 70% (alcohol handrub ซึ่งผสมสารถนอมผิวด้วย) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้มากมายกว้างขวาง เขาว่าแทบจะไม่มีเชื้อดื้อต่อมันเลย แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีสารอะไรช่วยเลย การใช้น้ำก๊อกธรรมดาล้างมือก่อนกินอาหารก็ยังดีกว่าไม่ได้ล้าง


Q: กินอาหารไขมันต่ำดีจริงไหม?
A: หลายคนคงเคยได้ยินได้อ่านมาว่าการกินอาหารไขมันต่ำช่วยลดน้ำหนัก บางคนจึงกินอาหารไขมันต่ำมาตลอด โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องโภชนาการอย่างครบถ้วน ความอ้วนเกิดจากการกินอาหารมาก ออกกำลังน้อย การกินอาหารมาก หมายถึงการกินแคลอรีมาก แคลอรีไม่ได้มาจากไขมันอย่างเดียว อาหารเกือบทุกอย่างมีแคลอรี การลดไขมันต่ำมากๆ แต่ยังกินแป้งและน้ำตาลมากเกินก็ย่อมทำให้เกิดการสะสมและเปลี่ยนแปลงไปเป็นไขมันพอกพูนในร่างกาย เคยมีการศึกษาติดตามพยาบาลจำนวนหลายพันคนที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 8 ปี โดยให้กินอาหารไขมันต่ำเปรียบเทียบกับการกินอาหารธรรมดา เมื่อเสร็จการศึกษาติดตามเขาสรุปว่าการกินอาหารไขมันต่ำหรืออาหารที่ไม่มีไขมันเลย ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก (ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะกินอาหารอย่างอื่นมากเกินไปและออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควร) ไขมันทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น กินอร่อยขึ้น และไขมันบางอย่างไม่มีผลเสียมาก (ยกเว้นแคลอรีสูง) เช่น น้ำมันมะกอก ถ้าเอาไปปรุงอาหารหรือใช้ราดสลัดจะทำให้กินสลัดได้อร่อยขึ้น กินผักได้บ่อยขึ้นมีผลดีต่อสุขภาพ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าน้ำมันพืชชนิดไหนดีต่อสุขภาพ ควรละเว้นน้ำมันพืชที่ก่อให้เกิดโคเลสเตอรอลซึ่งทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากสัตว์ และควรคำนึงถึงมวลรวมของแคลอรีจากอาหารที่กินทั้งหมด แล้วควบคุมให้อยู่ในพิกัด เขาว่าไม่ควรกินน้ำมันเกิน 30% ของแคลอรีจากอาหารทั้งหมด


Q: กินแครอทแล้วสายตาดีจริงหรือไม่?
A: แครอทมีวิตามินเอสูง และวิตามินเอมีส่วนทำให้การมองเห็นเป็นปกติ แต่ร่างกายต้องการวิตามินเอเพื่อการมองเห็นปกติจำนวนน้อยๆ เท่านั้น ไม่ควรเชื่อว่าการกินแครอทเพื่อจะได้รับวิตามินเอจำนวนมาก จะช่วยให้สายตาดีขึ้นกว่าปกติ หรือเพื่อจะได้ไม่ต้องใส่แว่นสายตา ที่จริงแล้วการกินวิตามินเอ (ที่ทำเป็นยาเม็ด) จำนวนมากๆ อาจจะเป็นพิษ ความเชื่อเรื่องกินแครอทแล้วสายตาดีมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นวงการสืบราชการลับอังกฤษแกล้งปล่อยข่าวให้ไปเข้าหูศัตรูในตอนที่กองทัพอากาศเยอรมันโหมทิ้งระเบิดเกาะอังกฤษว่า การที่นักบินอังกฤษสามารถมองเห็นเครื่องบินเยอรมันในเวลากลางคืนเนื่องจากนักบินอังกฤษกินแครอทมากทำให้สายตาดี ทั้งนี้เพื่อปกปิดความจริงที่ว่ากองทัพอังกฤษสามารถสร้างระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาได้ ทำให้เห็นเครื่องบินเยอรมันได้ดีขึ้น


Q: สารต้านอนุมูลอิสระดีจริงหรือ?
A: ปัจจุบันมีการพูดถึงทฤษฎีอนุมูลอิสระกันมาก อ้างว่าอนุมูลอิสระมีผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีผลดีในการชะลอความแก่ ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็ง ฯลฯ แต่เมื่อมีการผลิตยาเม็ดอนุมูลอิสระขึ้นมา และคนใช้มากขึ้นๆ ปรากฏว่าไม่ได้ผลดีดังหวัง มีการศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่ามีคนกินสารเสริมต้านอนุมูลอิสระไม่ได้รับผลดีแต่ประการใด และบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการกินสารต้านอนุมูลอิสระทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การศึกษาของสถาบันมะเร็งสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1992 ต้องยุติลงก่อนกาลหลังจากนักวิจัยพบว่าคนที่กินสารต้านอนุมูลอิสระเกิดมะเร็งปอดมากกว่าคนกินยาหลอก จนถึงปัจจุบันนี้ทฤษฎีอนุมูลอิสระยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่


Q: ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ จำเป็นไหม?
A: นักวิชาการหลายคนพูดถึงเขียนถึงกันมากว่าควรกินน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำเข้าไปล้างพิษในร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นอย่างนั้นเลย สำหรับคนบางคนการกินน้ำมากอย่างนั้นอาจจะมีผลเสีย เพราะดื่มน้ำเข้าไปมากอาจจะไปทำให้เป็นพิษ ทำให้ระดับโซเดียมต่ำเป็นอันตราย ในปี ค.ศ.2002 หมอผู้เชี่ยวชาญทางโรคไตได้พยายามอย่างมากในการค้นคว้าหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ เพื่อดูว่ามีข้อมูลสนับสนุนการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วมีจริงหรือเปล่า และต้นตอของเรื่องนี้มันมาจากไหน แล้วตีพิมพ์บทความใน American Journal of Physiology ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนความหลงผิดนี้เลย จริงอยู่แม้ว่าคณะอนุกรรมการโภชนาการของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกาจะแนะนำว่า ร่างกายเราต้องการน้ำ 1 ลบ.ซม. ต่ออาหารที่เรากินเข้าไป 1 แคลอรี คนทั่วไป จึงต้องการน้ำประมาณ 10 แก้ว แต่น้ำส่วนใหญ่มีอยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดื่มเพิ่ม การหลงผิดดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหา เช่น นักมวยดื่มน้ำมาก กระเพาะปัสสาวะป่องขณะต่อย เขาไม่อนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำระหว่างยกเหมือนนักเทนนิส นักมวยคนนั้นอาจจะเป็นอันตรายจากการถูกต่อยกระเพาะปัสสาวะแตกก็เป็นได้ ความหลงผิดเรื่องล้างพิษอาจจะมีพิษภัยมาก


Q: ครีมกันแดดต้านมะเร็งได้ไหม?
A: ครีมกันแดดส่วนมากต้านมะเร็งไม่ได้ผลดี เนื่องจากใช้กันผิดๆ หมอฟรานซิสกา ฟุสโก โฆษกของมูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนังสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าคนส่วนมากใช้ครีมกันแดดไม่มากพอ ใช้ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้ใช้ตั้งแต่อายุน้อย และไม่ได้ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เขาแนะนำว่าควรใช้ครีมใต้เมคอัพ ควรทาให้ทั่วตัว ควรทาในร่มผ้าด้วย และควรรอเวลาประมาณ 30 นาทีหลังทาก่อนจะไปโดนแดด ควรใช้ครีมชนิดที่สาร mexoryl ซึ่งป้องกันทั้งรังสีอัลตราไวโอเล็ตชนิด บี และ เอ (UV B และ UV A) ครีมส่วนใหญ่ที่ใช้ๆ กันป้องกันได้แต่อัลตราไวโอเล็ตชนิดบี แต่ชนิดเอก็อันตรายเช่นกันโดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้แดด คนทั่วไปจึงไม่รู้ เขาว่าถ้าจะใช้ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งต้องใช้ให้ถูกนะครับ


Q: อาหารเสริม สมุนไพรธรรมชาติ
A: บริษัทผลิตสารเสริมอาหารทั้งในไทยและเทศชอบโฆษณาว่า อาหารเสริมของเขาเป็น สมุนไพร หรือ ธรรมชาติ นัยว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและมีประโยชน์สูง คนส่วนมากก็เชื่อผิดๆ อย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นสมุนไพรหรือธรรมชาติอาจจะมีอันตรายมาก เครือข่ายสุขภาพแห่งชาติของแคนาดาได้รณรงค์ให้การศึกษาแก่ประชาชนของเขาในเรื่องนี้ เขาสอนว่าสารธรรมชาติบางอย่างอาจจะเป็นพิษถ้าบริโภคมากไป บางอย่างอาจจะทำให้แพ้ บางอย่างอาจจะเข้าไปมีปฏิกิริยากับยาที่กินอยู่ทำให้เกิดผลเสีย บางอย่างอาจจะมีผลเสีย เช่น ต่อคนตั้งครรภ์หรือคนที่เป็นโรคหัวใจ ฉลากข้างกล่องบรรจุภัณฑ์สารเสริมอาหารได้รับการตรวจสอบ แต่ที่สหรัฐฯ ไม่ได้ตรวจสอบเข้มงวด คิดว่าในเมืองไทยก็คงจะไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอในการตรวจสอบเนื่องจากไม่ใช่ยาจึงไม่เข้มงวดมาก ผู้บริโภคก็คงต้องตัวใครตัวมันว่างั้นเถอะ!


ในยุคสมัยน้ำมันแพงค่าแรงถูก เงินเดือนต่ำ คนธรรมดาอย่างเราต้องอาศัยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประหยัดและอดออม อย่ายอมตัวเป็นเหยื่อโฆษณา รักษาเงินที่หายากเอาไว้ให้นานที่สุด


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เคี้ยวพืชสมุนไพร ดื่มน้ำผลไม้ลดกลิ่นปาก

เคี้ยวพืชสมุนไพร ดื่มน้ำผลไม้ลดกลิ่นปาก
เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น เรามีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก


เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น กินดี วันนี้มีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก

เริ่มที่การใช้พืชสมุนไพร อย่าง กานพลู โดยใช้ดอกตูมแห้ง 2-3 ดอก อมไว้ในปากแล้วคายทิ้ง ทั้งยังสามารถนำดอกตูมแห้งบดให้เป็นผง เพื่อนำไปเป็นผงสมุนไพรสำหรับแปรงฟัน หรือจะเป็น ใบฝรั่ง เลือกใบสด 2-3 ใบ เคี้ยวและคายทิ้งหลังมื้ออาหารหรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นปาก

ส่วนเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แถมยังช่วยแก้กระหายนั้นเป็นการนำสรรพคุณของ แตงโมเหลือง สับปะรด แอปเปิ้ลเขียว

สำหรับ แตงโม นั้น เป็นผลไม้ที่ช่วยชะล้างของเสียได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะของเสียจากไตและกระเพาะปัสสาวะรวมทั้งทางเดินปัสสาวะ บำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิต แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

ส่วน สับปะรด สามารถต้านการอักเสบและเพิ่มพลังการย่อยโปรตีน อุดมไปด้วยโบรเมลิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม

ผลไม้ชนิดสุดท้าย แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยชะล้างสารพิษออกจากตับและไต ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะน้ำที่สกัดจากแอปเปิ้ล ยังมีสรรพคุณลดไข้ ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ

การเตรียมส่วนผสมของเครื่องดื่ม ควรเตรียมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้...

แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
สับปะรด 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแก้วนี้ เริ่มจากนำสับปะรดที่ปอกเปลือกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก จากนั้นนำแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอหยาบโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนแอปเปิ้ลเขียวให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องเอาแกนออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สกัดน้ำผลไม้ดื่มล้างพิษลำไส้

สกัดน้ำผลไม้ดื่มล้างพิษลำไส้
การันตีว่าดื่มแก้วนี้แล้วจะได้ล้างพิษในลำไส้ แถมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่
เมนูเครื่องดื่มที่ กินดี นำมาฝากวันนี้ เป็นเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ 3 ชนิด อันได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ ลูกพีชหรือลูกท้อ และแอปเปิ้ลแดง แถมยังมีน้ำแร่รวมอยู่ในส่วนผสม
สำหรับ สตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้ขวัญใจสาว ๆ อุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และไบโอติก เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ล้างพิษให้ร่างกายสะอาด ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง บำรุงเลือดและผิวพรรณ แถมยังบรรเทาอาการไอ ขับปัสสาวะได้ดี

มาที่ ลูกพีช เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก เบตาแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม มักรวมอยู่ที่บริเวณเปลือก ดังนั้น การนำลูกพีชมาทำเป็นเครื่องดื่ม หลังจากล้างจนสะอาดแล้วให้คว้านเพียงเมล็ดออก รับประทานลูกพีชหรือดื่มน้ำจากลูกพีชจะช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่

ส่วน แอปเปิ้ล มีเบตาแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก รวมทั้งเส้นใยเพ็กตินที่มีอยู่มากบริเวณแกนผลแอปเปิ้ล ทำหน้าที่ชะล้างลำไส้เล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและสำไส้ พิษที่ถูกสารอาหารในแอปเปิ้ลชะล้างจะถูกขับออกมาทางกระแสเลือดแล้วจึงปล่อยออกสู่อวัยวะที่มีหน้าที่ขับถ่าย นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยลดความเครียด ล้างพิษในไตและตับ

และ น้ำแร่ จะมีแร่ธาตุตามธรรมชาติผสมอยู่หลายชนิดแตกต่างกันตามแหล่งน้ำ โดยเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือแมนีเซียม ที่มีอยู่น้ำแร่เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย

หากต้องการดื่มให้ร่างกายได้ประโยชน์ ควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้

สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย
ลูกพีช 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 1 ถว้ย
น้ำแร่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีปรุง เริ่มด้วยการทำความสะอาดผลไม้ทั้ง 3 ชนิด จากนั้นให้หั่นสตรอว์เบอร์รี่และลูกพีชเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยแอปเปิ้ลหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำผลไม้ทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ไผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปในน้ำที่สกัดได้ คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเล็กน้อยดื่มได้ทันที

ปรุงดื่มสม่ำเสมอ รับรองลำไส้ของคุณจะไม่ใช่ที่โปรดปรานของมะเร็งร้าย


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

หวานอมเปรี้ยว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง

หวานอมเปรี้ยว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่แก้วนี้มีทีเด็ดช่วยล้างพิษ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็ง
มีส่วนผสมจากผักและผลไม้ที่ต้องเตรียมเพียง 3 ชนิด ประกอบด้วย ลูกแพร์ กีวี และมะนาว

เห็นเครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมแค่น้อยนิด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมหัศจรรย์ให้ประโยชน์กับร่างกาย เริ่มจาก 'ลูกแพร์' เต็มไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม พร้อมแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะที่ส่วนของผลลูกแพร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากใยอาหาร กรดไฮดรอกซีซินนามิก และเส้นใยเพ็กตินช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

ต่อด้วย 'กีวี' มาพร้อมวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ก็ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อมโทรมและเกิดโรคภัย

สุดท้ายกับ 'มะนาว' ผลกลมรสเปรี้ยว ให้วิตามินบี1 บี2 บี4 วิตามินซี คาร์โบรไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยขับของเสียอย่างเสมหะ และพยาธิออกจากร่างกาย แล้วยังช่วยแก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้วิงเวียนศีรษะ

เห็นแจ้งกับสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยมกันแล้ว ก็ต้องเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ต่อไปนี้...

ลูกแพร์สุกเต็มที่ 2 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
มะนาว 1 ถ้วย

ลงมือปรุง โดยเริ่มจากปอกเปลือกกีวีทั้งผล จากนั้นให้ฝานเนื้อกีวีออกเป็นแว่น ๆ ส่วนลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นพอหยาบ แล้วนำกีวีกับลูกแพร์ไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ อย่าลืมคั้นน้ำมะนาวเพื่อใช้น้ำ ได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้วจึงนำมาผสมคนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที หรือถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นก็ยังได้

ปรุงดื่มเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ดีนักแล.

takecareDD@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ แข็งแรง

ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ แข็งแรง
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมของ กะหล่ำปลี สาหร่ายสไปรูลินา และวีตกราส ช่วยล้างพิษในตับ เสริมสร้างตับให้แข็งแรง
นับว่ามนุษย์เรายังโชคดีที่ธรรมชาติรังสรรค์พืชผักที่ช่วยบำรุงรักษา ตับ กินดีวันนี้เลือก

สำหรับ กะหล่ำปลี อุดมไปด้วยสารอินโดลฟลาโวนอยด์ สารคาร์บินอล สารซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต ต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยชะล้างพิษ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ แก้ท้องผูก แก้เจ็บคอ บำรุงไต ดีต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวสะอาดเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล แก้จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก และยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก กะหล่ำปลียังเพิ่มการสร้างกลูตาไทโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการล้างพิษจากควันไอเสีย และยา นอกจากนี้ควรรู้ไว้ว่า กะหล่ำปลีขาวจะมีรสชาติหวาน และง่ายต่อการดื่มมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว

ต่อกันที่ สาหร่ายสไปรูลินา อุดมไปด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อการล้างพิษ การฟื้นฟู และการปรับสมดุลของตับ สมอง และระบบประสาท และเป็นแหล่งวิตามินบี 12 ไม่ก่อให้เกิดกรดหรือของเสียขึ้นภายในร่างกาย คลอโรฟีลล์ที่พบในสาหร่ายสไปรูลินา ยังเร่งกระบวนการชะล้างพิษและของเสียในตับ กระแสเลือด เนื้อเยื่อ และลำไส้ให้เร็วขึ้น ส่งผลให้เฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนแข็งแรง

สุดท้ายที่ วีตกราส หรือต้นอ่อนข้าวสาลี อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร กรดอะมิโนที่สำคัญ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์ร่างกายใหม่ ๆ และคลอโรฟีลล์ช่วยทำความสะอาดเลือด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมารวมกันก็เพื่อช่วยฟอกโลหิต เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง ร่างกายสะอาด และเพิ่มกำลังวังชา

เปี่ยมคุณค่าให้พลังตับขนาดนี้ ก่อนปรุงดื่มควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ดังต่อไปนี้


กะหล่ำปลี 1 ถ้วย
วีตกราส 2 ถ้วย
สาหร่ายสไปรูลินา พอประมาณ

ขั้นตอนการปรุง เริ่มจากทำความสะอาดกะหล่ำปลีและวีตกราส หั่นส่วนผสมทั้งสองชนิดให้มีขนาดเล็กพอประมาณ นำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เทใส่แก้ว เติมสาหร่ายสไปรูลินาลงไปแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ดื่มได้ทันที

takecaredd@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ดื่มล้างพิษกลิ่นเบอร์รี่

ดื่มล้างพิษกลิ่นเบอร์รี่
ส่วนผสมของ องุ่นม่วง ราสป์เบอร์รี่ ที่ให้กลิ่นและรสเบอร์รี่เปรี้ยวพอเหมาะดื่มง่าย แถมยังมีลูกแพร์ มาช่วยให้เครื่องดื่มแก้วนี้มีสรรพคุณล้างพิษ ต้านมะเร็ง
ได้ยินชื่อก็พอเข้าใจว่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ กินดี นำมาฝาก ดื่มง่ายเพราะมี

เริ่มที่ องุ่นม่วง อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก ช่วยเพิ่มความรวดเร็วแก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร ควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ

ส่วน ราสป์เบอร์รี่ ผลไม้ที่จัดรวมอยู่ในกลุ่มเบอร์รี่ อัดแน่นไปด้วยเบตาแคโรทีน ไบโอติน วิตามินซี และน้ำตาลฟรักโทส มีฟลาโวนอยด์ และแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมอยู่เป็นจำนวนมาก

สุดท้าย ลูกแพร์ เป็นหนึ่งในผลไม่เพียงไม่กี่ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เต็มไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ช่วยทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เหมาะกินเพื่อล้างพิษเพราะมีแร่ธาตุคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ช่วยชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ก่อนจะตกผลึกเป็นก้อนนิ่ว เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับปัสสาวะ ทำความสะอาดไต หากรับประทานทั้งผลจะได้ประโยชน์จากเส้นใยอาหาร และกรดไฮดรอกซีซินนามิก สารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง และเส้นใยเพ็กตินที่ช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

สำหรับส่วนผสมควรเตรียมให้ได้สัดส่วน ดังต่อไปนี้...

องุ่นม่วง 1 ถ้วย
ราสป์เบอร์รี่ 2 ถ้วย
ลูกแพร์ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนการปรุงไม่ยุ่งยาก เพียงหั่นลูกแพร์เป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ส่วนองุ่นม่วงผ่าครึ่งโดยไม่ต้องนำเมล็ดออก จากนั้นนำราสป์เบอร์รี่ ลูกแพร์ และองุ่นม่วงมาสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟเย็น ๆ พร้อมน้ำแข็งป่น ดื่มทันที

ปรุงง่าย ดื่มง่ายอย่างนี้ วันว่างลองเข้าครัวผสมดื่มสักแก้วเพื่อสุขภาพ.

takecaredd@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ผัก-ผลไม้หลากชนิดปั่นดื่มบำรุงสายตา

ผัก-ผลไม้หลากชนิดปั่นดื่มบำรุงสายตา
แม้จะมีส่วนผสมให้ต้องเตรียมมากถึง 17 ชนิด โปรดอย่าถอดใจ เพราะส่วนผสมทั้งหมดนั้นเมื่อนำมาปั่นผสมกันแล้วเสมือนเป็นการเติมสารอาหารที่มีคุณประโยชน์มากมายสู่ร่างกาย
โดยจะขอยกตัวอย่างสรรพคุณของส่วนผสมบางชนิด อย่าง เมล็ดแฟลกซ์ แหล่งรวมของกรดไขมันที่จำเป็นอย่าง โอเมกา 3 สารอาหารบำรุงสมอง ทั้งยังเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันร่างกาย

ส่วน แครอต อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็งร้าย แถมยังช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ และระบบทางเดินหายใจให้มีประสิทธิภาพ และ บีตรูต เปี่ยมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ช่วยทำความสะอาดตับและลำไส้ส่วนล่าง ขับสารพิษ ฟอกเลือดและไต เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ได้มากถึง 400% สำหรับคุณผู้หญิงการรับประทานบีตรูตจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

เครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมที่จะต้องเตรียมตามสัดส่วนดังต่อไปนี้...

หัวบีตรูตขนาดกลาง 1 หัว
แครอต 2 หัว
ผักปวยเล้ง 1 ต้น
ข้าวโพด 1 ฝัก
มะเขือเทศ 2 ลูก
บลูเบอรี่ 1 ถ้วย
กีวี 2 ผล
องุ่นดำชนิดมีเมล็ด 2 ถ้วยครึ่ง
น้ำกลั่น 2 ถ้วยครึ่ง
เกลือทะเล 1 ช้อนชา
ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
เกสรผึ้ง 2 ช้อนชา
เก๋ากี้ 3 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดแฟลกซ์ 2 ช้อนชา
งาดำ 4 ช้อนชา
เมล็ดฟักทอง 1 ช้อนชา
เลซิทิน 2 ช้อนชา



ขั้นตอนการปรุงดื่ม เริ่มจากการล้างส่วนผสมทั้งหมดให้สะอาด หั่นแครอตและมะเขือเทศเป็นชิ้น ส่วนข้าวโพดฝานเอาแต่เมล็ด ส่วนกีวีต้องปอกเปลือกก่อนหั่นเป็นชิ้น สำหรับบีตรูตต้องล้างให้หมดดิน กรณีที่ส่วนใดล้างดินไม่หมดให้ใช้มีดฝานออก จากนั้นเทน้ำกลั่นลงไปในโถปั่นใส่ผัก ผลไม้และส่วนผสมทุกชนิดลงปั่นพร้อมกันยกเว้นเลซิทิน ที่ให้เติมลงไปหลังจากส่วนผสมทุกอย่างถูกปั่นเป็นน้ำ เมื่อเติมเลซิทินแล้วให้ปั่นต่อไปอีก 10 วินาที ก็จะได้เครื่องดื่มบำรุงสายตาราว 6-7 แก้ว เฉลี่ยแบ่งให้ได้แก้วละ 250 ซีซี ควรดื่มให้หมดภายในวันเดียว ถ้าจะให้ดีผักและผลไม้ที่จะนำมาปรุงดื่มควรเป็นผักอินทรีย์ปลอดสารเคมี

อย่างไรก็ตาม ดร.อู๋ แนะนำให้เลือกใช้เครื่องปั่นที่มีความแรง 3.5 แรงม้า ขณะดื่มให้เคี้ยวกากน้ำผักและผลไม้ช้า ๆ 10 ครั้งก่อนกลืน ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ธรรมชาติช่วยชีวิต 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ

takecareDD


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหารลดอ้วน-สูตรน้ำขจัดไขมัน

อาหารลดอ้วน-สูตรน้ำขจัดไขมัน
เริ่มจากข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน สำหรับผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาจะไดเอ็ทนั้นจำเป็นต้องพึงเข้าใจว่า ต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ครบทุกหมู่ เพียงแต่ลดปริมาณอาหาร
ตามธรรมเนียมของ กินดี ที่ต้องส่งท้ายสัปดาห์ด้วยการกิน-ดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารเพื่อการลดหรือควบคุมน้ำหนักที่กล่าวกันมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์

ลดขนมขบเคี้ยว ของหวาน และตัดใจจากอาหารขยะ

ในหมวดของ เนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่มีหนัง เน้นรับประทานปลาจะดีที่สุด ส่วนวิธีการปรุงควรอบ ย่าง นึ่ง เลี่ยงทำอาหารด้วยการทอดในน้ำมันท่วมล้น ขณะที่ นม เน้นดื่มชนิดจืดพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย เพราะมีปริมาณไขมันน้อยกว่านมพร้อมดื่ม ควรดื่มไม่เกิน 2 กล่องเล็กต่อวัน (ขนาดกล่องสำหรับผู้ใหญ่)

ส่วน ไข่ เน้นนำไปนึ่ง ต้ม หรือตุ๋น ในช่วงลดน้ำหนักควรลดการรับประทานไข่แดง แต่ละสัปดาห์ไม่ควรเกิน 3 ฟอง สำหรับ ถั่วเมล็ดแห้ง อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์ มีกากใยอาหารดีต่อระบบขับถ่าย ควรรับประทาน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์

หมวด ข้าว-แป้ง เน้นข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ในแต่ละวันไม่ควรรับประทานมาก เนื่องจากร่างกายจะสังเคราะห์สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจากข้าวและแป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ถ้าสะสมในปริมาณมากเกินความต้องการจะทำให้อ้วน

การรับประทาน ผลไม้ ที่มีคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับข้าวและแป้ง ซึ่งควรเลือกรับประทานผลไม้รสไม่หวานจัดแทนขนมหวาน อาทิ ส้ม ชมพู่ มะละกอ แตงโม ฝรั่ง สับปะรด เพื่อให้วิตามินและเกลือแร่ที่มีในผลไม้ ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้เป็นไปอย่างปกติ และเพิ่มใยอาหารเสริมการทำงานระบบขับถ่าย ควรรับประทานทั้งผลสด ๆ

สำหรับ ผักใบเขียวและขาว มีสารอาหารอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผลไม้ ควรรับประทานเป็นประจำ แต่ควรสลับกับผักที่มีสีแดง-แสด อย่าง แครอต ฟักทอง มะเขือเทศ

ใยอาหาร พบได้ในผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ แม้ร่างกายของคนเราจะไม่สามารถย่อยได้จึงต้องขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย แต่กากใยเมื่ออยู่ในกระเพาะหรือลำไส้จะเกิดการพองตัว ทำให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย แถมยังช่วยดูดซับไขมัน น้ำตาล สารพิษ แล้วขับออกจากร่างกาย

ขณะที่ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู ไขมันจากพืช อย่าง กะทิและน้ำมันมะพร้าว ควรงดเพราะมีไขมันที่จะเปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอล รับประทานมากไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนไขมันจากพืชในรูปของน้ำมันพืช รับประทานได้แต่เพียงน้อย

มาถึงสูตรเครื่องดื่ม ที่มีสรรพคุณลดความอ้วนและขจัดไขมันส่วนเกิน ที่ใช้ผักและผลไม้เป็นส่วนผสม มี แครอต อันอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ในทางโภชนาการชี้ว่า แครอตสามารถขจัดไขมันส่วนเกินจากตับ ดีต่อการย่อยอาหาร ส่วน กีวี จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ไม่ทำให้เป็นหวัดง่าย

ก่อนปรุงดื่ม มาเตรียมส่วนผสมตามสัดส่วน ดังนี้
แครอต 1 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

โดยวิธีการปรุง ให้นำแครอตไปขูดเป็นเส้น ส่วนกีวีปอกเปลือกก่อนฝานเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มเป็นประจำจะช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีลดความอ้วนอย่างประหยัดและได้ผล

วิธีลดความอ้วนอย่างประหยัดและได้ผล
เป็นคำถามที่หญิงสาวทุกวัย ทุกอาชีพมักถามอยู่เสมอว่า มีวิธีลดความอ้วนที่ได้ผลและประหยัดเงินบ้างไหม? และคำตอบก็คงหนีไม่พ้นหลักความจริงที่ได้ยินกันมานาน แต่ได้ผลเสมอดังต่อไปนี้
กินวันละ 3 มื้อเท่านั้น ไม่กินอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ เว้นระยะห่างระหว่างมื้อประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง

กินอาหารที่มีประโยชน์ ดูฉลากข้างผลิตภัณฑ์ที่มีตารางพลังงานกำกับไว้ ให้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจกิน และกินให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ออกกำลังกายชนิดใดก็ได้เพื่อให้เหงื่อออก รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรง

มุ่งมั่นทำต่อไป น้ำหนักไม่ใช่ว่าจะลดกันง่ายๆ สัปดาห์หนึ่งหลายกิโลกรัม แต่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนจึงเห็นผล อย่าสร้างความกังวลแก่ตนเองโดยการชั่งน้ำหนักทุกวัน ควรชั่งแค่อาทิตย์ละครั้ง และถึงแม้ว่าจะควบคุมน้ำหนักได้ตามความตั้งใจก็ไม่ควรเลิกควรออกกำลังกายไปเสียเฉยๆ แต่ต้องมุ่งมั่นทำต่อไปและกินอาหารอย่างสมดุล

เพียงทำตามคำแนะนำง่ายๆ ดังนี้ และสร้างกำลังใจต่อการรักษาสุขภาพแก่ตนเองสม่ำเสมอ จนกระทั่งเป็นนิสัย รับรองว่านอกจากจะได้รูปร่างสมส่วนแล้ว ยังห่างไกลโรคอีกด้วย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546743

กินเป็นอยู่เป็นช่วยลดความอ้วน

กินเป็นอยู่เป็นช่วยลดความอ้วน
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนผมเคยเขียนบทความเรื่อง อ้วน หนัก หนา ปรมา โรคา เพราะเห็นว่าความอ้วนเป็นโรคอย่างยิ่ง ตอนนั้นวงการแพทย์ยังไม่เรียกมันว่าโรค เวลาผ่านไปรวดเร็วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้วงการแพทย์ก็ยอมรับแล้วว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ต้องรักษา

พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์
และที่จริงแล้วโรคอ้วนยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้น คือขยายไปทั่วโลก กลายเป็นโรคระบาดหรือโรคโลกาภิวัตน์ชนิดหนึ่งเนื่องจากตั้งแต่มีการ ปฏิวัติเขียว พลโลกมีอันจะกินกันมากขึ้น เป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่าความอ้วนทำให้เกิดโรคตามมามากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพาต อัมพฤกษ์ หัวใจขาดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม ฯลฯ เท่าที่ผมพิจารณาดูความอ้วนไม่มีความดีตรงไหนเลยนอกจากสำหรับคนที่อยากเป็นธิดาช้าง

องค์การอนามัยโลกจึงออกมารณรงค์ให้มีการควบคุมความอ้วนกัน ท่านผู้อ่านหลายคนก็คงจะมีปัญหาเรื่องความอ้วนไม่มากก็น้อย จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะมาใส่ใจทำการลดความอ้วนกันให้เป็นนิสัยเสียบ้าง แต่การลดความอ้วนมันก็เหมือนเรื่องอื่นที่มีปัญหาอุปสรรคพาให้ทำไม่สำเร็จได้มาก จะเห็นว่ามีคนออกมาแนะนำสูตรอาหารหรือ diet เพื่อการลดน้ำหนักกันมากมายหลายชนิด แต่สิ่งสำคัญคือผู้ปฏิบัติทำได้ไม่นานหลักการใหญ่ๆ ในการลดความอ้วน คือ หนึ่ง การลดการกินอาหารคือลดจำนวนพลังงาน(แคลอรี)ที่กินเข้าไป และสอง คือการออกกำลังกาย

อาหารที่เรากินเข้าไปถ้ามากเกินความต้องการของร่างกายแล้วจะสะสมอยู่ในร่างกายในรูปของไขมัน สำหรับการออกกำลังกายโดยทั่วๆ ไปเป็นการเผาผลาญพลังงานที่เรากินเข้าไป ทำให้น้ำหนักตัวคงที่ แต่ถ้าเราจะใช้การออกกำลังกายเพื่อทำให้น้ำหนักลดลง (โดยกินเท่าเดิม) จำเป็นต้องออกกำลังกายมากกว่าอาหารที่เรากินเข้าไป จะเห็นว่านักวิ่งมาราธอนมักจะผอมเพราะเผาผลาญพลังงานมาก ส่วนคนที่เป็นนักวิ่งธรรมดาหลายคนวิ่งเท่าไรก็น้ำหนักไม่ลดไม่เพิ่มเนื่องจากชอบกินมาก

การกินอาหารที่ทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดีคืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่มีพลังงาน(แคลอรี)น้อย ส่วนมากหมายถึงอาหารที่มีไขมันต่ำ มีน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้ ควรกินมากหน่อย แต่ต้องระวังเหมือนกัน ควรเลือกกินผลไม้ที่ไม่สุกงอม ผลไม้ที่สุกงอมมีน้ำตาลมากทำให้อ้วนได้ง่าย ส่วนผลไม้ที่เพิ่งเริ่มจะสุกกำลังน่ากินมีแป้งมากกว่า ดีกว่า เนื่องจากแป้งต้องถูกย่อยและดูดซึมซึ่งต้องใช้พลังงานและใช้เวลาสลายในร่างกายทำให้คนกินหิวช้ากว่า การกินผลไม้งอมเหมือนกินขนมหวาน ต้องระวัง ถ้ากินมากน้ำหนักจะขึ้น

ส่วนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารมีหลายชนิด จะต่างกันตรงที่น้ำมันบางชนิดมีไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งกินแล้วจะกลายไปเป็นโคเลสเตอรอลในร่างกายทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวตีบตัน ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคหัวใจ อัมพาต อัมพฤกษ์ ฯลฯ ส่วนไขมันที่ไม่อิ่มตัวจะเป็นตรงกันข้ามคือดีกว่า เช่นน้ำมันมะกอก (olive oil) หรือน้ำมันแคโนลา (canola oil) ซึ่งเป็นน้ำมันปรุงอาหารที่ดีแต่แพงหน่อย เหมาะสำหรับคนห่วงสุขภาพที่มีเงินมากหน่อย น้ำมันอย่างนี้ใช้ปรุงอาหารทำให้มีรสชาติดี กินได้ไม่ต้องฝืนมาก กินมากหน่อยก็ไม่อันตรายต่อสุขภาพมาก ในอาหารของชาวเมดิเตอเรเนียน หรือชาวฝรั่งเศสมีน้ำมันเหล่านี้มาก คนของเขาจึงเป็นโรคหัวใจขาดเลือดน้อยกว่าชาวตะวันตกอื่นๆ เคยมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำมันที่ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอกและแคโนลาปรุงอาหารทำให้นักลดน้ำหนักทนกิน diet ได้นานๆ น้ำมันเหล่านั้นต่างจากน้ำมันมะพร้าว (ในกะทิ) น้ำมันหมู น้ำมันปาล์มซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูง ไม่ดีต่อสุขภาพ นักลดน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง

การควบคุมน้ำหนักสำหรับหลายๆ คนเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากมีเหตุผลหรือทัศนคติที่ทำให้ทำยาก เหตุผลส่วนมากเราสร้างขึ้นมาเอง แล้วก็เป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขาที่เราแก้เองไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องใช้ภูมิปัญญาของคนอื่นช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น


ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546744

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด
ปากกับใจตรงกัน เมื่อไหร่ แล้วคุณไม่รู้จักยับยั้ง รับรอง ความอ้วน คงไม่หนีไปไกลจากตัวคุณแน่ ก็เพราะตามใจปาก ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ สุดท้ายก็เลยต้องศึกษาหาโปรแกรมการลดน้ำหนักมาปรับน้ำหนักตัวเองลง
ธิติมา ปฏิพิมพาคม
ปากกับใจตรงกัน เมื่อไหร่ แล้วคุณไม่รู้จักยับยั้ง รับรอง ความอ้วน คงไม่หนีไปไกลจากตัวคุณแน่ ก็เพราะตามใจปาก ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ สุดท้ายก็เลยต้องศึกษาหาโปรแกรมการลดน้ำหนักมาปรับน้ำหนักตัวเองลง ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ มีทั้งสื่อที่เป็น วีดีโอ ซีดี วีซีดี หนังสือ สถาบันลดน้ำหนักซึ่งถ้าลองทำอย่างจริงจังตั้งใจแล้วรับรองว่าได้ผลแน่นอน อย่างเราเป็นประชาชนคนอ้วนธรรมดาๆ ถ้าคิดจะลดน้ำหนักก็ควรเลือกโปรแกรมการลดน้ำหนักที่เป็นตัวเองจริงๆ หรือถ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายก็ควรจะเสียอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ปลอดภัยได้ผลมากที่สุด ก่อนอื่นถามใจคุณดูก่อนว่าเอาแน่ไหม

ว่ากันว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผลนั้น ต้องมีความตั้งใจจริง สำคัญที่สุด นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเคร่งวินัยกับตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเสียมาก การลดน้ำหนักจึงเป็นงานท้าทายที่คุณจะต้องสร้างวินัยและเคร่งครัดกับตัวเอง ในการต่อสู้กับความเคยชินโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักคือ การควบคุมอาหารให้ถูกวิธี ห้ามอดอาหาร แต่ให้ เลือก หรือจำกัดชนิดอาหารที่มีผลต่อน้ำหนัก เพิ่มการออกกำลังกายและต้องทำสม่ำเสมอ หากต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก ต้องใช้ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

ในชีวิตจริงเราใช้เครื่องทุ่นแรงกันตลอดเวลา พลังงานจึงถูกใช้น้อย ส่วนที่เกินจึงสะสมไว้ในร่างกาย เวลาที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะเลือกว่าต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่มาจากแป้ง น้ำตาล ที่กินเข้าไป หรือร่างกายจะนำไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้เป็นพลังงาน ถ้าใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติมก็จะทำให้ร่างกายผอมลง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ที่ทำควรมากกว่า 15 นาที เพื่อให้ร่างกายมีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคุณได้ออกกำลังเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็มีส่วนช่วยกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูงเป็นรายการแถมมาจากน้ำหนักที่ลดลง

การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ง่ายและไม่ทันใจ แต่วิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซึ่งให้ผลระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความเต็มใจที่จะเปลี่ยนนิสัยการกิน ควบคุมอาหาร การใช้พลังงานร่วมกับการออกกำลังกายด้วย

ความอ้วน มาจากไหน
จะเห็นว่าคนที่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปกติได้ มักจะเป็นผู้ที่มีการควบคุมพฤติกรรมการกิน และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มๆ ลดๆ ที่เรียกว่า โยโย นั้น หลังจากเลิกควบคุมอาหารแล้ว มักจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าลด เนื่องจากพยายามลดน้ำหนักแต่ทำได้ไม่สม่ำเสมอ ความจริงแล้วในช่วงแรกที่น้ำหนักลดส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของน้ำในร่างกาย ระยะต่อมาถึงจะเป็นส่วนไขมัน ส่วนที่พลอยลดไปกับไขมันด้วยโดยไม่ตั้งใจคือกล้ามเนื้อซึ่งเป็นโปรตีน หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่

หากไม่ปฏิบัติต่อจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นคือ ไขมันไม่ใช่โปรตีน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นจึงต้องออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร เป็นการเพิ่มการป้องกันไม่ให้โปรตีนในกล้ามเนื้อลดลง การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันมากกว่าพลังงานจากโปรตีนในกล้ามเนื้อ และเท่ากับเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายด้วย

อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก ต้องการลดปริมาณไขมันลงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากคิดน้ำหนักของสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แล้วไขมันจะให้พลังงานมากเป็น 2 เท่าของอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต คือ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรีคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี และโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรีเช่นกัน

พลังงานจากไขมันในอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันในร่ายกายได้ง่ายกว่าพลังงานจากโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต กรณีที่ร่างกายได้รับพลังงานเกิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต พลังงาน 2 ส่วนที่เกินนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก แต่ประสิทธิภาพการสะสมไขมันจากอาหารไขมันนั้นมีมากกว่า ดังนั้นในบางคนการลดอาหารไขมันที่อยู่ในอาหารจะช่วยลดพลังงานลงได้โดยไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหาร ถ้าอาหารนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำและมีเส้นใยอาหารสูงในแต่ละมื้อ

การลดปริมาณไขมันในอาหารไม่ง่ายนัก เพราะคนที่รับประทานอาหารประเภทไขมันมากมักจะชอบและคุ้นเคยกับรสชาติ ฉะนั้น ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากที่เคยบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก ๆ มาเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยลง น้อยลง จึงควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นวิธีที่จะได้ผลมากกว่าการที่จะงดไขมันทันที เนื่องจากต้องอดทนใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับรสชาติที่ไม่คุ้นเคย
{mospagebreak}

กุญแจสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง

รับประทานอาหารครบทุกหมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ โดยเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำแต่ไม่ใช่งดอาหารหมู่ไขมันเลย เพราะวิตามินเอ ดี อี เค ยังต้องการน้ำมันช่วยในการดูดซึม

หากทำการลดน้ำหนัก ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ อาจใช้เวลานานในกรณีที่ต้องลดน้ำหนักหลายกิโลกรัม ยกเว้นแพทย์จะเห็นสมควรให้ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ลองคำนวณพลังงานรวมของอาหารค่างๆ ที่กินลงไปในหนึ่งวันดูว่าคุณได้พลังงานเท่าไหร่จะช่วยกระตุ้นให้คุณลดอาหารลงเองโดยอัตโนมัติ

อัตราการลดน้ำหนัก ประมาณ 0.5 ก.ก./สัปดาห์ การที่จะลดน้ำหนักให้ได้สัปดาห์ละ 0.5 ก.ก. นั้น จะต้องรับประทานอาหารน้อยลงประมาณวันละ 500 แคลอรี่ คุณลองตัดรายการอาหารที่รับประทานอยู่ลงบ้างสิ

ควรตั้งเป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการจะลดอย่างเหมาะสม และมีการบันทึกน้ำหนัก สัดส่วนของร่างกายทุกสัปดาห์

ควรมีการวางแผนการรักษาน้ำหนักตัวเมื่อการลดน้ำหนักสิ้นสุดลง นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาน้ำหนักตัวไว้ในระยะยาว รวมถึงการควบคุมการกินอาหาร ซึ่งอาจต้องเพิ่มอาหารขึ้นเล็กน้อย เพื่อมิให้น้ำหนักลดลงมากกว่าที่ตั้งใจไว้

หลักการลดน้ำหนัก

ลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง แต่ละมื้อที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง อาหารที่มีไขมันสูงหมายถึง อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ไขมัน มาการีน เนื้อสัตว์ติดมัน-หนัง เนย กะทิ ซึ่งดูด้วยตาแล้วอาจบอกไม่ได้ว่าใช้น้ำมันมากหรือไม่ แต่ให้สังเกตลักษณะอาหารที่มีความมันวาวเนื้อสัมผัสนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง หรือบางอย่างจะกรอบ ตัวอย่างเช่น ผัดซีอิ้วใส่ไข่ ผัดไทย หอยทอด พาย คุกกี้ เป็นต้น ควรเลี่ยง

ระดับพลังงานไม่ควรต่ำเกินไป เพื่อให้ร่างกายยังคงได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ระดับพลังงานในการลดน้ำหนักที่ต่ำสุดและปลอดภัยใน 1 วัน คือ ต้องกินอาหารให้ได้พลังงาน 1200 แคลอรี่สำหรับผู้หญิง และ 1500 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย

อาหารสำหรับช่วงลดน้ำหนัก

ข้อแนะนำ
นม : เลือกนมพร่องไขมัน, นมไม่มีไขมัน, โยเกิร์ตรสจืด
เนื้อสัตว์ 1 ส่วน : หมายถึง เนื้อสัตว์ชิ้นขนาดกล่องไม่ขีดไฟ (เล็ก) หรือสับละเอียดขนาด 2 ช้อนโต๊ะ หรือลูกชิ้น 5 - 6 ลูก หรือหั่นบางๆ 5 - 6 ชิ้น หรือไข่ 1 ฟอง หรือกุ้งขนาด 2 นิ้ว 4 - 5 ตัว หรือปลาทู ½ ตัว
ข้าว 1 ส่วน : สามารถเลือกกินขนมปัง 1 แผ่น หรือข้าวสุก 5 ช้อนโต๊ะ หรือข้าวต้ม 2 ทัพพี หรือขนมปังกรอบ 2 แผ่น
ผลไม้ 1 ส่วน : เช่น มะละกอสุก 8 ชิ้นเล็ก หรือมะม่วงดิบ 3 ชิ้นยาว หรือลูกตาล 3 ลอน หรือสับปะรด 8 ชิ้นเล็ก หรือฝรั่ง 1 ผลเล็ก หรือแอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก
ผัก : ควรเลือกผักที่มีสีเขียวเข้ม สีแดง สีส้ม สีเหลือง
ไขมัน : ควรเลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว หรือบางมื้ออาจใช้เนย ½ ก้อนเล็ก หรือหัวกะทิ 2 ช้อนกินข้าว แทนไขมัน 1 ช้อนชา

เพิ่มกิจกรรมของการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญของการลดน้ำหนัก โดยใช้หลักของความสมดุลในการกิน ถ้ากินมากใช้พลังงานมาก-น้ำหนักคงที่ ถ้ากินมากใช้พลังงานน้อย-น้ำหนักเพิ่ม ถ้ากินน้อยใช้พลังงานมาก-น้ำหนักลด นั่นคือความสำเร็จในการรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนได้ตลอดไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546755

ลดไขมันวิธีไหนดีที่สุด

ลดไขมันวิธีไหนดีที่สุด!!
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานเริ่มทักบ่อยๆ ว่าหมู่นี้ดูตัวใหญ่ขึ้น และตัวเราเองก็แน่ใจว่าเราไม่ได้ไปออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ไหน ประกอบกับเสื้อผ้าที่ใสเริ่มจะคับขึ้น ก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่มันทำให้เราดูอวบๆ ขึ้นมาคือไขมันส่วนเกินเป็นแน่แท้
นพ. สมพล สงวนรังศิริกุล
ในขณะที่เรามีการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือมีกิจการรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งที่ตามมาก็มักจะเป็นลักษณะของงานที่ต้องใช้เวลาในการนั่งคิดและวางแผน การประชุมปรึกษาหารือ มากกว่าลักษณะงานที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย จึงไม่แปลกเลยที่เห็นท่านผู้มีความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน มักจะมีรูปร่างที่ดูอ้วนท้วนสมบรูณ์ขึ้น และสาเหตุที่มีรูปร่างแบบหุ่นอาเสี่ยนี้ ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเกิดจากการสะสมของไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นจากการที่มีการกินอาหารเกินความต้องการของร่างกายนั่นเองเมื่อไหร่ก็ตามที่คนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานเริ่มทักบ่อยๆ ว่าหมู่นี้ดูตัวใหญ่ขึ้น และตัวเราเองก็แน่ใจว่าเราไม่ได้ไปออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ไหน ประกอบกับเสื้อผ้าที่ใส่(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกง) เริ่มจะคับขึ้น ก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่มันทำให้เราดูอวบๆ ขึ้นมาคือไขมันส่วนเกินเป็นแน่แท้ หรือถ้าอยากให้แน่ใจก็ต้องไปชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง แล้วมาคำนวณหา ค่าดัชนีมวลกายกันดูก่อนว่า ตัวเรานี่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินหรืออ้วนกันแน่ ดัชนีมวลกายนั้นคำนวณได้จากน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วยค่าของส่วนสูง(เมตร)ยกกำลังสอง ถ้าค่าที่คำนวณได้น้อยกว่า 25 ถือว่าปกติ ค่าระหว่าง 25 -30 ถือว่าน้ำหนักเกิน และถ้ามากกว่า 30 ก็เรียกได้ว่าอ้วนแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าคำนวณแล้วพบว่าเพิ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินนิดหน่อยแล้วปลอบใจตัวเองว่า ยังอีกนานกว่าจะอ้วนจริงๆ จงพึงระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำให้ดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากร่างกายมีปริมาณไขมันเพิ่มขึ้นทั้งนั้น เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่น้ำหนักอาจจะขึ้นอีกหลายกิโลก็ได้ และการลดน้ำหนักนั้นถ้ารีบลดในช่วงน้ำหนักเกิน จะได้ผลดีกว่าช่วงที่อยู่ในเกณฑ์อ้วน หรือท่านผู้ใดอยากรู้มากกว่านั้นว่าร่างกายมีไขมันกี่เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คงต้องอาศัยเครื่องมือที่วัดปริมาณโดยเฉพาะซึ่งก็มักจะมีในสถานพยาบาลที่เกี่ยวกับการดูแลเรื่องโรคอ้วน โดยปริมาณไขมันในร่างกายมากเกินไปก็คือปริมาณที่มากกว่า 20% ในผู้ชาย และ 30% ในผู้หญิง

เมื่อในร่างกายเรามีไขมันสะสมมากเกินไปจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น โรคของระบบ ข้อ กระดูก และกล้ามเนื้อจากการที่มีน้ำหนักตัวมากขึ้น โรคของระะบบหัวใจและหลอดเลือด รวมไปทั้งโรคเบาหวาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องพยายามให้ไขมันในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยมีหลักการง่ายๆ (แต่ปฏิบัติได้ยาก)อยู่ 2 ประการคือ การควบคุมไม่ให้มีการสะสมเพิ่มขึ้น และการลดไขมันส่วนเกินลงให้อยู่ในระดับปกติ

การควบคุมไม่ให้มีการสะสมเพิ่มขึ้น ได้แก่ การควบคุมการกิน ทั้งชนิดของอาหาร และพฤติกรรมการกิน การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการกินนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะบางครั้งรสชาติเย้ายวนของอาหาร และความเคยชินมันทำให้เรากินมากเกินความต้องการของร่างกายโดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น อาหารว่างจำพวก ชา กาแฟ และขนมเบเกอรี่ และอาจจะมีผลไม้ร่วมด้วยในระหว่างการประชุมต่างๆ จะสังเกตเห็นว่ามากกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมประชุม จะรับประทานทุกอย่างที่มีการจัดหามาให้จนหมด ทั้งๆ ที่ อีกไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงก็จะมีการรับประทานอาหารมื้อหลักกันแล้ว แบบนี้ไม่นานก็คงได้มีการเปลี่ยนขนาดรอบเอวของกางเกงเป็นแน่ หลักโดยทั่วไปก็คือให้ค่อยๆ ลดการกินอาหารกลุ่มที่มีรสหวาน และกลุ่มอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันในสัดส่วนที่สูงลงไปเรื่อยๆทีละน้อยในแต่ละวัน เพราะอาหารเหล่านี้แต่ละอย่างนี่อร่อยทั้งนั้นขืนลดลงแบบหักดิบไม่เคยเห็นใครสำเร็จซักราย

สำหรับการลดไขมันในส่วนที่เกิน ถ้าไม่นับการดูดไขมันโดยวิธีทางศัลยกรรมแล้ว การที่ทำให้กล้ามเนื้อมีการทำงานในระดับเบาๆ และเป็นเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ถือเป็นการทำให้ร่างกายนำเอาสารไขมันไปใช้ประโยชน์ในการเป็นแหล่งพลังงานในกล้ามเนื้อมากที่สุด เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงเหตุผลข้างต้น ผมขอเล่าถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ แบบย่อพอให้เข้าใจ

คือ ตามปกติกล้ามเนื้อจะได้สารพลังงานเพื่อใช้ในการหด-คลายตัวของกล้ามเนื้อจากสารต่างๆ ดังนี้

สาร ATP และ creatine phosphate สารทั้งสองตัวนี้เป็นสารที่เกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีในกล้ามเนื้อแล้วสลายให้พลังงานเพื่อใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อได้รวดเร็วมาก แต่สารนี้ถูกเก็บสะสมในกล้ามเนื้อในปริมาณที่น้อย ว่ากันว่าถ้ากล้ามเนื้อใช้เฉพาะสารทั้งสองชนิดนี้เป็นสารให้พลังงาน กล้ามเนื้อจะสามารถหดและคลายตัวได้ประมาณ 100 ครั้ง(หรือในเวลาประมาณ 20 วินาที )ก็ใช้หมดแล้ว

สารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น glycogen ที่สะสมในใยกล้ามเนื้อและในตับ ถือว่าเป็นสารพลังงานที่สำคัญที่สุดในการทำงานของกล้ามเนื้อ เพราะถ้ากล้ามเนื้อมีความต้องการใช้สารพลังงานในปริมาณที่มากและมีอัตราการความต้องการสารพลังงานต่อหน่วยเวลาที่สูง เช่น การวิ่งแข่งระยะสั้น เซลล์กล้ามเนื้อก็จะมีการสลาย glycogen ที่เก็บสะสมไว้ในเซลล์ โดยปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบไม่ต้องอาศัยออกซิเจน (glycolysis) ซึ่งจะให้สารพลังงานที่สามารถทำให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่ประมาณ 2 นาทีแล้วจะเกิดการเหมื่อยล้าตามมา จากสาเหตุที่ ปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบไม่ต้องอาศัยออกซิเจนทำให้มีกรด lactic สะสมในกล้ามเนื้อ แต่ถ้ากล้ามเนื้อไม่ได้มีความต้องการพลังงานในอัตราที่สูงมากนัก เช่น การวิ่งจอกกิ้ง การเต้นแอโรบิก เซลล์กล้ามเนื้อจะใช้ปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบอาศัยออกซิเจนซึ่งจะให้สารพลังงานได้มากกว่าและไม่มีการสะสมของกรดlactic กล้ามเนื้อจะทำงานได้นานกว่าและเกิดการเหมื่อยล้าน้อยกว่า

สารไขมัน (free fatty acid และ triglyceride) ในกล้ามเนื้อและในเซลล์ไขมัน สารนี้จะให้พลังงานมากกว่าสารกลุ่มคาร์โบไฮเครตถึงกว่า 10 เท่า แต่มีข้อเสียคือปฏิกิริยาทางชีวเคมีดังกล่าวนั้นมีอัตราการสร้างสารพลังงานต่อหน่วยเวลาค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับสารคาร์โบไฮเดรต{mospagebreak}

มีงานวิจัยในคนเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ พบว่าถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานอย่างเต็มที่กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากสาร ATP creatine phosphate และขบวนการ glycolysis เป็นหลัก โดยไม่มีการสลายไขมันเพื่อการสร้างพลังงานเลย ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานประมาณ 80% ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันเพียง 25% ถ้ากล้ามเนื้อทำงานประมาณ 60% ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันและ คาร์โบไฮเดรตในปริมาณ เท่าๆ กัน และที่น่าสนใจก็คือ ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานเพียง 25% ของความสามารถสูงสุด และใช้เวลาการทำงานมากกว่า 60 นาที กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันถึง 80 % และเกือบทั้งหมดเป็นการได้พลังงานจากการสลายไขมันที่สะสมอยู่นอกกล้ามเนื้อดังนั้นจะเห็นว่าถ้าต้องการจะลดปริมาณของไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายเป็นหลัก คงต้องหากิจกรรมที่มีการทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่หนักเกินไปอยู่ที่ประมาณ 20-30 % ของความสามารถที่ทำงานเต็มที่ เช่น การเดินเร็วๆ การขยับแขนขาในท่ากายบริหาร หรือแม้แต่การทำงานบ้าน แล้วก็ทำกิจกรรมเหล่านั้นเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไปทุกๆ วัน ไขมันส่วนเกินก็จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ รูปร่างที่เคยดูดีก็จะกลับมาดังเดิม แต่คงไม่ได้ใช้เวลาแค่ชั่วข้ามวัน คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงเห็นผลชัดเจน และจะเห็นผลเร็วขึ้นถ้ามีการควบคุมอาหารที่ดี



ขณะที่กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่นิยมกันไม่ว่าจะเป็นการวิ่งจอกกิ้ง การเต้นแอโรบิก รวมไปทั้งชนิดของกีฬาต่างๆ ก็มักจะมีการออกกำลังกายในรูปแบบของการที่กล้ามเนื้อต้องมีการทำงานในความหนักที่เกินกว่า 50% การใช้สารอาหารเพื่อสร้างพลังงานจึงมาจากสารอาหารที่เก็บสะสมไว้ในกล้ามเนื้อมีการใช้ไขมันน้อยกว่ากิจกรรมที่ใช้พลังงานกล้ามเนื้อเพียง 20-30% ซึ่งภายหลังจากการออกกำลังกายร่างกายก็จะมีขบวนการสร้างและเก็บสะสมสารอาหารในกล้ามเนื้อให้กลับมาเหมือนเดิม ผลที่ตามมาของขบวนการเหล่านี้ก็คือจะทำให้มีความรู้สึกอยากกินอาหารมากขึ้นภายหลังจากการออกกำลังกาย



นอกจากนี้การออกกำลังกายที่นิยมกันบางชนิด เช่น การวิ่ง หรือการร่วมกลุ่มเต้นแอโรบิก นั้นคงจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินในเกณฑ์อ้วน เพราะนอกกจากจะต้องมีการออกแรงในการวิ่งหรือเต้นมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติแล้ว ยังจะมีโอกาสทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อระบบข้อโดยเฉพาะข้อเข่า ข้อเท้าได้ง่ายกว่าอีก อาการ เหนื่อย เหมื่อย ร้อน เบื่อ หิว ก็จะเริ่มเข้ามารบกวน แล้วจะหากำลังใจจากไหนมาช่วยเสริมให้สู้ต่อไป สุดท้ายก็เลิก



ถ้าคุณที่เคยไปกินอาหารตามร้านอาหารที่มีคนเข้าเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายข้าวขาหมู ร้านขายข้าวมันไก่ ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือร้านซีฟู้ด สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นก็คือพนักงานที่ทำหน้าที่ในการนำอาหาร เก็บถ้วยชาม จะหาคนที่มีรูปร่างดูอ้วนได้น้อยมาก ถ้าเห็นอ้วนก็มักจะเป็นเจ้าของร้านหรือพ่อครัวซะเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่คนรับใช้ในบ้านก็เช่นเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านี้กินอาหารเป็นเวลา ซึ่งแต่ละมื้อนั้นกินปริมาณมากพอสมควร แต่ลักษณะงานที่ทำต้องเคลื่อนไหวใช้กำลังกล้ามเนื้อแขน ขา เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง และทำอยู่เป็นกิจวัตร



โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมถือว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีและเห็นผลจริง น่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณาโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ ที่มีตามสื่อทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่อยากอ้วน ก็ต้องทำตัวเป็นเด็กรับใช้หรอกนะครับ เพียงถ้าคุณมีการนำเอาลักษณะการทำงานของกลุ่มคนเหล่านี้มาปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับวิถีการดำเนินกิจวัตรประจำ วันของคุณเองก็คงจะเป็นการส่งเสริมให้มีร่างกายที่สมส่วนรวมไปถึงการมีสุขภาพที่ดีได้เหมือนกัน



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546750

ลดน้ำหนักได้...ไม่ต้องอดอาหาร

ลดน้ำหนักได้...ไม่ต้องอดอาหาร
เซลลูไลท์ที่ขา สะโพกที่ใหญ่ ไขมันที่หน้าท้องเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์สำหรับสาวๆ ใครมีไขมันส่วนเกินก็กลัวว่าจะใส่เสื้อผ้าที่แอบเซ็กซี่นิดๆ แล้วไม่สวย จึงหันไปไดเอท อดอาหาร ออกกำลังกายหักโหม เพื่อรีดไขมัน
กฤษฎี โพธิทัต
พวกนี้ออกไป แต่ผู้ที่เริ่มไดเอท ส่วนมากก็จะเลิกไดเอทเอาง่ายๆ น้ำหนักที่ลดลงกลับเพิ่มขึ้นมาใหม่ และอาจมากกว่าเดิม
คงจะเคยได้ยินคนที่กำลังลดน้ำหนักพูดว่า ทำไม่ได้เพราะอดใจไม่ไหว หรือ ตบะแตก กันบ้าง นั่นเป็นเพราะอดอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะห้ามตนเองกินสิ่งที่ชอบ อาหารช่วงไดเอทอาจซ้ำซากจำเจ เมื่ออดมากๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่มีแรง รู้สึกหิวโหยในช่วงเย็น และลงเอยโดยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เสียความมั่นใจในตนเอง วงจรของการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มาเลิกไดเอทกันเถอะค่ะ
ถ้าคุณเผชิญกับปัญหาน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ จากการไดเอท คุณควรรู้จักวิธีจัดการกับอาหารที่ชอบ ไม่ใช่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง คุณสามารถรับประทานอาหารที่ชอบได้ทุกวันในปริมาณที่พอเหมาะ การทำเช่นนี้จะทำให้ความอยากอาหารลดลง การลดน้ำหนักจะประสบผลสำเร็จและถาวรมากขึ้น

การลดน้ำหนักเพื่อให้สุขภาพดี และประสบความสำเร็จนั้นต้องให้ความสำคัญกับ

ปริมาณอาหารที่รับประทาน
เวลาที่รับประทาน
ทำไมถึงรับประทาน

ก่อนที่จะตั้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักลงเท่าใดนั้น ควรประเมินสรีระของร่างกายตนเองก่อน ผู้ที่หนัก 130 กิโลกรัม และมีไขมันในตัวมาก จะลดน้ำหนักลงได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อเยอะ และต้องการลดน้ำหนักลงเพียงแค่ 5 กิโลกรัม พันธุกรรมก็มีส่วนเป็นตัวกำหนดน้ำหนักที่ควรเป็นด้วยเหมือนกัน

7 ขั้นตอนเพื่อลดไขมันส่วนเกิน

จดบันทึกอาหารที่รับประทาน และเครื่องดื่มต่างๆ อย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้ควรบันทึกว่าทำไมถึงรับประทาน อาจจะไม่ใช่เพราะความหิว แต่เป็นเพราะ อยาก เบื่อ เหงา เศร้า หรือหงุดหงิด งานวิจัยพบว่าผู้ที่จดบันทึกอาหารสามารถลดน้ำหนักได้ผลดีกว่าผู้ที่ไม่บันทึก การจดบันทึกนี้จะทำให้เห็นแบบอย่างลักษณะการบริโภคที่นำไปสู่ความอ้วนได้ เช่น ใช้ขนมเป็นตัวปลอบใจขณะที่รู้สึกเศร้า หรือรับประทานอาหารในช่วงวันน้อยมาก จึงทำให้หิวมากในช่วงเย็น เป็นต้น เมื่อทราบเช่นนี้จะช่วยให้มีกลยุทธ์ในการแก้ไขพฤติกรรมอย่างถูกต้อง อาจเป็นการหาวิธีอื่นที่ไม่ใช้อาหารเป็นการปลอบใจหรือเป็นรางวัล เช่น การคุยกับเพื่อน ออกไปเดินเล่น ทำสวน ทำเล็บ อาบน้ำสัตว์เลี้ยง เป็นต้น นอกจากนี้ควรบันทึกเวลาที่ออกกำลังกายด้วย เพื่อดูนิสัยการออกกำลังกาย

เน้นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เพราะจะทำให้มีแรงทำงาน และออกกำลังกายในช่วงเย็น ถ้าต้องการพลังงานวันละ 1300 แคลอรี่ ให้แบ่งแคลอรี่แต่ละมื้อเป็น 500-500-300 (เช้า-กลางวัน-เย็น)

รับประทานอาหารช้าๆ งานวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารเร็วกว่าสมองจะใช้เวลารับรู้ว่าท้องอิ่มประมาณ 20 นาที ดังนั้นการกินอาหารช้าๆ จะทำให้ได้รับรู้รสชาติของอาหารมากขึ้น ทำให้เกิดความพึงพอใจ เพลิดเพลินกับการรับประทาน ถ้าใครรู้ว่าตัวเองมีนิสัยการกินอาหารเร็วควรฝึกตนเองให้กินช้าลง โดยวางช้อนส้อมระหว่างคำ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนที่รับประทานด้วย

เลือกรับประทานที่ชอบ การปฏิเสธอาหารที่ชอบจะทำให้มีความอยากมากขึ้น จนทนไม่ไหว ควบคุมตนเองไม่ได้ และทำให้กินอาหารมากเกินควรภายหลัง แต่ถ้าอนุญาตตนเองให้กินอาหารที่ชอบที่อยากกินในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงและสามารถควบคุมตนเองได้ อาจใช้วิธีแลกเปลี่ยนอาหาร เช่น ถ้าอยากรับประทานโดนัท 1 ชิ้น 200 แคลอรี่ ให้ลดปริมาณข้าวลง 2 ทัพพี และเลือกอาหารไขมันต่ำในมื้อถัดไป การวางแผนล่วงหน้าจะป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินควร

หลีกเลี่ยงการมีขนมไว้ยั่วยวนใจ โดยการไม่ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน หรือถ้าซื้อมาให้คนอื่นในครอบครัวให้เก็บไว้ในตู้ เพราะถ้าไม่เห็นก็จะไม่นึกถึง และไม่เอาเข้าปาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในครัว อาจพิจารณาย้ายไปห้องนั่งเล่นเพื่อทำกิจกรรมอื่นหรือเพื่อผ่อนคลาย ถ้าไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอาหารขายเยอะๆ เวลากลับมาบ้านแทนที่จะเดินเข้าห้องครัวทันทีเพื่อหาอะไรรับประทาน ให้เปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนก่อนที่จะเข้าห้องครัว

มีแบบแผนการรับประทานที่มีความเป็นไปได้ นั่นคือมีความยืดหยุ่นกับตนเองบ้าง ชีวิตเราในแต่ละวันมีความแตกต่างกันออกไป บางวันเครียด บางวันสบาย บางวันมีงานเลี้ยง ถ้าเผลอรับประทานเยอะหน่อยที่งานเลี้ยงก็ไม่ต้องลงโทษตัวเองจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ให้เลือกอาหารที่ เบาๆ ในวันถัดมา จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม

จัดตารางเวลาให้กับการออกกำลังกายและจดลงในสมุดนัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำและมีงานยุ่ง ประโยชน์ของการออกกำลังกายนั้นมีมากมาย นอกจากจะเป็นวิธีเผาผลาญพลังงานแล้วยังช่วยคลายเครียด กระชับกล้ามเนื้อและทำให้มีสุขภาพดี แต่ข้อสำคัญคือ ควรเพลิดเพลินสนุกไปกับการออกกำลังกายด้วย เพราะถ้าใช้การออกกำลังกายเป็นบทลงโทษตนเอง หรือเพื่อเพียงเผาผลาญพลังงานแล้วจะทำให้รู้สึกเบื่อและเลิกไปในที่สุด ควรเลือกกิจกรรมที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นลาตินก็ตาม แนะนำให้ออกกำลังกาย 30-60 นาที 4-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเพิ่มน้ำหนัก


ที่มาข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today/http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546751

วิธีลดน้ำหนักแบบทันใจ

วิธีลดน้ำหนักทันใจ
หากคุณกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักกระชับสัดส่วนและเกิดความรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย หรืออยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เพราะลดน้ำหนักไม่ได้ตามแผนที่ตั้งใจ เรามีคำแนะนำและวิธีการลดน้ำหนักมาฝาก
เพื่อช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
เพิ่มปริมาณผักในมื้ออาหารมากขึ้น แทนที่จะกังวลหรือจำกัดปริมาณอาหารที่จะรับประทานในแต่ละมื้อ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายอิ่มพอดี ไม่รับประทานอาหารในปริมาณมากจนเกินพอดี

ระวังน้ำสลัด อาหารประเภทสลัดที่หลายคนนิยมรับประทานเพราะเข้าใจว่าให้พลังงานต่ำ อาจเร่งให้น้ำหนักยิ่งเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากน้ำสลัดชนิดต่างๆ ที่มีส่วนผสมของมายองเนส ไข่แดงหรือน้ำมันมาก รวมทั้งของที่โรยหน้าสลัด เช่น ชีสขูดฟอย ขนมปังอบกรอบหรือเบคอนทอด

มีความสุขกับรสชาติอาหาร สาเหตุของผู้ที่รับประทานอาหารปริมาณมากเกินมาจากอาหารที่มีรสชาติคุ้นเคย ยิ่งอร่อยถูกใจก็ยิ่งรับประทานเร็วและมากแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นหากชอบรับประทานอาหารเมนูใดให้ค่อยๆ ชิมและรับรู้รสชาติอาหารช้าๆ แทนที่จะเคี้ยวและรีบกลืน เพื่อป้องกันการรับประทานมากเกิน

ใช้ภาชนะเล็กเพื่อควบคุมปริมาณอาหาร จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนลทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของขนาดจานที่ใส่และความต้องการในการรับประทานอาหาร พบว่า มากกว่า 53% ของคนที่รับประทานขนมที่ใส่ในชามใหญ่จะขอเติมมากกว่าขนมที่ใส่ชามเล็ก ส่วนมหาวิทยาลัยอีลินอยส์ ทดลองด้วยการใส่น้ำผลไม้ในแก้ว 2 รูปทรงคือ ทรงสูงและแคบ กับเตี้ยและกว้าง จากการเสริ์ฟพบว่าคนที่ดื่มน้ำผลไม้แก้วสูงและแคบ ขอเติมน้ำผลไม้น้อยกว่าคนที่ดื่มจากแก้วเตี้ยและกว้าง

จดรายการอาหารที่รับประทานทุกวัน เพื่อตรวจสอบว่ารับประทานอาหารชนิดใดเข้าไปบ้างในแต่ละวัน ทั้งนี้จะทำให้ตนเองรู้จักควบคุมและปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารได้ในมื้อต่อๆ ไป

สุดท้ายเพื่อให้ได้ผลดังที่ตั้งใจไว้ อย่าลืมออกกำลังกายควบคู่อย่างเหมาะสมด้วยนะคะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

โยคะเพื่อการลดน้ำหนัก

โยคะเพื่อการลดน้ำหนัก
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน การฝึกโยคะเป็นประจำจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานมากขึ้น แทนการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกของกระดูกและข้อต่างๆ
คุณคงเคยได้ยินกันถึงวิธีการฝึกโยคะเพื่อรักษาสุขภาพกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ และทราบไหมคะว่า การเล่นโยคะนั้นนอกจากจะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ และเป็นการฝึกสมาธิแล้ว ครั้งนี้เราจึงเชิญ อ.สุธีร์ พันทอง อาจารย์สอนโยคะผู้มีประสบการณ์มานานปี ซึ่งปัจจุบันนำการสอนอยู่ที่สถานฝึกโยคะ โยคะสุตรา มาแนะนำท่าโยคะบางท่าซึ่งคัดเลือกมาแล้วว่าเหมาะสำหรับคนน้ำหนักเกิน เพื่อคุณอาจนำมาทดลองฝึกได้ด้วยตัวเอง

ท่าโยคะเพื่อการลดน้ำหนักนี้ประกอบไปด้วย 3 ชุดย่อย โดยดัดแปลงมาจากชุดท่าสุริยะนมัสการ หรือท่าไหว้พระอาทิตย์ ตามแนวการสอนแบบแอทแทงก้า (Attanga) ซึ่งจะเน้นการกระโดด ใช้กำลังของแขนและขามากหน่อย ช่วยกระตุ้นความร้อน โดยให้เราได้ออกแรงฝึกพลังกล้ามเนื้อจากการเคลื่อนไหว ไปพร้อมๆ กับฝึกจังหวะหายใจ ถ้าใครทำได้ต่อเนื่องก็จะสามารถปรับกล้ามเนื้อให้อยู่ตัว ช่วยในเรื่องระบบการควบคุมอาหารโดยอัตโนมัติ กินได้น้อยลง และการเผาผลาญอาหารดีขึ้น จากการหายใจที่ถูกต้อง

ก่อนจะเริ่มเล่นท่าต่างๆ เราควรเริ่มจากหาสถานที่ฝึกที่สงบเงียบ สะอาด และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หาเบาะแบนๆ สักผืนปูรองไว้ แล้วมาเริ่มจากการฝึกการหายใจให้ถูกหลักวิธีก่อน นั่นคือ ขณะหายใจเข้าแทนที่จะเก็บลมหายใจไว้ที่ปอด (อกพองท้องแฟ่บ) ตามความเคยชิน ให้กำหนดลมหายใจเข้าไปเก็บไว้ที่ท้อง สังเกตโดยเมื่อหายใจเข้า กระบังลม 2 ข้างขยาย และท้องป่อง เมื่อผ่อนลมหายใจออก ท้องจะแฟ่บลง หากใครยังงง ก็ลองสังเกตการหายใจเวลาที่เรานอนราบกับพื้น หรือเวลานอนหลับ เพราะธรรมชาติเราจะกำหนดการหายใจให้เป็นไปเช่นนี้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการสร้างเม็ดเลือด และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ได้เต็มที่ยามที่เรานอน

ชุดท่าไหว้พระอาทิตย์ แนว attanga แต่ละท่าให้ทำช้าๆ ไม่ต้องรีบ ให้สัมพันธ์กับจังหวะการหายใจ ท่าไหนที่ต้องทำค้างไว้ ให้นับ 1-5 ก่อนเปลี่ยนท่า

ท่าชุดที่ 1
พนมมือ หายใจเข้ายกมือขึ้น / หายใจออกลดมือลง วางพื้น / โดดเท้าไปข้างหลัง /
หายใจเข้าแหงนหน้า / หายใจออกยกสะโพก ลดศีรษะ / ก้าวขวาใกล้มือ /
หายใจเข้ายกมือพนมสูง / ลดมือลง วางพื้น / ถีบขวาไปข้างหลัง /
หายใจเข้าแหงนหน้า / หายใจออกยกสะโพก ลดศีรษะ / ก้าวซ้าย ใกล้มือ /
หายใจเข้ายกมือพนมสูง / ลดลงวางพื้น / เกร็งซ้ายไปหลัง /

ท่าชุดที่ 2
หายใจเข้าแหงนหน้า / หายใจออกยกสะโพก / มองข้างหน้า ก้าวขวาใกล้มือ / เหยียดแขนขวา /
หายใจเข้า หายใจออกลดขวา เหยียดซ้ายขึ้นบนมองตาม / ลดมือซ้ายวางพื้น / ดึงขวาไปหลัง /
หายใจเข้าแหงนหน้า / หายใจออกยกสะโพก / ก้าวซ้าย ใกล้มือ / เหยียดซ้าย /
หายใจเข้า / หายใจออกลดซ้าย / เหยียดขวาขึ้นบนมองตาม / ลดมือขวาวางพื้น / เกร็งขาซ้ายไปหลัง

ท่าชุดที่ 3
หายใจเข้าแหงนหน้า / หายใจออกยกสะโพก / ก้าวขวาใกล้มือ / เหยียดขวา /
หายใจเข้า หายใจออกลดขวา เหยียดซ้ายขึ้นบนมองตาม /
ลดศอกซ้าย ค้ำเข่า พนมมือ / ลดมือลง วางพื้น / ดึงขวาไปหลัง
หายใจเข้า แหงนหน้า หายใจออก ยกสะโพก ก้าวซ้ายใกล้มือ เหยียดซ้าย
หายใจเข้า หายใจออก ลดซ้าย เหยียดขวาขึ้นบนมองตาม
ลดศอกขวา ค้ำเข่า พนมมือ / ลดมือลง วางพื้น ดึงซ้ายไปหลัง
หายใจเข้า แหงนหน้าขึ้น หายใจออก ยกสะโพก ลดศีรษะ
มองข้างหน้า งอเข่า แล้วกระโดดดึงเท้ามาจบที่มือ /
หายใจเข้า แหงนหน้าขึ้น เหยียดแขน แอ่นท้อง / ลดลง

เวลาที่ฝึกโยคะที่ตำราโยคะแนะนำก็คือ ในช่วงเช้ามืดตอนพระอาทิตย์ขึ้น หรือช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์ตก หรือหากคุณไม่สะดวกก็อาจเลือกฝึกก่อนเริ่มภารกิจประจำวัน และหากเป็นไปได้ให้ฝึกอีกครั้งในช่วงหัวค่ำ แต่ไม่ว่าจะเลือกฝึกโยคะเวลาใด สิ่งสำคัญคือการฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทั้งด้านสถานที่และเวลา จะทำให้คุณได้รับผลดีจากการฝึกโยคะได้เต็มที่นะคะ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
ขอบคุณ : โยคะสุตรา ชั้น 23 สาทรนครทาวเวอร์ เอื้อเฟื้อข้อมูลและสถานที่

กินอย่างไรให้ไม่อ้วน

กินให้ไม่อ้วน ได้ไม่ยาก !
เพื่อควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลเราไม่แนะนำให้คุณงดมื้ออาหาร แต่ขอแนะนำให้คุณลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารดู
ธิติมา ปฏิพิมพาคม
การได้กินของอร่อยๆ เป็นเรื่องสำคัญมากของชีวิต ได้ลิ้มรสอาหารถูกปาก ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ถึงแพงเท่าไหร่ ถ้าอร่อยซะอย่าง ราคาไม่เกี่ยง การหาความสุขด้วยการกินแบบนี้เชื่อว่าคงมีหลายคนเป็นเหมือนกันและปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสุขชั้นเยี่ยมของชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นใครก็ตามที่ตามใจปากโดยมิอาจยับยั้งชั่งใจ ก็ไม่ต้องเสียใจภายหลังหากเป็นโรคอ้วน ครั้นจะกลับมาลดน้ำหนักลงก็คงลำบากเพราะความเชยชินกับการกินเท่าไรเท่ากัน

อาจจะไม่คุ้นเคยในเบื้องต้น แต่ถ้าพยายามชั่งใจทุกครั้งที่กินไม่นานคุณก็จะชิน และกลายเป็นนิสัยการกินที่ดีอย่างถาวร ตราบนั้นคุณก็สบายใจได้เรื่องน้ำหนักตัว

ตามปกติทั่วไปใน 1 วันคนเราวัยต่างๆ มีความต้องการชนิดและปริมาณของอาหาร ดังนี้คือ
1,600 กิโลแคลอรี สำหรับเด็กอายุ 6 - 13 ปี หญิงวัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
2,000 กิโลแคลอรี สำหรับวัยรุ่นหญิง - ชาย อายุ 14 - 25 ปี วัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี
2,400 กิโลแคลอรี สำหรับหญิง - ชาย ที่ใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา

เทียบออกมาเป็นประเภทอาหารให้เห็นได้ชัดขึ้นตามตารางนี้

หมายเหตุ เลขใน() คือปริมาณแนะนำสำหรับผู้ใหญ่

การควบคุมน้ำหนักให้ได้ดี คือในแต่ละวันต้องควบคุมปริมาณการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงแล้วเลือกกินอาหารที่ให้พลังงานต่ำๆ แทน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้พลังงานเกินความต้องการ เพราะพลังงานส่วนเกินนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คุณลองมาเลือกลดอาหารประเภทต่างๆ ตามนี้ดู...

ข้าว ข้าว 1 จานให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี (ประมาณ 2 ทัพพีครึ่ง) ถ้าลดข้าวมื้อละ 1 ทัพพีใน 1 วัน จะลดพลังงานได้ถึง 300 กิโลแคลอรี

เนื้อสัตว์ เลือกกินปลา เป็ด ไก่ ไม่ติดหนัง ดีกว่าเลือกหมูเนื้อล้วน เพราะเนื้อหมูมีไขมันแทรกแต่มองไม่เห็น

ผลไม้ เลือกกินผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง แตงโม มะม่วงดิบ พุทรา แคนตาลูป ดีกว่าผลไม้ที่หวานจัดให้พลังงานสูง เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่

ผัก ควรเลือกกินให้มากเพราะให้พลังงานน้อย แต่ได้คุณค่าสารอาหารมาก มีเส้นใยอาหารมาก ผักบางชนิดทำให้อิ่มนาน การกินผักเยอะๆ ช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้ดูมาก แต่พลังงานนิดเดียว เหมาะมากสำหรับผู้คุมน้ำหนัก

น้ำมัน / กะทิ น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา ให้พลังงานสูงถึง 45 กิโลแคลอรี ถ้าประกอบอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ ตุ๋น ยำ จะช่วยลดพลังงานจากการใช้น้ำมันปรุงได้มากทีเดียว อาหารทอดใช้น้ำมันอย่างน้อย 2 ช้อนโต๊ะ นั่นเกือบ 300 กิโลแคลอรี กะทิ 1 ถ้วยแกง จะมีหัวกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ พลังงานเท่ากับไขมัน 2 ช้อนชา ถ้าเลือกกินแกงส้ม ต้มยำ แทนแกงกะทิ ก็ลดพลังงานได้กว่า 100 กิโลแคลอรี

น้ำตาล ขนมหวาน 1 ถ้วย หรือ 1 ชิ้น จะให้พลังงานได้ 120 กิโลแคลอรี แต่ถ้าเทียบกับผลไม้ ขนมหวานจะให้พลังงานเป็น 3-4 เท่า ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของกะทิอยู่ด้วยก็บวกพลังงานเพิ่มเข้าไปอีก เลือกกินผลไม้แทนดีกว่า

เครื่องดื่ม น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เรียกน้ำหนักได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ 1 แก้วให้พลังงาน 20-60 กิโลแคลอรี

อาหารระหว่างมื้อ จริงๆ ไม่ควรกินบ่อยๆ เพราะลำพังอาหารมื้อหลักก็พอเพียง อาหารระหว่างมื้อ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล ไขมัน เนย เช่น คุ้กกี้ ถ้ารวมเครื่องดื่มด้วยก็จะได้พลังงานไม่น้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี ถ้าอดไม่ได้ให้เลือกผลไม้ชนิดที่ไม่หวานแทน จะได้พลังงานต่ำลง เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ด้วย

จากข้อแนะนำในการเลือกชนิดอาหารแล้ว ครานี้คุณต้องลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยการกินอาหารดูบ้าง

เทคนิคในการควบคุมพฤติกรรมการกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก

กินอาหารในที่ที่จัดเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น เช่น ในห้องอาหาร ที่โต๊ะอาหาร ไม่เดินกิน หรือซื้อของกินตามทาง ไม่หาของกินมาไว้ที่โต๊ะทำงาน ไม่กินขณะดูโทรทัศน์ ขณะอ่านหนังสือ หรือฟังเพลง ฯลฯ
กินอาหารให้ตรงเวลาและเป็นมื้อ ไม่กินจุบจิบ ไม่กินขนมขบเคี้ยว
เลือกภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็กลง
เวลาตักข้าวอย่าให้เป็นก้อน ควรซุยข้าวให้ร่วนก่อนตัก และอย่าตักอัดแน่น หรือพูนเกินไป
ก่อนกินอาหารให้ดื่มน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำอุ่น) ก่อนอาหาร 10 นาที ประมาณ 2 แก้ว
เคี้ยวอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียดทุกครั้งก่อนกลืน
เมื่อกินอาหารเสร็จให้ลุกจากโต๊ะอาหารทันที หรือเก็บอาหารที่เหลือเข้าที่ทันที
ไม่สำรองอาหารไว้ในที่เห็นได้ง่าย เช่น ไม่เก็บอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปไว้ในห้องทำงาน หรือไม่วางขนมไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ เพื่อป้องกันการเผลอใจ
ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้ความหิวทวีคูณขึ้น และจะทำให้กินเพิ่มเป็นสองเท่า
ถ้าหิวให้ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่หวานช่วย
ไม่ควรกินอาหารก่อนนอน เพราะเมื่อไม่ได้ใช้พลังงานจะทำให้สะสมเป็นส่วนเกิน
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถ้างดไม่ได้ให้ลดลงมาครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าสำเร็จแล้วค่อยลดลงอีกครึ่งหนึ่ง ทีนี้จะลดหรือเลิกดื่มต้องอยู่ที่ใจ
ถ้าต้องการลดน้ำหนักเพื่อลดหุ่น ให้ซื้อชุดสวยที่อยากใส่มาแขวนไว้เป็นแรงบันดาลใจ อาจได้ผลบ้าง

เทคนิคเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ยากที่คุณอาจจะมองข้ามไปในชีวิตประจำวัน เพียงเพิ่มความระวังและคิดก่อนเลือกกินอาหารสักหน่อยก็จะช่วยให้คุณคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ที่สำคัญคุณไม่ต้องอดอาหารทรมานตัวเอง แต่ยังได้อิ่มสบายท้องตลอดวันอีกด้วยค่ะ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

กินของว่างไม่ให้อ้วน

กินของว่างไม่ให้อ้วน
ใครที่ชอบกินของว่างระหว่างมื้อ แต่ไม่อยากอ้วน วันนี้เรามีวิธีมาฝาก
กฎของการกินของว่างไม่ให้อ้วน คือ กินไม่เกิน 100 แคลอรี่ ต่อ 1 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาอาหาร เช่น ถ้าเป็นเวลาบ่ายสามโมง และกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นต้องรออีก 3 ชั่วโมง ก็ควรกินอาหารว่างได้ไม่เกิน 300 แคลอรี่ แต่ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยสูง เช่น ผลไม้ เป็นหลักแล้วค่อยเพิ่มโปรตีนหรือไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้อิ่มได้นานขึ้น ถ้าไม่รู้จะกินอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 1 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล


ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 2 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ


ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 3 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ + แคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น


ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 4 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ + แคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น + นมสดชนิดพร่องไขมัน 1 แก้ว


แต่ถ้ากินมังสวิรัติ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการบริโภคอาหารเสริมธาตุเหล็กด้วย เพราะธาตุเหล็กที่ได้จากผักและผลไม้ ส่วนมากร่างกายจะดูดซึมได้ยาก

ถ้าอยากกินแต่ไม่อยากอ้วน ก็ลองกินตามวิธีที่แนะนำกันดูได้.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหาร (ชวนอ้วน) ที่ต้องกินยามลดน้ำหนัก

อาหาร (ชวนอ้วน) ที่ต้องกินยามลดน้ำหนัก
เพราะอาหารที่คุณคิดว่ามันทำให้อ้วนนั้น บางอย่างก็ควรและจำเป็นต้องรับประทาน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงลดน้ำหนักอยู่ก็ตาม มาดูกันว่ามีอะไรบ้างหลายคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ด้วยการงดอาหารที่ให้พลังงานหรือไขมันสูงทุกชนิด ชนิดที่ว่าเมนูไหนอ้วนจะไม่แตะต้องเลย เช่น งดรับประทานเนื้อสัตว์ แป้ง รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้ม นึ่ง ลวกเท่านั้น จะว่าไปการเคร่งครัดขนาดนี้ใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพในระยะยาว

เนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์เป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิด ที่ธัญพืชหรือผักบางชนิดไม่สามารถให้ได้ แต่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าขณะลดน้ำหนักควรงดหรือรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด ซึ่งในระยะยาวไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพแน่ โดยเฉพาะการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้นการรับประทานเนื้อสัตว์จึงไม่ผิดต่อหลักการควบคุมน้ำหนักของคุณ ข้อดีคือ ทำให้รู้สึกอิ่มและอยู่ท้องได้นาน ทำให้ลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ต้องทนทรมานกับความหิวพาลให้รับประทานอาหารจุกจิก ซึ่ง Commonwealth Scientific Industrial Research Organization เปิดเผยงานวิจัยหนึ่งที่ทดสอบการลดน้ำหนักของหญิงออสเตรเลียน 100 คนพบว่า หญิงที่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไร้มันสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่าหญิงที่รับประทานอาหารเน้นแป้งมากกว่าเนื้อสัตว์


ทั้งนี้คนที่ควบคุมน้ำหนักจำเป็นต้องเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่เหมาะสม เช่น เนื้อปลา เนื้อเป็ด เนื้อไก่ที่ไม่ติดหนัง ซึ่งวัยทำงานควรรับประทานเนื้อสัตว์ให้ได้วันละ 9 ช้อนกินข้าว ทั้งนี้อาจแบ่งสัดส่วนนี้รับประทานเต้าหู้ขาวหรือผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนยต่างๆ เช่น โยเกิร์ตพร่องไขมัน และถั่วด้วยก็ได้เพื่อร่างกายได้รับกรดอะมิโนและโปรตีนที่หลากหลาย แต่การรับประทานถั่วควรจำกัดปริมาณประมาณ 1 อุ้งมือต่อสัปดาห์ เพราะถั่วส่วนใหญ่จะให้พลังงานและไขมันสูง

ลองเปลี่ยนการหลีกเลี่ยงรับประทานหมูย่างหรือปีกไก่ย่าง มาเป็นปลาช่อนย่าง หรืออกไก่นึ่งแทน



ข้าว เส้น ขนมปังต่างๆ
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งให้พลังงานแก่ร่างกายที่สำคัญ เพราะว่าแต่ละวันเราต้องเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะใช้พลังงานมากหรือน้อยก็ต้องมีอาหารประเภทนี้ไว้เป็นเชื้อเพลิงให้ร่างกายเอาไปใช้ แต่คนควบคุมน้ำหนักส่วนใหญ่จะงดอาหารประเภทนี้เป็นอันดับแรกในใจ เพราะคิดว่าถ้ารับประทานเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลายเปลี่ยนเป็นน้ำตาลไปสะสมตามร่างกายกลายจนเป็นไขมันในที่สุด ซึ่งเป็นความจริงบางส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะมีระบบเผาผลาญแบบนี้เสียหมด ดังนั้นถ้างดอาหารหมวดนี้ไปอาจจะส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย การรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ทำให้อ้วนและดีต่อสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานคือ ข้าวหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เส้นหมี่ข้าวกล้อง ส่วนขนมปังก็ต้องเป็นขนมปังโฮลวีท ซึ่งมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ


การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วก็จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อมื้อสำหรับคนทำงานที่กำลังลดน้ำหนักคือ 1 ทัพพี

ลองเปลี่ยนการงดรับประทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวผัดทั่วไป มาเป็นข้าวกล้องคลุกน้ำพริกปลาย่าง หรือ ก๋วยเตี๋ยวบกเส้นหมี่ข้าวกล้องแทน



ไขมัน
เป็นอาหารหมวดที่น่าน้อยใจที่สุด เพราะคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักมักหลีกเลี่ยงหรืองดมากที่สุด เพราะเชื่อว่าจะทำให้อ้วน ทั้งนี้แม้ว่าไขมันส่วนใหญ่จะให้พลังงานสูง ( 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 45 กิโลแคลอรี) แต่ร่างกายก็ยังจำเป็นต้องได้รับไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆ รวมถึงการสร้างเซลล์ประสาทอีกด้วย


ประเภทของไขมันที่ดีต่อร่างกายและควรรับประทานคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Monounsaturated Fatty Acid) น้ำมันมะกอกมีดัชนีสูงสุดเมื่อเทียบกับน้ำมันพืชอื่นๆ จากผลวิจัยพบว่าการรับประทานน้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดโคเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้ (LDL-C) ส่งผลดีต่อหัวใจ รองลงมาได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน นอกจากนี้ยังน้ำมันที่ได้จากสัตว์ตามธรรมชาติที่มีประโยชน์ก็คือ น้ำมันปลา หรือเนื้อปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ที่มีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหัวใจและลดระดับไตรกลีเซอไรด์ เจ้าไขมันในเลือดที่มาพร้อมกับโคเลสเตอรอล
ตรงกันข้ามคุณควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) ซึ่งพบในไขมันสัตว์และไขมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว (กะทิ) หรือกรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acid) ที่จะเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ไม่ดีให้สูงขึ้น (HDL-C) ดังนั้นครั้งต่อไปก่อนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ก็ควรสังเกตฉลากสารอาหารและมองหาคำเหล่านี้ว่ามีปริมาณมากหรือน้อยเพียงใด สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักแนะนำให้รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวไม่เกินวันละ 2 ช้อนชา


ลองเปลี่ยนการรับประทานอาหารนึ่ง ต้ม ลวกแบบจำเจ มาเป็นสลัดผักสดเนื้อไก่ฉีกหรือปลาทูน่าราดน้ำมันมะกอกกับบัลเซมิค นอกจากอร่อยแล้วยังเติมสารอาหารให้กับร่างกายได้ดีด้วย



ถึงแม้การควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องโบกมือลาอาหารที่คิดว่ารับประทานแล้ว อ้วน ตลอดชีวิต เพราะร่างกายยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงและสร้างสมดุลกับการทำงานของอวัยวะต่างๆ อยู่ นึกแบบนี้แล้วก็เลือกกินและรู้จักออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ

เกร็ดน่ารู้ : การรับประทานผักและผลไม้มากๆ ช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ กากใยของผักและผลไม้ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ แต่ต้องจำกัดการรับประทานผักประเภทหัว ที่มีแป้งมากเช่นพืชตระกูลหัว ได้แก่ ฟักทอง เผือก มัน แห้ว เกาลัด หรือยอดผักที่มีสารพิวรีน ทำให้กระตุ้นเสี่ยงเป็นโรคเกาท์ได้ เช่น ยอดกระถิน ชะอม ใบตำลึง ส่วนผลไม้ควรหลีกเลี่ยงประเภทที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน ละมุด ลำไย ขนุน ลิ้นจี่ เป็นต้น



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ

ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ
ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ
รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน แพทย์ผิวหนัง

โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญจึงเหลือสะสมเป็นไขมัน แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา พฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็บสะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่อง และพบว่าพลังงานที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม

การรักษาน้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้หิวง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรงมาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนัก แต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้า และทุกตึกสูงเพื่อให้ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา



บทสวดพิจารณาอาหาร (แปล)

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต

เนวะ ทวายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน

นะ มะทายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย

นะ มัณฑะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

นะ วิภูสะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา แต่ให้เป็นเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้

ยาปะนายะ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ

วิหิงสุปะระติยา เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย

พรัหมะจะริยานุคคะหายะ เพื่ออนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือความหิว

นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำทุกเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น

ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วยความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้


โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
แต่รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว และไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหารจะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today