กินเป็นอยู่เป็นช่วยลดความอ้วน
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนผมเคยเขียนบทความเรื่อง อ้วน หนัก หนา ปรมา โรคา เพราะเห็นว่าความอ้วนเป็นโรคอย่างยิ่ง ตอนนั้นวงการแพทย์ยังไม่เรียกมันว่าโรค เวลาผ่านไปรวดเร็วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้วงการแพทย์ก็ยอมรับแล้วว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ต้องรักษา
พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์
และที่จริงแล้วโรคอ้วนยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้น คือขยายไปทั่วโลก กลายเป็นโรคระบาดหรือโรคโลกาภิวัตน์ชนิดหนึ่งเนื่องจากตั้งแต่มีการ ปฏิวัติเขียว พลโลกมีอันจะกินกันมากขึ้น เป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่าความอ้วนทำให้เกิดโรคตามมามากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพาต อัมพฤกษ์ หัวใจขาดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม ฯลฯ เท่าที่ผมพิจารณาดูความอ้วนไม่มีความดีตรงไหนเลยนอกจากสำหรับคนที่อยากเป็นธิดาช้าง
องค์การอนามัยโลกจึงออกมารณรงค์ให้มีการควบคุมความอ้วนกัน ท่านผู้อ่านหลายคนก็คงจะมีปัญหาเรื่องความอ้วนไม่มากก็น้อย จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะมาใส่ใจทำการลดความอ้วนกันให้เป็นนิสัยเสียบ้าง แต่การลดความอ้วนมันก็เหมือนเรื่องอื่นที่มีปัญหาอุปสรรคพาให้ทำไม่สำเร็จได้มาก จะเห็นว่ามีคนออกมาแนะนำสูตรอาหารหรือ diet เพื่อการลดน้ำหนักกันมากมายหลายชนิด แต่สิ่งสำคัญคือผู้ปฏิบัติทำได้ไม่นานหลักการใหญ่ๆ ในการลดความอ้วน คือ หนึ่ง การลดการกินอาหารคือลดจำนวนพลังงาน(แคลอรี)ที่กินเข้าไป และสอง คือการออกกำลังกาย
อาหารที่เรากินเข้าไปถ้ามากเกินความต้องการของร่างกายแล้วจะสะสมอยู่ในร่างกายในรูปของไขมัน สำหรับการออกกำลังกายโดยทั่วๆ ไปเป็นการเผาผลาญพลังงานที่เรากินเข้าไป ทำให้น้ำหนักตัวคงที่ แต่ถ้าเราจะใช้การออกกำลังกายเพื่อทำให้น้ำหนักลดลง (โดยกินเท่าเดิม) จำเป็นต้องออกกำลังกายมากกว่าอาหารที่เรากินเข้าไป จะเห็นว่านักวิ่งมาราธอนมักจะผอมเพราะเผาผลาญพลังงานมาก ส่วนคนที่เป็นนักวิ่งธรรมดาหลายคนวิ่งเท่าไรก็น้ำหนักไม่ลดไม่เพิ่มเนื่องจากชอบกินมาก
การกินอาหารที่ทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดีคืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่มีพลังงาน(แคลอรี)น้อย ส่วนมากหมายถึงอาหารที่มีไขมันต่ำ มีน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้ ควรกินมากหน่อย แต่ต้องระวังเหมือนกัน ควรเลือกกินผลไม้ที่ไม่สุกงอม ผลไม้ที่สุกงอมมีน้ำตาลมากทำให้อ้วนได้ง่าย ส่วนผลไม้ที่เพิ่งเริ่มจะสุกกำลังน่ากินมีแป้งมากกว่า ดีกว่า เนื่องจากแป้งต้องถูกย่อยและดูดซึมซึ่งต้องใช้พลังงานและใช้เวลาสลายในร่างกายทำให้คนกินหิวช้ากว่า การกินผลไม้งอมเหมือนกินขนมหวาน ต้องระวัง ถ้ากินมากน้ำหนักจะขึ้น
ส่วนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารมีหลายชนิด จะต่างกันตรงที่น้ำมันบางชนิดมีไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งกินแล้วจะกลายไปเป็นโคเลสเตอรอลในร่างกายทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวตีบตัน ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคหัวใจ อัมพาต อัมพฤกษ์ ฯลฯ ส่วนไขมันที่ไม่อิ่มตัวจะเป็นตรงกันข้ามคือดีกว่า เช่นน้ำมันมะกอก (olive oil) หรือน้ำมันแคโนลา (canola oil) ซึ่งเป็นน้ำมันปรุงอาหารที่ดีแต่แพงหน่อย เหมาะสำหรับคนห่วงสุขภาพที่มีเงินมากหน่อย น้ำมันอย่างนี้ใช้ปรุงอาหารทำให้มีรสชาติดี กินได้ไม่ต้องฝืนมาก กินมากหน่อยก็ไม่อันตรายต่อสุขภาพมาก ในอาหารของชาวเมดิเตอเรเนียน หรือชาวฝรั่งเศสมีน้ำมันเหล่านี้มาก คนของเขาจึงเป็นโรคหัวใจขาดเลือดน้อยกว่าชาวตะวันตกอื่นๆ เคยมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำมันที่ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอกและแคโนลาปรุงอาหารทำให้นักลดน้ำหนักทนกิน diet ได้นานๆ น้ำมันเหล่านั้นต่างจากน้ำมันมะพร้าว (ในกะทิ) น้ำมันหมู น้ำมันปาล์มซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูง ไม่ดีต่อสุขภาพ นักลดน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
การควบคุมน้ำหนักสำหรับหลายๆ คนเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากมีเหตุผลหรือทัศนคติที่ทำให้ทำยาก เหตุผลส่วนมากเราสร้างขึ้นมาเอง แล้วก็เป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขาที่เราแก้เองไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องใช้ภูมิปัญญาของคนอื่นช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today,http://lifestyle.th.msn.com/health/diet/article.aspx?cp-documentid=3546744
อ่านละครเรื่อง นาคี
-
อ่านละครเรื่อง นาคี (ตอนล่าสุดคลิก) อ่านละครเรื่อง นาคี ละครเรื่อง นาคี
บทประพันธ์โดย ตรี อภิรุม ละครเรื่อง นาคี บทโทรทัศน์โดย สรรัตน์
จิรบวรวิสุทธิ์ ละครเ...