นวดไทยรักษา 'นิ้วล็อก' อีกทางเลือกลดปวด เลี่ยงผ่าตัด

อีกหนึ่งโรคใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง เป็นภัยเงียบสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่กำลังเผชิญ นิ้วล็อก หรือที่เรียกกันว่า โรคนิ้วไกปืน เป็นโรคเกี่ยวกับ ความผิดปกติของมือที่ไม่สามารถ งอหรือเหยียดได้ตามปกติ

นิ้วล็อก โรคดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นเพียงนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วก็ได้และจากอาการที่เริ่มขึ้นนับแต่เจ็บบริเวณฐานนิ้วและนิ้วมีความฝืดในการเคลื่อนไหวขณะที่งอหรือเหยียด จนกระทั่งต่อมามีอาการล็อกหรือถ้าจะงอ กำนิ้วมือจะไม่สามารถเหยียดออกเอง หากจะเหยียดออกจะมีอาการเจ็บ ปวด หรือบางครั้งอาจจะเหยียดออกแต่งอนิ้วกลับไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้นานนิ้วมือนั้นก็อาจเปลี่ยนรูปเป็นโก่ง งอ บวม เอียง นิ้วอาจแข็งไม่สามารถงอและเหยียดออกได้ทำให้การใช้งานของมือในชีวิตประจำวันเป็นอุปสรรค

อีกทั้งหากทิ้งไว้เนิ่นนาน ข้อต่ออาจยึดและข้อเหยียดออกไม่ได้ ฯลฯ ทำให้เกิดความพิการและจากเดิมที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ คนวัยทำงาน แต่ปัจจุบันพบขยายไปยังกลุ่มเด็กซึ่งใน วิธีการรักษามีทั้งการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค

ขณะที่การรักษามีด้วยกัน หลายวิธี ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงสามารถรักษา ได้ทั้งการทานยา ฉีดยาและทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวดและบวมของเส้นเอ็น ฯลฯ ล่าสุดยังมีอีกรูปแบบการรักษาพร้อมเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วยด้วย การนวดไทยรักษาโรค นิ้วล็อก

การศึกษาวิจัยที่นำศาสตร์การนวดไทยภูมิปัญญาไทย ช่วยรักษาลดอาการนิ้วล็อกที่ปรากฏนี้ ดร.ปารัณกุล ตั้งสุขฤทัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย (วิชาการ) ให้ความรู้ว่า โรคนิ้วล็อกนี้อาการของโรคจะมีลักษณะเหมือนการเหนี่ยวไกปืน กำมือแล้วเหมือนกับเหยียดนิ้วไม่ออก

อาการเหล่านี้จะมีด้วยกันหลายระยะซึ่งก่อนจะเหยียดนิ้วไม่ออกจะเริ่มด้วยอาการเหยียดนิ้วออกยาก ต่อมาจะเริ่มมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น กระทั่งบางครั้งมีอาการชาร่วมด้วยและหากมีอาการเพิ่มมากขึ้นก็อาจถึงขั้นเหยียดนิ้วไม่ออก กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะเกร็งงอและลีบลง

“โรคดังกล่าวพบเห็นมากขึ้นต่างจากเดิม อีกทั้งพบว่าเริ่มเกิดขึ้นกับเด็กและยังพบอาการปวดไหล่ตามมาร่วมด้วยซึ่งแต่เดิมนั้นจะพบในผู้ป่วยวัยทำงาน ส่วนสาเหตุของโรคเกิดจากการใช้งานของมือทั้งหิ้วถุงหนักนาน ๆ กำบีบเครื่องมือต่าง ๆ ใช้มืออย่างรุนแรงจนทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมืออย่างการหิ้วของหนัก ใช้เฉพาะเพียงแค่นิ้วมือเพียงไม่กี่นิ้ว พฤติกรรมที่ทำ ซ้ำ ๆ เหล่านี้ก็จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดมีพังผืดเกาะยึดได้ ฯลฯ”

จากเดิมที่พบในกลุ่มวัยทำงานอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปที่เข้ามารับการรักษา แต่เวลานี้พบในวัยเด็กซึ่งเข้ามารับบริการการรักษาที่นี่ซึ่งในกลุ่มวัยนี้ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่อย่างไรก็ตามหากไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมือ รวมทั้งละเลยการพัก การบริหารมือก็อาจต้องเผชิญกับนิ้วล็อก

“การศึกษาวิจัยครั้งนี้เริ่มจากพบว่ามีผู้เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวนี้บ่อยครั้งก็เลยนำการนวดไทยมารักษาซึ่งก็พบว่ามีประสิทธิผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง จากที่กล่าวอาการนิ้วล็อกมีด้วยกันหลายระยะในอาการป่วยนิ้วล็อกช่วงแรกในขั้นที่ 1 และ 2 การรักษาด้วยการนวดช่วยรักษาได้ สามารถลดอาการนิ้วล็อก รวมทั้งอาการปวดข้อและความลำบากในการเคลื่อนไหวของข้อ”

การรักษาจะเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญสามารถบอกถึงสาเหตุการเกิดโรคได้ ส่วน ถ้าอาการดังกล่าวเป็นระยะแรกและหลังการรักษาผู้ป่วยไม่กลับไปมีพฤติกรรมซ้ำเดิมอีก การนวดรักษาดังกล่าวสามารถช่วยให้หายขาดได้ แต่หากหลังการรักษากลับมามีพฤติกรรมแบบเดิม ๆ อีก อาการนิ้วล็อกที่เคยเกิดขึ้นก็จะกลับมาอีกครั้ง

ขณะที่ การนวด หมายถึงการใช้มือบีบหรือกดเพื่อให้คลายความปวดเมื่อย ด้วยคุณค่าการนวดแผนไทยซึ่งสามารถนำมารักษาอาการป่วยได้ทั้งกายและใจ ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ผ่อนคลายเส้น กล้ามเนื้อ คลายลดอาการปวดเมื่อยแล้วยังสร้างความสดชื่น นำมาช่วยลดความทรมานจากโรคได้อีกด้วยอย่างเช่น โรคเครียด

การนวดเพื่อบำบัดรักษาโรคจะมีหลักในการรักษา การนวดเพื่อการรักษาส่วนใหญ่ จะเป็นการนวดแบบราชสำนักจะใช้นิ้วหัวแม่มือและปลายนิ้ว แขนทั้งสองข้างจะเหยียดตรงเสมอซึ่งการนวดดังกล่าวนี้จะเกิดผลต่ออวัยวะและเนื้อเยื่อที่อยู่ลึก ๆ จะใช้แรงกดย้ำไปตามเส้นรักษาไปตามอาการ

“การนวดรักษาจะมีหลายขั้นตอนไม่ได้นวดกดเพียงเฉพาะส่วนนิ้วอย่างเดียว แต่จะมีหลักในการรักษาของแพทย์แผนไทยแบ่งเป็นขั้นต่าง ๆ มีทั้งการนวดพื้นฐานบ่า นวดพื้นฐานแขนด้านใน ฯลฯ ขณะที่การใช้น้ำหนักก็จะมีการคำนวณต่างกันไป

ส่วนกรณีที่ตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บมาก การรักษาด้วยการนวดอาจจะไม่หายขาด แต่อย่างไรก็ตามการนวดก็จะช่วยให้ทุเลาจากอาการปวดเป็นการบรรเทาอาการให้แก่ผู้ป่วยได้”

ในระยะแรกของโรคนิ้วล็อกจะปรากฏอาการนิ้วเริ่มตึง กำนิ้วแล้วเริ่มจะเหยียดไม่ออก ขยับเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนเดิม อีกทั้งในอาการระยะแรกของโรคนี้จะยังไม่ปวดมากถ้ามีการบริหารนิ้ว ไม่กลับไปมีพฤติกรรมซ้ำเดิมอีกก็จะหายขาดได้และหลังจากการนวดรักษาก็ประคบด้วยสมุนไพร

จากการใช้งานของมือที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมือ ก่อนจะต้องเสี่ยงกับความเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว นอกเหนือจากการมีความรู้เข้าใจในโรคนิ้วล็อกภัยเงียบใกล้ตัวแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสิ่งนี้เป็นอีกความจำเป็นที่ต้องไม่มองข้าม.

เคล็ดลับสุขภาพดี : ดื่ม 'น้ำตะไคร้' ช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตก

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรไทยที่มีมาแต่โบราณ หากใช้ประกอบอาหารจะช่วยทำให้มีกลิ่นหอม ช่วยดับกลิ่นคาว คุณแม่บ้านจึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องต้มยำ หรือใส่ในยำชนิด ต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องของการเสริมรสชาติอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาวแบบนี้ หากใครเริ่มมีริมฝีปากแห้งแตก วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีทำน้ำตะไคร้ดื่มแก้อาการดังกล่าวมาฝากกันด้วย

อันดับแรกไปทำความรู้จักกับลักษณะทั่วไปของพืชมากสรรพคุณชนิดนี้กันก่อน ตะไคร้ มีชื่อเรียกตามภาคต่าง ๆ ในประเทศไทยแตกต่างกันไป อาทิ ตะไคร้แกง (ภาคกลาง) จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร ไพเล็ก (ภาคใต้) คาหอม (ฉาน, เงี้ยว-แม่ฮ่อง สอน) และหัวไคสิง (เขมร-ปราจีน บุรี) ลักษณะทั่วไปของ ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก ขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง และตามปล้อง มักมีไขปกคลุมอยู่ ใบ เป็นใบเดี่ยว แตกใบออกเป็นกอ รูปขอบขนานปลายใบแหลมและผิวใบจะสากมือทั้งสองด้าน เส้นกลางใบแข็ง ขอบใบจะมีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย มีสีเขียวกว้างประมาณ 2 ซม. ยาวประมาณ 2-3 ฟุต ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ช่อดอกย่อยมีก้าน ออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับ รองรับ

สรรพคุณของตะไคร้ เริ่มจาก ใบ โดยใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทาถูนวดก็ได้และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหารและขับเหงื่อ หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้นและแก้ลม ต้น ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุ ให้เจริญ ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

สำหรับวิธีทำน้ำตะไคร้แก้ปากแตก ปากแห้ง ให้ใช้ต้นตะไคร้สดแก่ ๆ ประมาณ 1 กำมือ ทุบพอแหลก ต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตร กรองเอาแต่น้ำ ดื่มแทนน้ำเปล่าได้ทั้งวัน เพราะมีสรรพคุณแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตกได้ อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วใครที่เจออากาศเย็น ๆ แล้วริมฝีปากแห้งแตก ลองนำสูตรนี้ไปทำน้ำตะไคร้ดื่มดูนะคะ รับรองว่าส่งผลดีต่อสุขภาพมากมายทีเดียว

สรรหามาบอก

- ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ร่วมกับงานการพยาบาลอายุร ศาสตร์และจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญผู้สนใจ เข้าร่วมฟังการบรรยายเรื่อง “มารู้จักโรคสมองเสื่อมกันเถอะ” ในวันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2554 เวลา 13.00-15.30 น. ณ ตึกสยามินทร์ ชั้น 7 ห้องประชุม 7009 (โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น) สนใจติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่โทร. 0-2419-7373-4 ในวันและเวลาราชการ (ด่วน! รับจำนวนจำกัด)

- ภาควิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหา วิทยาลัยมหิดล ขอเชิญฟังสัมมนา เรื่อง “การอบรมคู่มือ การเป็นพ่อแม่ที่ดี เพื่อแก้ไขวิกฤติการเลี้ยงดูเด็ก” โดย ศ.ดร.จอน คาร์ลสัน นักจิตวิทยาชื่อดังระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัวด้านฝึกพ่อแม่และครู ระหว่างวันที่ 12-16 มกราคม 2554 ณ ห้องประชุมบุญศิริ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08-6466-4127, หรือ 0-2411-9040-3 ต่อ 28,38

- โรงพยาบาลเจ้าพระยา ร่วมกับรักลูกกรุ๊ป จัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี 20 กิจกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานและรับฟังการเสวนาเรื่อง “สุขกาย...สบายใจ...ก้าวไกล...ก่อนวัยเรียน” พบทีมกุมารแพทย์ร่วมเสวนา การเลี้ยงลูก การให้นม การให้วัคซีนที่จำเป็นในเด็ก เด็กพูดช้า เด็กไม่ชอบไปโรงเรียน ใน วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2554 เวลา 09.00-12.00 น. ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยา สอบถามและสำรองที่นั่งฟรีได้ที่ โทร. 0-2433-8222, 0-2433-5666

- โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ขอเชิญข้าราชการ ครอบครัวของกองทัพอากาศ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วม “โครงการผ่าตัดข้อเข่าเทียมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชน มายุ 84 พรรษา ใน พ.ศ. 2554” โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ล่าสุดมาใช้ในการผ่าตัดด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2554 สอบถามและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่โทร. 0-2534-7165, 0-2534-7366 และ 0-2534-7221.
นวดไทยรักษา 'นิ้วล็อก' อีกทางเลือกลดปวด เลี่ยงผ่าตัด
ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

เปิดใจ 'แอนนี่ บรู๊ค'ชีวิตนี้เพื่อเขาคนนั้น

ต่อให้เป็นปีเก่าหรือปีใหม่ เรื่องราวของคนดังในวงการบันเทิงก็ยังอยู่ในความสนใจของทุกคนเรียกว่าไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย อย่างล่าสุดก็มีแฟน ๆ อยากรู้ว่า นักแสดงสาวลูกครึ่ง “แอนนี่ บรู๊ค” ที่เคยเป็นข่าวดังระดับประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา กับนักร้องหนุ่มซูเปอร์สตาร์ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” ตอนนี้ชีวิตชีวาของเธอเป็นอย่างไรบ้าง พอเจอตัวปุ๊บเราก็ไม่รอช้ายิงคำถามทันที สภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? “ตอนนี้ก็จะบอกว่าฟ้าหลังฝนก็ไม่ได้เนอะ มันเงียบลงก็ทำให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ว่าก็ยังคงมีความทุกข์ใจอยู่บางส่วนบ้าง” ความทุกข์ใจที่ว่า เรื่องอะไร “เรื่องอนาคตน้องต้องมองให้เขา ต้องปูทาง เราก็ไม่ใช่คนรวยนะก็ต้องคิดทำยังไงให้เขามีอนาคตที่มั่นคง มีการเงินที่รองรับเขาได้ดี”

“หนูคิดว่าตอนที่ไม่มีลูกชีวิตไม่มีความหมาย มันอิสระ ไม่รู้อยู่เพื่อใคร แล้วก็ใช้ชีวิตสมถะไปวัน ๆ ไม่เคยอยากมีอยากได้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าอยากมีอยากได้นะ แต่ว่าเรารู้แล้วเราจะไขว่คว้าข้างหน้าเพื่อใคร มันมีแรงมีพลังขึ้นมาจากคนที่เฉื่อยกลับคล่องตัวมากขึ้น คิดอะไรไปข้างหน้า อยากจะก้าวหน้ามากกว่านี้ไม่อยากถอยหลังหรืออยู่ที่เดิม รู้สึกเขามาเติมเต็มชีวิตจริง ๆ เมื่อก่อนโลกของหนูอาจจะเป็นสีขาว สีดำ หรือเทา แต่พอมีลูกมันมีสีเขียว สีส้ม มาเติมสีสันในชีวิตจริง ๆ ค่ะ”

หลังจากข่าวเงียบไป ได้มีโอกาสเจอเขาคนนั้นบ้างมั้ย? “ไม่ได้เจอเลยค่ะ วันบวชก็ไม่ได้ไป อาจจะเคยมีก่อนหน้านั้น เป็นการฝากบอกคนอื่นไป ณ เวลานี้ถ้าพูดถึงเขา ก็ยังรู้สึกดี ๆ อยู่ “ยังรักอยู่มั้ย? “เป็นความรู้สึกดี ๆ มากกว่าค่ะ เขาเองเขาก็มีคนที่เขารักอยู่แล้วตอนนี้ ลึก ๆ แอนนี่ก็ยังเป็นห่วงเขา เพราะว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาทั้งหนูและเขาก็บาดเจ็บ” คิดว่าจะปิดตัวเองมั้ย แบบว่าแอนนี่จะไม่มีแฟนใหม่ “อนาคตตอบไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แต่อนาคตอันใกล้นี้เป็นไปไม่ได้ หัวใจมันมีบาดแผลค่ะ หนูรู้สึกว่ามันยังเป็นแผลเป็นอยู่ ยังเปิดไม่ได้ หนูต้องสร้างฐานะเพื่อลูก ต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีก่อน เวลาจะอีกเมื่อไหร่หนูตอบไม่ได้จริง ๆ แต่อนาคตอันใกล้นี้ไม่มีแน่นอน”

วางแผนในการเลี้ยงลูกยังไง? “หนูเป็นพุทธศาสนา หนูก็อยากให้ลูกหนูเป็นพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานของชีวิต เด็กผู้ชายถ้าตั้งแต่แรกเกิดถึง 10 ขวบ อยากใส่อะไรให้รีบใส่ เพราะเวลาเขาเป็นวัยรุ่นเราจะใส่ให้ไม่ได้แล้ว เขาจะเชื่อเพื่อนกับคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ แต่ถ้าเราใส่พื้นฐานให้ดี ถึงแม้เขาจะออกนอกทาง สุดท้ายเขาก็จะกลับมาได้เพราะพื้นฐานที่เราปูให้เขา และพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะปูให้เด็กผู้ชาย”

ช่วงที่เป็นข่าวตอนนั้น เขาพูดกัน ว่า “แอนนี่” สร้างกระแส! เพื่อให้มีงานเข้ามาเยอะ ๆ “จริง ๆ มีแต่คนพูดอย่างนั้นนะคะ บอกว่าเราสร้างกระแสเพื่อให้ได้งาน หนูจะบอกว่าตั้งแต่เป็นข่าวจนถึงทุกวันนี้หนูมีงานยังไม่ ถึง 10 งานเลย เอาง่าย ๆ ไม่ถึง 5 งานดีกว่า งานโชว์ตัวมีเท่าที่เป็นข่าวเลย ก็ไม่เกิน 3-4 ครั้ง ไม่ถึง 10 แน่ แต่ละงานก็ไม่ได้เงินเยอะ เพราะหนูไม่ใช่ดาราดัง ถึงแม้คุณเป็นดาราในกระแส แต่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์จะมาเรียกร้องเงินเป็นแสน ๆ ไม่ได้ ล่าสุดภาพลักษณ์หนูเป็นดาราตลก หนูก็ได้ในเรตนั้น ไม่ได้เยอะอะไรเลย และทุกวันนี้ก็ไม่มีงานเลยค่ะ มีงานเก่าที่เคยทำกับเวิร์คพ้อยท์ อาปัญญา ยังคืนงานเก่าให้ก็ต้องขอขอบคุณ แต่สำหรับงานใหม่ไม่มีเลย”

ตอนนี้ชีวิตแอนนี่ถือว่าสบายหรือว่ายังลำบากอยู่? “ก็ยังลำบากอยู่เพราะงานในวงการไม่ได้มีเยอะ ไม่เหมือนที่คนมาพูดว่าเรามีงาน 7 หลัก งานโฆษณาโน่นนี่ สร้างข่าวมาเดี๋ยวก็ดัง ท้าย ที่สุด ณ วันนี้แอนนี่ทำให้เห็นแล้วนะคะว่าแอนนี่ไม่ได้มีงานเยอะ ไม่ได้จะทำพ็อกเกตบุ๊ก หรือทำให้ตัวเองมีงานมากมาย มหาศาล “เป็นไปได้มั้ยอนาคตจะลุกขึ้นมาถ่ายแบบเซ็กซี่อีก” ตอนนี้วัยของหนูไม่ใช่วัยคึกคะนองแล้ว ตั้งแต่ทำงานกับเวิร์คพ้อยท์มา 5-6 ปี เนี่ยเขาให้โอกาสหนูเปลี่ยนภาพลักษณ์มาเป็นตลก หนูก็ไม่เคยถ่ายเซ็กซี่อีกเลย เพราะหนูไม่ได้รักหรือชอบมัน มันไม่ได้อยู่ในกมลสันดานหนู แต่ที่หนูทำเพราะว่าอย่างน้อยเป็นงาน เราก็ได้เก็บเงินเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ ของชีวิตไม่ได้ถ่าย ตลอด พอได้งานใหม่ปุ๊บหนูทิ้ง หนูไม่เอา เพราะฉะนั้นต่อไปอนาคตมีคนมาเสนอขนาดนั้นน่ะ ถ้าถ่ายชุดว่ายน้ำแม่ลูกเหมือนดาราหลาย ๆ คนทำกันก็อาจจะมี แต่ถ้าถ่ายเน้นขอโป๊มาก ๆ จะทุ่มเงินเยอะ ๆ ไปเลี้ยงลูก หนูไม่เอาไม่จำเป็น ต่อไปนี้ทำอะไรต้องนึกถึงเขาแล้ว ไม่ได้สร้างภาพนะคะ แต่ว่าทำอะไรต้องนึกว่า เขาโตมาแล้วรู้ว่าเราหาเงินมาเลี้ยงเขาด้วยวิธีแบบนี้ เขาคงจะไม่มีความสุขถ้าเขารู้”

ข่าวว่า “แอนนี่” ยก “ฑีฆายุ” ให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายแพทย์คนหนึ่ง ทำไมถึงทำอย่างนั้น

“แต่ไม่ได้ยกให้เลยนะคะ แค่ในนาม คือ อาหมอ นพ.ชลธิศ เป็นอาจารย์อยู่ที่ ม.มหิดล และเป็นนายกศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย รู้จักกันมานานแล้วเพราะเป็นอาจารย์หมอที่สนิทกัน แล้วอาหมอก็บอกว่า ค่าการศึกษาจะดูให้เมื่อไหร่ที่น้องเข้าโรงเรียน เรียนต่อ เป็นสัญญาใจ ไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาอะไรกัน สมมุติวันหนึ่งอาหมอบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก็ไม่เป็นไรเราเป็นแม่ต้องหาให้ลูก อาหมอเป็นคนใจดี มีเมตตามากค่ะ” แล้วนี่ยังมีเรื่องคดีอยู่หรือเปล่า? “มีค่ะ มีที่เขาฟ้องหนู แล้วก็มีอีก 2 คดีที่หนูฟ้องทางโน้น ก็มีผู้ใหญ่ดูแล”

ถ้าผู้ใหญ่ทั้ง 3 ฝ่ายมาเคลียร์เราจะว่ายังไง?

“เป็นเรื่องของอนาคตตอบไม่ได้จริง ๆ ค่ะว่ายังไง ถ้าเกิดมันจะมีการเคลียร์คงจะมีตั้งนานแล้วไม่ปล่อยถึงขั้นฟ้องร้องกันหรอกค่ะ” ตอนนี้อยากพูดหรืออยากระบายอะไรบ้างมั้ย? “ทุกสิ่งทุกอย่างหนูรู้ว่าหนูไม่สามารถที่จะเอาใจทุกคนได้ หนูไม่สามารถจะทำให้ทุกคนพอใจได้ หนูเป็นแค่คนคนหนึ่ง หนูได้ทำดีที่สุดของหนูแล้วค่ะ”

ถ้ามีโอกาสเจอเขาอยากจะบอกอะไรมั้ย? “สิ่งที่เคยพูดไว้เมื่อก่อนก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ หนูคิดว่าเขาคงจะรู้ น่าจะจำได้ว่าพูดอะไรไว้ ยังรู้สึกอย่างนั้นเสมอ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะมาไกลขนาดนี้ แต่พอมันถึงขนาดนี้แล้วเราก็ต้องยอมรับมัน เพราะก็ไม่ใช่แค่เขากับหนูที่บาดเจ็บ แต่มันทั้งสองคนเลย”

เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกชีวิต...เดินหน้าสู้ต่อไปบนพื้นฐานของความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อกัน เพื่อเป้าหมายที่ต่างก็รอคอย.

'ปิ๊กมี่'
ที่มา เดลินิวส์

ประโยชน์ของฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี

ประโยชน์ของฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี

บุรุษใดอยากมีรูปร่างหล่อ เหลา ผิวพรรณงดงาม ควรจะบริโภค ผลฝรั่งไว้เป็นประจำ

ที่ปรึกษาด้านโภชนาการของ "คลินิกหมออาหาร" นายเอียน มาร์บอร์ ของสหรัฐฯ เผยว่า ฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี อันเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในการสังเคราะห์คอลลาเจนของร่างกาย ในฐานะโปรตีนสำคัญ ของโครงสร้างผิวหนังอย่างหนึ่ง

ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง ช่วยป้องกันรักษาผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระ

เขาบอกต่อไปว่า "ฝรั่งยังอุดมด้วยสาร โพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียวและไวน์แดง ป้องกันรักษาเซลล์จากอนุมูลอิสระ และรักษาบูรณภาพของเซลล์ ที่สำคัญมันจะช่วยชะลอร่องรอยของความแก่ชราของผิวหนัง โดยลบรอยเหี่ยวย่น และส่งเสริมความอวบอิ่มและทำให้ดูผิวงาม"

ผู้เชี่ยวชาญอีกผู้หนึ่ง เคต คุ้ก ผู้ก่อตั้งสถาบัน "ผู้ฝึกสอนด้านโภชนาการ" ยังแจ้งว่า สำหรับผู้ที่ต้องการลด น้ำหนัก เพราะเหตุฝรั่งเต็มไปด้วยกากใย จะทำให้อิ่มทน และกำจัดท้องร้องเพราะความหิว "กากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ คงที่ ซึ่งเท่ากับช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้พอดี ยิ่งกว่านั้น กากใยของมันยังจะช่วยล้างพิษโดยรวมทั้งสิ้น  เป็นผลให้จะมีผิวพรรณงาม".


ที่มา ไทยรัฐ

ลูกกินข้าวยากทำไงดี แนะ11 วิธีดึงเด็กกินง่าย

ลูกบ้านไหนกินยาก! ทางนี้มี 11 วิธีดึงเด็กกินง่าย
คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ลูกเป็นเด็กกินอาหารง่าย ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะบางท่านต้องทำใจให้เย็นทุกครั้งขณะป้อนข้าวลูก เนื่องจากลูกมักห่วงเล่น ชอบกินแต่นม หรือขนม จนไม่เคยกินอาหารหมดจานเลยสักที สร้างความหนักใจให้กับพ่อแม่หลาย ๆ ท่านเป็นอย่างมาก

วันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเทคนิคดึงลูกที่ไม่ชอบกินข้าวให้กินง่ายมาฝากกัน โดยเทคนิคนี้ คุณแม่เต๋อ-วีรนุช สุวัฒน์วงศ์ชัย ผู้เขียนหนังสือเมนูหนูน่าหม่ำได้ให้แนวทางไว้ 11 ข้อ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามจดพร้อม ๆ กันเลยครับ

1. กินข้าวกับตุ๊กตา

นำตุ๊กตาตัวโปรดมาวางข้าง ๆ ลูกน้อย สลับกับการป้อนข้าวทีละคำ พร้อมกับพูดว่า "เห็นไหม น้องจิงโจ้บอกว่าอร่อยมากเลย" หรือนำตุ๊กตามาวางล้อมจานข้าวเป็นวงกลม แล้วสมมติว่าป้อนข้าวให้ตุ๊กตาทีละตัวจนมาถึงลูกน้อย ลูกก็จะยอมกินแต่โดยดี และรู้สึกสนุกอีกด้วย

2. สร้างผักให้มีชีวิต

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีผักชิ้นเล็ก ๆ ลองสมมติให้ผักมีชีวิต และพูดคุยกับลูก เช่น ถ้ามื้อนั้นมีเห็ดเข็มทอง คุณแม่ลองคุยกับลูกว่า "ฉันชื่อเห็ดเข็มทองตัวเล็ก ๆ ฉันอยากให้เธอลองกินฉันจัง เพราะฉันรักเธอ ฉันอยากให้เธอมีพลัง"

3. ชวนลูกชิมรสชาติ

ถ้าลูกยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงประโยชน์ของผัก ลองเปลี่ยนไปเล่าเรื่องอื่นแทน เช่น ถ้ามื้อนั้นมีถั่วฝักยาว ให้สมมติผักเป็นสัตว์น่ารัก เช่น "นี่เป็นหนอนตัวน้อยก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อนะ เธออยากรู้ไหมว่ารสชาติของฉันเป็นอย่างไร" หรือถ้ามีผักหลากชนิดในจาน ลองบอกกับลูกว่า ผักเหล่านี้เป็นสาหร่ายในทะเลลึก ฉีกให้ลูกลองกินทีละนิด แล้วให้ลูกบอกรสชาติว่าเป็นอย่างไร ช่วยให้ตื่นเต้น และสนุกกับการกินมากขึ้น

4. กินฉันหน่อย

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีทั้งไข่เจียว และผัดผัก แต่ลูกเลือกไข่เจียวเพียงอย่างเดียว ให้บอกลูกขณะป้อนผักว่า "ฉันอยากเข้าไปอยู่กับไข่เจียวในปากของเธอได้ไหมจ๊ะ"

5. เลือกกินตรงไหนดี

ลองทำเมนูขนมปังรูปสัตว์ต่าง ๆ แล้วให้ลูกค่อย ๆ กินทีละส่วน เช่น "หนูอยากกินตรงไหนก่อน เริ่มจากหู หรือตาดีครับ/ค่ะ" วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการกินอาหารในแต่ละมื้อ

6. อาหารแปลงกาย

ถ้ามื้อนี้คุณแม่ทำบะหมี่ให้ลูกรับประทาน ลองพูดคุยกับลูกว่า "วันนี้บะหมี่แปลงร่างเป็นทะเลให้คุณกระต่ายน้อยลองแล่นเรือไปเที่ยว หนูอยากรู้ไหมว่า ทะเลมีรสชาติเป็นอย่างไร มันมีรสเค็มเหมือนทะเลจริง ๆ หรือเปล่านะ"

7. มาเก็บดอกไม้กัน

ชวนลูกลองรับประทานผักต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งในจาน เช่น แครอทรูปดาว หรือดอกไม้ จากนั้นคุณแม่ชวนลูก ๆ มาเก็บดาวทีละดวง หรือเก็บดอกไม้ทีละดอก หรือถ้าเป็นรูปหัวใจให้บอกว่า "นี่คือหัวใจของแม่ หนูลองหม่ำดู อันนี้ของลูก เป็นอย่างไรคะ รสชาติเหมือนหัวใจของแม่ไหม แล้วหัวใจของคุณพ่อล่ะคะ เปรี้ยว เค็ม หรือหวานกันนะ"

8. ไม้ตาย คือไส้กรอก

เด็กส่วนใหญ่ชอบกินไส้กรอก และแฮม ซึ่งไม่ควรให้กินบ่อย เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่มาก แต่กระนั้นไส้กรอกก็ยังเป็นไม้ตายชั้นดีที่คุณแม่นำมาใช้ได้ เมื่อลูกกินอาหารน้อยเกินไป

9. ผักซ่อนตัวกับน้ำผลไม้แก้วโต

ถ้าลูก ๆ ไม่ชอบกินผัก หรือผลไม้เลย คุณแม่ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือทำให้นิ่มมาก ๆ แล้วซ่อนไว้ในช้อนข้าว เพื่อไม่ให้ลูกเห็น หรือให้ดื่มน้ำผลไม้คั้น หรือปั่นแทน

10. เกมเดาใจ

ก่อนทำอาหารมื้อเช้าในวันถัดไป ลองให้ลูกเดาใจคุณแม่ดูว่าจะทำอาหารเป็นรูปอะไร วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นกับการกินอาหารมากขึ้น

11. แปลงโฉมทุกวัน

คุณแม่ลองใช้วิธีตกแต่งแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับอาหารในแต่ละมื้อ ให้ลูก ๆ โปรดปรานได้อย่างไม่รู้จบ ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนได้กินเมนูใหม่ ๆ ทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่อยากให้คุณแม่ทุกท่านตระหนักไว้คือ คุณแม่ต้องเข้าใจเรื่องการทำอาหารให้ลูก ถ้าลูกไม่ชอบอาหารชนิดใด ไม่ควรบังคับฝืนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแล้วว่า ลูกมีร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เพราะเมื่อลูก ๆ โตขึ้น อาจเปลี่ยนใจมาชอบเองก็เป็นได้

นอกจากนี้ ควรให้โอกาสลูกเลือกอาหารที่ชอบด้วยตัวเอง เช่น มื้อนี้อาจเตรียมข้าวผัดไว้ แต่ถ้าลูกอยากกินผัดมะกะโรนี คุณแม่อาจต้องยอมเสียเวลาลงมือทำสักนิด แล้วจะได้เห็นลูกหม่ำอาหารจานนี้อย่างมีความสุขจนคุณแม่ต้องปลื้มใจอย่างแน่นอน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แม่ท้องทำอะไรได้บ้าง ?

ภายหลังตั้งครรภ์ คำถามที่จะตามมาทันทีก็คือคุณแม่จะทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้บ้าง เพื่อเป็นการคลายความกังวลของคุณแม่ จึงขอแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในขณะตั้งครรภ์ในบางประเด็นที่คุณแม่ชอบถามกันบ่อย ๆ

การทำความสะอาดร่างกาย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายได้บ่อยตามความต้องการ จะอาบเวลาไหนก็ได้การหมั่นอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจะทำให้เหงื่อไคลและกลิ่นตัวถูกกำจัดออกไปด้วยเวลาถ่ายปัสสาวะ คุณแม่ต้องทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดให้ดี ควรล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง หลายคนชอบใช้กระดาษทิซชูเช็ดแทนการล้างช่องคลอด ต้องระวังว่า กระดาษทิซชูอาจเปื่อยหลุดเข้าไปในช่องคลอด ทำให้คันหรือตกขาวมีกลิ่นเหม็นได้ ภายหลังถ่ายอุจจาระ ควรทำความสะอาดก้นโดยการล้างน้ำ ถ้าใช้กระดาษชำระเช็ดก้น ควรเช็ดจากด้าน หน้าไปทางด้านหลัง อย่าเช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า เพราะอาจทำให้อุจจาระมาเปื้อนบริเวณปากช่องคลอดได้

การดูแลผิวพรรณ เมื่อมีการตั้งครรภ์ ผิวหนังของคุณแม่ส่วนมากจะแห้งและคันได้ง่าย และที่สำคัญคุณแม่จำนวนไม่น้อยมีผิวสีคล้ำขึ้นและมีท้องลายเกิดขึ้นด้วย คุณแม่ควรหมั่นทาครีมที่ช่วยบำรุงความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเกาที่บริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่บริเวณท้อง เพราะยิ่งเกาจะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวหนังบริเวณที่เกามีสีคล้ำขึ้น ในปัจจุบันยังไม่มียาหรือครีมชนิดใดเลยที่ได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์ในการลบหรือลดท้องลายได้

การแต่งเนื้อแต่งตัว คุณแม่ควรใส่เสื้อผ้าที่หลวม ๆ โปร่ง ๆ เนื่องจากบ้านเราอากาศค่อนข้างร้อน การแต่งชุดที่คับ ๆ หรือรัด ๆ จะทำให้อึดอัด รองเท้าที่ใส่ควรเป็นรองเท้าส้นเตี้ยหรือไม่มีส้น งดเว้นการใส่รองเท้าส้นสูงเพราะทำให้ล้มได้ง่าย และยังทำให้ปวดหลังเพิ่มขึ้นด้วย

การเสริมสวย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถย้อมหรือไฮไลต์สีผมได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน คุณแม่ที่ชอบใส่แหวน เวลาตั้งครรภ์ร่างกายคุณแม่มักจะบวมและนิ้วมือก็เป็นอวัยวะที่บวมได้บ่อยๆ ยิ่งใกล้คลอดจะยิ่งบวมมาก บางรายบวมมากจนถอดแหวนไม่ได้และเจ็บนิ้วมาก

เพศสัมพันธ์ คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์ ยกเว้นช่วงตั้งครรภ์ประมาณ 2-3 เดือนแรก เพราะอาจจะทำให้แท้งได้โดยเฉพาะคุณแม่ที่เคยมีประวัติแท้งบุตรหรือเคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อนยิ่งต้อง ระวัง อีกช่วงหนึ่งที่ควรลดก็คือช่วงใกล้คลอดเพราะอาจทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกและคลอดก่อนกำหนดได้ สำหรับท่าที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ควรเป็นท่าที่คุณแม่อยู่ข้างบนหรือหันหลังให้ ระวังอย่าให้ฝ่ายชายนอนทับเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

การทำงาน คนท้องทำงานได้ไม่มีข้อห้าม เพียงแต่อย่าทำงานที่ทำให้เหนื่อยมาก ถ้าเป็นการทำงานนั่งโต๊ะไม่หนักหนาอะไรก็เชิญทำได้ตามสบาย แต่ถ้าเป็นงานที่ทำแล้วเครียด อดตาหลับขับตานอน อย่างนี้ต้องเลิกหรือเบาลง คุณแม่ยุคใหม่จำนวนไม่น้อยต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หลายคนกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ขอเรียนว่าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้ปล่อยแสงหรือคลื่นประหลาดอะไรออกมาทำให้ลูกคุณพิการหรอก เพียงแต่ถ้านั่งแช่อยู่นาน ๆ คุณแม่ก็จะปวดหลังได้ง่ายเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็อยากแนะนำให้คุณแม่หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถ ขยับตัวและลุกเดินซะบ้างจะได้ไม่ปวดหลัง

เดินทาง คุณแม่จะเดินทางไปไหนก็ได้ไม่มีปัญหา ส่วนยานพาหนะที่จะใช้อาจมีข้อห้ามและข้อระวังแตกต่างกัน การเดินทางด้วยเครื่องบิน อาจทำได้ขณะตั้งครรภ์อ่อน ๆ แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น สายการบินมักไม่ยอมให้คุณแม่ขึ้นเครื่องเพราะกลัวจะไปคลอดบนเครื่องบิน การเดินทางด้วยรถยนต์ รถทัวร์ รถไฟ ถ้านั่งนาน ๆ จะทำให้ปวดหลังและขาจะบวมได้ นอกจากนี้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์มักจะปวดปัสสาวะบ่อย ถ้าต้องกลั้นไว้นาน ๆ กระเพาะปัสสาวะอาจจะอักเสบได้

คุณแม่ที่ขับรถไปทำงานประจำวันเอง สามารถทำได้ตามปกติ แต่ควรจะงดเว้นในช่วงตั้งครรภ์ใหม่ ๆ เพราะช่วงนี้คุณแม่จะอ่อนเพลียและง่วงนอนจากการแพ้ท้อง เวลาขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อีกช่วงหนึ่งก็คือช่วงใกล้คลอดซึ่งเป็นช่วงที่ครรภ์ของคุณแม่ใหญ่มากจนไปค้ำพวงมาลัย ทำให้ขับรถยาก อึดอัด ถ้าเบรกกะทันหัน ท้องอาจจะกระแทกพวงมาลัยจนทำให้แท้งหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นอันตรายได้

คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการนั่งรถจักรยานยนต์หรือรถตุ๊กตุ๊ก เพราะสภาพร่างกายที่อุ้ยอ้าย ขยับตัวลำบาก อาจตกหล่นจากรถได้ง่าย นอกจากนี้เวลาซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ คุณแม่ก็มักจะเกร็งกลัวหล่นจากรถอยู่แล้ว ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายท้องแข็งเลยก็มี

ทำฟัน คุณแม่สามารถทำฟันขณะตั้งครรภ์ได้เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะคุณแม่มีโอกาสเลือดออกได้มากเวลาทำฟัน คุณหมอฟันจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำฟันของคุณแม่ได้มากขึ้นครับ

ออกกำลังกาย การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้กระดูกเชิงกรานของคุณแม่มีการขยายตัวได้ดี และเวลาคลอดจะทำให้คุณแม่มีแรงเบ่งดี วิธีการออกกำลังกายในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แตกต่างจากของคนที่ไม่ตั้งครรภ์บางประการ คือ คุณแม่ควรออกกำลังกายเพียงแค่พอเหนื่อย ไม่ควรออกกำลังกายโดยการกระโดดโลดเต้นโดยเด็ดขาด ควรเปลี่ยนมาเป็น เดินเร็ว ๆ นั่งเหยียดแข้งขา ก้มตัวบิดไปมา หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

การใช้ยา คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทาน ฉีด หรือเหน็บเอง แม้ว่ายาส่วนมากจะปลอดภัย แต่ก็มียาหลายชนิดที่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณแม่เอง หรือต่อลูกในท้องได้ ก่อนใช้ยาทุกชนิดปรึกษาคุณหมอที่ดูแลก่อนจะดีกว่า

ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีความสุขกับการดำเนินชีวิตขณะตั้งครรภ์นะครับ

ข้อมูลจาก รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพสตรี ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย www.rtcog.or.th

นวพรรษ บุญชาญ
ที่มา เดลินิวส์