‘วิธีหายใจ’ ช่วยลดอาการวูบวาบในวัยทอง

‘วิธีหายใจ’ ช่วยลดอาการวูบวาบในวัยทอง
คนวัยทอง ที่ระดับฮอร์โมนแปรปรวนไปตามกลไกธรรมชาติ หรือแม้แต่จะท่องว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงวัยทองไปได้ แม้บางคนจะรู้เน้นคิดบวก แต่อาการวัยทองทางกายก็ยังเกิดขึ้น ที่พบมากๆ คือ อาการวูบวาบ ซึ่งสามารถลดได้เพียงแค่รู้เทคนิคการหายใจลดวูบวาบ อันประกอบด้วย 2 แบบ ให้เลือกทำ

แบบแรก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนท้องขยาย แล้วนับ 1-5 ค้างไว้ชั่วครู่ จากนั้นผ่อนลมหายใจออก นับ 1-5 ช้าๆ ควรทำอย่างน้อย 5 เซ็ตต่อวัน

ส่วนแบบที่สอง เป็นแบบปิดรูจมูกสลับหายใจ เริ่มจากใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือปิดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าช้าๆ นับ 1-5 ค้างไว้สักครู่ ระหว่างนี้ใช้ปลายนิ้วชี้ไปปิดรูจมูกอีกข้าง แล้วจึงปล่อยปลายนิ้วโป้งออก พร้อมกับการหายใจออกช้าๆ ทางรูจมูกอีกข้าง ซึ่งแบบนี้ก็ควรทำเป็นประจำ วันละ 5 เซ็ต เช่นกัน

ไม่ว่าจะเลือกวิธีหายใจแบบใด ก็สามารถลดอาการวูบวาบได้ร้อยละ 90 ทั้งนี้จะต้องรู้สึกผ่อนคลาย และไม่เครียดด้วย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

เทคนิคพ่อแม่ญี่ปุ่น เมื่อ"รัก"สร้างอัจฉริยะได้

กระแสการอบรมเลี้ยงดู "อนาคตของชาติ" หรืออนาคตของพ่อแม่ให้กลายเป็น "เด็กอัจฉริยะ" ได้ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่พ่อแม่ต่างมองหาแนวทางดี ๆ เข้ามาช่วยขับอัจฉริยภาพของเด็กให้ปรากฏ
[คุณมายูมิ ชิจิดะ]
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจหลงลืมกันไป และเป็นวิธีง่าย ๆ ในการสร้างลูกให้เก่ง และดี โดยไม่ต้องไปลงเรียนพิเศษคอร์สละหลายสตางค์ก็คือ "ความรัก" จากพ่อแม่นั่นเอง

โดยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นประเทศที่มีการศึกษาวิจัย ตลอดจนพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างเต็มที่ประเทศหนึ่งของโลกก็มีการค้นพบว่า การเลี้ยงลูกให้ฉลาดนั้น ประกอบด้วย 3 แนวทางง่าย ๆ เท่านั้น ได้แก่ "การชื่นชม การแสดงความรัก และการยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น"

คุณมายูมิ ชิจิดะ รองประธานสถาบันการศึกษาชิจิดะ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาอัจฉริยภาพของเด็กเผยว่า "เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาดที่พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นใช้ก็คือ การให้ความรักกับเด็กในทางที่ถูกต้อง ประกอบด้วย 3 สิ่งได้แก่ การชื่นชม การแสดงความรัก และการยอมรับในตัวเด็ก โดยพ่อแม่สามารถแสดงความรักกับลูกได้ตั้งแต่ลูกยังแบเบาะ เพียงแค่โอบกอดลูกไว้ในอ้อมแขน ให้เขาสัมผัสถึงความอบอุ่น และหากลูกโตขึ้น ก็สามารถทำได้ด้วยการชื่นชม และการยอมรับในความสามารถของเขา"

ทั้งนี้ หากจะขยายความเทคนิคดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมขึ้น คุณมายูมิเฉลยว่า ประกอบด้วยขั้นตอนง่าย ๆ 6 ขั้นตอนเท่านั้น ได้แก่

1.ไม่ตอกย้ำจุดอ่อนของลูก แต่ให้ความสำคัญกับจุดเด่นของลูกแทน เพราะการมองที่จุดเด่นของลูกนั้นจะทำให้เด็กเกิดความมั่นใจ และเป็นแรงผลักดันให้เขาพัฒนาความสามารถต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่ทำเช่นนี้ได้ จะพบว่า จุดอ่อนของลูกนั้นจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด

2. ขอให้เปรียบพัฒนาการของลูกเหมือนต้นไม้ ที่ ณ ปัจจุบัน เขาคือต้นอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่ลูกเป็นต้นอ่อน เขาจึงยังไม่สามารถแตกกิ่งก้านสาขา และยังไม่สามารถออกดอกออกผลให้คุณได้ ดังนั้น พ่อแม่ต้องอย่าคาดหวังว่าต้นอ่อนต้นนี้จะออกผลให้คุณชื่นชมได้ในทันที

3. พ่อแม่อย่าเป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ และนำเอานิสัยนั้นมาใช้วัดความสามารถของลูก

4. ไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะเด็กแต่ละคนย่อมมีอุปนิสัย ตลอดจนความสามารถ ความถนัดที่แตกต่างกัน

5. ไม่ตั้งความสำเร็จของลูกจากการศึกษา หรือคะแนนสอบ แต่ขอให้พิจารณาจากความพยายามของเด็กเป็นอันดับแรก นอกจากนั้นแล้วพ่อแม่ยังอาจเข้ามาช่วยค้นหาจุดบกพร่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้นด้วย

6. พยายามทำความเข้าใจตัวตนของลูก และเอาใจใส่แก้ไขในสิ่งที่เขาควรปรับปรุง

"ข้อที่สำคัญที่สุดจาก 6 ข้อด้านบนคือ การไม่เปรียบเทียบลูกตนเองกับเด็กอื่น ๆ เพราะการเปรียบเทียบจะทำให้เด็กขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่"

"ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่ากังวลในปัจจุบันก็คือ มีพ่อแม่ที่ไม่เคยถามว่าลูกต้องการอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเองว่าลูกควรเรียนเปียโน เรียนบัลเล่ต์ แต่เด็กไม่มีแรงจูงใจในการเรียน วิธีที่เหมาะสมกว่าคือ การเรียกลูกมาถาม ว่าลูกอยากเป็นอะไร ให้เด็กคิด แล้วพ่อแม่จึงสนับสนุนเขาในทางที่ลูกชอบ"

ทั้งนี้ คุณมายูมิได้ฝากข้อคิดถึงผู้ปกครองที่ต้องการบ่มเพาะความอัจฉริยะของเด็กด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้าง "สภาพแวดล้อม" ที่เด็กจะสามารถพัฒนาความสามารถของเขาให้ถึงขีดสุดนั่นเอง

เพราะในความเป็นจริงแล้ว เด็กอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ก็มีชื่อเสียงก้องโลกได้โดยไม่ต้องสมัครเรียนคอร์สพิเศษใด ๆ เพียงแค่เขามีมารดาที่ให้ความรัก และความทุ่มเทอย่างเต็มที่เท่านั้น หรือหากมองกลับมาที่เด็กอัจฉริยะหลาย ๆ คนของไทย ส่วนใหญ่แล้วต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาได้รับ "ความรัก" และ การ "สนับสนุน" จากคนในครอบครัว เขาถึงมีวันที่ประสบความสำเร็จที่น่าชื่นชมนั้นได้ นั่นจึงเป็นบทพิสูจน์อย่างดีว่า แท้ที่จริงแล้ว ความรักของพ่อแม่ก็คือ สิ่งที่พิเศษที่สุดที่โลกเตรียมไว้ให้สำหรับการสร้างอัจฉริยะให้เกิดขึ้นสักหนึ่งคนนั่นเอง

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เตือนสติพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบ "เทพเจ้า"

ปัจจุบันการเลี้ยงลูกมีหลายรูปแบบ แต่แบบหนึ่งที่คาบเกี่ยวระหว่างรักลูกกับทำร้ายลูก คือ การเลี้ยงลูกแบบเทพเจ้า เป็นการให้ความรักโดยมีทุกอย่างให้พร้อมสรรพ แต่กลับไม่เคยถูกดุ หรือถูกสอนให้เผชิญหน้ากับความยากลำบากเลย
การให้ความรักแบบฟุ้งเฟ้อนี้ พญ.ศศิธร จันทรทิณ กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลศิริราช สะท้อนผ่าน ทีมงาน Life & Family ว่า เป็นการเลี้ยงลูกที่ไม่ผิด แต่การใช้ความรักทั้งหมดทุ่มเทเพื่อลูกอย่างเดียวคงไม่ได้ ซึ่งต้องมีขอบเขตควบคู่ไปกับวินัย และฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองเป็นด้วย มิเช่นนั้น ลูกจะเป็นคุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น เก่งแต่ในบ้าน แต่อยู่ในสังคมนอกบ้านไม่ได้

"ลูกคือหัวใจ คือความรักที่เราทุ่มเทให้ได้ทุกอย่าง เพราะอยากเห็นลูกมีความสุข ซึ่งมันไม่ผิดหรอก แต่ทีนี้ความรักของพ่อแม่ต้องมีขอบเขตด้วย ถ้าเกิดให้ลูกดีหมดทุกเรื่อง เด็กก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำไปแล้วไม่ดีอย่างไรในสายตาคนอื่น ๆ" กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กกล่าว

ดังนั้น กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กท่านนี้เน้นย้ำว่า ไม่ผิดที่พ่อแม่จะให้ความรักกับลูกอย่างเต็มที่ แต่ความรักต้องควบคู่ไปกับข้ออื่น ๆ ด้วย เช่น การฝึกวินัย การช่วยเหลือตัวเอง เพื่อฝึกความมีระเบียบ ความอดกลั้น สู้กับปัญหา ล้มแล้วสามารถลุกยืนได้ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง เรื่องราวน่าหวาดหวั่นที่ลูกต้องพบไม่ได้ก้าวผ่านกันง่าย ๆ

"หากเด็กขาดวินัย และทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกับสังคม เด็กจะขาดความกล้า และความมั่นใจ เป็นเจ้าชายในบ้าน แต่เมื่อออกนอกบ้าน กลับไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองเลย เพราะมีพ่อแม่ทำให้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก" กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กเตือนสติพ่อแม่ที่รักลูกจนเกินเหตุ หรือเลี้ยงลูกแบบเทพเจ้า

อย่างไรก็ดี การฝึกวินัย และความเป็นระเบียบให้ลูกนั้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อให้ถึงเป้าหมาย เแต่ช่วยให้ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเอง และพัฒนาไปสู่เป้าหมายนั้น ๆ ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเริ่มฝึกได้ตั้งแต่ขวบปีแรก เช่น ฝึกให้กินนมเป็นเวลา นอนเป็นเวลา หลับเป็นเวลา นาฬิกาในตัวเด็กก็จะคงที่ ต่อยอดให้มีวินัยในเรื่องอื่น ๆ ตามมา

"เมื่อลูกถึงวัยที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ควรให้ลูกทำ เช่น 2 ขวบ สามารถทานข้าวเองได้แล้ว ควรให้ลูกจับช้อนกินเอง เลอะเทอะไม่เป็นไร ค่อย ๆ สอนกันไป ควบคู่กับการทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง ถ้าสิ่งที่ลูกทำเสี่ยงต่ออันตราย แทนที่จะห้ามลูก พ่อแม่ควรเลือก และจัดสถานที่ที่ปลอดภัยให้แทน"

ทิ้งท้ายนี้ กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กสรุปให้ฟังถึงหลักการเลี้ยงลูกให้ดีสไตล์พ่อแม่ยุคใหม่ว่า ควรคำนึงหลัก 3 L คือ ความรัก (Love) ข้อจำกัด/กฎกติกา (limitation) และการให้ลูกเติบโตตามวัย ข่วยเหลือตัวเองได้ (Let them grow) นั่นหมายความว่า ความรักที่พ่อแม่มีให้ลูกต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม จากนั้นฝึกให้ลูกได้พบสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับปัญหา เพื่อเป็นเวทีให้เขาเรียนรู้ที่จะพ่ายแพ้ และเห็นทางออกในทุกปัญหา

ทั้งหมดข้างต้น ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ควรพิจารณาให้ดี เพราะเด็กที่เห็นคุณค่าในตัวเองมากเกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์แพ้ ชนะตลอด แข็งแรงต่อความสำเร็จของตัวเอง ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งมาจากการเลี้ยงลูกที่ถูกตามใจ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลเมื่อเด็กเกิดความล้มเหลว เมื่อล้มก็ล้มเลย ไม่สามารถผ่านพ้นไปได้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สวยแบบประหยัดด้วยน้ำนม


น้ำนมสามารถนำมาทำความสะอาดผิวได้ โดยใช้นมสดชุบสำลี แล้วเช็ดผิวหน้า โดยเฉพาะเครื่องสำอางบริเวณตา เพราะน้ำนมเป็นคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและจะช่วยทำให้ผิวสดชื่น

ผลิตภัณฑ์จากน้ำนม เช่น โยเกิร์ตก็ช่วยให้ผิวสวยใส เพียงพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตสักครู่แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น อาจเพิ่มประสิทธิภาพโดยผสมกับน้ำผึ้ง กรดแลคติคในโยเกิร์ตและสารแอนติ-แบคทีเรียในน้ำผึ้งจะช่วยต่อต้านแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

นอกจากนี้นมผงและเม็ดอัลมอนด์บดละเอียดก็ยังเป็นสครับทำความสะอาดผิวชั้นเยี่ยมที่อ่อนโยนเพราะมาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีสารเคมีเจือปน.

ที่มาทีมเดลินิวส์ออนไลน์

ซีเอ็นบลู คลื่นลูกใหม่เกาหลี

ซีเอ็นบลู คลื่นลูกใหม่เกาหลี
เนื้อหอมสุด ๆ บวกกับความหล่อสไตล์แบบ 4 หนุ่ม “ซีเอ็นบลู” ที่ใครเจอแล้ว ก็อยากเจออีก ล่าสุดแฟนคลับเมืองไทยโชคดีและเตรียมกรี๊ดสลบได้เลย เพราะเครื่องสำอางสัญชาติเกาหลีอย่างโฮลิก้า โฮลิก้า จะนำ 4 หนุ่มร็อกแบนด์สุดฮอต ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องสำอางยี่ห้อดัง บินลัดฟ้าสู่เมืองไทยในงาน “โฮลิก้า โฮลิก้า พรีเซนต์ส เมจิค ปาร์ตี้ วิท ซีเอ็นบลู” ในปลายเดือนนี้อย่างแน่นอน เพื่อมอบความสนุกสนานให้กับแฟนคลับอย่างเต็มอิ่มต้อนรับต้นปี 2554

ซีเอ็นบลู ย่อมาจากโค้ด เนม บลู ศิลปินน้องใหม่ แนวเพลงของพวกเขาเป็นแนวร็อก อินดี้ แบบฉบับเพลงใต้ดินของญี่ปุ่น และได้เปิดตัวครั้งแรกที่แดนซากุระไปเรียบร้อยแล้ว สมาชิกทั้ง 4 คน ประกอบด้วยจองยงฮวา นักร้องนำ ที่มีผลงานละครโทรทัศน์เรื่อง ยูอาร์บิวตี้ฟูลหรือหล่อน่ารักกับซุปเปอร์สตาร์น่าเลิฟ, ลีจงฮยอน นักร้องนำ-มือกีตาร์ ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง อะคูสติก เช่นเดียวกับคัง มิน ฮยอก มือกลองของวงที่ร่วมแสดงด้วย และ ลีจองชิน มือเบส แต่เดิมซีเอ็นบลู มีสมาชิก 5 คน ซึ่งสมาชิกคนนี้ในตำแหน่งมือกีตาร์คือ ซงซึงฮยอน ที่ตอนนี้เข้าร่วมวงเอฟทีไอส์แลนด์ แทนวอนบินที่ออกไป

บลูทอรี เป็นมินิอัลบั้มแรก ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับซีเอ็นบลูในเกาหลีใต้ และในอัลบั้มเปิดตัวของพวกเขาประกอบด้วย 5 เพลงคือนาว ออร์ เนเวอร์, เล็ท’ส โก เครซี, เลิฟ เรฟโวลูชั่น, จัสต์ พลีส และเทียร์ดรอป อิน เดอะเรน ซึ่งเป็นเพลงภาษาอังกฤษทั้งสิ้น โดยเฉพาะเพลงเลิฟ เรฟโวลูชั่นที่จองยงฮวาเป็นนักร้องนำได้แสดงความสามารถในการเขียนเนื้อร้องเอง

วงซีเอ็นบลู กลายเป็นที่สนใจอย่างมาก เพราะเสน่ห์และคุณภาพของพวกเขาแตกต่างจากศิลปินเกาหลีหรือนักร้องกลุ่มเต้นทั่วไป อีกทั้งซีเอ็นบลูมีแฟนๆ เป็นพื้นฐานจากการแสดงเป็นวงของพวกเขาในตลาดญี่ปุ่น

โดยเฉพาะเพลงไอ ดอน’ท์ โนว์ วาย ของพวกเขาติดซิงเกิ้ลอันดับ 1 ของชาร์ตซิงเกิ้ลโอริก้อน

สำหรับคอนเสิร์ตโฮลิก้า โฮลิก้า พรีเซนต์ส เมจิค ปาร์ตี้ วิท ซีเอ็นบลู โดยเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้ในครั้งนี้ จะมีขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี.

วิษณุ ศิริอาชารุ่งโรจน์
ที่มา เดลินิวส์

5 ขั้นตอนความจำ แม่นยำไม่ลืม

‘มุมสุขภาพ’ ทั้งสองวันที่ผ่านมา นำเสนอถึงเรื่องความจำเป็นของการหลับเมื่อร่างกายเรียกร้อง สามารถช่วยให้สมองจัดระเบียบข้อมูล มีความจำที่ดี

ไหนๆ ก็ตั้งใจกล่าวถึงเรื่องความจำแล้ว วันนี้ขอแนะนำเคล็ดลับ “การจดจำ 5 ขั้นตอน” ซึ่ง ‘หนูดี-วนิษา เรซ’ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ เคยเผยไว้ในงาน ‘Brain Explorer’ รวมทุกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมอง โดย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

หากต้องการจดจำเรื่องใดเป็นพิเศษ ให้รู้ไว้เลยว่า ควรทำให้เรื่องราวเหล่านั้นมีคุณสมบัติ 5 ข้อ 5 ขั้นตอน คือ เริ่มจาก 1. รับข้อมูลเข้าผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส ยิ่งสัมผัสได้หลายแบบ ยิ่งช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น ตามด้วยขั้นตอนที่ 2.กรณีที่เป็นข้อมูลสำคัญ คนเราจะเก็บไว้ในความสนใจ แต่ถ้าไม่สำคัญก็จะลบทิ้งไม่เก็บเข้าสมอง ดังนั้นถ้าอยากจำอะไรจริงจัง ก็ต้องสนใจให้มาก

ส่วนขั้นตอนที่ 3.เรื่องราวที่เป็นภาพจะถูกดึงไว้ในความทรงจำระยะสั้น และขั้นที่ 4.เติมประจุทางอารมณ์ เพื่อให้สมองจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น และขั้นตอนสุกท้าย ขั้นที่ 5 เมื่อผ่านทั้ง 4 ขั้นตอนที่กล่าวมาได้ครบ ความทรงจำจะถูกเก็บเป็นความจำระยะยาว ที่นี้จำนาน ลืมยากแน่นอน.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่”

'มุมสุขภาพ' วันนี้เตรียมเรื่องราวของการนอนกลางวันหลังกินข้าวแล้วหนังท้องตึง หนังตาหย่อน เห็นควรให้งีบหลับก่อนเริ่มงานภาคบ่าย...เอ๊ะ! อย่างนี้จะเหมาะหรือ เจ้านายเล่นงานเอาได้นะ แต่เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine เตรียมเหตุผลสำคัญมาให้ชี้แจงกับเจ้านาย....

@@@@

ชีวิตที่ว่าแสนสั้นอยู่แล้วนี้เราใช้ไปกับการนอนถึงหนึ่งในสามหรือราว 25 ปี เรียกว่านอนกันจนเป็นมืออาชีพ ยิ่งถ้าเป็นนักงีบระดับแกรนด์แสลมก็ยิ่งแจ่ม มีความสามารถเก็บเล็กผสมน้อยค่อยเก็บสแปร์ไปจนได้มากชั่วโมง(งีบ)กว่าเพื่อนร่วมงาน นับว่าเป็นการทำ CSR(Corporate self responsibility) ให้กับชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งนายคงไม่ปลื้มนัก!

แต่กระนั้นการนอนกลางวันก็ยังเป็นของรักสำหรับหลายท่านเพราะงีบบ่ายๆนั้นแสนสบาย บรรยากาศเป็นใจ คลายเครียดคลายทุกข์ได้ รู้สึกสุขเหมือนเมื่อเด็กๆ ปราศจากพันธะผูกพัน

แต่ว่าไปก็มีเรื่องน่าคิดที่ช่วยยืนยันคำแก้ตัว เอ๊ย...ความคิดของผมอยู่มากนะครับ สำหรับบุคคลที่ได้ผลดีจากการนอนก็มีอาทิ พระอานนท์พุทธอนุชาผู้บรรลุอรหัตผลในพระอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอน, สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯที่ทรงได้เพลงบุหลันลอยเลื่อนมาขณะทรงพระสุบิน, ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร ที่ได้ “น้ำตาแสงใต้” ออกมาขณะหลับ หรือจะนายนักเคมีชาวเยอรมันที่ไปฝันเห็นงูกินหางตัวเองเข้าแล้วเอามาตีโจทย์เป็นสูตรโครงสร้างเคมีที่ไม่คาดคิดได้ เสียดายเยอรมันไม่มีหวยแบบไทย

มีเหตุให้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาได้หาทาง “ถอดรหัส” อัจฉริยะนี้ออกมาว่าก้อนสมองนี้แอบซ่อนพลังที่คาดไม่ถึงอะไรไว้อีกบ้าง โดยจำกัดวงให้แคบลงมาที่เรื่องที่ผมถนัดนั่นเอง คือเรื่อง “งีบ” ครับ

หลับกลางวันที่มากกว่า “ฝันหวาน”

นักวิจัยชั้นนำของโลกเอามาเป็นประเด็นไขสมองนะครับ เพราะสำหรับผมการงีบกลางวันก็เหมือนกับการทำตามใจตัวหลังกินข้าวอิ่ม ธรรมชาติก็ร้องให้ไขม่านปิด หนังตาหนักแล้วก็หาที่พักให้สบาย ยิ่งได้มุมเสายิ่งดี ใช้สิงสู่ได้ นายไม่เห็น

บำเพ็ญตนเป็นผีเฝ้าเสาอยู่นานพอดูสมัยอยู่ในออฟฟิศ ทำตัวกินอิ่มนอนหลับอย่างนี้ในขณะที่พอจะมีเวลาน่ะครับ ไม่อย่างนั้นจะรู้ตัวดีว่าจะเริ่มอาการ “งอแง” เริ่มตั้งแต่ มึนหัวตึ้บ รู้สึกลอยๆ หัวตื้อไปจนรู้สึกหงุดหงิดจิตเหวี่ยง เสี่ยงกับการถูกนอยด์กลับอยู่เหมือนกันซึ่งมันจะไม่ค่อยรู้ตัวเลยเวลาง่วงจัด แต่ถ้าลงได้หลับล่ะก็เป็นคนละคนทีเดียว กลายเป็นเด็กตาใส

ใครใช้อะไรก็จ๊ะจ๋าไม่อิดออดเพราะได้นอนพอ แต่ถ้านอนไม่อิ่มนี่จะคนละเรื่องทีเดียวครับ สำหรับพิษจากการอดนอนนอกจากอิดโรยแล้วก็จะทำให้การทำงานไร้ประสิทธิภาพ แถมเจ้าตัวมีสภาพไม่ต่างจากผีดิบ ตาเบิกโพลง แต่สมองโล่งโบ๋

ทีมนักวิจัยจากเบิร์กลีย์จึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยฝั่งอังกฤษในการไขปัญหานิทราระหว่างวันว่ามันมีดีอย่างไรที่ช่วยคนได้ ก็ได้ความดังต่อไปนี้....

1)ช่วยจัดระเบียบความจำ ย้ำให้แน่นขึ้น
2)ทำให้จำต่อเนื่อง เป็นเรื่องตกผลึกได้

@@@@

ประโยชน์ของการนอนยังมีมากที่ควรรู้ แต่บอกวันนี้ไม่เหมาะ เพราะอ่านเยอะไปพาลหนังตาหนัก รบกวนผู้อ่านรักษ์สุขภาพตามอ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

สารพัดพืชผลเสริมเซลล์แกร่ง-ผมสวย

การจะเส้นผมที่แข็งแรง เหนือสิ่งอื่นใดต้องมีเซลล์ที่แข็งแรง เพราะถ้าเซลล์ผมอ่อนแอ เสื่อมสภาพ ย่อมส่งผลต่อสุขภาพเส้นผม มีอันต้องหลุดร่วงไปโดยง่าย

ทางแก้ตามสไตล์ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ ก็ต้องพึ่งเมนูเสริมสุขภาพ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ทั่วร่ายกาย ไม่จำกัดเฉพาะเซลล์ผมเท่านั้น โดยเมนูสูตรน้ำที่ขอเสนอในวันนี้อาจมีส่วนผสมหลายอย่างเสียหน่อย แต่ถ้าแลกกับความสมบูรณ์ของเซลล์จำนวนมากมายทั่วร่างกายแล้ว รับรองว่าคุ้มค่า

ส่วนผสมในสูตรเครื่องดื่มแก้วนี้ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย มีทั้ง ‘ส้ม’ ที่สามารถป้องกันเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อรา ขณะที่ ‘ผักโขม’ โดดเด่นที่มีคลอโรฟิลล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ แถมยังช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และลดปัญหารังแค

ส่วน‘บีตรูต’ ยิ่งน่าสนใจ เพราะมีสรรพคุณเสริมให้เม็ดเลือดแดงรับออกซิเจนได้มาก และสามารถเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ได้มากถึง 400 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ ‘มะนาว’ คอยเติมความชุ่มชื้น ให้ผิว-หนังศีรษะปราศจากความแห้งกร้าน

‘แครอต’ คอยทำความสะอาดเนื้อเยื่อ โดยอาศัยประสิทธิภาพของซัลเฟอร์และคลอรีน สุดท้าย ‘รากขิง’ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบหลอดเลือด และควบคุมรังแค

ส่วนผสมต่าง ๆ แนะนำให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

ส้ม 2 ผล
ผักโขม 1 ถ้วย
บีตรูต 1 ถ้วย
มะนาว 2 ผล
แครอต 1 ถ้วย
รากขิง 1 ชิ้น

ขั้นตอนในการทำเครื่องดื่ม หลังจากทำความสะอาดผักและผลไม้ทั้งหมดแล้ว ให้นำส้มและมะนาวไปคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นหันไปขูดแครอตออกเป็นเส้นเล็กๆ แล้วนำรากขิงไปบุบพอแตก ส่วนบีตรูตให้หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก นำผักโขมและส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เพิ่มความเย็นสดชื่นได้เพียงเติมน้ำแข็งป่นลงไปแล้วดื่มทันที ปรุงดื่มสักสัปดาห์ละแก้ว ช่วยเซลล์แข็งแรงดีนักแล.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

‘กระตุก’ ออกกำลังเส้นผม

‘มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย’ วันนี้ชวนผู้อ่านรักษ์เส้นผมออกกำลังเส้นผม ด้วยการกระตุกเพื่อยืดเหยียดให้เส้นผมมีสุขภาพดี กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลือง ถือเป็นการบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหนังศีรษะส่งผลดีต่อรากผมและเส้นผม

การกระตุกในที่นี้จะต้องทำอย่างมีเทคนิค ระวังอย่าทำรุนแรงจนเกินไป มิฉะนั้นจากการออกกำลังกายเพื่อรักษาเส้นผมอาจกลายเป็นการทำร้ายเส้นผมให้อ่อนแอ เจ็บหนังศีรษะ เส้นผมพาลจะหลุดร่วงติดมือลงไปอีก

วิธีกระตุกเส้นผม เริ่มจากแบ่งเส้นผมออกเป็นช่อ ไม่มากไม่น้อยให้พอเหมาะเมื่อต้องพันด้วยข้อนิ้วชี้โดยใช้นิ้วหัวแม่มือประคองไว้

ส่วนการกระตุก ทุกๆ ช่อเส้นผมให้กระตุกเป็นจังหวะ 3 ครั้งต่อเนื่องกัน ทำแบบนี้ให้ทั่วทั้งศีรษะ ถ้าจะให้ได้ผลดีด้านความเงางาม ควรกระตุกเส้นผมหลังใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง

อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นชนิดน้ำ ครีม เจล ไม่ควรใส่ลงไปที่หนังศีรษะโดยตรงเพราะอาจเกิดการแพ้สารเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผมหลุดร่วงเป็นหย่อมๆ แต่ให้ใส่ผลิตภัณฑ์ลงบนฝ่ามือแล้วถูเพื่อให้กระจายตัวก่อนใส่ผมหรือนวดหนังศีรษะ.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า‘รา’ภัยบ้าน-สุขภาพ

บทความชิ้นพิเศษเกี่ยวกับ เชื้อเรา เอาใจทั้งคนรักษ์บ้าน และรักษ์สุขภาพ อันเนื่องมาจากเชื้อราที่เกิดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์ หรือข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เพราะความอับชื้น หากปรากฏขึ้นมาก นอกจากจะไม่สวยงามแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย โดย ‘มุมสุขภาพ’ ขอเสนอวิธีพิชิตเชื้อรา จากคุณ meepole…

ราบางชนิดก็มีประโยชน์ใช้ทำยา ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น แต่ที่จะเขียนถึงต่อไปนี้แน่นอน มันเป็นราผู้ร้าย

รามีหลายประเภท (species) และแต่ละชนิดก็มีผลต่อสุขภาพแตกต่างกัน และที่แน่นอนคือเมื่อมีราเกิดขึ้นไม่ว่าส่วนใดของบ้าน ต้องกำจัดออก ไม่ต้องคิดเมตตาปราณีเป็นอันขาด

หลายคนอาจยังเข้าใจว่าเชื้อราก่อให้เกิดโรคเฉพาะผิวหนังภายนอก เช่น กลากเกลื้อน เชื้อราที่มือและเท้า เป็นต้น แต่ความจริงแล้วมันลุยเข้าไปในตัวเราได้มากกว่าที่คิด ตับ ไต ไส้พุง ระบบน้ำเหลือง มันเที่ยวไปรังควานซะทั่ว

เชื้อราเส้นเล็กๆ นี่ อันตรายกว่าที่คิดแน่นอน เพราะอาจส่งผลต่อการเกิดภูมิแพ้ และเกิดโรคหลายชนิด เช่น โรคปอดอักเสบ บางชนิด สามารถผลิตสารพิษที่เรียกว่า mycotoxin ซึ่งมีพิษมาก และถูกสงสัยว่าเป็นสารก่อมะเร็งด้วย มีผลต่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง ราบางชนิด เช่น กลุ่มราบางชนิดที่ชอบขึ้นบนพรมที่ชื้น ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ มีเลือดออกภายใน เกิดแผลในกระเพาะ และอีกชนิดที่รู้จักกันดีคือกลุ่มเพนนิซิเลียมที่พบได้ทั่วไปในดิน อาหาร ขนมปัง ธัญพืช มักพบบนผนังฝาบ้าน พรม วอลเปเปอร์ที่ชื้น พวกนี้จะทำให้มีอาการหอบหืด โรคปอดอักเสบภูมิไวเกิน

ราพวกนี้บางชนิดเข้าปอดโดยการหายใจ ทำให้มีการติดเชื้อแพร่กระจายออกไปยังอวัยวะใกล้เคียง เช่น ตับ ม้าม กระดูก ตลอดจนเข้าไปในระบบน้ำเหลือง และตายได้ บางกลุ่มทำลายตับ ไต

เราได้รับเชื้อรา ทางไหนบ้าง?...เรารับเชื้อราได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่นจากการสัมผัส ทางจมูก โดยการหายใจ พบว่าการติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการหายใจ

เนื่องจากเชื้อรามีอยู่ทั่วไปในอากาศโดยเฉพาะสปอร์ล่องลอยเที่ยวไปเรื่อยๆ ดังนั้นคนที่มีปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ควรหลีกเลี่ยงบริเวณเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อรา หรือบริเวณที่มีเชื้อราอยู่มากเช่น บริเวณที่มีฝุ่นละอองเยอะ บริเวณที่มีคนอยู่หนาแน่น

อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน เช่น คนที่เป็นโรคเอดส์ โรคมะเร็ง ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่กำลังมีการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์และเคมีบำบัด กลุ่มบุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอด เช่นคนที่เป็นโรควัณโรค หรือ cystic fibrosis เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้วคงต้องหาเวลาตรวจส่วนต่างๆของบ้าน ว่ามีราแอบแฝงที่ส่วนใดบ้าง ห้องน้ำ ผ้าม่าน พรม หน้าต่าง เบาะนั่ง หมอน ผนังห้อง หวี เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เสื้อผ้า กระเป๋า...เพราะบางครั้งที่คนในบ้าน เด็กเล็ก ป่วยหอบหืด ภูมิแพ้ อาเจียน ไข้ โดยไม่มีสาเหตุ และนำไปสู่โรคต่างๆข้างต้นได้ แม้กระทั่งผู้ใหญ่หากร่างกายอ่อนแอ ก็จะมีอาการดังกล่าวเช่นกัน โดยอาจจะมาจากสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า "รา" นี่เอง

--@@--ปฏิบัติการกำจัด-จำกัด ราในบ้าน

เราจะเริ่มที่ขั้น ทำความสะอาดก่อน
1. แรกสุดที่ต้องคิดถึง คือกำหนด "รา cleaning day" (ทำงานให้เป็นสุข สนุกกับการทำงาน) ดูว่าราขึ้นมากไหม (บริเวณกว้างไหม) และมันเพิ่งขึ้น หรือมันนานพอควรแล้ว รู้ได้ยังไง ...ก็ดูว่าฟูมากไหม เป็นขยุ้ม หรือเป็นจุดเล็กๆ อันนี้จำเป็น แล้วแต่ละสภาพแวดล้อมที่ทำ ถ้าเป็นในห้องน้ำมักจะเป็นพวกไม่ฟู ถ้าเป็น อาหาร ไม้ โดยเฉพาะ particle board ที่เป็นส่วนของเฟอร์นิเจอร์ จะฟู (ถ้าขึ้นมาเกิน 1 สัปดาห์แล้ว)

2. สำรวจความพร้อมของคณะทำงานและผู้ช่วยก่อน ถ้ามีรามาก และฟู และคุณมีสภาพร่างกายที่มีความเสี่ยงแบบที่กล่าวถึงในบทความก่อนหน้านี้ ก็ควรใส่ที่ป้องกัน สวมหน้ากากกันหวัดนั่นล่ะ ถุงมือพลาสติกที่มีขายตามสรรพสินค้าทั่วไปหรือเป็นถุงมือแพทย์ก็ได้ ถ้าฉุกเฉินจริงๆหาไม่ทัน เอาของที่มีทุกบ้านมาใช้แทน คิดออกไหมเอ่ย!!! ถุงกอบแกบขนาดเล็กเอามือใส่เข้าไป แล้วเอาห่วงยางรัดก็จะได้ถุงมือแบบไม่มีนิ้ว เก๋ไปอีกแบบ เสื้อผ้าที่สวมใส่เอาที่รัดกุมหน่อย อย่ากรุยกรายมากนักเดี๋ยวยังไม่ทันทำความสะอาด แขนเสื้อ ชายเสื้อ จะไปกวาดแทนหมด

3.ดูพื้นที่ๆเราจะจัดการก่อนว่าราขึ้นที่ไหน สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเป็นอย่างไร เช่นแห้ง ชื้น เปียก

4.สำรวจบริเวณที่จะทำความสะอาด ว่ามีของเกะกะ หรือของใช้อื่นๆอยู่ใกล้หรือไม่ เช่นเฟอร์นิเจอร์ โซฟา หมอนหนุน อยู่ในบริเวณเดียวกัน หากมันขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่งที่เป็นจุดร่วม ต้องค่อยๆหยิบออกมาวางทีละชิ้นแล้ว clear เพราะจะถือว่าทุกส่วนกระทบหมดคือ อาจมีรา เพราะรามีลักษณะเป็นเส้นใยมันสามารถชอนไช แผ่ขยายเหมือนตาข่าย เพราะฉะนั้นถ้าจะทำความสะอาดที่จุดใดต้องจัดการบริเวณไกล้เคียงด้วย บริเวณอื่นก็ใช้หลักการเดียวกัน ไม่งั้นมันจะเหลือพรรคพวกเตรียมซุ่มรอก่อการร้ายได้อีก เมื่อสภาพแวดล้อมรู้เห็นเป็นใจ

5.สังเกตพื้นผิวที่จะกำจัดก่อนว่าพื้นเรียบหรือขรุขระหรือมีรูพรุน (วัสดุมีรูพรุนหรือน้ำซึมได้ดี เช่น ฝ้า แผ่นฉนวน พรม เสื้อผ้า กระดาษ หนังสือ ) หรือไม่ซึมน้ำ เช่น แก้ว โลหะ พลาสติกแข็ง หรือซึมได้เล็กน้อย เช่น ไม้ คอนครีต

6.กำหนดบริเวณที่ทำความสะอาด แล้วหากระดาษหนังสือพิมพ์มาปูรอบๆ (ติด) พื้นบริเวณนั้น ๆ (กรณีในบ้าน) แล้วสเปรย์น้ำหมาดๆลงบนกระดาษ (ก่อนจัดการรา) ถ้าเป็นห้องนอนต้องหาผ้ามาคลุมเตียง

7.เอาถุงกอบแกบ ใบใหญ่หน่อยชนิดที่เอาของทุกอย่างทิ้งในถุงนั้นได้หมด โดยไม่ต้องคอยขยับถุง (กระเทือน) มาวางใกล้

8.อย่าเปิดพัดลม เพราะอาจเป็นตัวกระจายสปอร์ให้ฟุ้งไปทั่วอีก

พร้อมแล้วนะคะ ลงมือลุย

•จากข้อ3 ถ้าพื้นที่ที่ราขึ้นแห้ง ห้ามเช็ดแบบแห้งเป็นอันขาดเพราะถ้ามีสปอร์มันจะฟุ้งล่องลอย ไปเที่ยวรอบห้อง หรือไม่ก็เข้าจมูก ปาก ตาของเรา อันตรายอีก ดังนั้น ต้องทำให้มันชื้นเล็กน้อย โดยใช้กระดาษ tissue มากๆหลายๆชั้น ชุบน้ำ หมาดมากๆ (ไม่เปียกแฉะ) ปกติควรใช้ tissue ขนาดแผ่นใหญ่ที่เป็นม้วน มันจะหนาดีมาก

•แล้วเช็ดจากล่างขึ้นบน (ซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายก็ไม่ ได้) นี่กรณีราฟู นะคะ ถ้าไม่ฟูก็ตามใจถนัด

•เช็ดทีเดียวทิ้งทุกครั้ง ไม่มีการซ้ำ อย่าประหยัด

•เตรียมน้ำสบู่เหลว เอาแบบที่บอกว่าฆ่าเชื้อหรือธรรมดาก็ได้ (ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยไม่บอกชื่อ).. (ยิ้ม) ผสมน้ำเล็กน้อย เช็ดซ้ำอีก

•เสร็จก็ใช้น้ำเช็ดซ้ำ คราวนี้เช็ดยังไงก็ได้ ตามใจชอบ

ทำความสะอาดเสร็จ นั่งพักก่อนได้ ถ้าเหนื่อย เพราะขั้นตอนต่อไปจะเป็นการฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีหลายวิธีให้เลือก

1.น้ำส้มสายชู เทน้ำส้มสายชูออกจากขวดใส่กระดาษทิชชู หมาดๆ (ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าเพราะใช้แล้วต้องซัก ไม่ดีแน่ เอาแบบใช้แล้วทิ้งปลอดภัยกว่า) หรือใส่ขวดสเปรย์ก็ได้ สเปรย์ตั้งทิ้งไว้สัก 5-10 นาทีแล้วก็เช็ดเลย กำจัดได้ในระดับน่าพอใจ (80%) แต่ไม่ฆ่าสปอร์

2.Tea tree oil ใช้ 2 ช้อนชาในน้ำ 2 ถ้วย ใส่ขวดสเปรย์เบาๆ บนบริเวณที่ต้องการแล้วเช็ด เหลือเก็บใส่ขวดเก็บไว้ใช้ได้นาน

3.Grapefruit seed extract ใช้ 20 หยด ใส่ในน้ำ 2 ถ้วย ใส่ขวดสเปรย์เบาๆ บนบริเวณที่ต้องการแล้วเช็ด

ส่วนสารฆ่าเชื้อราที่เข้มข้นกว่า ประกอบด้วย...

1. แอลกอฮอล์ (ethanol, isopropanol)ใช้ที่ความเข้มข้น 60 - 90%. ควรให้ระยะสัมผัส อย่างน้อย 5-10 นาที

2. Chlorox bleach หรือ sodium hypochlorites สารนี้ส่วนใหญ่จะรู้จักกัน เป็นสารประกอบคลอรีน มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้ออย่างกว้างขวาง มีราคาถูก และออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว สารละลาย hypochlorite เสื่อมสภาพได้เร็ว ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อสัมผัสอินทรียสาร จึงควรเตรียมใหม่เมื่อใช้และเก็บในภาชนะที่ป้องกันแสง ใช้อัตราส่วน 1:10

3.ไฮโดรเจนเพอรอกไซด์ (hydrogen peroxide)ใช้ที่ความเข้มข้น 3-6 % แต่ตัวนี้ระยะเวลาสัมผัสใช้ต้องใช้เวลานานหน่อย (แช่ไว้)

4. ไอโอโดฟอร์ (Iodophore)ใช้ฆ่าสปอร์ได้ที่ความเข้มข้น 75 ppm (ส่วนในล้านส่วน) ระยะเวลาสัมผัสใช้ต้องใช้เวลานานเช่นกัน

@@@

ทราบวิธีกำจัดเชื้อรากันแล้ว ต้องลองนำคำแนะนำที่ได้ไปทดลองทำดู เพื่อบ้านที่น่าอยู่ และผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดี.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

แพ้เครื่องสำอาง

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ใช้ได้ดีกับยุคสมัยปัจจุบัน เพราะไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างหันไปพึ่งเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว เพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดี จนทำให้บางคนเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางได้

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บอกว่า ใครบอกว่าไม่เคยใช้เครื่องสำอางคง จะไม่จริง เนื่องจาก คำว่า “เครื่องสำอาง” หมายถึง วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือ กระทำด้วยวิธีอื่นใดต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือ ส่งเสริมให้เกิดความสวยงามและรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ด้วย ถ้าใครไม่ใช้เครื่องสำอางก็คงคบไม่ได้เพราะไม่ได้อาบน้ำ สระผมกันเลย

อาการที่ทำให้สงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง คือ 1. อาการปวดแสบ ปวดร้อน อาการคัน หรือ รู้สึกว่าคันยิบๆ 2. มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มาก เป็น ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย 3. ผื่นแดง บวมแบบลมพิษ 4. ผื่นดำ หมองคล้ำ 5. หน้าเริ่มด่าง และ 6. เม็ดผดเล็ก ๆ ไม่คัน หรือ เป็นเหมือนสิว

โดยทั่วไปแล้วการแพ้จะไม่เกิดทันทีหลัง จากที่เปลี่ยนเครื่องสำอางมักจะค่อย ๆ เป็นจนไม่ทันสังเกตว่าจะแพ้จริง เพราะกว่าจะเป็นเครื่องสำอางมาขายต้องผ่านการทดสอบหรือลองใช้มาบ้างแล้ว

เครื่องสำอางที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผล ข้างเคียงสูงได้แก่ น้ำยายืดผม, ครีมที่ทำให้ผิวขาว, ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน ส่วนที่มีอัตรา ทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลางได้แก่ น้ำยาดัดผม, น้ำยาย้อมผม, ครีมบำรุงผม, มาสก์หน้า, ครีมแก้สิว, ครีมรองพื้น, ลิปสติก, น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ, โฟมอาบน้ำ, ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัวและ ยาลดเหงื่อ ทั้งนี้เนื่องจากมีสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ น้ำหอม ที่ช่วยให้เครื่องสำอางมีกลิ่นหอม เพื่อให้น่าใช้และกลบกลิ่นสารเคมี สารกันบูด เช่น พาราเบน, ฟอร์มอลดีไฮด์, สารที่อยู่ในยาย้อมผม ได้แก่ สารพาราเฟนนีลีนไดเอมีน, สารลาโนลิน หรือไขแกะที่เป็นตัวทำเนื้อครีมหรือโลชั่น

เมื่อสงสัยว่า แพ้เครื่องสำอางควรปฏิบัติดังนี้

1. ถ้าสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดไหน ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที ถ้ามีหลายตัว ให้หยุดใช้ตัวที่นำมาใช้ใหม่แล้วเกิดอาการก่อน ถ้าหยุดใช้แล้วอาการดีขึ้นก็อาจแสดงว่าตัวนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้มาก มีผิวหน้าอักเสบอยู่ ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด อนุญาต ให้ใช้ลิปสติกถ้าไม่มีผื่นที่ปาก เครื่องสำอางแต่งดวงตา ถ้าไม่มีผื่นรอบดวงตา แป้งเด็กเมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้ว ค่อยลองใช้ทีละตัว เป็นอย่าง ๆ ไป ถ้าเกิดผื่นขึ้นให้ลองหยุดตัวที่ใช้สุดท้าย ถ้าอาการหายไป ก็น่าจะเกิดการแพ้ เครื่องสำอางนั้น ๆ

2. วิธีที่จะพิสูจน์ง่าย ๆ ว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นเป็นสาเหตุที่เกิดการแพ้จริงหรือไม่ให้ทำ การทดสอบโดยทาเครื่องสำอางที่สงสัย ที่บริเวณ ท้อง แขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริงให้หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้น

3. ถ้าทดสอบเองแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ แพทย์ผิวหนังจะมีการทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีแพตซ์เทสต์ (Patch test) โดยจะใช้สารเคมี ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ในความเข้มข้นที่เหมาะสม มาแปะติดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ทิ้งไว้ 2 วันแล้วกลับมาอ่านผล ถ้ามีอาการผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ทดสอบ ก็แสดงว่าแพ้สารนั้น วิธีนี้มีประโยชน์ในการที่จะเลือกซื้อเครื่องสำอางครั้งต่อไป จะได้เลือกซื้อเครื่องสำอางที่ไม่มีสารที่ แพ้ผสมอยู่ เช่น ถ้าทดสอบแล้วพบว่าแพ้น้ำหอม เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางก็ควรเลือกที่ไม่มีน้ำหอม หรือ มีน้ำหอม ซึ่งอาจจะเขียนว่า โน เพอร์ฟูม (no perfume) หรือ ฟราแกรนซ์ ฟรี (fragrance free) ก็ได้

4. ถ้าเกิดอาการแพ้มาก ๆ ควรจะพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง อย่าฝืนใช้เครื่องสำอาง หรือ ซื้อยาทาเอง เนื่องจากอาจเกิดอันตรายมากขึ้น

ปัจจุบันมีเทคนิคการโฆษณาขายเครื่องสำอางกันมากมาย จึงมีหลักการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ให้คำแนะนำดังนี้

1. เลือกซื้อเครื่องสำอางตามความเหมาะสมกับตนเอง อย่าซื้อตามคนอื่น หรือซื้อเพราะเพื่อนแนะนำ ถ้าเป็นไปได้ ควรทดสอบก่อนใช้ โดยการ ทาเครื่องสำอางนั้นบริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู เช้า-เย็น โดยไม่ต้องเช็ดออก ประมาณ 5-7 วัน ถ้าไม่มีอาการแดง คัน ก็ลองใช้กับหน้าได้

2. ใส่ใจกับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ควร ซื้อเครื่องสำอางที่ขายตามหาบเร่แผงลอย เพราะอาจได้เครื่องสำอางปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน

3. การซื้อแต่ละครั้ง ไม่ ควรซื้อขนาดใหญ่มาก เนื่องจาก บางทีฝากซื้อจากต่างประเทศ ราคาถูกกว่าเมืองไทย แต่เวลาเก็บ หรือเปิดใช้ อาจทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพ หรือมีเชื้อโรคปนระหว่างการใช้

4. ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางเก่า มีสี กลิ่น ความข้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

5. ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอาง ต้องอยู่ ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ฉีกขาดหรือแตกเพราะอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนได้

6. สังเกตฉลากเครื่องสำอาง ควรอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ฉีกขาด มีข้อความภาษาไทยที่อ่านชัดเจน มีรายละเอียด ชื่อ, ชนิดเครื่องสำอาง ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต, วันเดือนปี ที่ผลิต วิธีใช้ ปริมาณสุทธิ และคำเตือนในการใช้

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เลือกซื้อเครื่องสำอางแพง แต่ให้เลือกเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเราแล้ว ก็ไม่ควรเปลี่ยนบ่อย ถ้าเกิดอาการผิดปกติหลังการใช้ควรหยุดเครื่องสำอางชนิดนั้นทันที.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์

วิธีง่าย ๆ สร้างเจ้าหนู "ไม่อายที่จะคิด"กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์

วิธีง่าย ๆ สร้างเจ้าหนู "ไม่อายที่จะคิด"กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
ในโลกสมัยใหม่ หากใครเป็นคนช่างคิด และชอบสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ นับเป็นประตูแห่งโอกาสที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้นั้น ต้องได้รับการกระตุ้นอย่างถูกวิธีตั้งแต่เด็ก ในวันนี้เรามีเทคนิคสร้างเจ้าหนูช่างคิด กล้าบุกเบิกมาฝากเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่กัน

เมื่อพูดถึงการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กในแต่ละวัย สำคัญที่สุดคือวัยเด็กเล็ก เนื่องจากเป็นวัยที่มีพลังการเรียนรู้อันน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะคิด และการกระทำ หากถูกกระตุ้นไม่ถูกต้อง หรือมีเงื่อนไขที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อการปิดกั้น อาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ถูกปิดกั้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี การกระตุ้นให้ลูกช่างคิด กล้าบุกเบิก คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจธรรมชาติของลูกก่อน โดยเริ่มจาก เด็กอนุบาล ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือเครื่องมือเรียนรู้ที่เจ้าหนูวัยนี้พกติดตัวกันทุกคน วัยนี้จึงพร้อมระเบิดพลังความซนด้วยการขีดเขียน สรรค์สร้าง เล่นสนุกตามสไตล์ของเขา ซึ่งมักเป็นการหยิบฉวยวัตถุอุปกรณ์ใกล้มือมาก่อร่างสร้างผลงานใส ๆ แบบที่จิตรกรระดับโลกอาจต้องทึ่ง และแม้ผลงานการสร้างสรรค์ของวัยนี้อาจยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนัก แต่ที่น่าสนุกคือ วิธีคิดอันน่าอัศจรรย์ เช่น คุณอาจได้เห็นแบบร่างของหมึกยักษ์ร้อยมือช่วยคุณแม่ซักผ้า ชวนให้อมยิ้ม

ส่วน เด็กประถม เป็นวัยที่ชอบท้าทายตัวเองกับเรื่องยาก ๆ ไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กวัยนี้จึงทวีความซ้อน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ กลยุทธ์การผลิต รวมทั้งองค์ความรู้ที่หยิบนี่ผสมนั่นจนก่อเกิดสิ่งใหม่ เห็นได้ชัดว่า วัยนี้พร้อมจะลุยเข้าหาปฏิบัติการที่มีขั้นตอนกระบวนการชัดเจนขึ้น เช่น ตั้งคำถาม วางสมมติฐาน ลงมือทำจริง สรุปผลปฏิบัติการ ต่อยอดสู่ปฏิบัติ รวมทั้งสนุกกับเทคโนโลยีทันยุคทันสมัยมากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การให้เด็ก ๆ ได้ลงมือทำทั้งการเล่นแบบอิสระ ให้เขาได้เล่น รื้อ ค้น หรือต่อเติมอย่างอิสระ ได้คิดวางแผน และแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเอง

ดังนั้น ร่างกายของเจ้าหนูจะแข็งแรงก็ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ สมองของเจ้าหนูจะปราดเปรื่องก็ด้วยการหมั่นคิด จินตนาการ เชื่อมโยงองค์ความรู้ เพื่อบุกเบิกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้โลกได้ตะลึง โดยเรามีกิจกรรมในการสร้างเจ้าหนูกล้าคิด และกล้าบุกเบิกไว้เป็นแนวทางสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ดังต่อไปนี้

- เล่นเป็นงานหลัก จะเล่นคนเดียว เล่นเป็นกลุ่ม หรือเล่นแบบอิสระ หรือเล่นกับวัสดุอุปกรณ์ใกล้ตัวที่สองมือน้อย ๆ หยิบฉวยก็ได้ แค่คุณพ่อคุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ เช่น สนุกกับการเรียงก้อนหินในสวน ก่อกองทรายให้เป็นรูปร่างตามจินตนาการของเขา หรือรื้อค้นวงจรไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความอยากรู้สิ่งที่อยู่ด้านในของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว

- คุณอาจคิ้วขมวดว่าทำไมเจ้าหนูคว้าแปรงสีฟันด้ามเก่ามาจุ่มน้ำสบู่ขัดถูถุงเท้ามอมแมมของเขา เขาอาจจะกำลังเลียนแบบวิธีการซักผ้าของคุณแม่อยู่ก็ได้นะครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งเบรกลูกว่า "ทำอะไรเลอะเทอะ" หรือ "ซักแบบนั้นมันผิดวิธีนะลูก" แต่ลองสังเกตไอเดียสร้างสรรค์ของเขา และปล่อยให้เขาเรียนรู้ลงมือทำอย่างเต็มที่ และเป็นอิสระดีกว่าครับ

- สิ่งของรอบกายเป็นของเล่นชิ้นวิเศษที่ลูก ๆ จะได้เล่นบทบาทสมมติ อย่างการสร้างห้องนอนส่วนตัวโดยนำเก้าอี้มาวางเป็นกำแพง ผ้าห่มผืนใหญ่เป็นเพดาน และขนหมอนเข้ามาเป็นเก้าอี้รับแขก เพียงเท่านี้เจ้าหนูก็ได้สนุกในโลกจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด รวมทั้งได้ฝึกทักษะการวางแผน และการแก้ปัญหาไปในตัวอีกด้วย

- สนุกกับคาราวานงานศิลป์ สมุดสเกตซ์เล่มโต ๆ เฟรมวาดภาพขนาดใหญ่ ละเลงสีสันกันให้เพลิน หรือชุดแป้งโดที่ปลอดภัยไร้สารพิษ พร้อมอุปกรณ์ตัด หั่น ปั้นรูปร่างเติมเต็มจินตนาการ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่

- บล็อกไม้ หรือตัวต่อรูปแบบต่าง ๆ ของเล่นน่าสนุกที่กระตุ้นให้เด็ก ๆ คิดแบบปลายเปิด คือการคิดแบบอิสระ สนุกไม่จำกัดรูปแบบ

- เพลินอ่าน สร้างจินตนาการไม่รู้จบ ชวนเจ้าหนูแวะชอปปิ้งที่ร้านหนังสือ แล้วอย่าขลุกอยู่แต่โซนหนังสือเด็ก แต่ควรเปิดโอกาสให้เขาพบเห็นหนังสือหลาย ๆ หมวดหมู่ ซึ่งคุณอาจค้นพบศักยภาพของลูกผ่านเล่มที่เขาหยิบมาพลิกอ่าน เช่น หนังสือวิทยาศาสตร์ คู่มือทำขนม เป็นต้น

การเปิดโอกาสให้ลูก ๆ ได้เล่นอย่างอิสระ ไม่มีโจทย์ ข้อจำกัดจะช่วยส่งเสริมความกล้า เพราะเด็กไม่มีกรอบความคิด เด็กจะไม่กลัวเพราะไม่มีเคยมีประสบการณ์จึงควรให้เขาได้ลงมือทำ ให้ความกล้าเป็นโอกาสของการแสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ แต่หากมีเงื่อนไขที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเป็นการปิดกั้น เช่น "อย่านะ อย่าเล่นนะ เดี๋ยวเลอะเทอะ" "อย่ารื้อของแบบนี้ได้ไหม ตามเก็บกันไม่ไหวแล้วนะ" หรือ "เห็นไหม แม่บอกแล้วว่าต้องเล่นแบบนี้เท่านั้น" เป็นต้น จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ถูกปิดกั้นจนกลายเป็นเด็กไม่กล้าคิดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และเพื่อคนอื่น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิธีทำให้หน้าขาวใส

วิธีทำให้หน้าขาวใส
มีเคล็บลับบำรุงผิวหน้ามาฝากกัน 2 สูตร ใครที่อยากจะมีผิวสวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ ก็ลองนำไปทำดูได้นะคะ ส่วนผสมต่าง ๆ มีดังนี้ค่ะ

สูตรผิวสวย

1. โยเกริต์ 1 ถ้วย

2. ผงขมิ้น ผงไพร อย่างละ 1 ช้อนชา

3. ผงนมสำหรับนวด 1 ซอง

นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมเข้าด้วยกันแล้วนวดให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำเพียงสัปดาห์ละครั้ง เท่านี้คุณก็จะมีผิวที่ขาวใส ดูมีน้ำมีนวลขึ้น สำหรับสูตรนี้ก่อนจะทำการนวดหรือพอกให้อาบน้ำก่อนนะคะ เมื่อนวดและพอกทิ้งไว้แล้วให้ล้างน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวไม่ต้องฟอกสบู่ซ้ำอีก

สูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ

1. แป้งดินสอพอง

2. ขมิ้นหรือไพร

3. มะขามเปียกหรือมะนาว

ละลายดินสอพองไม่ต้องแฉะมากให้พอข้น แล้วผสมไพรหรือขมิ้น และมะนาวหรือมะขามเปียก ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ใบหน้าของคุณก็จะขาวใสขึ้นค่ะ

ที่่มา http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_22755_1.women

7 เรื่องต้องห้ามที่สาวๆ ไม่ควรทำ

7 เรื่องต้องห้ามที่สาวๆ ไม่ควรทำ
โปรดระวัง! ข้อผิดพลาดพวกนี้ไม่มีทางที่จะช่วยให้คุณดูสวยขึ้นมาหรอก
บีบสิว ใครๆก็รู้ถึงผลเสียของมัน แต่ควบคุมความอยากบีบได้ยากจริงๆ

ปล่อยให้สีเล็บหลุดร่อน นอกจากจะทำให้ดูเสียบุคลิกแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อเนื้อเล็บได้

เข้านอนโดยไม่ล้างหน้า ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยขนาดไหนก็อย่าทำอย่างนั้นบ่อยๆ เพราะสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่แต่งไว้ตั้งแต่เช้านั้น อาจเข้าไปอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้

ไม่ยอมสระผม ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำไม่ให้สระผมบ่อยในช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าคุณปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมอยู่บนหนังศีรษะเป็นประจำละก็ คุณก็จะไม่เหลือเส้นผมให้สระอีกต่อไป

ใช้เครื่องสำอางหมดอายุ ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบเครื่องสำอางชิ้นนั้นมากแค่ไหน ก็ควรทิ้งไปเมื่อหมดอายุแล้ว ไม่เช่นนั้นมันอาจย้อนมาทำร้ายคุณได้

กัดเล็บ คุณคงรู้ดีอยู่แล้วนะว่ามันทำให้เสียบุคลิก และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

ใช้แต่สีที่ชอบ โดยไม่คำนึงว่ามันดูสวยหรือเปล่า ลองศึกษาเรื่องสีที่จะทำให้คุณดูสวยซะหน่อยนะ
ขอบคุณที่มาจาก Lisa

เทคนิคง่ายๆ กระชับผิวกับสาวรูขุมขนกว้าง

เทคนิคง่ายๆกระชับผิว กับสาวรูขุมขนกว้าง
สาวๆ หลายคนมีปัญหา "รูขุมขนกว้าง" แล้วจะทำยังไงดีล่ะ...นอกจากจะเป็นปัญหาที่แก้ยากอยู่แล้ว ยังทำให้
แต่งหน้าออกมาดูไม่เนียนใสอีกด้วย แต่วันนี้หมดกังวลได้เลยค่ะ เพราะ women.mthai มีเทคนิคง่ายๆ ในการ
ดูแลผิวหน้าและแต่งหน้าสำหรับสาวๆ ที่มีรูขุมขนกว้างมาฝากกันค่ะ

1. ใช้คลีนเซอร์และโทนเนอร์ก่อนลงเครื่องสำอาง โดยใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวเพื่อกำจัดและช่วยยับยั้ง
ความมันบนใบหน้า ส่วนโทนเนอร์ให้เลือกที่เหมาะสมกับผิว แล้วใช้สำลีชุบก่อนเช็ดให้ทั่วใบหน้าจนรู้สึกถึงความ
สะอาด

2. ใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นเป็นตัวช่วยในการกระชับรูขุมขน การใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาบนใบหน้านอกจากจะทำ
ให้รูขุมขนกระชับแล้วยังเป็น การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย ดังนั้นการใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาใบหน้าไม่ได้
ทำร้ายผิวหน้าคุณเลยค่ะ ทำทุกวันได้ ไม่เสียหาย แถมให้ผลดีอีกด้วย

3. ทามอยซ์เจอไรเซอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ให้ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่สำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง
แล้ว ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ให้ถูกวิธี โดยค่อย ๆ นวดมันให้ซึมซับลงในผิวเบา ๆ การลงมอยซ์เจอไรเซอร์นอก
จากจะบำรุงผิวแล้วยังทำให้คุณเกลี่ยรองพื้นได้ง่าย และติดทนนานอีกด้วย

4. เมื่อทามอยซ์เจอไรเซอร์แล้ว ให้ทาผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันเป็นอันดับต่อไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
การควบคุมความมันค่ะ

5. ใช้เมกอัพไพรเมอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทนนาน เหมาะกับสาวหน้ามันที่มี
ปัญหาเครื่องสำอางลบเลือนเพราะความมันระหว่างวันโดย เฉพาะ ดังนั้นควรลงไพรเมอร์ก่อนทารองพื้นทุกครั้ง
เพื่อความสวยที่ยาวนานค่ะ

6. ลงรองพื้น ถึงแม้ว่าสาว ๆ จะใช้รองพื้นในการปกปิดรูขุมขนที่กว้างให้ดูเนียนขึ้น แต่พยายามหลีกเลี่ยงการ
ใช้รองพื้นที่มากเกินไปนะคะ เพราะมันยิ่งจะทำให้รองพื้นไปอุดตันรูขุมขนจนยิ่งเห็นรูขุมขนชัดขึ้นไปอีก ดังนั้น
คุณควรใช้รองพื้นแบบน้ำที่กลมกลืนไปกับผิวหน้าดีกว่า แล้วตามด้วยแป้งฝุ่นค่ะ

7. ไม่ควรใช้แป้งผสมรองพื้น เพราะคุณลงรองพื้นไปแล้ว ดังนั้นให้ลงแป้งฝุ่นเท่านั้น เพราะแป้งผสมรองพื้นจะ
ทำให้หน้าดูหนักมากขึ้นไปอีก แล้วยิ่งคุณหยิบมันมาตบแป้งระหว่างวันแล้ว ยิ่งทำให้รองพื้นหนาชั้นขึ้น จนอุดตันรู
ขุมขนและในที่สุดรูขุมขนของคุณก็จะยิ่งกว้างขึ้นไปอีกด้วย
เนื้อหาจาก : showded.com

นวดไทยรักษา 'นิ้วล็อก' อีกทางเลือกลดปวด เลี่ยงผ่าตัด

อีกหนึ่งโรคใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง เป็นภัยเงียบสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่กำลังเผชิญ นิ้วล็อก หรือที่เรียกกันว่า โรคนิ้วไกปืน เป็นโรคเกี่ยวกับ ความผิดปกติของมือที่ไม่สามารถ งอหรือเหยียดได้ตามปกติ

นิ้วล็อก โรคดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นเพียงนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วก็ได้และจากอาการที่เริ่มขึ้นนับแต่เจ็บบริเวณฐานนิ้วและนิ้วมีความฝืดในการเคลื่อนไหวขณะที่งอหรือเหยียด จนกระทั่งต่อมามีอาการล็อกหรือถ้าจะงอ กำนิ้วมือจะไม่สามารถเหยียดออกเอง หากจะเหยียดออกจะมีอาการเจ็บ ปวด หรือบางครั้งอาจจะเหยียดออกแต่งอนิ้วกลับไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้นานนิ้วมือนั้นก็อาจเปลี่ยนรูปเป็นโก่ง งอ บวม เอียง นิ้วอาจแข็งไม่สามารถงอและเหยียดออกได้ทำให้การใช้งานของมือในชีวิตประจำวันเป็นอุปสรรค

อีกทั้งหากทิ้งไว้เนิ่นนาน ข้อต่ออาจยึดและข้อเหยียดออกไม่ได้ ฯลฯ ทำให้เกิดความพิการและจากเดิมที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ คนวัยทำงาน แต่ปัจจุบันพบขยายไปยังกลุ่มเด็กซึ่งใน วิธีการรักษามีทั้งการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค

ขณะที่การรักษามีด้วยกัน หลายวิธี ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงสามารถรักษา ได้ทั้งการทานยา ฉีดยาและทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวดและบวมของเส้นเอ็น ฯลฯ ล่าสุดยังมีอีกรูปแบบการรักษาพร้อมเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วยด้วย การนวดไทยรักษาโรค นิ้วล็อก

การศึกษาวิจัยที่นำศาสตร์การนวดไทยภูมิปัญญาไทย ช่วยรักษาลดอาการนิ้วล็อกที่ปรากฏนี้ ดร.ปารัณกุล ตั้งสุขฤทัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย (วิชาการ) ให้ความรู้ว่า โรคนิ้วล็อกนี้อาการของโรคจะมีลักษณะเหมือนการเหนี่ยวไกปืน กำมือแล้วเหมือนกับเหยียดนิ้วไม่ออก

อาการเหล่านี้จะมีด้วยกันหลายระยะซึ่งก่อนจะเหยียดนิ้วไม่ออกจะเริ่มด้วยอาการเหยียดนิ้วออกยาก ต่อมาจะเริ่มมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น กระทั่งบางครั้งมีอาการชาร่วมด้วยและหากมีอาการเพิ่มมากขึ้นก็อาจถึงขั้นเหยียดนิ้วไม่ออก กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะเกร็งงอและลีบลง

“โรคดังกล่าวพบเห็นมากขึ้นต่างจากเดิม อีกทั้งพบว่าเริ่มเกิดขึ้นกับเด็กและยังพบอาการปวดไหล่ตามมาร่วมด้วยซึ่งแต่เดิมนั้นจะพบในผู้ป่วยวัยทำงาน ส่วนสาเหตุของโรคเกิดจากการใช้งานของมือทั้งหิ้วถุงหนักนาน ๆ กำบีบเครื่องมือต่าง ๆ ใช้มืออย่างรุนแรงจนทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมืออย่างการหิ้วของหนัก ใช้เฉพาะเพียงแค่นิ้วมือเพียงไม่กี่นิ้ว พฤติกรรมที่ทำ ซ้ำ ๆ เหล่านี้ก็จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดมีพังผืดเกาะยึดได้ ฯลฯ”

จากเดิมที่พบในกลุ่มวัยทำงานอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปที่เข้ามารับการรักษา แต่เวลานี้พบในวัยเด็กซึ่งเข้ามารับบริการการรักษาที่นี่ซึ่งในกลุ่มวัยนี้ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่อย่างไรก็ตามหากไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมือ รวมทั้งละเลยการพัก การบริหารมือก็อาจต้องเผชิญกับนิ้วล็อก

“การศึกษาวิจัยครั้งนี้เริ่มจากพบว่ามีผู้เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวนี้บ่อยครั้งก็เลยนำการนวดไทยมารักษาซึ่งก็พบว่ามีประสิทธิผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง จากที่กล่าวอาการนิ้วล็อกมีด้วยกันหลายระยะในอาการป่วยนิ้วล็อกช่วงแรกในขั้นที่ 1 และ 2 การรักษาด้วยการนวดช่วยรักษาได้ สามารถลดอาการนิ้วล็อก รวมทั้งอาการปวดข้อและความลำบากในการเคลื่อนไหวของข้อ”

การรักษาจะเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญสามารถบอกถึงสาเหตุการเกิดโรคได้ ส่วน ถ้าอาการดังกล่าวเป็นระยะแรกและหลังการรักษาผู้ป่วยไม่กลับไปมีพฤติกรรมซ้ำเดิมอีก การนวดรักษาดังกล่าวสามารถช่วยให้หายขาดได้ แต่หากหลังการรักษากลับมามีพฤติกรรมแบบเดิม ๆ อีก อาการนิ้วล็อกที่เคยเกิดขึ้นก็จะกลับมาอีกครั้ง

ขณะที่ การนวด หมายถึงการใช้มือบีบหรือกดเพื่อให้คลายความปวดเมื่อย ด้วยคุณค่าการนวดแผนไทยซึ่งสามารถนำมารักษาอาการป่วยได้ทั้งกายและใจ ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ผ่อนคลายเส้น กล้ามเนื้อ คลายลดอาการปวดเมื่อยแล้วยังสร้างความสดชื่น นำมาช่วยลดความทรมานจากโรคได้อีกด้วยอย่างเช่น โรคเครียด

การนวดเพื่อบำบัดรักษาโรคจะมีหลักในการรักษา การนวดเพื่อการรักษาส่วนใหญ่ จะเป็นการนวดแบบราชสำนักจะใช้นิ้วหัวแม่มือและปลายนิ้ว แขนทั้งสองข้างจะเหยียดตรงเสมอซึ่งการนวดดังกล่าวนี้จะเกิดผลต่ออวัยวะและเนื้อเยื่อที่อยู่ลึก ๆ จะใช้แรงกดย้ำไปตามเส้นรักษาไปตามอาการ

“การนวดรักษาจะมีหลายขั้นตอนไม่ได้นวดกดเพียงเฉพาะส่วนนิ้วอย่างเดียว แต่จะมีหลักในการรักษาของแพทย์แผนไทยแบ่งเป็นขั้นต่าง ๆ มีทั้งการนวดพื้นฐานบ่า นวดพื้นฐานแขนด้านใน ฯลฯ ขณะที่การใช้น้ำหนักก็จะมีการคำนวณต่างกันไป

ส่วนกรณีที่ตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บมาก การรักษาด้วยการนวดอาจจะไม่หายขาด แต่อย่างไรก็ตามการนวดก็จะช่วยให้ทุเลาจากอาการปวดเป็นการบรรเทาอาการให้แก่ผู้ป่วยได้”

ในระยะแรกของโรคนิ้วล็อกจะปรากฏอาการนิ้วเริ่มตึง กำนิ้วแล้วเริ่มจะเหยียดไม่ออก ขยับเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนเดิม อีกทั้งในอาการระยะแรกของโรคนี้จะยังไม่ปวดมากถ้ามีการบริหารนิ้ว ไม่กลับไปมีพฤติกรรมซ้ำเดิมอีกก็จะหายขาดได้และหลังจากการนวดรักษาก็ประคบด้วยสมุนไพร

จากการใช้งานของมือที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของนิ้วมือ ก่อนจะต้องเสี่ยงกับความเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว นอกเหนือจากการมีความรู้เข้าใจในโรคนิ้วล็อกภัยเงียบใกล้ตัวแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสิ่งนี้เป็นอีกความจำเป็นที่ต้องไม่มองข้าม.

เคล็ดลับสุขภาพดี : ดื่ม 'น้ำตะไคร้' ช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตก

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรไทยที่มีมาแต่โบราณ หากใช้ประกอบอาหารจะช่วยทำให้มีกลิ่นหอม ช่วยดับกลิ่นคาว คุณแม่บ้านจึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องต้มยำ หรือใส่ในยำชนิด ต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องของการเสริมรสชาติอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาวแบบนี้ หากใครเริ่มมีริมฝีปากแห้งแตก วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีทำน้ำตะไคร้ดื่มแก้อาการดังกล่าวมาฝากกันด้วย

อันดับแรกไปทำความรู้จักกับลักษณะทั่วไปของพืชมากสรรพคุณชนิดนี้กันก่อน ตะไคร้ มีชื่อเรียกตามภาคต่าง ๆ ในประเทศไทยแตกต่างกันไป อาทิ ตะไคร้แกง (ภาคกลาง) จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร ไพเล็ก (ภาคใต้) คาหอม (ฉาน, เงี้ยว-แม่ฮ่อง สอน) และหัวไคสิง (เขมร-ปราจีน บุรี) ลักษณะทั่วไปของ ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก ขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง และตามปล้อง มักมีไขปกคลุมอยู่ ใบ เป็นใบเดี่ยว แตกใบออกเป็นกอ รูปขอบขนานปลายใบแหลมและผิวใบจะสากมือทั้งสองด้าน เส้นกลางใบแข็ง ขอบใบจะมีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย มีสีเขียวกว้างประมาณ 2 ซม. ยาวประมาณ 2-3 ฟุต ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ช่อดอกย่อยมีก้าน ออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับ รองรับ

สรรพคุณของตะไคร้ เริ่มจาก ใบ โดยใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทาถูนวดก็ได้และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหารและขับเหงื่อ หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้นและแก้ลม ต้น ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุ ให้เจริญ ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

สำหรับวิธีทำน้ำตะไคร้แก้ปากแตก ปากแห้ง ให้ใช้ต้นตะไคร้สดแก่ ๆ ประมาณ 1 กำมือ ทุบพอแหลก ต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตร กรองเอาแต่น้ำ ดื่มแทนน้ำเปล่าได้ทั้งวัน เพราะมีสรรพคุณแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตกได้ อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วใครที่เจออากาศเย็น ๆ แล้วริมฝีปากแห้งแตก ลองนำสูตรนี้ไปทำน้ำตะไคร้ดื่มดูนะคะ รับรองว่าส่งผลดีต่อสุขภาพมากมายทีเดียว

สรรหามาบอก

- ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ร่วมกับงานการพยาบาลอายุร ศาสตร์และจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญผู้สนใจ เข้าร่วมฟังการบรรยายเรื่อง “มารู้จักโรคสมองเสื่อมกันเถอะ” ในวันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2554 เวลา 13.00-15.30 น. ณ ตึกสยามินทร์ ชั้น 7 ห้องประชุม 7009 (โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น) สนใจติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่โทร. 0-2419-7373-4 ในวันและเวลาราชการ (ด่วน! รับจำนวนจำกัด)

- ภาควิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหา วิทยาลัยมหิดล ขอเชิญฟังสัมมนา เรื่อง “การอบรมคู่มือ การเป็นพ่อแม่ที่ดี เพื่อแก้ไขวิกฤติการเลี้ยงดูเด็ก” โดย ศ.ดร.จอน คาร์ลสัน นักจิตวิทยาชื่อดังระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัวด้านฝึกพ่อแม่และครู ระหว่างวันที่ 12-16 มกราคม 2554 ณ ห้องประชุมบุญศิริ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08-6466-4127, หรือ 0-2411-9040-3 ต่อ 28,38

- โรงพยาบาลเจ้าพระยา ร่วมกับรักลูกกรุ๊ป จัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี 20 กิจกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานและรับฟังการเสวนาเรื่อง “สุขกาย...สบายใจ...ก้าวไกล...ก่อนวัยเรียน” พบทีมกุมารแพทย์ร่วมเสวนา การเลี้ยงลูก การให้นม การให้วัคซีนที่จำเป็นในเด็ก เด็กพูดช้า เด็กไม่ชอบไปโรงเรียน ใน วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2554 เวลา 09.00-12.00 น. ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยา สอบถามและสำรองที่นั่งฟรีได้ที่ โทร. 0-2433-8222, 0-2433-5666

- โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ขอเชิญข้าราชการ ครอบครัวของกองทัพอากาศ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วม “โครงการผ่าตัดข้อเข่าเทียมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชน มายุ 84 พรรษา ใน พ.ศ. 2554” โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ล่าสุดมาใช้ในการผ่าตัดด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2554 สอบถามและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่โทร. 0-2534-7165, 0-2534-7366 และ 0-2534-7221.
นวดไทยรักษา 'นิ้วล็อก' อีกทางเลือกลดปวด เลี่ยงผ่าตัด
ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

เปิดใจ 'แอนนี่ บรู๊ค'ชีวิตนี้เพื่อเขาคนนั้น

ต่อให้เป็นปีเก่าหรือปีใหม่ เรื่องราวของคนดังในวงการบันเทิงก็ยังอยู่ในความสนใจของทุกคนเรียกว่าไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย อย่างล่าสุดก็มีแฟน ๆ อยากรู้ว่า นักแสดงสาวลูกครึ่ง “แอนนี่ บรู๊ค” ที่เคยเป็นข่าวดังระดับประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา กับนักร้องหนุ่มซูเปอร์สตาร์ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” ตอนนี้ชีวิตชีวาของเธอเป็นอย่างไรบ้าง พอเจอตัวปุ๊บเราก็ไม่รอช้ายิงคำถามทันที สภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? “ตอนนี้ก็จะบอกว่าฟ้าหลังฝนก็ไม่ได้เนอะ มันเงียบลงก็ทำให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ว่าก็ยังคงมีความทุกข์ใจอยู่บางส่วนบ้าง” ความทุกข์ใจที่ว่า เรื่องอะไร “เรื่องอนาคตน้องต้องมองให้เขา ต้องปูทาง เราก็ไม่ใช่คนรวยนะก็ต้องคิดทำยังไงให้เขามีอนาคตที่มั่นคง มีการเงินที่รองรับเขาได้ดี”

“หนูคิดว่าตอนที่ไม่มีลูกชีวิตไม่มีความหมาย มันอิสระ ไม่รู้อยู่เพื่อใคร แล้วก็ใช้ชีวิตสมถะไปวัน ๆ ไม่เคยอยากมีอยากได้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าอยากมีอยากได้นะ แต่ว่าเรารู้แล้วเราจะไขว่คว้าข้างหน้าเพื่อใคร มันมีแรงมีพลังขึ้นมาจากคนที่เฉื่อยกลับคล่องตัวมากขึ้น คิดอะไรไปข้างหน้า อยากจะก้าวหน้ามากกว่านี้ไม่อยากถอยหลังหรืออยู่ที่เดิม รู้สึกเขามาเติมเต็มชีวิตจริง ๆ เมื่อก่อนโลกของหนูอาจจะเป็นสีขาว สีดำ หรือเทา แต่พอมีลูกมันมีสีเขียว สีส้ม มาเติมสีสันในชีวิตจริง ๆ ค่ะ”

หลังจากข่าวเงียบไป ได้มีโอกาสเจอเขาคนนั้นบ้างมั้ย? “ไม่ได้เจอเลยค่ะ วันบวชก็ไม่ได้ไป อาจจะเคยมีก่อนหน้านั้น เป็นการฝากบอกคนอื่นไป ณ เวลานี้ถ้าพูดถึงเขา ก็ยังรู้สึกดี ๆ อยู่ “ยังรักอยู่มั้ย? “เป็นความรู้สึกดี ๆ มากกว่าค่ะ เขาเองเขาก็มีคนที่เขารักอยู่แล้วตอนนี้ ลึก ๆ แอนนี่ก็ยังเป็นห่วงเขา เพราะว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาทั้งหนูและเขาก็บาดเจ็บ” คิดว่าจะปิดตัวเองมั้ย แบบว่าแอนนี่จะไม่มีแฟนใหม่ “อนาคตตอบไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แต่อนาคตอันใกล้นี้เป็นไปไม่ได้ หัวใจมันมีบาดแผลค่ะ หนูรู้สึกว่ามันยังเป็นแผลเป็นอยู่ ยังเปิดไม่ได้ หนูต้องสร้างฐานะเพื่อลูก ต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีก่อน เวลาจะอีกเมื่อไหร่หนูตอบไม่ได้จริง ๆ แต่อนาคตอันใกล้นี้ไม่มีแน่นอน”

วางแผนในการเลี้ยงลูกยังไง? “หนูเป็นพุทธศาสนา หนูก็อยากให้ลูกหนูเป็นพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานของชีวิต เด็กผู้ชายถ้าตั้งแต่แรกเกิดถึง 10 ขวบ อยากใส่อะไรให้รีบใส่ เพราะเวลาเขาเป็นวัยรุ่นเราจะใส่ให้ไม่ได้แล้ว เขาจะเชื่อเพื่อนกับคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ แต่ถ้าเราใส่พื้นฐานให้ดี ถึงแม้เขาจะออกนอกทาง สุดท้ายเขาก็จะกลับมาได้เพราะพื้นฐานที่เราปูให้เขา และพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะปูให้เด็กผู้ชาย”

ช่วงที่เป็นข่าวตอนนั้น เขาพูดกัน ว่า “แอนนี่” สร้างกระแส! เพื่อให้มีงานเข้ามาเยอะ ๆ “จริง ๆ มีแต่คนพูดอย่างนั้นนะคะ บอกว่าเราสร้างกระแสเพื่อให้ได้งาน หนูจะบอกว่าตั้งแต่เป็นข่าวจนถึงทุกวันนี้หนูมีงานยังไม่ ถึง 10 งานเลย เอาง่าย ๆ ไม่ถึง 5 งานดีกว่า งานโชว์ตัวมีเท่าที่เป็นข่าวเลย ก็ไม่เกิน 3-4 ครั้ง ไม่ถึง 10 แน่ แต่ละงานก็ไม่ได้เงินเยอะ เพราะหนูไม่ใช่ดาราดัง ถึงแม้คุณเป็นดาราในกระแส แต่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์จะมาเรียกร้องเงินเป็นแสน ๆ ไม่ได้ ล่าสุดภาพลักษณ์หนูเป็นดาราตลก หนูก็ได้ในเรตนั้น ไม่ได้เยอะอะไรเลย และทุกวันนี้ก็ไม่มีงานเลยค่ะ มีงานเก่าที่เคยทำกับเวิร์คพ้อยท์ อาปัญญา ยังคืนงานเก่าให้ก็ต้องขอขอบคุณ แต่สำหรับงานใหม่ไม่มีเลย”

ตอนนี้ชีวิตแอนนี่ถือว่าสบายหรือว่ายังลำบากอยู่? “ก็ยังลำบากอยู่เพราะงานในวงการไม่ได้มีเยอะ ไม่เหมือนที่คนมาพูดว่าเรามีงาน 7 หลัก งานโฆษณาโน่นนี่ สร้างข่าวมาเดี๋ยวก็ดัง ท้าย ที่สุด ณ วันนี้แอนนี่ทำให้เห็นแล้วนะคะว่าแอนนี่ไม่ได้มีงานเยอะ ไม่ได้จะทำพ็อกเกตบุ๊ก หรือทำให้ตัวเองมีงานมากมาย มหาศาล “เป็นไปได้มั้ยอนาคตจะลุกขึ้นมาถ่ายแบบเซ็กซี่อีก” ตอนนี้วัยของหนูไม่ใช่วัยคึกคะนองแล้ว ตั้งแต่ทำงานกับเวิร์คพ้อยท์มา 5-6 ปี เนี่ยเขาให้โอกาสหนูเปลี่ยนภาพลักษณ์มาเป็นตลก หนูก็ไม่เคยถ่ายเซ็กซี่อีกเลย เพราะหนูไม่ได้รักหรือชอบมัน มันไม่ได้อยู่ในกมลสันดานหนู แต่ที่หนูทำเพราะว่าอย่างน้อยเป็นงาน เราก็ได้เก็บเงินเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ ของชีวิตไม่ได้ถ่าย ตลอด พอได้งานใหม่ปุ๊บหนูทิ้ง หนูไม่เอา เพราะฉะนั้นต่อไปอนาคตมีคนมาเสนอขนาดนั้นน่ะ ถ้าถ่ายชุดว่ายน้ำแม่ลูกเหมือนดาราหลาย ๆ คนทำกันก็อาจจะมี แต่ถ้าถ่ายเน้นขอโป๊มาก ๆ จะทุ่มเงินเยอะ ๆ ไปเลี้ยงลูก หนูไม่เอาไม่จำเป็น ต่อไปนี้ทำอะไรต้องนึกถึงเขาแล้ว ไม่ได้สร้างภาพนะคะ แต่ว่าทำอะไรต้องนึกว่า เขาโตมาแล้วรู้ว่าเราหาเงินมาเลี้ยงเขาด้วยวิธีแบบนี้ เขาคงจะไม่มีความสุขถ้าเขารู้”

ข่าวว่า “แอนนี่” ยก “ฑีฆายุ” ให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายแพทย์คนหนึ่ง ทำไมถึงทำอย่างนั้น

“แต่ไม่ได้ยกให้เลยนะคะ แค่ในนาม คือ อาหมอ นพ.ชลธิศ เป็นอาจารย์อยู่ที่ ม.มหิดล และเป็นนายกศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย รู้จักกันมานานแล้วเพราะเป็นอาจารย์หมอที่สนิทกัน แล้วอาหมอก็บอกว่า ค่าการศึกษาจะดูให้เมื่อไหร่ที่น้องเข้าโรงเรียน เรียนต่อ เป็นสัญญาใจ ไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาอะไรกัน สมมุติวันหนึ่งอาหมอบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก็ไม่เป็นไรเราเป็นแม่ต้องหาให้ลูก อาหมอเป็นคนใจดี มีเมตตามากค่ะ” แล้วนี่ยังมีเรื่องคดีอยู่หรือเปล่า? “มีค่ะ มีที่เขาฟ้องหนู แล้วก็มีอีก 2 คดีที่หนูฟ้องทางโน้น ก็มีผู้ใหญ่ดูแล”

ถ้าผู้ใหญ่ทั้ง 3 ฝ่ายมาเคลียร์เราจะว่ายังไง?

“เป็นเรื่องของอนาคตตอบไม่ได้จริง ๆ ค่ะว่ายังไง ถ้าเกิดมันจะมีการเคลียร์คงจะมีตั้งนานแล้วไม่ปล่อยถึงขั้นฟ้องร้องกันหรอกค่ะ” ตอนนี้อยากพูดหรืออยากระบายอะไรบ้างมั้ย? “ทุกสิ่งทุกอย่างหนูรู้ว่าหนูไม่สามารถที่จะเอาใจทุกคนได้ หนูไม่สามารถจะทำให้ทุกคนพอใจได้ หนูเป็นแค่คนคนหนึ่ง หนูได้ทำดีที่สุดของหนูแล้วค่ะ”

ถ้ามีโอกาสเจอเขาอยากจะบอกอะไรมั้ย? “สิ่งที่เคยพูดไว้เมื่อก่อนก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ หนูคิดว่าเขาคงจะรู้ น่าจะจำได้ว่าพูดอะไรไว้ ยังรู้สึกอย่างนั้นเสมอ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะมาไกลขนาดนี้ แต่พอมันถึงขนาดนี้แล้วเราก็ต้องยอมรับมัน เพราะก็ไม่ใช่แค่เขากับหนูที่บาดเจ็บ แต่มันทั้งสองคนเลย”

เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกชีวิต...เดินหน้าสู้ต่อไปบนพื้นฐานของความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อกัน เพื่อเป้าหมายที่ต่างก็รอคอย.

'ปิ๊กมี่'
ที่มา เดลินิวส์

ประโยชน์ของฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี

ประโยชน์ของฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี

บุรุษใดอยากมีรูปร่างหล่อ เหลา ผิวพรรณงดงาม ควรจะบริโภค ผลฝรั่งไว้เป็นประจำ

ที่ปรึกษาด้านโภชนาการของ "คลินิกหมออาหาร" นายเอียน มาร์บอร์ ของสหรัฐฯ เผยว่า ฝรั่งอุดมด้วยวิตามินซี อันเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในการสังเคราะห์คอลลาเจนของร่างกาย ในฐานะโปรตีนสำคัญ ของโครงสร้างผิวหนังอย่างหนึ่ง

ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง ช่วยป้องกันรักษาผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระ

เขาบอกต่อไปว่า "ฝรั่งยังอุดมด้วยสาร โพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียวและไวน์แดง ป้องกันรักษาเซลล์จากอนุมูลอิสระ และรักษาบูรณภาพของเซลล์ ที่สำคัญมันจะช่วยชะลอร่องรอยของความแก่ชราของผิวหนัง โดยลบรอยเหี่ยวย่น และส่งเสริมความอวบอิ่มและทำให้ดูผิวงาม"

ผู้เชี่ยวชาญอีกผู้หนึ่ง เคต คุ้ก ผู้ก่อตั้งสถาบัน "ผู้ฝึกสอนด้านโภชนาการ" ยังแจ้งว่า สำหรับผู้ที่ต้องการลด น้ำหนัก เพราะเหตุฝรั่งเต็มไปด้วยกากใย จะทำให้อิ่มทน และกำจัดท้องร้องเพราะความหิว "กากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ คงที่ ซึ่งเท่ากับช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้พอดี ยิ่งกว่านั้น กากใยของมันยังจะช่วยล้างพิษโดยรวมทั้งสิ้น  เป็นผลให้จะมีผิวพรรณงาม".


ที่มา ไทยรัฐ

ลูกกินข้าวยากทำไงดี แนะ11 วิธีดึงเด็กกินง่าย

ลูกบ้านไหนกินยาก! ทางนี้มี 11 วิธีดึงเด็กกินง่าย
คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ลูกเป็นเด็กกินอาหารง่าย ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะบางท่านต้องทำใจให้เย็นทุกครั้งขณะป้อนข้าวลูก เนื่องจากลูกมักห่วงเล่น ชอบกินแต่นม หรือขนม จนไม่เคยกินอาหารหมดจานเลยสักที สร้างความหนักใจให้กับพ่อแม่หลาย ๆ ท่านเป็นอย่างมาก

วันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเทคนิคดึงลูกที่ไม่ชอบกินข้าวให้กินง่ายมาฝากกัน โดยเทคนิคนี้ คุณแม่เต๋อ-วีรนุช สุวัฒน์วงศ์ชัย ผู้เขียนหนังสือเมนูหนูน่าหม่ำได้ให้แนวทางไว้ 11 ข้อ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามจดพร้อม ๆ กันเลยครับ

1. กินข้าวกับตุ๊กตา

นำตุ๊กตาตัวโปรดมาวางข้าง ๆ ลูกน้อย สลับกับการป้อนข้าวทีละคำ พร้อมกับพูดว่า "เห็นไหม น้องจิงโจ้บอกว่าอร่อยมากเลย" หรือนำตุ๊กตามาวางล้อมจานข้าวเป็นวงกลม แล้วสมมติว่าป้อนข้าวให้ตุ๊กตาทีละตัวจนมาถึงลูกน้อย ลูกก็จะยอมกินแต่โดยดี และรู้สึกสนุกอีกด้วย

2. สร้างผักให้มีชีวิต

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีผักชิ้นเล็ก ๆ ลองสมมติให้ผักมีชีวิต และพูดคุยกับลูก เช่น ถ้ามื้อนั้นมีเห็ดเข็มทอง คุณแม่ลองคุยกับลูกว่า "ฉันชื่อเห็ดเข็มทองตัวเล็ก ๆ ฉันอยากให้เธอลองกินฉันจัง เพราะฉันรักเธอ ฉันอยากให้เธอมีพลัง"

3. ชวนลูกชิมรสชาติ

ถ้าลูกยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงประโยชน์ของผัก ลองเปลี่ยนไปเล่าเรื่องอื่นแทน เช่น ถ้ามื้อนั้นมีถั่วฝักยาว ให้สมมติผักเป็นสัตว์น่ารัก เช่น "นี่เป็นหนอนตัวน้อยก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อนะ เธออยากรู้ไหมว่ารสชาติของฉันเป็นอย่างไร" หรือถ้ามีผักหลากชนิดในจาน ลองบอกกับลูกว่า ผักเหล่านี้เป็นสาหร่ายในทะเลลึก ฉีกให้ลูกลองกินทีละนิด แล้วให้ลูกบอกรสชาติว่าเป็นอย่างไร ช่วยให้ตื่นเต้น และสนุกกับการกินมากขึ้น

4. กินฉันหน่อย

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีทั้งไข่เจียว และผัดผัก แต่ลูกเลือกไข่เจียวเพียงอย่างเดียว ให้บอกลูกขณะป้อนผักว่า "ฉันอยากเข้าไปอยู่กับไข่เจียวในปากของเธอได้ไหมจ๊ะ"

5. เลือกกินตรงไหนดี

ลองทำเมนูขนมปังรูปสัตว์ต่าง ๆ แล้วให้ลูกค่อย ๆ กินทีละส่วน เช่น "หนูอยากกินตรงไหนก่อน เริ่มจากหู หรือตาดีครับ/ค่ะ" วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการกินอาหารในแต่ละมื้อ

6. อาหารแปลงกาย

ถ้ามื้อนี้คุณแม่ทำบะหมี่ให้ลูกรับประทาน ลองพูดคุยกับลูกว่า "วันนี้บะหมี่แปลงร่างเป็นทะเลให้คุณกระต่ายน้อยลองแล่นเรือไปเที่ยว หนูอยากรู้ไหมว่า ทะเลมีรสชาติเป็นอย่างไร มันมีรสเค็มเหมือนทะเลจริง ๆ หรือเปล่านะ"

7. มาเก็บดอกไม้กัน

ชวนลูกลองรับประทานผักต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งในจาน เช่น แครอทรูปดาว หรือดอกไม้ จากนั้นคุณแม่ชวนลูก ๆ มาเก็บดาวทีละดวง หรือเก็บดอกไม้ทีละดอก หรือถ้าเป็นรูปหัวใจให้บอกว่า "นี่คือหัวใจของแม่ หนูลองหม่ำดู อันนี้ของลูก เป็นอย่างไรคะ รสชาติเหมือนหัวใจของแม่ไหม แล้วหัวใจของคุณพ่อล่ะคะ เปรี้ยว เค็ม หรือหวานกันนะ"

8. ไม้ตาย คือไส้กรอก

เด็กส่วนใหญ่ชอบกินไส้กรอก และแฮม ซึ่งไม่ควรให้กินบ่อย เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่มาก แต่กระนั้นไส้กรอกก็ยังเป็นไม้ตายชั้นดีที่คุณแม่นำมาใช้ได้ เมื่อลูกกินอาหารน้อยเกินไป

9. ผักซ่อนตัวกับน้ำผลไม้แก้วโต

ถ้าลูก ๆ ไม่ชอบกินผัก หรือผลไม้เลย คุณแม่ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือทำให้นิ่มมาก ๆ แล้วซ่อนไว้ในช้อนข้าว เพื่อไม่ให้ลูกเห็น หรือให้ดื่มน้ำผลไม้คั้น หรือปั่นแทน

10. เกมเดาใจ

ก่อนทำอาหารมื้อเช้าในวันถัดไป ลองให้ลูกเดาใจคุณแม่ดูว่าจะทำอาหารเป็นรูปอะไร วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นกับการกินอาหารมากขึ้น

11. แปลงโฉมทุกวัน

คุณแม่ลองใช้วิธีตกแต่งแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับอาหารในแต่ละมื้อ ให้ลูก ๆ โปรดปรานได้อย่างไม่รู้จบ ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนได้กินเมนูใหม่ ๆ ทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่อยากให้คุณแม่ทุกท่านตระหนักไว้คือ คุณแม่ต้องเข้าใจเรื่องการทำอาหารให้ลูก ถ้าลูกไม่ชอบอาหารชนิดใด ไม่ควรบังคับฝืนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแล้วว่า ลูกมีร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เพราะเมื่อลูก ๆ โตขึ้น อาจเปลี่ยนใจมาชอบเองก็เป็นได้

นอกจากนี้ ควรให้โอกาสลูกเลือกอาหารที่ชอบด้วยตัวเอง เช่น มื้อนี้อาจเตรียมข้าวผัดไว้ แต่ถ้าลูกอยากกินผัดมะกะโรนี คุณแม่อาจต้องยอมเสียเวลาลงมือทำสักนิด แล้วจะได้เห็นลูกหม่ำอาหารจานนี้อย่างมีความสุขจนคุณแม่ต้องปลื้มใจอย่างแน่นอน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แม่ท้องทำอะไรได้บ้าง ?

ภายหลังตั้งครรภ์ คำถามที่จะตามมาทันทีก็คือคุณแม่จะทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้บ้าง เพื่อเป็นการคลายความกังวลของคุณแม่ จึงขอแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในขณะตั้งครรภ์ในบางประเด็นที่คุณแม่ชอบถามกันบ่อย ๆ

การทำความสะอาดร่างกาย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายได้บ่อยตามความต้องการ จะอาบเวลาไหนก็ได้การหมั่นอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจะทำให้เหงื่อไคลและกลิ่นตัวถูกกำจัดออกไปด้วยเวลาถ่ายปัสสาวะ คุณแม่ต้องทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดให้ดี ควรล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง หลายคนชอบใช้กระดาษทิซชูเช็ดแทนการล้างช่องคลอด ต้องระวังว่า กระดาษทิซชูอาจเปื่อยหลุดเข้าไปในช่องคลอด ทำให้คันหรือตกขาวมีกลิ่นเหม็นได้ ภายหลังถ่ายอุจจาระ ควรทำความสะอาดก้นโดยการล้างน้ำ ถ้าใช้กระดาษชำระเช็ดก้น ควรเช็ดจากด้าน หน้าไปทางด้านหลัง อย่าเช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า เพราะอาจทำให้อุจจาระมาเปื้อนบริเวณปากช่องคลอดได้

การดูแลผิวพรรณ เมื่อมีการตั้งครรภ์ ผิวหนังของคุณแม่ส่วนมากจะแห้งและคันได้ง่าย และที่สำคัญคุณแม่จำนวนไม่น้อยมีผิวสีคล้ำขึ้นและมีท้องลายเกิดขึ้นด้วย คุณแม่ควรหมั่นทาครีมที่ช่วยบำรุงความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเกาที่บริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่บริเวณท้อง เพราะยิ่งเกาจะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวหนังบริเวณที่เกามีสีคล้ำขึ้น ในปัจจุบันยังไม่มียาหรือครีมชนิดใดเลยที่ได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์ในการลบหรือลดท้องลายได้

การแต่งเนื้อแต่งตัว คุณแม่ควรใส่เสื้อผ้าที่หลวม ๆ โปร่ง ๆ เนื่องจากบ้านเราอากาศค่อนข้างร้อน การแต่งชุดที่คับ ๆ หรือรัด ๆ จะทำให้อึดอัด รองเท้าที่ใส่ควรเป็นรองเท้าส้นเตี้ยหรือไม่มีส้น งดเว้นการใส่รองเท้าส้นสูงเพราะทำให้ล้มได้ง่าย และยังทำให้ปวดหลังเพิ่มขึ้นด้วย

การเสริมสวย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถย้อมหรือไฮไลต์สีผมได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน คุณแม่ที่ชอบใส่แหวน เวลาตั้งครรภ์ร่างกายคุณแม่มักจะบวมและนิ้วมือก็เป็นอวัยวะที่บวมได้บ่อยๆ ยิ่งใกล้คลอดจะยิ่งบวมมาก บางรายบวมมากจนถอดแหวนไม่ได้และเจ็บนิ้วมาก

เพศสัมพันธ์ คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์ ยกเว้นช่วงตั้งครรภ์ประมาณ 2-3 เดือนแรก เพราะอาจจะทำให้แท้งได้โดยเฉพาะคุณแม่ที่เคยมีประวัติแท้งบุตรหรือเคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อนยิ่งต้อง ระวัง อีกช่วงหนึ่งที่ควรลดก็คือช่วงใกล้คลอดเพราะอาจทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกและคลอดก่อนกำหนดได้ สำหรับท่าที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ควรเป็นท่าที่คุณแม่อยู่ข้างบนหรือหันหลังให้ ระวังอย่าให้ฝ่ายชายนอนทับเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

การทำงาน คนท้องทำงานได้ไม่มีข้อห้าม เพียงแต่อย่าทำงานที่ทำให้เหนื่อยมาก ถ้าเป็นการทำงานนั่งโต๊ะไม่หนักหนาอะไรก็เชิญทำได้ตามสบาย แต่ถ้าเป็นงานที่ทำแล้วเครียด อดตาหลับขับตานอน อย่างนี้ต้องเลิกหรือเบาลง คุณแม่ยุคใหม่จำนวนไม่น้อยต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หลายคนกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ขอเรียนว่าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้ปล่อยแสงหรือคลื่นประหลาดอะไรออกมาทำให้ลูกคุณพิการหรอก เพียงแต่ถ้านั่งแช่อยู่นาน ๆ คุณแม่ก็จะปวดหลังได้ง่ายเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็อยากแนะนำให้คุณแม่หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถ ขยับตัวและลุกเดินซะบ้างจะได้ไม่ปวดหลัง

เดินทาง คุณแม่จะเดินทางไปไหนก็ได้ไม่มีปัญหา ส่วนยานพาหนะที่จะใช้อาจมีข้อห้ามและข้อระวังแตกต่างกัน การเดินทางด้วยเครื่องบิน อาจทำได้ขณะตั้งครรภ์อ่อน ๆ แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น สายการบินมักไม่ยอมให้คุณแม่ขึ้นเครื่องเพราะกลัวจะไปคลอดบนเครื่องบิน การเดินทางด้วยรถยนต์ รถทัวร์ รถไฟ ถ้านั่งนาน ๆ จะทำให้ปวดหลังและขาจะบวมได้ นอกจากนี้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์มักจะปวดปัสสาวะบ่อย ถ้าต้องกลั้นไว้นาน ๆ กระเพาะปัสสาวะอาจจะอักเสบได้

คุณแม่ที่ขับรถไปทำงานประจำวันเอง สามารถทำได้ตามปกติ แต่ควรจะงดเว้นในช่วงตั้งครรภ์ใหม่ ๆ เพราะช่วงนี้คุณแม่จะอ่อนเพลียและง่วงนอนจากการแพ้ท้อง เวลาขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อีกช่วงหนึ่งก็คือช่วงใกล้คลอดซึ่งเป็นช่วงที่ครรภ์ของคุณแม่ใหญ่มากจนไปค้ำพวงมาลัย ทำให้ขับรถยาก อึดอัด ถ้าเบรกกะทันหัน ท้องอาจจะกระแทกพวงมาลัยจนทำให้แท้งหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นอันตรายได้

คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการนั่งรถจักรยานยนต์หรือรถตุ๊กตุ๊ก เพราะสภาพร่างกายที่อุ้ยอ้าย ขยับตัวลำบาก อาจตกหล่นจากรถได้ง่าย นอกจากนี้เวลาซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ คุณแม่ก็มักจะเกร็งกลัวหล่นจากรถอยู่แล้ว ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายท้องแข็งเลยก็มี

ทำฟัน คุณแม่สามารถทำฟันขณะตั้งครรภ์ได้เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะคุณแม่มีโอกาสเลือดออกได้มากเวลาทำฟัน คุณหมอฟันจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำฟันของคุณแม่ได้มากขึ้นครับ

ออกกำลังกาย การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้กระดูกเชิงกรานของคุณแม่มีการขยายตัวได้ดี และเวลาคลอดจะทำให้คุณแม่มีแรงเบ่งดี วิธีการออกกำลังกายในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แตกต่างจากของคนที่ไม่ตั้งครรภ์บางประการ คือ คุณแม่ควรออกกำลังกายเพียงแค่พอเหนื่อย ไม่ควรออกกำลังกายโดยการกระโดดโลดเต้นโดยเด็ดขาด ควรเปลี่ยนมาเป็น เดินเร็ว ๆ นั่งเหยียดแข้งขา ก้มตัวบิดไปมา หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

การใช้ยา คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทาน ฉีด หรือเหน็บเอง แม้ว่ายาส่วนมากจะปลอดภัย แต่ก็มียาหลายชนิดที่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณแม่เอง หรือต่อลูกในท้องได้ ก่อนใช้ยาทุกชนิดปรึกษาคุณหมอที่ดูแลก่อนจะดีกว่า

ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีความสุขกับการดำเนินชีวิตขณะตั้งครรภ์นะครับ

ข้อมูลจาก รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพสตรี ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย www.rtcog.or.th

นวพรรษ บุญชาญ
ที่มา เดลินิวส์