ร้านเบเกอรีในจังหวัดโทคุชิมะ ปิ๊งไอเดียเก๋ ทำ “iCookie” คุกกี้แสนอร่อย หน้าตาคล้าย “iPhone”

ร้านเบเกอรีในจังหวัดโทคุชิมะ ปิ๊งไอเดียเก๋ ทำ “iCookie” คุกกี้แสนอร่อย หน้าตาคล้าย “iPhone” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้ราคาแสนแพงชิ้นละ 1,000 บาท…

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ว่า ร้านเบเกอรีญี่ปุ่นหัวใส คิดค้นและผลิต “iCookie” คุกกี้แสนอร่อย รูปร่างเหมือนสมาร์ทโฟนยอดนิยม “iPhone”

คุกกี้สุดเก๋นี้ เป็นของร้าน กรีน เกเบิลส์ จังหวัดโทคุชิมะ ทางตะวันตกของประเทศ เริ่มทำคุกกี้ไอโฟน รสช็อคโกแลต ตั้งแต่ปี 2008 เนื่องจากลูกค้าสั่งทำเพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับสามี จากนั้นขนมอบสมาร์ทโฟนจึงได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศ ภายหลังนักเขียนเศรษฐกิจ คาซูโยะ คัทสึมะ และนักร้องเพลงป๊อปชื่อดัง โคมิ ฮิโรเสะ โพสต์ภาพขนมผ่านเว็บไมโครบล็อก หรือ ทวิตเตอร์ จากนั้นเป็นต้นมา ร้านกรีน เกเบิลส์ สามารถขายคุกกี้ไอโฟน ได้มากกว่า 100 ชิ้นแล้ว

คู มิโกะ คุโดะ อายุ 44 ปี เจ้าของร้านขนมอบดังกล่าว บอกว่า “ฉันแปลกใจมากที่กระแสตอบดีขนาดนี้ ในตอนแรกฉันทำคุกกี้ตามที่เพื่อนสั่งเท่านั้น ไม่คิดรับออร์เดอร์เพิ่ม”

อย่างไรก็ดี คุกกี้ไอโฟน ผลิตตามออร์เดอร์เท่านั้น ไม่มีวางขายให้เห็นหน้าร้าน และสั่งทำได้แต่ภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น สำหรับราคาค่อนข้างสูงพอสมควร ตกชิ้นละ 2,730 เยน หรือ ราว 1,000 บาท และต้องรอนานถึง 2 เดือน กว่าจะได้ยลโฉมและครอบครองเป็นเจ้าของคุกกี้ไอเดียเก๋.
ที่มา ไทยรัฐออนไลท์

ภาพหลุด-คลิปฉาวยังนิยม เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ คิดก่อนโพสต์

โลกเราวิวัฒนาการก้าวไกล เทคโนโลยีก้าวหน้า อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลไปโดยปริยาย เทคโนโลยีและสื่อเหล่านี้เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าเราใช้สื่อในทางที่ดีมันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าใช้ในทางที่ไม่ดีก็จะเป็นเหมือนดาบที่ทิ่มแทงเรา ปีเสือที่ผ่านมามีภาพและคลิปหลุด เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ที่ทำพิษคนบันเทิงมากมาย ลองไปดูกันซิว่ามีคลิปเด็ดหรือภาพหลุดอันไหนติดโผกันบ้าง

“คลิปเสียงสาดน้ำลาย”

ที่ฮือฮาแห่งปีคงไม่พ้นคลิปอลหม่าน ธัญญ่า-ธัญ ญาเรศ และ เป๊ก-สัณชัย เองตระกูล พร้อมด้วย พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช และ คุณแม่ของเธอ คลิปนี้มีประมาณ 4 เวอร์ชั่นเรียกความสนใจจากประชาชนได้ยิ่งกว่าหนัง “แฮร์รี่ พอร์ตเตอร์” ซะอีก คลิปเสียงเหล่านั้นรวมบันทึกเรื่องราวชิงรักหักสวาทของ “ธัญญ่า-เป๊ก-พิ้งกี้” ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ถึงขนาดมีเว็บไซต์บางเว็บไซต์แกะคำพูดทุกคำตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ซะด้วย ใครที่ได้ยินได้ฟังก็คงจะรู้ว่า “ใคร-ทำอะไร-ที่ไหน-อย่างไร” กันบ้าง คลิปนี้กลายเป็นหลักฐานเด็ดมัดตัวผู้ต้องสงสัยจนดิ้นไม่หลุดเลยทีเดียว

รองลงมาคงไม่พ้นคลิปเสียงของ 2 สาวประเภทสอง ปอย-ตรีชฎา เพชรรัตน์ และ แจ๊ส-สรวีย์ นัดที โดยสาวแจ๊สได้ออกมายอมรับว่าถูกเจ้าของเสียงที่อ้างว่าตัวเองคือ ปอย โทรฯ มาด่าทอรบกวนนานนับเดือน งานนี้ปอยก็ออกโรงโต้ทันควันว่าไม่ใช่เสียงเธอแน่นอน พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการนำไปพิสูจน์และสั่งฟ้องศาล พอเจอไม้นี้เข้าไปแจ๊สก็เงียบสนิทยุติเรื่องราวต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว พอทุกอย่างจบลงเร็วแบบนี้หลายคนเลยสงสัยว่าแจ๊สเป็นคนปล่อยคลิปดังกล่าว เพื่อเกาะกระแสปอยดังแน่นอน...เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรกันแน่ สุดแล้วแต่คนดูจะพิจารณากันเอาเอง

“คลิปเคลื่อนไหวกระชากอารมณ์”

ฉาวสุด ๆ กับคลิป “แคมฟร็อก” ของ อุ่น-จักร กฤษณ์ อินทนา หรือ อุ่น เคพีเอ็น โดยขณะที่อุ่นแข่งประกวดร้องเพลง “เคพีเอ็น อะวอร์ดส 2011 เจ้าตัวก็เจอมือดีปล่อยคลิปที่ตัวเองใส่กางเกงในตัวเดียวเต้นโชว์ลูบเป้าในห้องแคมฟร็อกของชาวสีม่วง งานนี้อุ่นออกมายอมรับว่าเป็นภาพของตัวเองจริง รู้สึกเสียใจที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่ตอนนั้นยังเด็กเลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

คลิปของ 2 สาว พลอย-เฌอมาลย์ บุญย ศักดิ์ และ ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ หลังจากที่มีข่าวว่าสาวพลอยแอนด์ เดอะ แก๊ง โห่ได๋กลางงานหนึ่ง พอจบงานสาวได๋ถึงกับต้องวิ่งโร่ร้องไห้ลงจากเวที ได้ยินอย่างนี้เข้าพลอยเลยเดือดปุด...ปุด...ท้าให้เอาคลิปในงานมาย้อนให้ดูกันเลยว่าใครทำใครก่อนกันแน่ เอ้า! ของอย่างนี้ต้องดูด้วยตาและใช้วิจารณ ญาณกันเอาเอง

ด้าน เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ สงสัยปีเสือจะชงกับปีเกิดของเธออย่างแรง เจอทั้งคลิปและภาพหลุดในระยะเวลาใกล้เคียงกันแบบไม่ตั้งใจ ช็อตแรกเกิดขึ้นขณะที่เธอเดินแบบ จู่ ๆ ชุดเกาะอกเจ้ากรรมก็หลุดลงมากองตรงเอวซะงั้น ทำเอาเจ้าตัวทั้งเจ็บทั้งอายร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวัน หลังจากทำใจได้ไม่เท่าไหร่ก็ไปรับงานอีเวนต์ เจนี่ก็เจอมือดีถ่ายช้อนเป้าเข้าอย่างจัง สิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ดันหลุดโพละออกมา แถมยังถูกตีพิมพ์ขึ้นหน้าหนึ่งหราอีกต่างหาก ทำเอาเจนี่ร้องห่มร้องไห้ไม่สบายไปหลายวัน

“อ้อม-อาท รังแกเด็ก” เป็นคลิปของนางเอกสาว อ้อม-พิยดา และสามี อาท-ศรา จุฑารัตนกุล ขณะกำลังต่อว่าเด็กผู้ชายวัย 5 ขวบและแม่หน้าที่ขายป๊อปคอร์น ณ โรงหนังแห่งหนึ่งหลุดออกมา ซึ่งงานนี้อ้อมก็ยอมรับว่าทะเลาะกันจริง เนื่องจากเด็กพูดจาไม่เรียบร้อย โดยอ้อมยืนยันว่าเธอกับสามีไม่มีถ้อยคำหยาบคายออกจากปากแม้แต่น้อย

นอกจากจะมีข่าวคราวเคยฟ้อนเล็บกับ สปอย-พิชญดา พันธุ์พิพัฒน์ แล้ว นักแสดงสาว ดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์ ยังเจอมือดีตอกย้ำความเป็น “มือตบ” ด้วยคลิป ที่ทะเลาะตบตีกับอริเก่าสมัยเรียนออกมาด้วย ภาพลักษณ์ติดลบแบบนี้ส่งผลให้แม่ของหวานใจ กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล ออกอาการไม่ปลื้มพฤติกรรมของเธอ แต่สาวดิวก็พูดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความคึกคะนองในวัยเด็ก แต่ ณ วันนี้โตแล้ว ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นอีกแน่นอน

คลิป “โดม-เพ้นท์” แถลงข่าวยังรักกันดี หลังจาก “เพ้นท์” หวานใจของ โดม-ปกรณ์ ลัม เขียนข้อความเป็นรหัสย่อผ่านทางทวิตเตอร์ของเธอ ก็มีมือดีหยิบข้อความดังกล่าวแปลทำนองว่าเธอเสียใจที่ต้องเลิกรากับโดม ขณะเดียวกันก็มีหนุ่มนิรนามคนหนึ่งโพสต์ข้อความในอินเทอร์เน็ตว่าโดมตามจีบแฟนของเธออยู่ พอหนุ่มโดมกลับจากถ่ายละคร “รักไม่มีวันตาย” ที่ญี่ปุ่นปุ๊บก็ควงคู่เพ้นท์แถลงข่าวผ่านยูทูบว่ายังรักกันดี แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีทะเลาะกันอย่างหนัก

หลังจากที่ทำพฤติกรรมเหวี่ยงสื่อยกใหญ่ นางเอกสาว แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ เลยเจอสื่อพร้อมใจแบนอยู่นาน พองานเริ่มหดอย่างจังแตงโมเลยเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องขอโทษสื่อ แต่เธอเลือกที่จะไม่แถลงต่อหน้าสื่อ ขอแถลงผ่านยูทูบแทน ก็มีคนให้ความสนใจเข้าไปโหลด ดูกันพรึ่บไม่แพ้คลิปอื่น

“เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์” คิดก่อนโพสต์

ถึงจะเลิกรากันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ของ แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล และ ฟลุค-เกริกพล มัสยวานิช จะยากเกินสมาน เมื่อแป้งโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กแปลเป็นไทยว่า “หลังจากประชุมที่ ฮาชิ เสร็จ...ฟลุค เกริกพล ไปลงนรกซะ” โดยปัญหาเกิดจากความเห็นทางธุรกิจของทั้งคู่ไม่ตรงกัน โดยแป้งถึงกับออกปากว่าตอนที่คบกับฟลุคเป็นช่วงที่ตาบอดและไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ จากนั้นไม่นานแป้งก็ถูก เบียร์-สรณัฐ น้องชายของฟลุคตะโกนด่าใส่หน้าด้วยถ้อยคำหยาบคายแถมปาน้ำแข็งใส่อีกต่างหาก...แต่ละคนเด็ด ๆ ทั้งนั้น!!!

ฟาก เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร ก็เจอกระแสแฟนคลับของ ริท-เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช หรือ ริท เดอะ สตาร์ จวกเข้าอย่างจัง หลังจากที่เธอโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์พาดพิงถึงริทว่าเป็น “ตุ๊ดเด็ก” เมย์เลยโดนฤทธิ์แฟนคลับส่งข้อความต่อว่าทุกวัน จนเธอทนกระแสแอนตี้ไม่ไหวต้องออกมาขอโทษผ่านสื่อเลยทีเดียว

ปิดท้ายด้วย กรณีของ มาร์ค-วิทวัส ท้าวคำลือ หรือ มาร์ค เอเอฟ ที่โพสต์ข้อความด่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านเฟซบุ๊กของเขา เรื่องบานปลายจนถึงขนาดที่มาร์คต้องออกมาแถลงข่าวขอโทษและต้องยุติการล่าฝัน เก็บเสื้อผ้าแพ็กกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟทันที

รอดูกันต่อไปซิว่าปีกระต่ายที่จะถึงนี้มีภาพหรือคลิป เด็ดอะไรหลุดมาอีกบ้าง ก็ขอฝากไปถึงคนบันเทิงทำอะไรควรคิดให้ดีและระวังตัวให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นภาพหรือคลิป ของคุณอาจกลายเป็นประเด็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ได้.

วัลภา ธีรสุขยอดยิ่ง รายงาน
ภาพหลุด-คลิปฉาวยังนิยม เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ คิดก่อนโพสต์
ที่มา เดลินิวส์

แนะเทคนิคเลือก "ขวดนม" ให้ปลอดภัยกับลูกน้อย

แน่นอนว่า... เมื่อเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่สดใสกำลังจะมาถึง สิ่งของที่ทุกบ้านต้องจัดเตรียมไว้คงจะหนีไม่พ้น "กระเช้าของขวัญ" เพื่อเป็นตัวแทนส่งมอบความสุขให้แก่กัน แต่สำหรับใครที่เตรียมจะหาซื้อ "กระเช้าขวดนม" เป็นของขวัญให้กับคุณหลานๆ วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเทคนิคในการเลือกซื้อขวดนมและจุกนมให้ได้ของที่มีคุณภาพที่ดีและปลอดภัยกับเจ้าตัวน้อยมาฝากกันดังนี้

หลักการเลือกขวดนม

1. ควรเลือกแบบเรียบๆ โดยบริเวณฝาครอบ ฝาเกลียว และเกลียวของปากขวดนมจะต้องไม่มีส่วนใดๆ ที่แหลมคม เพราะอาจเป็นอันตรายกับเด็กๆ ได้

2. ควรเลือกขวดนมที่มีลักษณะของรูปทรงที่สามารถจับได้ถนัดมือ ทั้งคุณแม่คุณลูก

3. ควรเลือกขวดนมเตรียมไว้อย่างน้อย 6-12 ขวด เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งจะต้องใช้ใส่นม และใส่น้ำต้มสุกไว้ให้ลูกดื่มจนลูกโต

4. ควรตรวจดูสภาพขวดนมก่อนเสมอว่าอยู่ในสภาพดี โดยไม่ควรให้มีรอยปริแตกหรือเป็นรอยขีดข่วนบนพื้นของขวดนม

หลักการเลือกจุกนม

1. ควรเลือกตัวจุกนมที่มีข้อมูลระบุ วัน เดือน ปีที่ผลิตไว้อย่างชัดเจน เพื่อจะได้ตรวจสอบอายุการใช้งานของจุกนม เพราะปกติจุกนมที่ยังไม่ได้ใช้งานและอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม จะมีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 5 ปี แต่หากมีการเก็บรักษาไม่ดีเท่าที่ควรอาจจะมีอายุการใช้งานน้อยกว่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับอากาศและการเก็บรักษา

2. ควรเลือกจุกนมที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ หรือซิลิโคนบริสุทธิ์ เพราะวัตถุดิบชนิดนี้จะมีความปลอดภัยจากสารพิษตกค้างมากกว่าวัตถุดิบชนิดอื่นๆ

3. จุกนมที่ดีควรมีมาตรฐานรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ขอบคุณภาพประกอบจากhttp://static.welovshopping.com, http://www.drugstore.co.th และ http://www.babyfancy.com


4. ควรเลือกจุกนมที่มีระบบระบายอากาศ หรือระบบปรับความสมดุลของอากาศในขวดนม เพื่อช่วยให้เจ้าตัวน้อยดูดนมได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่จุกนมไม่แฟบลงไปตามแรงดูดในแต่ละครั้ง

5. จุกนมต้องไม่เสียรูปทรงหรือฉีกขาดได้ง่าย รวมทั้งสามารถฆ่าเชื้อ โดยการต้มหรือนึ่งได้ แต่หากพบว่าจุกนมชำรุดเสียหายหลังการฆ่าเชื้อหรือทำความสะอาดให้เปลี่ยนจุกนมทันที

6. การเลือกจุกนม ต้องเลือกขนาดของรูจุกนมที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละวัย โดยสังเกตข้อมูลที่มีระบุไว้อย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์และตัวจุกนม

เห็นไหมว่า การเลือกของขวัญแต่ละชิ้นจะต้องใส่ใจและใช้ความพิถีพิถัน โดยเฉพาะการเลือกซื้อของขวัญที่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ก็ยิ่งต้องใส่ใจเพิ่มเป็นสองเท่า เพื่อให้ของขวัญชิ้นนั้นเป็นชิ้นที่พิเศษทสุดสำหรับคนที่คุณรักกันค่ะ

***ขอบคุณข้อมูลจากผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเนเจอร์
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผักผลไม้ฟอกฟันให้ขาวสะอาดได้

ติดชา กาแฟมานาน ทำให้ฟันเหลืองเป็นคราบไม่น่าดู ครั้นเลิกคาเฟอีนทั้งหมดได้แล้ว แต่ฟันเจ้ากรรมก็ยังไม่ขาวอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรดี
โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งวิเศษสุดที่แสนธรรมดาเอาไว้ให้เรา…คือ พืชผัก ผลไม้ ที่งอกงามขึ้นมาจากผืนดินนั่นเอง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอต และผักผลไม้สดอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆ เวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกทีเดียว ทั้งยังมีคุณสมบัติบางประการที่ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ส่วน ผักโขม ผักกาดหอม และบร็อคโคลี่ ก็ช่วยป้องกันคราบไม่ให้เกาะติดได้ง่าย โดยการสร้างเยื่อบางๆ เคลือบผิวฟัน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะชั้นนอกอีกที นอกจากนี้

สตรอว์เบอร์รี่ ก็นำมาใช้สีทำความสะอาดฟันได้อย่างอ่อนโยนราวกับยาสีฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟอกฟัน ทั้งยังขจัดคราบเหลืองของน้ำชากาแฟได้ด้วย โดยบิบผลสตรอว์เบอร์รี่สีแดงผลหอมหวานออก แล้วนำเนื้อผลไม้นุ่มๆ นั้นขัดถูลงบนผิวฟันโดยตรง

แหม…กินแล้วทำให้เราสวยได้ทั้งจากภายใน เพราะได้รับวิตามินและกากใย ทำให้ดูดีจากภายใน แล้วยังทำให้เราดูดีจากภายนอก เพราะฟันขาวสะอาด ได้ประโยชน์สองต่อขนาดนี้ นึกออกแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้จะซื้อผลไม้อะไรกลับบ้านบ้าง
ที่มา สนุก

“ตะขบ“ สุดยอดผลไม้ไทย

กรมอนามัย เผย "ตะขบ" มีใยอาหาร แคลเซียม และโพแทสเซียมสูง ช่วยดูดซับคอเรสเตอรอล ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้และเส้นเลือดสมองแตก

นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของกองโภชนาการ เกี่ยวกับปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้ พบว่า ผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94 กรัม มีใยอาหาร 0.5-6.3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18 กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี ซึ่งผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ตะขบ 6.3 กรัม, ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม, ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม

สำหรับผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม, องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม, ลิ้นจี่จักรพรรดิ 13 กรัม, สละ 13 กรัม และองุ่นแดง (ลูกใหญ่) 13 กรัม ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่ เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม, ลูกหว้า 5 กรัม, ลูกตาลอ่อน 5 กรัม, ราสเบอร์รี 6 กรัม และแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม นอกจากนี้ยังพบว่าผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบ ตะขบและมะม่วงเขียวเสวย (ดิบ) มีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่นคือมี 97 และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม

จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ตะขบ ฝรั่ง และ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่ และ องุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวัง หรือต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้กิน เนื้อมะพร้าวอ่อน หรือ ลูกตาลอ่อน ทดแทนได้ เพราะมีน้ำตาลน้อย ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อย จะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ขณะที่ปริมาณโพแทสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่พบ ซึ่งหากมีมาก อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได้ รวมการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน
ที่มา http://campus.sanook.com/ตะขบ-สุดยอดผลไม้ไทย-929269.html

ยล 3 หาดงาม สัมผัสทะเลใสใกล้กรุง

ทะเลนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจะพบทะเลสวยๆได้ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลยังเกาะต่างๆเท่านั้น เพราะที่ จังหวัดชลบุรี มีความงามของหาดทราย 3 แห่งที่ซ่อนน้ำทะเลสีใสเอาไว้

เริ่มต้นทริปการเดินทางที่ หาดเตยงาม ชายหาดสวยที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินกองทัพเรือ ทำให้ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างสมบูรณ์ ชายหาดสวยและน้ำสีใสที่ได้เห็นครั้งแรกแทบไม่เชื่อเลยว่าจะอยู่ใกล้แค่ สัตหีบ

นอกจากจะได้เล่นน้ำในบรรยากาศแสนสบายและเป็นส่วนตัวแล้ว เกาะไก่เตี้ย ที่อยู่ด้านหน้าซึ่งบริเวณเกาะแห่งนี้นับเป็นจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมแห่ง หนึ่ง อีกทั้งยามน้ำลดทะเลจะแหวกจนเราสามารถเดินข้ามไปถึงเกาะได้อีกด้วย

ทะเลและธรรมชาติไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราสามารถทำให้เราผ่อนคลายได้ที่นี่ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ก็มีให้ทุกคนเข้าไปศึกษาอยู่หลาย แห่ง ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ทหารนาวิกโยธิน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงวัตถุต่างๆอันเกี่ยวกับทหารนาวิกโยธิ ทั้งประวัติศาสตร์ อาวุธ เเครื่องแบบ ฯลฯ

อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและร่วมรำลึกถึงทหารนาวิกโยธินที่ได้เสียชีวิต ในการสู้รบในสมรภูมิต่างๆ และเมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินของทุกเย็นจะมี พิธีเชิญธงลงจากยอดเสา ซึ่งเป็นการปฏิบัติมีมาช้านานของทหารเรือ และคงไม่พบบ่อยนักถ้าไม่ได้มาเที่ยวที่นี่

รถมุ่งหน้ามาต่อสักพักก็มาถึง หาดนางรำ บรรยากาศของชายหาดร่มรื่นไปด้วยแนวต้นสน และดอกลั่นทม ที่ชายหาดจะมี ร้านอาหารรสเลิศไว้คอยบริการผู้ที่ต้องการมาสังสรรค์กับเพื่อน หรือครอบครัว รับรองได้ในรสชาติสุดแซ่บ

เดินเลาะเลียบไปตามชายหาดมุ่งสู่หาดทางด้านทิศใต้ อาจทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปใน ดินแดนแห่งวรรณคดีไทย ในเรื่องพระอภัยมณี ด้วยภาพที่อยู่เบื้องหน้าที่เห็นเป็นรูปปั้นตัวละครสำคัญ ทั้ง สุดสาครกับม้านิลมังกร ผีเสื้อสมุทร พระอภัยมณี ชีเปลือย เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของคนผ่านไปมาเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องไปไกลถึงระยองก็สัมผัสได้

จากนั้นมาต่อกันที่ หาดสอ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจทางทะเลที่สงบและสวยงาม มีปะการังหลากหลายชนิด น้ำทะเลใสสะอาด นอกจากนี้ยังมีชายหาดทรายขาวเป็นแนวยาว กรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้ประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ทางทะเล และดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ต่างๆ

เมื่อเข้ามายังหาดสอแล้วจะรู้สึกได้ถึง บรรยากาศชายทะเลที่เป็นส่วนตัว ภายใต้ท้องทะเลยังมีแหล่งปะการังน้ำตื้น ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ปะการังเขากวาง กัลปังหา ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ ฯลฯ

โดยจะมีกิจกกรมคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมายทั้ง การดำน้ำชมปะการังแบบผิวน้ำ การเรียนหลักสูตรดำน้ำลึก การท่องเที่ยวดำน้ำเชิงอนุรักษ์ตามสถานที่ต่างๆ นั่งเรือชมทัศนียภาพตามเกาะ เรียกได้ว่าถ้าใครได้มาแล้วจะเพลิดเพลินจนลืมเวลากลับบ้านแน่นอน

หาดทั้ง 3 แห่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ยังคงสมบูรณ์อย่างมาก ในอำเภอสัตหีบ คนที่อยากมายลความงามใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วงโมงจากกรุงเทพฯก็จะมาถึง ยิ่งถ้านำรถมาเองสามารถชมความงามไล่ไปทีละหาดก็ยังได้ เพราะแต่ละหาดอยู่ใกล้กันมาก แต่ถ้าอยากพักผ่อนริมชายหาดในบรรยากาศสบายๆ ทั้ง 3 หาดก็มีพื้นที่ของบ้านรับรอง และจุดกางเต็นท์ไว้คอยบริการอีกด้วย

โปรแกรมเที่ยวทะเลครั้งหน้า ไม่ต้องขึ้นเครื่องบินหรือเดินทางไกลไปสัมผัสบรรยากาศทะเลใต้ แค่แพ็กกระเป๋าและนั่งรถชมวิวมาที่สัตหีบ รับรองว่าทะเลสวยและความเงียบสงบของที่นี่ จะทำให้คุณประทับใจจนลืมไม่ลง

หาดเตยงาม ใช้เส้นทาง ทางเข้าของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0 3833 4188 หาดนางรำ ใช้เส้นทาง ที่จะไปท่าเรือน้ำลึกสัตหีบ ก่อนถึงจุดรักษาการณ์ของท่าเรือน้ำลึกสัตหีบก็จะเจอป้ายบอกทาง หาดสอ อยู่ภายในบริเวณ กรมสรรพาวุธทหารเรือ (สัตหีบ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0 3843 8457 ต่อ63326-8

ใต้หล้า
ที่มา เดลินิวส์

หอมอร่อย 'ไส้กรอกย่าง' หวานชื่นใจไอศกรีมเชอร์เบท

ผมไม่ได้เขียนถึงร้านนี้มานานมากแล้วครับ ร้านนี้มีชื่อว่า เดลิคาเทซซ่า ผมเคยเขียนถึงร้านนี้สมัยอยู่ที่ซอยทองหล่อ 17 และหลังจากนั้นพี่ เจ้าของร้านได้ย้ายมาอยู่ที่ร้านปัจจุบันใหญ่โตมากครับ ทำให้ผมได้มาทานบ่อยครั้งขึ้น เมื่อคราวที่แล้วผมเลยพาเพื่อนฝรั่งไปทานอาหารกันที่นั่น 2 ครั้งแล้วครับ

ผมต้องบอกเพื่อน ๆ ว่าฝีมือทำอาหารอิตาเลียนที่ร้านนี้เป็นเลิศจริง ๆ ครับ ถึงแม้จะเป็นคนไทยก็ตาม เพราะว่าพี่เจ้าของร้านไปอยู่ที่ประเทศอิตาลีเป็นเวลานานหลายสิบปี หลังจากนั้นก็มาอยู่เมืองไทยและมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง

สิ่งที่ผมชอบทานมาก ถ้าผมไปร้านนี้จะมีอาหารที่ผมต้องกินทุกครั้งที่มา ก็คือ สลัดเมดิเตอร์เรเนียน ของเขาอร่อยจริง ๆ จากนั้นเป็น สลัดผักย่าง ที่อร่อยมากและอาหารเมนูที่เราต้องกิน คือ ซีฟู้ดสตูว์ ซึ่งทำได้แซบและอร่อยมากเลยครับ คำว่าแซบของผมหมายความว่าน้ำซอสมะเขือเทศของเขามีพริกแห้งของไทยอยู่ในนั้นด้วย ทำให้มีกลิ่นหอมอร่อยยิ่งขึ้นไปอีกครับ

โดยมากแล้วผมชอบทาน ไส้กรอกย่าง ของที่นี่ครับ ย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจะมีมะนาวมาให้บีบใส่ลงไปเพื่อตัดความเลี่ยนและทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นขึ้น

ยังมี พาร์ม่าแฮม และเนื้อซึ่งผมก็ชอบครับ เวลาที่ผมไปทานอาหารที่ร้านนี้ ผมจะสั่งแต่อาหารเส้นหรือ พาสต้า ที่นี่มีเส้นสปาเกตตีด้วยครับ แต่โดยมากแล้วเส้นสปาเกตตีของพี่เขาจะไม่ใช่เส้นใหญ่แต่เป็นเส้นเล็ก มี สปาเกตตีผัดกับเอ็นโชวี่พริกและกระเทียม หรือถ้าจะทำแบบง่าย ๆ คือ สปาเกตตีผัดกระเทียมและน้ำมันมะกอก หรือไม่ก็เอา สปาเกตตีผัดกับหอยลาย ก็อร่อยเช่นกันครับ

พี่เจ้าของร้านทำเก่งครับ ซึ่งวิธีการผัดเส้นของเขานั้นทำได้ดี เส้นไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไป จะซื้อไปกินที่บ้านไม่ได้นะครับ เพราะถ้าเอามาอุ่นอีกครั้งหนึ่งเส้นจะนิ่มเกินไป พี่เขาเอาไปต้มแต่เส้นยังแข็งอยู่ จากนั้นเอาไปผัดเมื่อเสร็จเรียบร้อย เส้นจะนุ่มและเหนียวพอดีครับ

หลังจากที่ผมทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมี สเต๊กเนื้อ ที่ทำมาแสนจะอร่อยเต็มไปด้วยกระเทียมของฝรั่งที่พี่เขาเอาไปเผาและนำมาเสิร์ฟพร้อมกับสเต๊กเนื้อลูกวัวทอดมะนาว ใช้ได้เลยครับ เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยกินมาก่อนครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมต้อง ขอแนะนำเป็นพิเศษ นั่นคือ ไอศกรีมเชอร์เบทส้ม เพราะเขาทำเองแต่ราคาค่อนข้างแพงครับ แต่ก็คุ้มค่า เนื่องจากเขาเอาส้มซันควิกจากเมืองนอกโดยเอาน้ำและเอาเนื้อสับมาต้มกับไวน์ขาวแล้วใส่น้ำตาลรวมทั้งใส่อะไรต่าง ๆ เข้าไป ส่วนตัวผิวของส้ม เขาเอามาเชื่อมแล้วเอามาแต่งหน้าเป็นเชอร์เบท อร่อยมากครับ หอม ไม่หวานจนเกินไปด้วย

และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ไอศกรีมเกาลัด ที่นี่เขาใช้เกาลัดสด ๆ ที่เอามาคั่วและแกะเองใส่เตาอบครับ รสชาติอร่อยมาก ยังมี เชอร์เบทมะพร้าว ถ้วยนี้ก็ดีครับ เอาน้ำมะพร้าวมาทำเชอร์เบทแล้วใส่ลูกชิด เอาลูก มะพร้าวมาเชื่อมด้วยนะครับ ลูกชิดก็เอาไปเปลี่ยนสี ใส่สีของดอกอัญชัญก็กลายเป็นสีม่วง มีความคิดสร้างสรรค์ดีครับ สวยงามและน่ากินด้วย

เพราะฉะนั้นใครที่คิดถึงร้านอาหารอิตาเลียนเมื่อไหร่ก็แวะไปกินอาหารที่ร้านนี้นะครับและอย่าลืมฝากความคิดถึงเจ้าของร้านและเชฟร้านนี้ให้ผมด้วยนะครับ.

**************************
เข้าครัวกับหมึกแดง

เส้นลิงกัวนี่ผัดซีฟู้ด

เครื่องปรุง

น้ำมันมะกอก 4 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับหยาบหรือสไลด์บาง 5 กลีบ
พริกขี้หนูแห้งสับ 1 ช้อนชา
มะเขือเทศสีดาผ่าครึ่งลูก 100 กรัม
ซีฟู้ด (กุ้ง หอยตลับ หอยแมลงภู่ ปลาหมึก) 800 กรัม
ไวน์ขาว 30 กรัม
เส้นลิงกัวนี่ต้มสุกแล้ว 400 กรัม
ซอสมะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำบดสด 1/2 ช้อนชา
พาสลี่ย์สับ 2 ช้อนโต๊ะ
***************************
วิธีทำ

1. นำกระทะตั้งเตาให้ร้อน
2. ใส่น้ำมันมะกอกลงไปพอร้อน ใส่กระเทียมสับลงไปผัดพอหอม
3. ใส่พริกขี้หนูแห้งสับ มะเขือเทศสีดาผ่าครึ่ง ลงไปผัดให้หอมและมะเขือเทศสุกนุ่ม
4. เติมซีฟู้ดลงไป ผัดรวมกันในกระทะให้ซีฟู้ดพอสุก
5. ใส่ไวน์ขาวลงไป ผัดให้เข้ากันให้แอลกอฮอล์ระเหยออก
6. ใส่เส้นที่ต้มสุกแล้วลงไปผัดให้เข้ากัน
7. ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ เกลือ พริกไทยดำบดสด ผัดให้เข้ากัน
8. ชิมรสชาติตามต้องการ
9. ตักใส่จานโรยหน้าด้วยพาสลี่ย์สับ เสิร์ฟร้อน ๆ
************************
ความรู้คู่ครัว

- การใช้ไวน์ขาวและไวน์แดง แตกต่างกันอย่างไร และมีวิธีใช้แบบไหน?

ไวน์ขาวส่วนมากจะใช้กับเนื้อสัตว์และอาหารที่มีสีขาว สีอ่อน ๆ จาง ๆ เช่น ไก่ ปลา หมู

ไวน์แดงจะใช้กับเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง เช่น เนื้อแกะ แต่บางครั้งก็ใช้ไวน์แดงกับเนื้อสัตว์สีขาว เช่น สตูว์ไก่ในซอสไวน์แดง.

หมึกแดง
www.mcdangguide.com
ที่มา เดลินิวส์

คำค้นยอดฮิตใน Google ของไทย 2010

คำค้นยอดฮิตใน Google ของไทย 2010
เป็นปกติของทุกปีที่ Google จะสรุปคำค้นยอดฮิตของแต่ละปีมาให้เราดูกัน ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพรวมเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกหรือในประเทศเรามากขึ้น

เมืองไทยทำให้ใครต่อใครตื่นตาตื่นใจได้เสมอ สิ่งที่คนไทยค้นหาบ่งบอกเรื่องราวหลากหลายที่แสดงถึง “วิถีแบบไทยๆ” สถานการณ์ทางการเมืองดูเหมือนจะเป็นเรื่องเด่นของปีนี้ที่ชาวไทยให้ความสนใจ ค้นหาข้อมูลกันอย่างล้นหลาม ตามมาด้วยเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่คนไทยสามารถรวมตัวกันได้อย่างน่าทึ่งและ รวมน้ำใจแสดงพลังไปช่วยผู้เดือดร้อน ในขณะเดียวกัน คนไทยกับความบันเทิงก็ยากที่จะแยกจากกัน เห็นได้จากเพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมที่มาแรง รวมถึงรายการเดอะสตาร์ที่มีคนจำนวนมากติดตามอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่เรื่องราวในครอบครัวของดาราที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมาจนถึงสิ้น ปีไม่หลุดโผ สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทที่โดดเด่นมากในปีนี้ เช่น facebook และ YouTube เช่นเดียวกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอินเทรนด์ต่างๆ เช่น iPad iPhone หรือ Blackberry และ Nokia

ดาวรุ่งพุ่งแรง Fastest Rising
เพลงลูกเทวดา
ipad
iphone 4
the star 6
เพลงเหงาปาก
facebook
ตารางบอล
ยูทูป
photoscape
รามคำแหง

ยอดนิยม Most Popular
เพลง
เกมส์
หนัง
facebook
hi5
งาน
ฟัง เพลง
เกม
4shared
youtube

ผู้คน People
มาร์ค v11
larissa riquelme
justin bieber
ธัญญ่า
kesha
แอนนี่
zee
ฟิล์ม
ริท
กัน


รวมข่าวเด่น News
สถานการณ์ เสื้อแดง
ข่าวน้ําท่วม
จ่าเพียร
ยุบพรรค ประชาธิปัตย์
เสธแดง
อริสมันต์หนี
แอร์พอร์ตลิงค์
พงษ์พัฒน์
เซ็นทรัลเวิลด์ถล่ม
ปาเกียว

กีฬา Sports
ฟุตบอลโลก 2010
เมืองทอง ยูไนเต็ด
ลิเวอร์พลู
ศรีสะเกษ fc
มวยปล้ํา
ขอนแก่น fc
ฟุตบอลยูฟ่า
siamsport
ชลบุรี fc
torres

คนดัง Celebrities
cn blue
zee
justin bieber
แอนนี่
i love kamikaze
ธัญญ่า
2pm always
4minute
มิน
กัน

ธุรกิจ Companies
toyota thailand
nissan thailand
major cineplex
air asia thailand
htc thailand
dtac
agoda thailand
kasikorn bank
super rich
apple thailand

เทคโนโลยี Technology
facebook
iphone 4g
nokia 5233
commart 2010
palringo
blackberry bold 9700
settrade.com
nexus one
qr code
photoscape

ที่มา Google

แว่นกันแดดแฟชั่น สวย เสี่ยง

แว่นกันแดดแฟชั่นราคาถูกที่ขายตามท้องตลาดอาจดูสวยและช่วยเสริมสร้างบุคลิกก็จริง แต่ก็อันตรายต่อดวงตาถึงขั้นตาบอด

เนื่องจากแว่นกันแดดแฟชั่นราคาถูกใช้เลนส์พลาสติกธรรมดา ไม่สามารถกันรังสียูวี เมื่อเราสวมแว่นที่มีเลนส์มืดทึบ จะทำให้ม่านตาขยาย รังสียูวีเข้ามาทำอันตรายต่อดวงตามากกว่าตอนยังไม่ได้สวมแว่นเสียอีก

แว่นตากันแดดที่ดีควรใช้เลนส์โพลารอยด์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ โพลาไรซ์เพลต จะช่วยป้องกันแสงที่สะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามัว และยังช่วยตัดแสงที่ทำมุม 45 องศาเข้ามากระทบกับดวงตา แม้จะราคาแพงกว่าแว่นกันแดดแฟชั่นที่ใช้เลนส์พลาสติก แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสุขภาพของดวงตาที่ประเมินค่ามิได้

ส่วนวิธีดูว่าแว่นกันแดดที่จะซื้อเป็นเลนส์โพลารอยด์จริงหรือไม่ ทดลองโดยนำเลนส์สองตัวมาทับซ้อนกัน แล้วบิดทำมุมไปมา ถ้าความเข้มของแสงที่ผ่านมากขึ้นหรือลดลง แสดงว่าสามารถกันรังสียูวีได้จริง แต่ถ้าความเข้มของแสงไม่เปลี่ยน แสดงว่าเป็นกระจกธรรมดา.
ที่มา เดลินิวส์

เตือนจักรวาลเพี้ยนห่วงอีก 3 ปีโลกวิบัติ


สัมมนาภัยพิบัติคนแน่น“เดลินิวส์”จับมือ3พันธมิตร ให้ความรู้ “สมิทธ” ชี้ อนาคตคนไทยตายด้วยโลกร้อนมากขึ้น “ก้องภพ” ระบุ ระบบสุริยจักรวาลเปลี่ยนแปลง ระวังภัยพิบัติ

วันนี้ ( 20 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ห้องประชุมอาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการจัดงานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด” จัดโดยนสพ.เดลินิวส์ มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และเว็บไซต์พลังจิต มีนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปสนใจเข้าร่วมงานกว่า 1 พันคน โดย ดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด บรรณาธิการบริหาร นสพ.เดลินิวส์ กล่าวเปิดงานสัมมนาว่า หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ในฐานะสื่อมวลชนของประเทศ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมกับพันธมิตรทั้ง 3 หน่วยงาน จัดงานสัมมนาในครั้งนี้ อย่างที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันได้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นกัน ดังเห็นได้จากข่าวสารจากสื่อมวลชนต่างๆ

ดร.ประภา กล่าวต่อว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พี่น้องร่วมชาติของเราต้องประสบปัญหาน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ แม้ภาครัฐและเอกชนเยียวยาให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ก็เป็นการช่วยเหลือเพียงน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบความเสียที่เกิดขึ้น กระนั้นก็ยังดีเสียกว่าที่พวกเราจะนิ่งอยู่เฉย เพราะในห้วงเวลาเช่นนั้น น้ำใจและกำลังใจ คือสิ่งสำคัญ ที่พวกเราต่างก็เป็นพี่น้องร่วมชาติพึงมีให้แก่กัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบางอย่างมนุษย์ก็สามารถรู้หรือคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จนสามารถเตรียมพร้อมรับมือหรืออพยพคนออกจากพื้นที่ได้ทัน แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติบางอย่าง มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้หรือคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย ผลกระทบที่ตามมาจึงก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเกือบทุกครั้ง

“การจัดงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก สามารถเตรียมพร้อมรับมือ และบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้” ดร.ประภา กล่าว

ต่อจากนั้น ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึง “สถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในปัจจุบัน” ว่า จากประสบการณ์การทำงานกว่า 22 ปี โดยปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาวัดอุณหภูมิในไทยได้สูงถึง 42.5 องศาเซลเซียส จากอดีตที่มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 37.5 องศาเซลเซียส พบว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้ทำให้เห็นว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลง สถิติล่าสุดไทยมีคนเสียชีวิตจากโลกร้อนในปีนี้ 16 คน เพิ่มจากอดีตที่มีคนเสียชีวิต เพียง 1-2 คน ปกติอุณหภูมิร่างกายมนุษย์อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส ถ้าต้องทนอยู่ในสภาวะอากาศที่สูงถึง 42.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้เสียชีวิตได้ ไม่เฉพาะในไทย ในอินเดียมีคนเสียชีวิตด้วย ดังนั้นต้องให้ความรู้กับประชาชนในการเอาตัวรอดจากภัยพิบัตินี้

“ส่วนปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ และต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ภาคอื่นๆของประเทศไทย โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการย้ายเมืองหลวงของไทยไปอยู่ภาคอื่นๆ เนื่องจากถ้าย้ายไปภาคอีสานก็ต้องเจอกับสภาพขาดแคลนน้ำ หากย้ายไปภาคเหนือก็ต้องพบกับการเกิดแผ่นดินไหว ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออกก็เสี่ยงกับการเจอสตอร์มเซิร์จ ดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น “ ดร.สมิทธ กล่าว

ด้าน ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่ทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา กล่าวในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศกับการเปลี่ยนแปลงบนโลก” ว่า 20 ปีที่ผ่านมา ระบบสุริยะจักรวาลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก มีพลังงานต่างๆเข้ามาในระบบสุริยะจักวาล นาซ่าส่งดาวเทียมขึ้นไปศึกษาพบความเปลี่ยนแปลงมวลลมสุริยะลดลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่างๆ เช่น ดาวอังคารเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลาย ดาวพฤหัส มีความสว่างเพิ่ม 200% ความร้อนสูงขึ้น ส่วนโลก ก็พบปริมาณรังสีคอสมิกมาก มีปริมาณฝุ่นละลองเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณฝนดาวตก และวัตถุพวกอุกาบาตรเข้ามาในโลกมากขึ้น รวมถึงตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศนอกโลก

“ชั้นบรรยากาศของโลกลดลง ส่งผลให้โลกมีความไว้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนอกโลก และแกนโลกมีการเคลื่อนตัวจากเดิม ช่วงต้นปี 2013 หรือปี 2556 ต้องระวังเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น จากปฎิกิริยาของดวงอาทิตย์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของโลกจนทำให้โลกเกิดความร้อนเพิ่มสูงขึ้น เราควรเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องอาหารให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ 3-5 วัน” ดร.ก้องภพ กล่าว

ขณะที่ ดร.วัฒนา กันบัว ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวบรรยายในหัวข้อ “พายุหมุนเขตร้อน คลื่นพายุกระทบฝั่ง และน้ำท่วม” ว่า พายุหมุนเขตร้อน เป็นพายุที่อยู่ในทะเลเขตร้อน มีปัจจัยจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เหมาะสมอยู่ที่ 26-27 องศาเซลเซียส โดยพายุหมุนเขตร้อนจะเกิดในน้ำทะเลลึก และเคลื่อนตัวเข้าฝั่งกลายเป็นสตอร์มเซิร์จ โดยเส้นทางการเกิดพายุจะเกิดไม่ซ้ำที่กันขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงเดือน ปัจจุบันกรมอุตุนิยมวิทยาใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท วางเครื่องมือเตือนภัยพิบัติทางทะเลซึ่งสามารถเตือนภัยได้ล่วงหน้า 7 วันก่อนพายุจะเคลื่อนเข้ามายังชายฝั่ง

“การหลีกเลี่ยงภัยพิบัติต่างๆ คือ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภัยพิบัติ เช่น ต้องฟังคำเตือนภัย และมีการกระจายคำเตือนการเกิดภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว โดยกรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ต้องส่งคนลงพื้นที่ทันที่เมื่อมีข้อมูลการเกิดภัยพิบัติ เพื่อเตือนประชาชน รวมทั้งต้องมีการก่อสร้างที่หลบภัยในพื้นที่ ในหมู่บ้านเมื่อเกิดภัยพิบัติ และมีการซ้อมอพยพภัยพิบัติอย่างจริงจัง” ดร.วัฒนา กล่าว

ส่วน ดร.เสรี ศุเพทราทิตย์ ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิริธร กล่าวว่า ประเทศไทยมีข้อมูลมากมายแต่ยังขาดการนำมาบริหารจัดการ ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น ข้อมูลตรวจจับเรดาร์กลุ่มฝนและปริมาณน้ำฝนซึ่งต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ข้อมูลที่มีอยู่ปัจจุบันคาดการณ์ว่าอีก 2 ปีข้างหน้า จะเกิดลานินญา ฝนตกหนักมากแล้วค่อยๆเบาลง โดยปี พ.ศ. 2554 จะเกิดฝนตกหนัก ส่วนปีพ.ศ. 2555 ฝนไม่ตกเกิดความแห้งแล้ง

“จากข้อมูลต่างๆชี้ว่า ในระยะยาวช่วง 10-20 ปี หน้าแล้งก็จะแล้งหนัก หน้าฝนก็จะฝนมาก และจากการประมวลข้อมูลปัจจุบันที่มี 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น 5% และแผ่นดินทรุดตัว เป็นต้น บวกกับฐานข้อมูลน้ำท่วมในปีพ.ศ. 2538 พบว่า ถ้าเกิดน้ำท่วมอีก กรุงเทพฯ จะรับไม่ได้ รวมทั้งพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ซึ่งจากการวิเคราะห์มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมถึง 40% เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาในปีนี้คนกรุงเทพฯรอดพ้น แต่ปีหน้ากรุงเทพฯมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม และภายใน 10 ปีนี้ ความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯมีเกิน 50 % และในอนาคตอาจได้เห็นการนั่งรถแล่นบนน้ำในกรุงเทพฯ” ดร.เสรี กล่าว

ดร.เสรี กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจะสร้างเพื่อช่วยป้องกันน้ำท่วมคือ สร้างเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ และสร้างเจ้าพระยา โดย 2 มาตรการแรกทำไม่ได้ ความหวังอยู่ที่การสร้างคันกั้นน้ำ ซึ่งเป็นคันดินที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม การสร้างที่พักน้ำ (แก้มลิง) และทำคลองระบายน้ำ โดยปีนี้ต้องใช้เงินอีกเป็นแสนล้านในการทำมาตรการป้องกันน้ำท่วมทั้ง 3 มาตรการ ส่วนการเกิดสึนามิในประเทศไทยจะเกิดเมื่อไหร่ยังคาดการณ์ไม่ได้ ต้องรอคำนวณจากการเกิดแผ่นดินไหว แต่ขณะนี้ได้ทำแบบจำลองการเกิดสึนามิว่าจะเคลื่อนตัวไปที่ไหนบ้าง เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถระบุเวลาจะเคลื่อนเข้าฝั่ง เพื่อใช้ในการหลบหนีได้

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี กล่าวถึง “วิกฤตน้ำท่วมโลก” ว่า ขณะนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้พื้นที่และทรัพยากรอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้ปัจจุบันโลกเล็กเกินไปสำหรับประชากรทั้งโลก ซึ่งมีคนในแอฟริกาตายไปเดือนละ 1 ล้านคน เพราะไม่มีอาหาร และถ้าจะให้ประชากรโลกอยู่กันอย่างเพียงพอต้องใช้โลกถึงหนึ่งใบครึ่ง วันนี้โลกไม่เพียงพอสำหรับมนุษย์แล้วข้อมูลจากศูนย์ของสหรัฐอเมริกา โดย 30 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสูงขึ้นเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ส่วนขั้วโลกสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดผลกระทบ อากาศแปรปรวน ร้อนจัด หนาวจัด แห้งแล้ง ปะการังมีการเปลี่ยนสีและฟอกสี และมีพายุที่รุนแรงเพิ่มขึ้นและขาดแคลนน้ำ

ดร.อาจอง กล่าวต่อว่า ช่วงหน้าร้อนแม่น้ำโขงจะแห้งสนิท เพราะน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงละลายไปมาก โดยสิ่งที่อันตรายที่สุด คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ที่สะสมมาหลายพันปีเริ่มละลายและเริ่มไหลออกจากแผ่นดินแอนตาร์กติก ซึ่งมีปฏิกิริยาเร่งจากบริเวณขั้วโลกเหนือที่มีแก๊สมีเทนผุดขึ้นมาจากการละลายของน้ำแข็ง ซึ่งแก๊สมีเทนมีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเร็วกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า และถ้าเมื่อไหร่ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 6-7 เมตร เมืองที่อยู่ติดทะเล เช่น ฟลอริด้า ไมอามี่ เซี่ยงไฮ้ รวมถึงกรุงเทพฯจะได้รับผลกระทบ ซึ่งประเทศไทยเมืองในแถบภาคกลางตอนล่างเสี่ยงจะจมอยู่ใต้น้ำ เช่น จ.สมุทรปราการ นนทบุรี และ ปทุมธานี เรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ไม่ใช่เรื่องที่กะทันหัน สามารถเตรียมการรับมือได้ การสร้างเขื่อนคงเป็นเรื่องที่สายเกินไป ซึ่งองค์การนาซ่าได้จัดทำแผนที่ใหม่ของโลก พบว่าเมืองเซียงไฮ้ไม่มีเหลือเลย

“น้ำทะเลสูงขึ้นทำให้โลกขาดความสมดุล ซึ่งปัจจุบันแกนโลกมีการเคลื่อนที่เพื่อหาสมดุลใหม่ ขณะที่เปลือกโลกก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเพื่อให้เกิดสมดุลเช่นกัน ส่งให้เกิดแผ่นดินไหวบนรอยต่อของเปลือกโลก ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาที่รอยต่อและรอยร้าวของเปลือกโลกที่อยู่ในประเทศพม่า ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น เช่น จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ จึงควรต้องสร้างบ้านให้ทนต่อการเกิดเผ่นดินไหวได้อย่างน้อย 5 ริกเตอร์” ดร.อาจอง กล่าว

สำหรับ นพ.ชาตรี เจริญชีวกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวถึงเรื่อง “การเตรียมการรองรับและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ว่า จุดอ่อนของคนไทยจากเหตุการณ์สึนามิ คือ ทำงานไม่เกิน 3 วัน และทำงานเอาหน้า แต่ก็ยังมีคนดีๆอีกมากมายที่นำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ และพยายามทำการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง สถาบันฯจะเป็นตัวประสานให้เกิดการช่วยเหลือ โดยใช้เบอร์ 1669 เป็นเบอร์รับแจ้งเหตุซึ่งเป็นบริการฟรีที่สถาบันฯ ให้เงินทุนสนับสนุน

“ถ้าเกิดภัยพิบัติใหญ่ ๆ เช่น แผ่นดินไหว ดินโคลนถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่าไหลหลากทีมแพทย์ของสถาบันฯ พร้อมรับมือ ซึ่งหลังเกิดสึนามิ 7 ปีที่แล้ว ทีมแพทย์ของสถาบันฯ ซ้อมรับมือกันอย่างหนัก เชื่อว่าถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ทีมแพทย์จะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและจะทำให้เกิดการสูญเสียน้อยมาก เพราะมีกลไกการเตรียมพร้อมรับมือระดับสากล ขณะที่ประชาชนต้องเชื่อข้อมูลการเตือนภัยจากหน่วยงานต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา ต้องซ้อมเรื่องนี้อย่างหนักหน่วง” นพ.ชาตรี กล่าว

ในช่วงสุดท้ายของการสัมมนาเป็นการอภิปรายหมู่ “พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด” วิทยากรทั้ง 8 คน ขึ้นเวที พร้อมด้วย นายคณานันท์ ทวีโภค หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ จากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม เพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมฟังการสัมมนาซักถามเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติ ตัวอย่างคำถามที่น่าสนใจ อาทิ ข้อถามที่ว่าระบบเตือนภัยสึนามิของประเทศไทยปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ ดร.สมิทธ ชี้แจงว่า ระบบเตือนภัยตนเป็นคนก่อตั้ง ขณะนี้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดคลื่นสึนามิเพิ่มเติมแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้งานได้ผลเป็นอย่างไร จุดที่เกิดสึนามิอยู่ในทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย เป็นรอยเลื่อน ถ้าอุปกรณ์เตือนภัยไม่ทำงาน ประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณ 6 จังหวัดภาคใต้จะมีเวลาหลบหนีสึนามิเพียง 10 กว่านาทีเท่านั้น จึงฝากให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติช่วยดูแลระบบและอุปกรณ์เตือนภัยให้ดี เป็นต้น
ที่มา เดลินิวส์

ทอล์กโชว์ทีเด็ด 2 แบบ 2 สไตล์ฮากับน้าเน็กอุดม แต้ฯ และเสี่ยตัน!

อุดม แต้ฯ กับ "เสี่ยตัน"

อุดม แต้พานิช เจ้าพ่อเดี่ยวทอล์กโชว์คนดังของเมืองไทย มาเป็น "ผู้สร้างสรรค์และควบคุมงาน" งานนี้ โน้ส ไม่ ต้องการให้ฮาเพียงอย่างเดียว ขอสอดแทรกสาระความรู้ให้เขาไปอยู่ในโชว์ด้วย หากว่าคุณเศร้า เหงา คิดอะไรไม่ออก หมดแรงหมดกำลังใจ ไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน ก็ยังมี TALK SHOW เชิง สาระขัน เสริมสร้างกำลังใจของ เจ้าพ่อนักคิด–นักการตลาด และ นักสร้าง แบรนด์อันดับต้นๆของเมืองไทย "ตัน ภาสกรนที" กับการผันตัวเองมาอยู่บนเวที เป็น นักพูด

โน้ส รับประกันความมันส์ ฮาพร้อมได้สาระครบถ้วน และการทำหน้าที่ ศิลปิน มือถือไมค์ไฟส่องหน้าครั้งแรกเหมือนกันของ ตัน ภาสกรนที

แต่ อะไรก็ไม่แหล่มเท่า "ทอล์กโชว์" ครั้งนี้ไม่ใช่ ธุรกิจ แต่เป็น ภารกิจ ครั้งสำคัญ ซึ่งจุดประสงค์หลักในการจัดโชว์ครั้งนี้ เพราะรายได้ทุกบาททุกสตางค์ไม่หักค่าใช้จ่าย สมทบทุน สร้างโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง จ.ชลบุรี บ้านเกิดของ ตัน อีกด้วย
น้าเน็ก

ส่วนการกลับมาสู่เวทีเดี่ยวไมโครโฟนของ "ผู้ชายปากหมา" หน้าตี๋, ชาติตระกูลดี, ผมสี, มีหนวด กับการแสดง THE ONE STAND UP COMEDY ที่เขากลับมาพร้อมกับ โชว์สุดฮา–วาจาสุด TEEN ด้วยเรื่องราวรอบๆตัวเรา จนทุกคนที่เข้าไปชมทั้ง 6 รอบการแสดง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เป็นโชว์ที่เหนือความคาดหมายจริงๆ"ฟังเพลงมันส์ๆสไตล์ น้าเน็ก ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้าเน็ก แต่งเพลงให้กับศิลปินชั้นนำได้ขับร้อง และถ่ายทอดออกมาได้ไพเราะมาก อย่าง บี-พีระพัฒน์, บอย–ตรัย, แสตมป์ ที่มาโชว์เสียงอันไพเราะและเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ แถมโดน น้าเน็ก กัดอย่างบ้าคลั่ง และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้ชายคนนี้สร้างสรรค์มันขึ้นมาเขาคือ น้าเน็ก เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา (และมาร่วมสร้างสมประสบการณ์ผ่านชีวิตมันส์ไปกับ ต้น ภาสกรนที)

ทอล์ก โชว์ทีเด็ด 2 แบบ 2 สไตล์ พบกันวันนี้ในรูปแบบ VCD และ DVD ที่เซเว่นอีเลฟเว่น และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป เป็น "ผลงานอันยิ่งใหญ่ ของ EVS ENTERTAINMENT เจ้าพ่อแห่งวงการบันเทิงแห่งประเทศไทย รวมไปถึง TALK SHOW ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว กับ GOLF MIKE TOOK THE COMEDY CONCERT ครั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งท้ายปลายปีและทำงานเหน็ดเหนื่อยและเครียดกันมาตลอด จึงมามอบความสุขสดชื่นคืนสู่ทุกคนด้วย "TALK SHOW 2 รส 2 สไตล์" นำโดย น้าเน็ก, อุดม แต้พานิช และนักการตลาดสมองเพชร "ตัน ภาสกรนที"ในโลกแห่งความสับสน ทุกคนอยากได้ยิน เสียงหัวเราะมากกว่าเสียงระเบิด...อยาก หัวเราะอย่างลืมตัว, อยากผ่อนคลายความเครียดที่มีอยู่ "เต็มสมอง" โปรดทดลองฟัง TALK SHOW 2 แบบ 2 สไตล์ ตั้งแต่บัดนี้ แล้วทุกคนจะ "HAPPY"...นักคิด คิด มุกฮา มาตั้งนาน แต่ท่านไม่ต้องคิดอะไร แต่ได้กลับไปเต็มๆ.

ไททาร์ซาน
ทอล์กโชว์ทีเด็ด 2 แบบ 2 สไตล์ฮากับน้าเน็กอุดม แต้ฯ และเสี่ยตัน!
ที่มา ไทยรัฐ

'โย่ง เชิญยิ้ม' ตลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ใช้วิกฤติเป็นโอกาส

เริ่มจากเพลงฉ่อยมาเป็นลิเก จากลิเกมาเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 นั่นคือการเข้าวงการตลกครั้งแรกของเขา “โย่ง เชิญยิ้ม” หรือชื่อจริง “พิเชษฐ์ เอี่ยมชาวนา” จากรายการ ก่อนบ่ายคลายเครียด ทางช่อง 3 ที่ทำให้หลายคนรู้จักเขา จากนั้นก็มีละครเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ทำให้คนรู้จักเพิ่มขึ้น และวันนี้เราได้เจอ “โย่ง เชิญยิ้ม” ในงานบวงสรวงหนัง “เหลือแหล่” ที่บริษัทพระนครฟิลม์ แถวประชาชื่น สำคัญตรงที่เขามาเปิดตัวต่อหน้าสื่อมวลชนในฐานะผู้กำกับหนังครั้งแรกในชีวิต ก็เลยอดไม่ได้..ขอคุยหน่อย ทักทายประสาคนกันเองเรียบร้อย

เริ่มคำถามแรก ..ตลกคนอื่นในรุ่นเดียวกัน บางคนก็หายไปเพราะไม่มีงาน แต่ โย่ง เชิญยิ้ม ยังมีงานเข้ามาตึม มีอะไรดีอ๊ะป่าว? “มีอะไรดีหรือเปล่า (หัวเราะร่วนเชียว) ผมไม่รู้ แต่พยายามค้นคว้าหาของที่คิดว่าน่าจะดีเข้ามา แล้วนำเสนอออกไปอะไรอย่างเนี้ย มีคิดอยู่เรื่อยมีการบ้านอยู่เรื่อย เห็นนั่นเห็นนี่ก็คิดเป็นมุกเป็นสนุกไปว่าพรุ่งนี้ เราจะเล่นอะไร ตอนที่ถ่ายก่อนบ่ายฯ อยู่เราก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่ง ณ ทุกวันนี้ก็คิดตลอดเพราะมันเป็นอาชีพเรา เหมือนเราเป็นร้านขายของหนึ่งร้าน เราก็หาสินค้าที่เขาจะซื้ออะไรน้อ เขานิยมซื้ออะไรกันอย่างเนี้ย”

จุดขายของตลก โย่ง เชิญยิ้ม ที่หลายคนจำได้คืออะไร “คำพูดต่าง ๆ เล่าเรื่องราวอะไรต่าง ๆ เล่นหักแง่หักมุมในเรื่องของคำพูด หลายคนพูดว่า เป็นตลกเล่นคำ เวลาแสดงก็ไม่หยาบคาย ซึ่งเป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้วว่า อยากให้เด็กดูได้”

เคยคิดมั้ยว่า จะได้มาเป็นตลกชื่อดัง..ระดับแถวหน้าของเมืองไทย อย่างทุกวันนี้ พูดตรง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ตลกทุกคนจะทำได้ “ไม่เคยคิดเลยครับ ด้วยความตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ใช้ความพยายามให้เปลือง ใช้พรแสวงให้เยอะ เราทำงานอยู่ในวงการฯ ที่มีทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง งานทุกอย่างจะสำเร็จได้อยู่ที่ทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน เราไม่เคยคิดว่าเราเก่ง แต่อาจจะมีโอกาสมากกว่าบางคน เราแคร์ความรู้สึกและให้เกียรติผู้ร่วมอาชีพทุกคน และผู้มีพระคุณที่เราไม่เคยลืม”

เท่าที่คุยมา..ดูชีวิตราบรื่นตลอด ถ้าจะบอกว่าไม่มีอุปสรรคเลย คงจะไม่มีใครเชื่อ “ก็มีบ้าง แต่ถ้าพูดถึงอุปสรรคในชีวิต มันจะไม่ร้ายแรง มันจะไม่เด่นชัด แต่ว่ามันจะไปช้าด้วยการก้าวของผมเนี่ย ก้าวมาปุ๊บยืนคิดว่าตรงนี้มั่นใจแล้ว แล้วก็ก้าวต่อคิดต่อไปเรื่อย อย่างเล่นเพลงฉ่อยแล้ว อยากเป็นลิเกก็มาเป็นลิเก พอเล่นลิเกได้พอจะมีชื่อเสียง ก็อยากเล่นตลกก็ไป พอมีคนรู้จักก็อยากทอล์กโชว์อีกก็ไป..แต่ทุกอย่างที่ทำผ่านมา ก็ยังอยู่ในตัวเรา แม้แต่ทุกวันนี้นึกสนุกขึ้นมา ผมก็รับเล่นลิเก”

เขาพูดกันว่า ตลกเวลาอยู่หน้าเวทีสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ชม แต่ตัวตนจริง ๆ เป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นตลกบางคนก็เป็นโรคซึมเศร้า จริง ๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า “ก็มีบ้างเป็นบางคน เพราะการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับตัวผมก็มีครับ เป็นห่วงเรื่องครอบครัวอะไรต่าง ๆ ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเรา คือครอบครัว ลูก ภรรยา อยาก ให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ เราหามาเราอยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขาลำบาก ส่วนตัวผมเป็นคนจริงจังกับชีวิต วัน ๆ ตื่นขึ้นมาคิดอยากแต่จะทำนู่นทำนี่ เวลามีปัญหาผมจะไม่แสดงออก กลัวคนที่เห็นจะไม่สบายใจ ยังไงก็ยิ้มไว้ดีกว่า เราเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก มันต้องแก้ไขได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

เท่าที่อยู่ในวงการตลกมา เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่หนักที่สุดในชีวิต “มีอยู่ครั้งหนึ่งซื้อรถกระบะป้ายแดงมาใหม่ ๆ เลย แล้วเราไปดัดแปลงคือไปโหลดเตี้ยผิดรูปร่างของเดิม ขับรถจะไปเล่นตลกแถวอยุธยา พอเวลาเบรกรถมันหมุน รถคว่ำพังยับต่อหน้าต่อตาเลย มันเหมือนหมดเลย เพราะเป็นรถป้ายแดงคันแรกในชีวิต ขนาดถนนเปียกต้องค่อย ๆ วิ่ง ถนอมมาก เสียใจมาก ร้องไห้อยู่ในอก มันพลาดทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ๆ”

“จังหวะที่เพื่อนในคณะตอนนั้นชื่อคณะเด่น รวมดาว ก็โทรฯ มาว่า จะไปเล่นมั้ย ผมเป็นเด็กกว่าเค้าในคณะ รถพังยับอยู่ในนาทั้งที่ไม่มีกะจิตกะใจอะไรแล้ว มันหมดแล้ว แต่เราก็ต้องทำต้องเล่นให้ดี ให้คนดูมีความสุขให้คนดูหัวเราะ ให้ได้ ถึงทุกวันนี้ยังนึกอยู่เลย ไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นมันบีบหัวใจมาก”

ต้องยอมรับว่า ตลกยุคนี้มีการพัฒนาฝีมือและศิลปะด้านการแสดงต่างๆมากมาย จนชนะใจและเข้าถึงผู้ชมในทุก ๆ สังคมอย่างแท้จริง ด้านตัวนักแสดงตลกเอง ก็พยายามศึกษาหาความรู้ จนจบระดับปริญญาตรี อาทิ เป็ด เชิญยิ้ม, โย่ง เชิญยิ้ม ฯลฯ

และนี่เองจึงเป็นจุดหนึ่งในช่วงที่งานแสดงซาลง ตลกจึงไม่หยุดอยู่กับที่ “พอรู้สึกว่าว่าง เราจะตื่นตัวเฮ้ย..เราจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทำเพลงบ้างอะไรบ้าง คือมันอาจจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ถ้าไม่ทำแล้วมันหาย เหมือนมันจม ปลาอยู่ในน้ำถ้ามันอยู่นิ่ง ๆ คนไม่เห็นตัว ต้องว่ายให้กระเพื่อมอยู่เรื่อยอะไรอย่างเนี้ย ผมจะเป็นอย่างเนี้ย มันเป็นวิกฤติที่ทำให้เราฮึดสู้ และผมก็จะใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส”

รู้ ๆ กันดีว่าคนที่มีอาชีพตลก เวลาทำงานไม่ค่อยแน่นอน สำหรับ “โย่ง เชิญยิ้ม” มีผลกระทบกับครอบครัวบ้างมั้ย “ก็มีบ้าง บางทีเขาไม่เข้าใจ เราเหนื่อยมา เขาพูดไม่ถูกหู บางทีเค้า (ภรรยาชื่อ สม) พูดเสียงแข็งมา ผมก็ท้อแท้ แต่ก็ไม่ถึงกับทะเลาะอะไรกัน มันก็ต้องมีบ้างลิ้นกับฟันเราเข้าใจ แต่เราเหนื่อย เข้ามาในบ้าน แค่เมียหน้าบึ้งเนี่ย แต่ไม่รู้เขาเครียดเรื่องอะไร เราจะรู้สึกว่าเราเหนื่อยแทบตาย ทำไมเราเข้าบ้านไม่มีความสุข แต่เราก็พูดคุยกันตลอด เพื่อปรับตัวเข้าหากัน ทุกวันนี้ก็มีความสุขดีครับ โชคดีที่เขาเป็นคนไม่ขี้หึง เข้าใจงานของเรา แล้วเราก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้ ผมเป็นคนทำงาน จะคิดเรื่องอนาคตมากกว่าว่าจะทำอะไรต่อไป”

ด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการเลื่อนขั้นไปเป็นผู้กำกับหนัง “เหลือแหล่” โดยจับมือกับ “โน้ต เชิญยิ้ม” ผู้กำกับร้อยล้าน ศิลปินตลกรุ่นพี่ชื่อดังของวงการฯ “พูดถึงงานกำกับหนัง ไม่กล้าใช้คำว่าใฝ่ฝัน ไม่กล้าใช้คำว่าเราจะต้องเดินไปหามันให้ได้ เมื่อได้คุยกับพี่โน้ต สิ่งที่เขารู้สิ่งที่เรารู้มันไปในทิศทางเดียวกัน แล้วเราก็คิดว่าน่าจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน” มีการเตรียมตัวยังไงบ้าง “ก็ศึกษาจากพี่โน้ต เพราะพี่เค้าลงสนามมาก่อนเรา และตลอดเวลาที่เล่นตลกมา เราก็แอบเรียนรู้งานหลาย ๆ อย่างมาบ้าง แต่ตอนนี้งานกำกับ เรานับหนึ่งใหม่..แล้วค่อย ๆ ก้าวไปด้วยการตั้งใจและทุ่มเทให้งานแบบเต็มร้อย เหมือนการทำงานทุกชิ้นที่ผ่านมา”

และนี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของ “โย่ง เชิญยิ้ม” ศิลปินตลกที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพแบบครบรส ในฐานะผู้กำกับหนัง “เหลือแหล่” ที่หลายคนจะได้เห็นฝีไม้ลายมือของเขาบนแผ่นฟิล์มในเร็ว ๆ นี้ เป็นตลกสุดยอดในเรื่องการสร้างสรรค์งานจริง ๆ.


'ปิ๊กมี่'
'โย่ง เชิญยิ้ม' ตลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ใช้วิกฤติเป็นโอกาส
ที่มา เดลินิวส์

ดื่มน้ำผลไม้บำรุงผิวอ่อนเยาว์

ดื่มน้ำผลไม้บำรุงผิวอ่อนเยาว์ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ มาส่งท้ายสัปดาห์ด้วยเครื่องดื่มสำหรับคนรักษ์สุขภาพ โดยเฉพาะผู้อ่านที่ทั้งห่วงและหวงผิวพรรณอันเต่งตึง น้ำผลไม้สูตรที่นำคุณค่าจาก ‘แตงโม’ และ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ ซึ่งหารับประทานได้ไม่ยาก มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวให้สดชื่นและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

โดย ‘แตงโม’ เป็นผลไม้ที่ช่วยให้ผิวสะอาดเปล่งปลั่ง เพราะมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรท เส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอะซิน และวิตามินซี ทั้งยังมีแคโรทีนอยด์ที่ช่วยบำรุงหลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือด

สำหรับ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ อุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กรดโฟลิก ไอโอติน และวิตามิน สารอาหารเหล่านี้ช่วยบำรุงผิว ทั้งยังดีต่อระบบขับถ่ายและเลือดด้วย

ส่วนผสมของเครื่องดื่มสูตรนี้ มีดังต่อไปนี้...

แตงโม 2 ถ้วย
สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

และขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการล้างทำความสะอาดสตรอว์เบอร์รี่และแตงโม จากนั้นหั่นส่วนผสมทั้งสองชนิดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอประมาณ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก แล้วนำไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น เติมน้ำแข็งป่นลงไป ปั่นต่อไปอีกจนส่วนผสมทั้งหมดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้วดื่มทันที

ทั้งนี้ ไม่ใช่แต่จะดื่มเฉพาะน้ำปั่นแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่เท่านั้น ถ้าอยากคงสภาพผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ เสื่อมโทรมช้าที่สุด ต้องดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกใช้ครีมบำรุงผิวให้เหมาะสม.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

10 วิธีเด็ด รักษาน้ำหนักให้คงที่

ดูเหมือนว่าการลดน้ำหนักและปรับนิสัยการกินซะใหม่ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาหุ่น แต่เคล็ดลับง่าย ๆ เหล่านี้ก็ช่วยคุณควบคุมน้ำหนักได้เหมือนกันนะ

1. เดินออกกำลัง
โรคอ้วนกำลังระบาดไปทั่วอเมริกา และมีแนวโน้มว่าจะระบาดหนักขึ้นอีกในทศวรรษหน้านี้ การใช้เวลาพิเศษ 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีกิจกรรมมากขึ้น หรือการเดินวันละ 2,000 ก้าว คือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม

2. กินแอปเปิ้ลแบบสโนว์ไวต์
แอปเปิ้ลมีวิตามิซี 15 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมด ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันเชียวนะ โดยทั่วถึงแอปเปิ้ลอุดมด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง ในการไดเอ็ต ลองกินแอปเปิ้ลหรือผลไม้อื่น ๆ วันละสักสองสามลูก หรือมากกว่านั้นดูสิ

3. เซย์โนไขมันแปรรูป
แย่พอๆ กับไขมันอิ่มตัวนั่นแหละ ไขมันแปรรูปทำให้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมและโปรตีนไลปิดความหนาแน่นต่ำ (LDL) ซึ่งเป็นระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีสูงขึ้น แต่กลับไปลดระดับโปรตีนไลปิดความหนาแน่นสูง (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลง การบริโภคไขมันแปรรูปอาจไปขัดขวางการดูดซึมไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่จำเป็นต่อการเติบโตและการทำงานของอวัยวะสำคัญ

4. ดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้าง
ที่อนุญาตให้ดื่มนี้หมายถึงวันละหนึ่งถึงสองแก้ว ต่อวันสำหรับผู้ชาย และหนึ่งแก้วเท่านั้นสำหรับผู้หญิง หากดื่มมากเกินปริมาณที่พอเหมาะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่คุณจะเสพติดแอลกอฮอล์ มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคอ้วน

5. กินวิตามินเสริม
การกินวิตามินรวมทุกวันช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจกำเริบครั้งแรกทั้งในเพศชายและหญิง วิตามิเสริมนี้ไม่สามารถจะแทนที่คุณค่าอาหารที่คุณได้จากอาหารปกติได้ แต่มันก็ช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย

6. เพลาๆ เกลือลงหน่อย
สำหรับคนที่ชอบเติมเกลือในอาหาร การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต และหลอดเลือดสมองตีบ แบบนี้แล้วใช้เครื่องปรุงอื่นๆ ปรุงรสอาหารดีกว่านะ

7. จำไว้ว่าสีน้ำตาลดีกว่าสีขาวนะ
แป้งโฮลวีตนั้นมีสารอาหารและเส้นใยอาหารมากกว่าแป้งขัดสี ลองเปลี่ยนมากินขนมปังโฮลวีตแทน ขนมปังขาว และกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวดีกว่านะ ซึ่งข้าวโพดคั่วและข้าวโอ๊ตบดหยาบก็ถือเป็นธัญพืชเช่นกัน

8. กินโยเกิร์ต
โยเกิร์ตบางยี่ห้อยังมี Inulin ซึ่งเป็นไฟเบอร์คล้ายๆ คาร์โบไฮเดรต ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบได้ในผักและผลไม้ ซึ่ง Inulin นี้ช่วยเพิ่มการทำงานให้เซลล์ที่มีชีวิต และป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียในระบบย่อยอาหาร ที่สำคัญคือเป็นผู้ช่วยดูดซึมแคลเซียมด้วยอีกด้วย

9. ห่ออาหารกลับบ้าน
เดี๋ยวนี้อาหารตามร้านอาหารหรือฟาสต์ฟู้ด มีจานใหญ่ขึ้นมากจริง ๆ และบางคน ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกินให้หมดจาน ดังนั้น เมื่อสั่งอาหารให้คุณขอแบ่งอาหารครึ่งหนึ่งใส่กล่องกลับบ้าน แทนสิ เพื่อที่คุณจะสามารถเก็บไว้กินในวันต่อไปได้ด้วย จะได้ทั้งประหยัดค่าอาหารและมีรูปร่างสมส่วนไงล่ะ

10. ดื่มน้ำมากๆ
น้ำนั้นสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญทั้งหมดในร่างกายเรา น้ำช่วยในย่อยที่ทำให้น้ำหนักลดลง และยังช่วยให้ผิวพรรณแลดูผ่องใสอีกด้วย เคล็ดลับสำคัญคือ ดื่มน้ำปริมาณ 8 ออนซ์ ต่อแก้ว วันละ 8-10 แก้ว หรือถ้าคุณกินผักและผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำ ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกายได้เหมือนกัน

ที่มาจาก นิตยสาร Lisa

ความจริงในการ“โกหก”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมที่ป่าวประกาศว่าต้องการ “ความจริง” มีส่วนสนับสนุนให้คนพูดโกหก เพราะบางกรณีหากพูดความจริงจะไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกทำโทษ ขณะที่ถ้าโกหกแล้วจะได้รับผลเชิงบวก เช่น ถ้าไม่มาทำงานโดยบอกความจริงว่าไปเที่ยวต่างจังหวัด เจ้านายจะไม่พอใจ แต่หากโกหกว่าญาติเสีย จะไม่โดนว่าอะไรกลับได้รับความเห็นใจด้วยซ้ำ

จากการศึกษาโดยนักจิตวิทยาพบว่า คนเราจะโกหกเมื่อโดนกดดัน โดยเฉพาะเมื่ออยากให้ผู้อื่นมองเราในแง่ดี คนที่มีความรับผิดชอบสูงจะโกหกน้อยที่สุด ขณะที่คู่ซี้ที่เป็นเพศเดียวกันจะไม่โกหกกัน

ผู้ชายจะโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ผู้หญิงโกหกเพื่อรักษาความรู้สึกคนอื่น และจับโกหกได้ดีกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะกับคนสนิท

ฟันธงลงไปไม่ได้ว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี เพราะบางครั้งก็ช่วยถนอมน้ำใจ ทำให้ผู้ฟังสบายใจและรู้สึกดี แต่อย่าให้ถึงขั้นโกหกจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จแล้วกัน.
ที่มา เดลินิวส์

โลชั่นธรรมชาติลดเลือนริ้วรอย

ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อริ้วรอยย่างกรายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเป็นต้องกังวลด้วยกันทั้งนั้น บางคนคิดไม่ตกถึงขั้นพึ่งมีดหมอศัลยกรรมยกหน้า บ้างก็ขอสวย-หล่อแบบเจ็บจี๊ดๆ ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ช่วยคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้า ถือเป็นการลดเลือนริ้วรอยชั่วคราว แต่ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเป็นอัมพาต แม้ตึงสวยแต่ขาดชีวิตชีวา ไม่เป็นธรรมชาติ

ทว่า อยากชะลอริ้วรอย โดยไม่พึ่งมีดหมอหรือสารเคมี เอาใบหน้างาม ๆ ไปเสี่ยงอันตราย ‘มุมสุขภาพ-สามัญประจำบ้าน’ เตรียมสูตรโลชั่นจากธรรมชาติ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะส่วนผสมนั้นสามารถหาได้ง่าย ๆ จากในบ้าน ในครัว

แค่เตรียมแตงกวาบด 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดผสมรวมกัน ใช้สำลีชุบเนื้อครีมแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรทำเป็นประจำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มสดใส ริ้วรอยมาช้าแน่นอน.
ที่มา เดลินิวส์

เลือกเครื่องดื่มแก้ปัญหาใบหน้า

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพที่บ่งบอกออกมาทางผิวหน้า แถมยังเชื่อมโยงกับดวงชะตา เพราะฉะนั้น อ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคล

ปัญหาผิวหน้าที่จะพูดถึงนี้ หลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่า เกิดขึ้นตามสภาพผิว ใครดูแลผิวหน้าดีก็จะได้ผิวหน้าที่กระจ่างใส เรียบเนียน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ผิวหน้าที่มีปัญหายังมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ อย่างดวงชะตาที่กำลังเผชิญอยู่ในระยะนั้น ซึ่งเรื่องนี้ ‘คุณนันทวัฒน์ มั่นคง’ ผู้เชี่ยวชาญด้านโหวงเฮ้ง ได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ กินน้ำแล้วดวงดี

อย่างผู้ที่ใบหน้าดำหมอง แสดงว่า ดวงกำลังตก มีเคราะห์ร้าย ควรแก้ไขด้วยการดื่มน้ำเสาวรส หรือน้ำสับปะรด ขณะที่เจ้าของใบหน้าซีดเขียวนั้น กำลังไร้ซึ่งอำนาจ ถูกมองข้ามความสำคัญ ให้บรรเทาด้วยน้ำขิงต้ม น้ำโสม หรือน้ำซุปไก่

ส่วนผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง เขาว่าการเงินติดขัด หมดที่พึ่งพา ลดปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยการซดน้ำซุปข้าวมันไก่ ในทางตรงกันข้าม หากมีใบหน้ามัน เป็นลักษณะหายนะ มุทะลุ จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ ให้ดื่มน้ำสำรองช่วยแก้ไขปัญหา

ใครที่มีหน้าแดงขึ้นผื่น บ่งบอกว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับคดีความ ถูกจับผิดคาดโทษ ให้เลือกกินน้ำต้มมะระกระดูกหมู แล้วถ้าหน้าขาวเหมือนแป้งสีเทา กำลังมีเรื่องเศร้า ผิดหวัง ควรกินน้ำต้มยำ น้ำต้มข่า หรือน้ำแกงส้มใต้ใส่ขมิ้น และคนที่มีใบหน้าเขียวคล้ำ หมายถึงผู้ที่มีความทุกข์มายาวนาน ให้เน้นดื่มน้ำสำรอง น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งจึงจะดี

สุดท้าย คือ ผู้ที่มีผิวหน้าแห้งกร้านและมีริ้วรอยเหี่ยวย่น บ่งบอกว่าทำงานหนัก ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้มเหนื่อย สามารถบรรเทาได้ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวน้ำหอม โดยต้องเป็นแบบที่เนื้อมะพร้าวยังไม่แข็ง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาผิวหน้าที่เกิดขึ้นตามลักษณะข้างต้น ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทำความสะอาดผิวและใช้ครีมบำรุงผิวด้วย.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

กินช็อกโกแลตดำระบายระดับฮอร์โมนความเครียดลดลง

นักวิจัยเชื้อชาติอินเดีย ได้อ้างว่าศึกษาพบว่าหากกินช็อกโกแลตดำวันละหนึ่งแท่ง จะช่วยลดระดับความเครียดลงได้

วารสารทางออนไลน์ส "งานวิจัยโครงสร้างโปรตีน" ได้รายงานผลการศึกษาเรื่องนี้ว่า ในการทดลองให้อาสาสมัครลองกินช็อกโกแลตดำวันละประมาณ 40 กรัม นาน 2 อาทิตย์ ทำให้ปริมาณของฮอร์โมนความเครียดในตัวลดลง นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่าช็อกโกแลตยังอาจช่วยแก้การขาดดุลทางชีวเคมีที่ เกี่ยวกับความเครียดได้ด้วย

นักวิจัยสุนิล กอชฮาร์ กับคณะได้ศึกษาเพื่อหาประโยชน์ของการบริโภคช็อกโกแลตทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะมุ่งศึกษาสารต่อต้านอนุมูลอิสระและอื่นๆในช็อกโกแลตดำ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคทางกายอย่างอื่น ได้พบว่า เหล่าอาสาสมัครซึ่งยอมรับว่ามีความเครียดหนัก ปรากฏว่าระดับฮอร์โมนความเครียดได้ลดต่ำลง หลังจากกินช็อกโกแลตดำทุกวันมานานสองอาทิตย์.

วิธีการล้างผักผลไม้สะอาดปลอดโรค

ผักผลไม้สดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากล้างไม่สะอาดก็อาจได้พยาธิ เชื้อโรค และสารพิษตกค้างซึ่งทำให้เกิดโรคพยาธิต่างๆ โรคบิด โรคอหิวาห์หรือโรคมะเร็งเป็นของแถม

ผักใบไม่เรียบหรือใบซ้อนกันเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำ สะระแหน่ ผักกาดขาว ต้นหอม ล้างด้วยน้ำเปล่าหนึ่งรอบ จากนั้นเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำจากก๊อกไหลผ่านและใช้มือถูตามใบผัก ประมาณ 2 นาที

ส่วนผักที่มีเปลือก ต้องปอกเปลือกออกก่อนแล้วนำไปล้างด้วยวิธีเดียวกัน ผลไม้ที่ทานทั้งเปลือก เช่น องุ่น ฝรั่ง ควรล้างน้ำเปล่าและแช่น้ำปูนใสประมาณ 5-10 นาที ทางที่ดีควรปอกเปลือกทิ้งหากไม่มั่นใจในความสะอาด

ที่สำคัญต้องล้างผักก่อนหั่นทุกครั้งเพื่อป้องกันสารอาหารจากผักเจือจางไปกับน้ำ.
ที่มา เดลินิวส์

10 ขั้นตอนบริหารใบหน้าชะลอแก่

‘มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย’ วันนี้เตรียมเคล็ดลับการบริหารใบหน้าด้วยท่วงท่าที่ใคร ๆ ต่างก็คุ้นเคย แต่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนว่า ท่าทางการขยับส่วนต่าง ๆ บนใบหน้านั้น สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้ หากนำมาปฏิบัติอย่างเหมาะสม

เริ่มจากการ ‘เลิกหรือยกหน้าผากขึ้น’ ค้างไว้สักครู่แล้วแล้วลดหน้าผากลงในระดับปกติ จากนั้นจึง ‘ขมวดคิ้ว’ แน่นพอประมาณ ตามด้วย ‘การหลับตาให้แน่น’ หรือที่เรียกว่า หลับตาปี๋ นั่นเอง โดยให้หลับตาพร้อมกันทั้งสองข้าง

ต่อด้วย ‘การลืมตาเบิกกว้าง’ ทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน อย่ารอช้าเมื่อปรับดวงตาให้เป็นปกติแล้ว ให้ ‘ย่นจมูกขึ้น’ ค้างไว้ชั่วครู่ แล้ว ‘ฉีกยิ้ม’ ปานกับมีความสุขแบบสุด ๆ แล้วค่อย ‘ยิงฟัน หรือแยกเคี้ยว’ ให้เห็นฟันหน้าทุกซีกอย่างชัดเจน

ขั้นตอนต่อมา คือ ‘อ้าปากให้กว้าง’ แต่อย่าฝืนอ้าให้กว้างเกินความสามารถ เพราะอาจทำให้รู้สึกเจ็บที่มุมปากและริมฝีปาก แล้วเปลี่ยนมาทำ ‘ปากจู่’ ห่อปากให้เล็กแคบมากที่สุดสักครู่แล้วผ่อนคลายให้เป็นปกติ สุดท้ายเป็น ‘การบิดปากพร้อมกับจมูก’ โดยไปทั้งด้านซ้ายสลับด้านขวา

อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนข้างต้น ไม่ต้องใช้มือช่วยประคองเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่ขยับใบหน้าตามคำแนะนำ อย่างน้อยสักวันละ 1 เซ็ต ถือเป็นการบริหารใบหน้า ยืดหยุ่นผิวได้ดี ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเอามือเท้าคางจนทำให้ผิวหน้าย่นเป็นเวลานาน รวมทั้งการขยี้ตา เนื่องจากทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

คุณแม่บ้านไหนไม่อยาก "แก่ก่อนวัย" อ่านทางนี้


จะว่าไปแล้ว สมัยนี้ใครๆ ก็อยากสวย ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือคุณแม่บ้านก็ตาม จึงไม่แปลกนักที่เห็นคุณแม่หลายบ้านยังสวยสาวเปร่งประกาย เชื่อได้เลยว่าแต่ละคนคงจะมีเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพให้ดูอ่อนกว่าวัยที่แตกต่างกันออกไป แต่วันนี้ทีมงาน Life & Family มีอีกเคล็ดลับที่จะทำให้คุณแม่บ้านทั้งหลายสวยใสได้ไม่แพ้กับคุณลูกกันเลยค่ะ

กับเคล็บลับการกดจุดบนใบหน้า "พนิดา แซ่ตั้ง" ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การกดจุดและผู้ฝึกอบรมของ The Skin Doctors กล่าวว่า ศาสตร์การกดจุด มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนและอินเดีย โดยเป็นศาสตร์ที่ใช้บำบัดโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการกดจุดเพื่อดูแลเรื่องผิวพรรณ เพราะการกดจุดบนใบหน้าเป็นการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานดีขึ้น เพราะบนใบหน้าของคนเรามีเส้นฝอยอยู่จำนวนมาก และเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่แพ้ง่าย ที่สำคัญยังสามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสอีกด้วย

สำหรับคุณแม่บ้านที่มีปัญหาเรื่องของการแต่งหน้าแล้วไม่ติดทนนาน การกดจุดบนในหน้าก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะจะช่วยกระตุ้นให้ผิวผลัดเซลล์ที่ตายได้เร็วขึ้น จึงปราศจากเรื่องฝ้าและสิวเรื้อรัง ทำให้หนเาเนียนเรียบจะแต่งหน้าโทนไหนๆ ก็ดูดี ส่วนวิธีในการกดจุด จะเน้นการกดจุดเพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้า เพราะการใช้นิ้วนางจะเป็นนิ้วที่มีแรงกดเบาที่สุด จึงไม่เกิดริ้วรอยในขณะที่กดอีก ตรงข้ามทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งแรง ริ้วรอยตื้นขึ้นและดูจางลง ผิวตึงกระชับไม่หย่อนคล้อย ผิวหน้าสดใส ไม่หมองคล้ำ

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การกดจุด ได้แนะนำวิธีการกดจุดบนใบหน้าที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านดังนี้

STEP ที่ 1
เริ่มกดจุด โดยเริ่มจากวางนิ้วชี้และนิ้วนางขวาและซ้ายที่ปลายจมูก จากนั้นวนออกด้านข้าง โดยทิ้งน้ำหนักมืออย่างพอดีตามจุดต่างๆ ดังภาพ
STEP ที่ 2
เริ่มกดจุดโดยวางนิ้วชี้และนิ้วนางขวาและซ้ายที่ปีกจมูก แล้ววนออกใต้โหนกแก้ม วนขึ้นสู่ปลายคิ้ว อย่างช้าๆ ดังภาพ
STEP ที่ 3
เริ่มกดจุดโดยวางนิ้วชี้และนิ้วนางขวาและซ้ายที่ปลายคาง วนขึ้นไปตามกรอบใบหน้า ไล่ไปจนถึงปลายคิ้วทั้ง 2 ข้าง ดังภาพ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การกดจุดท่านนี้ยังบอกอีกว่า ถ้าอยากให้การกดจุดบนใบหน้าเกิดประสิทธิผลที่ดี ควรทำควบคู่กับการทาครีมบำรุงผิวทุกเช้าและก่อนนอน หรืออย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ระหว่างการกดจุดให้นับ1-3 ด้วยโดยใช้เวลาในการกดประมาณ 10 นาที หรือใครทำเป็นประจำก็จะดีไม่น้อย เพราะการกดจุดสามารถล้างพิษที่สะสมในร่างกายได้โดยไม่ต้องซื้อครีมบำรุงผิวที่มีราคาแพง หรือการพึ่งการศัลยกรรมเท่านี้คุณแม่ก็สวยได้ด้วยวิธีธรรมชาติ
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์