'โย่ง เชิญยิ้ม' ตลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ใช้วิกฤติเป็นโอกาส

เริ่มจากเพลงฉ่อยมาเป็นลิเก จากลิเกมาเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 นั่นคือการเข้าวงการตลกครั้งแรกของเขา “โย่ง เชิญยิ้ม” หรือชื่อจริง “พิเชษฐ์ เอี่ยมชาวนา” จากรายการ ก่อนบ่ายคลายเครียด ทางช่อง 3 ที่ทำให้หลายคนรู้จักเขา จากนั้นก็มีละครเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ทำให้คนรู้จักเพิ่มขึ้น และวันนี้เราได้เจอ “โย่ง เชิญยิ้ม” ในงานบวงสรวงหนัง “เหลือแหล่” ที่บริษัทพระนครฟิลม์ แถวประชาชื่น สำคัญตรงที่เขามาเปิดตัวต่อหน้าสื่อมวลชนในฐานะผู้กำกับหนังครั้งแรกในชีวิต ก็เลยอดไม่ได้..ขอคุยหน่อย ทักทายประสาคนกันเองเรียบร้อย

เริ่มคำถามแรก ..ตลกคนอื่นในรุ่นเดียวกัน บางคนก็หายไปเพราะไม่มีงาน แต่ โย่ง เชิญยิ้ม ยังมีงานเข้ามาตึม มีอะไรดีอ๊ะป่าว? “มีอะไรดีหรือเปล่า (หัวเราะร่วนเชียว) ผมไม่รู้ แต่พยายามค้นคว้าหาของที่คิดว่าน่าจะดีเข้ามา แล้วนำเสนอออกไปอะไรอย่างเนี้ย มีคิดอยู่เรื่อยมีการบ้านอยู่เรื่อย เห็นนั่นเห็นนี่ก็คิดเป็นมุกเป็นสนุกไปว่าพรุ่งนี้ เราจะเล่นอะไร ตอนที่ถ่ายก่อนบ่ายฯ อยู่เราก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่ง ณ ทุกวันนี้ก็คิดตลอดเพราะมันเป็นอาชีพเรา เหมือนเราเป็นร้านขายของหนึ่งร้าน เราก็หาสินค้าที่เขาจะซื้ออะไรน้อ เขานิยมซื้ออะไรกันอย่างเนี้ย”

จุดขายของตลก โย่ง เชิญยิ้ม ที่หลายคนจำได้คืออะไร “คำพูดต่าง ๆ เล่าเรื่องราวอะไรต่าง ๆ เล่นหักแง่หักมุมในเรื่องของคำพูด หลายคนพูดว่า เป็นตลกเล่นคำ เวลาแสดงก็ไม่หยาบคาย ซึ่งเป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้วว่า อยากให้เด็กดูได้”

เคยคิดมั้ยว่า จะได้มาเป็นตลกชื่อดัง..ระดับแถวหน้าของเมืองไทย อย่างทุกวันนี้ พูดตรง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ตลกทุกคนจะทำได้ “ไม่เคยคิดเลยครับ ด้วยความตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ใช้ความพยายามให้เปลือง ใช้พรแสวงให้เยอะ เราทำงานอยู่ในวงการฯ ที่มีทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง งานทุกอย่างจะสำเร็จได้อยู่ที่ทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน เราไม่เคยคิดว่าเราเก่ง แต่อาจจะมีโอกาสมากกว่าบางคน เราแคร์ความรู้สึกและให้เกียรติผู้ร่วมอาชีพทุกคน และผู้มีพระคุณที่เราไม่เคยลืม”

เท่าที่คุยมา..ดูชีวิตราบรื่นตลอด ถ้าจะบอกว่าไม่มีอุปสรรคเลย คงจะไม่มีใครเชื่อ “ก็มีบ้าง แต่ถ้าพูดถึงอุปสรรคในชีวิต มันจะไม่ร้ายแรง มันจะไม่เด่นชัด แต่ว่ามันจะไปช้าด้วยการก้าวของผมเนี่ย ก้าวมาปุ๊บยืนคิดว่าตรงนี้มั่นใจแล้ว แล้วก็ก้าวต่อคิดต่อไปเรื่อย อย่างเล่นเพลงฉ่อยแล้ว อยากเป็นลิเกก็มาเป็นลิเก พอเล่นลิเกได้พอจะมีชื่อเสียง ก็อยากเล่นตลกก็ไป พอมีคนรู้จักก็อยากทอล์กโชว์อีกก็ไป..แต่ทุกอย่างที่ทำผ่านมา ก็ยังอยู่ในตัวเรา แม้แต่ทุกวันนี้นึกสนุกขึ้นมา ผมก็รับเล่นลิเก”

เขาพูดกันว่า ตลกเวลาอยู่หน้าเวทีสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ชม แต่ตัวตนจริง ๆ เป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นตลกบางคนก็เป็นโรคซึมเศร้า จริง ๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า “ก็มีบ้างเป็นบางคน เพราะการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับตัวผมก็มีครับ เป็นห่วงเรื่องครอบครัวอะไรต่าง ๆ ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเรา คือครอบครัว ลูก ภรรยา อยาก ให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ เราหามาเราอยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขาลำบาก ส่วนตัวผมเป็นคนจริงจังกับชีวิต วัน ๆ ตื่นขึ้นมาคิดอยากแต่จะทำนู่นทำนี่ เวลามีปัญหาผมจะไม่แสดงออก กลัวคนที่เห็นจะไม่สบายใจ ยังไงก็ยิ้มไว้ดีกว่า เราเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก มันต้องแก้ไขได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

เท่าที่อยู่ในวงการตลกมา เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่หนักที่สุดในชีวิต “มีอยู่ครั้งหนึ่งซื้อรถกระบะป้ายแดงมาใหม่ ๆ เลย แล้วเราไปดัดแปลงคือไปโหลดเตี้ยผิดรูปร่างของเดิม ขับรถจะไปเล่นตลกแถวอยุธยา พอเวลาเบรกรถมันหมุน รถคว่ำพังยับต่อหน้าต่อตาเลย มันเหมือนหมดเลย เพราะเป็นรถป้ายแดงคันแรกในชีวิต ขนาดถนนเปียกต้องค่อย ๆ วิ่ง ถนอมมาก เสียใจมาก ร้องไห้อยู่ในอก มันพลาดทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ๆ”

“จังหวะที่เพื่อนในคณะตอนนั้นชื่อคณะเด่น รวมดาว ก็โทรฯ มาว่า จะไปเล่นมั้ย ผมเป็นเด็กกว่าเค้าในคณะ รถพังยับอยู่ในนาทั้งที่ไม่มีกะจิตกะใจอะไรแล้ว มันหมดแล้ว แต่เราก็ต้องทำต้องเล่นให้ดี ให้คนดูมีความสุขให้คนดูหัวเราะ ให้ได้ ถึงทุกวันนี้ยังนึกอยู่เลย ไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นมันบีบหัวใจมาก”

ต้องยอมรับว่า ตลกยุคนี้มีการพัฒนาฝีมือและศิลปะด้านการแสดงต่างๆมากมาย จนชนะใจและเข้าถึงผู้ชมในทุก ๆ สังคมอย่างแท้จริง ด้านตัวนักแสดงตลกเอง ก็พยายามศึกษาหาความรู้ จนจบระดับปริญญาตรี อาทิ เป็ด เชิญยิ้ม, โย่ง เชิญยิ้ม ฯลฯ

และนี่เองจึงเป็นจุดหนึ่งในช่วงที่งานแสดงซาลง ตลกจึงไม่หยุดอยู่กับที่ “พอรู้สึกว่าว่าง เราจะตื่นตัวเฮ้ย..เราจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทำเพลงบ้างอะไรบ้าง คือมันอาจจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ถ้าไม่ทำแล้วมันหาย เหมือนมันจม ปลาอยู่ในน้ำถ้ามันอยู่นิ่ง ๆ คนไม่เห็นตัว ต้องว่ายให้กระเพื่อมอยู่เรื่อยอะไรอย่างเนี้ย ผมจะเป็นอย่างเนี้ย มันเป็นวิกฤติที่ทำให้เราฮึดสู้ และผมก็จะใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส”

รู้ ๆ กันดีว่าคนที่มีอาชีพตลก เวลาทำงานไม่ค่อยแน่นอน สำหรับ “โย่ง เชิญยิ้ม” มีผลกระทบกับครอบครัวบ้างมั้ย “ก็มีบ้าง บางทีเขาไม่เข้าใจ เราเหนื่อยมา เขาพูดไม่ถูกหู บางทีเค้า (ภรรยาชื่อ สม) พูดเสียงแข็งมา ผมก็ท้อแท้ แต่ก็ไม่ถึงกับทะเลาะอะไรกัน มันก็ต้องมีบ้างลิ้นกับฟันเราเข้าใจ แต่เราเหนื่อย เข้ามาในบ้าน แค่เมียหน้าบึ้งเนี่ย แต่ไม่รู้เขาเครียดเรื่องอะไร เราจะรู้สึกว่าเราเหนื่อยแทบตาย ทำไมเราเข้าบ้านไม่มีความสุข แต่เราก็พูดคุยกันตลอด เพื่อปรับตัวเข้าหากัน ทุกวันนี้ก็มีความสุขดีครับ โชคดีที่เขาเป็นคนไม่ขี้หึง เข้าใจงานของเรา แล้วเราก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้ ผมเป็นคนทำงาน จะคิดเรื่องอนาคตมากกว่าว่าจะทำอะไรต่อไป”

ด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการเลื่อนขั้นไปเป็นผู้กำกับหนัง “เหลือแหล่” โดยจับมือกับ “โน้ต เชิญยิ้ม” ผู้กำกับร้อยล้าน ศิลปินตลกรุ่นพี่ชื่อดังของวงการฯ “พูดถึงงานกำกับหนัง ไม่กล้าใช้คำว่าใฝ่ฝัน ไม่กล้าใช้คำว่าเราจะต้องเดินไปหามันให้ได้ เมื่อได้คุยกับพี่โน้ต สิ่งที่เขารู้สิ่งที่เรารู้มันไปในทิศทางเดียวกัน แล้วเราก็คิดว่าน่าจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน” มีการเตรียมตัวยังไงบ้าง “ก็ศึกษาจากพี่โน้ต เพราะพี่เค้าลงสนามมาก่อนเรา และตลอดเวลาที่เล่นตลกมา เราก็แอบเรียนรู้งานหลาย ๆ อย่างมาบ้าง แต่ตอนนี้งานกำกับ เรานับหนึ่งใหม่..แล้วค่อย ๆ ก้าวไปด้วยการตั้งใจและทุ่มเทให้งานแบบเต็มร้อย เหมือนการทำงานทุกชิ้นที่ผ่านมา”

และนี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของ “โย่ง เชิญยิ้ม” ศิลปินตลกที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพแบบครบรส ในฐานะผู้กำกับหนัง “เหลือแหล่” ที่หลายคนจะได้เห็นฝีไม้ลายมือของเขาบนแผ่นฟิล์มในเร็ว ๆ นี้ เป็นตลกสุดยอดในเรื่องการสร้างสรรค์งานจริง ๆ.


'ปิ๊กมี่'
'โย่ง เชิญยิ้ม' ตลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ใช้วิกฤติเป็นโอกาส
ที่มา เดลินิวส์