ตรวจร่างกาย(ด้วยตนเอง)ค้นความเสี่ยง

หลีกเลี่ยง 6 มะเร็งร้ายยอดฮิต..!!

ปัจจุบัน “โรคมะเร็ง” เป็นอีกโรคที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยสาเหตุมาจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม มลพิษ ที่เปลี่ยนไปและการใช้ชีวิตที่หนักหน่วงทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะทะนุถนอมสุขภาพกันเท่าที่ควร เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ ฯลฯ จึงก่อให้เกิดมะเร็งร้ายต่าง ๆ ตามมา ดังนั้นถ้าเรารู้จักสำรวจและตรวจหาความเสี่ยงด้วยตัวเองก่อนก็จะช่วยป้องกันมะเร็ง 6 ชนิดยอดฮิตได้

นายแพทย์ศักดิ์พิศิษฏ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้ว่า โรคมะเร็งในปัจจุบันนี้เราให้ความสนใจมากขึ้นและถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรทำความรู้จัก โดยเฉพาะมะเร็ง 6 ชนิดที่พบกันบ่อยได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยเราจะเริ่มสกรีน มะเร็งในผู้หญิงกันก่อนอันดับหนึ่งคือ “มะเร็งเต้านม” พบในกลุ่มเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ได้แก่ คนไข้ที่มีประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัว, มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมข้างใดข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมากขึ้น ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่มีพฤติกรรมบริโภคอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ กลุ่มที่มีประจำเดือนมาเร็วก่อนอายุ 12 ปี หรือประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปีขึ้นไป, คนที่มีลูกช้าตั้งแต่อายุ 30 ปี ขึ้นไปหรือไม่มีลูก

ในเมื่อเรามีความเสี่ยงทั้งในกลุ่มพันธุกรรมและปัจจัยอื่น ๆ จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ลองสำรวจความเสี่ยงด้วยตัวเองได้โดยการตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุก ๆ 1 เดือนหรือสังเกตอาการผิดปกติดังนี้ คลำพบก้อนเนื้อที่เป็นไตแข็งผิดปกติที่เต้านม มีน้ำเหลืองและเลือดไหลจากเต้านม ผิวหนังบริเวณเต้านมมีรอยบุ๋ม หัวนมถูกดึงรั้งผิดปกติ เต้านมทั้ง 2 ข้างไม่อยู่ในระดับเดียวกัน ขนาดและรูปร่างผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ นอกจากนี้เราควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจโดยใช้เครื่องแมมโมแกรมทุกปี เพราะหากตรวจเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถรักษาหายได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์

“มะเร็งปากมดลูก” กลุ่มที่มีความเสี่ยง ได้แก่ สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยและจะเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์กับชายมากกว่า 1 คน โดยสาเหตุหลักเกิดจากเชื้อไวรัส เอชพีวี มีการศึกษาวิจัยพบว่าไวรัสตัวนี้เป็นตัวที่กระตุ้นให้เซลล์เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งและสามารถถ่ายทอดติดต่อได้เหมือนกับเชื้อกามโรค คือสามารถถ่ายทอดจากผู้ชายไปสู่ผู้หญิงและจากผู้หญิงไปสู่ผู้ชาย อาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกผิดปกติไม่ตรงกับรอบเดือนหรือในสตรีที่หมดประจำเดือนแล้ว ตกขาวเรื้อรัง ทางที่ดีใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส เอชพีวี และทำ แพ็พสเมียร์ ปีละครั้ง โดยมะเร็งปากมดลูกในระยะแรกจะรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ถ้าพบในระยะแรกการรักษาจะมีประสิทธิภาพมาก อัตราการหายสูงกว่า 90-95%

ส่วนมะเร็งในผู้ชายอันดับหนึ่งคือ “มะเร็งปอด” สาเหตุหลักใหญ่ที่เราทราบกันดีคือ ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการสูบบุหรี่และบวกกับการใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น คนสัมผัสกับมลพิษทางอากาศเป็นประจำ โดยมะเร็งปอดค่อนข้างเป็นกันเยอะ เพราะการดำเนินโรคเร็ว ส่วนใหญ่จะตรวจเจอก็อยู่ในระยะที่ 3-4 แล้ว ดังนั้นคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ มีการสูบบุหรี่เยอะ ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเราต้องตรวจคัดกรองตัวเอง เช่น ถ้ามีอาการไอเรื้อรัง ไอแห้ง ๆ มีเสมหะ ไอเป็นเลือด เสียงแหบ หอบเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เจ็บบริเวณทรวงอก น้ำหนักลดมากกว่าปกติ มีไข้เรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นมะเร็งปอดได้

ต่อมา “มะเร็งตับ” เป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้ชายเป็นอันดับ 2 มี 2 ชนิด ได้แก่ มะเร็งในท่อน้ำดี ซึ่งเกี่ยวกับโรคพยาธิใบไม้ตับ มีรายงานว่าจังหวัดขอนแก่นมีสถิติผู้ป่วยสูงที่สุดในโลก เกิดจากพฤติกรรมการกินที่เราชอบกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ กัน ได้รับพยาธิดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย จึงต้องแก้ไขที่พฤติกรรมการกิน หากเรากินครั้งเดียวและโดนไข่พยาธิก็เป็นได้ทันที ส่วนอีกชนิดหนึ่ง คือมะเร็งของเซลล์ตับ สาเหตุขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ชนิดซี และมีรายงานว่ามีอีกหลายชนิดตามมา แต่เราสามารถป้องกันในระดับหนึ่ง นอกจากไวรัสแล้วยังมีสารอะฟลาทอกซินที่เกิดจากเชื้อราบางชนิดอยู่ในอาหารจำพวกพวกกระเทียมแห้ง ถั่วลิสงแห้ง ข้าวโพดแห้ง ถ้าเรากินเข้าไปก็จะเกิดโรคได้ ดังนั้นต้องรู้จักสังเกตว่าถ้าถั่วไม่สดใหม่ก็อย่ารับประทาน หรือในกลุ่มคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ

มะเร็งตับส่วนใหญ่ตรวจเจอเมื่อเป็นมากแล้วและรักษาไม่ค่อยทัน เนื่องจากธรรมชาติของโรคจะดำเนินเร็ว เพราะหากเป็นแล้วมักเสียชีวิตได้ภายใน 3-6 เดือน ฉะนั้นคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจร่างกายทุก 3 เดือนหรือสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายคือ ปวดในท้องบริเวณชายโครงด้านขวา ท้องอืด โตขึ้น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผอมลงหรือน้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเป็น สีเข้มควรรีบพบแพทย์

ส่วน “มะเร็งลำไส้ใหญ่” เกิดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยจะมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากลำไส้ต้องรับสารพัดสิ่งของที่เรารับประทานเข้าไปและมีของเสียที่ต้องขับถ่ายออก เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เกิดภาวะเสื่อมหรืออาจเกิดโดยกรรมพันธุ์บางชนิด และกลุ่มที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมันสัตว์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้สูงมากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงจึงต้องรู้จักสังเกตตัวเองว่ามีระบบขับถ่ายที่เปลี่ยนไปหรือไม่ เช่น ท้องผูกท้องเสียสลับกัน ปวดท้องบ่อย ๆ ไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายเป็นเลือด อ่อนเพลีย น้ำหนักลด

สุดท้าย “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” เป็นมะเร็งที่พูดถึงบ่อยเช่นกัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮ็อดกิน (Hodgkin ’s Lymphoma) มักพบในเด็กและวัยหนุ่มสาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนันฮ็อดกิน (Non- Hodgkin ’s Lymphoma) มักพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุหรือผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงสังเกตอาการง่าย ๆ คือ ถ้ารู้สึกมีไข้ต่ำ ๆ ไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด เหงื่อออกในเวลากลางคืน คลำได้เป็นก้อนแต่ไม่เจ็บที่บริเวณคอ ขาหนีบ รักแร้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษา

ทั้งหมดเป็นมะเร็งที่เราเจอบ่อยในปัจจุบัน ซึ่งวิธีการรักษาก็ไม่ยากแล้ว ผลการรักษาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เช่น การรักษาด้วยการผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัดหรือคีโม การฉายรังสีหรือฉายแสง แต่จะยากในคนไข้บางคน เช่น เป็นมะเร็งในบางตำแหน่งที่ต้องการรักษาให้หายและรักษารูปลักษณ์ไว้เพื่อไม่เป็นปมด้อยในการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งการรักษาให้ดีทุกอย่างค่อนข้างยาก ทำให้หลายฝ่ายต้องร่วมมือกันที่เราเรียกว่า “ทีมแพทย์สหสาขา” คือทางด้านมะเร็ง เช่น หมอผ่าตัด หมอให้ยาเคมีบำบัด หมอฉายรังสี หมอตรวจชิ้นเนื้อ หมอเอกซเรย์ หมอที่ดูแลเรื่องความเจ็บปวด และหมอที่ดูแลเฉพาะด้าน เช่น ถ้าเป็นมะเร็งปอด หมอที่เชี่ยวชาญด้านปอดจะมาช่วยดูแลและวางแผนการรักษาร่วมกันคนไข้จะได้รับประโยชน์สูงสุดและมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดที่เราได้เริ่มทำกันแล้ว

ดังนั้นเมื่อมีทีมแพทย์สหสาขาที่ครบถ้วนพร้อมที่จะช่วยให้เราฝ่าโรคร้ายอย่างมะเร็งไปได้แล้วแบบนี้ ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองแล้วว่าจะสามารถตรวจวัดความเสี่ยงด้วยตัวเองได้มากน้อยเพียงใดเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ทัน ถ่วงทีและมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีก่อนโรคร้ายจะถามหา.

@@@

เคล็ดลับสุขภาพ : 'งาขาว-งาดำ' อุดมด้วยวิตามิน...ดีต่อสุขภาพ

งา เป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมายที่ใครหลาย ๆ คนอาจคาดไม่ถึง เพราะเห็นเป็นพืชเมล็ด เล็ก ๆ เท่านั้น แต่คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า เจ้าพืชเมล็ดจิ๋วนี้ที่ สามารถช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมาย แถมยังสามารถนำมาบำรุงผมให้ดกดำและบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม ได้อีกด้วย

ปัจจุบันมีการวิจัยค้นคว้าถึง คุณประโยชน์ของ “งา” กันมากขึ้น ซึ่งงาที่เรารู้จักกันมี 2 สี ได้แก่ งาขาวและงาดำ จากการศึกษาพบว่าในงามีสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายหลายด้าน ได้แก่ สรรพคุณทางยา คือ แก้ปัสสาวะ อุจจาระขัด โดยใช้เมล็ดงา 20-25 กรัม แช่ในน้ำเดือดหรือต้มรับประทานขณะท้องว่าง ถ้าความดันโลหิตสูงให้ใช้เมล็ดงา น้ำส้ม ซีอิ๊ว และน้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากันแล้วต้มด้วยไฟอ่อน ๆ จนสุก รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ ถ้าไอแห้ง ไม่มีเสมหะให้นำเมล็ดงา 250 กรัม น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม บดรวมกันรับประทานครั้งละ 15-20 กรัม จากนั้นนำผงที่ได้เติมน้ำเดือดไว้สัก 2-3 นาที ดื่มขณะยังอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น สำหรับน้ำมันงาช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม โดยไปเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตรอบ ๆ รูขุมขนบนหนังศีรษะ เพิ่มความชุ่มชื้นบำรุงเส้นผม

นอกจากนี้สารอาหารในงายังอุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 และวิตามิน ไบโอติน โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ ส่วนกรดไขมันไลโนลีอิกที่มีอยู่มากในงานั้นก็เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี ที่สำคัญงายังเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในงามีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักชนิดอื่นถึง 20 เท่า ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมาก ในการเสริมสร้างกระดูก

อย่างไรก็ตามหากใครที่มักมีอาการ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย งายังเป็นอาหารที่สามารถช่วยบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิดได้อีกด้วย

เห็นสรรพคุณที่มากมายของงากันแบบนี้แล้ว อย่าลืมหามารับประทานกันบ้างนะคะ ไม่ว่าจะนำงามาโรยกับขนมปัง ใส่ในเครื่องดื่มร้อน ๆ หรืออาหารต่าง ๆ ก็ได้รสชาติที่ดีไปอีกแบบแถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย.

(ข้อมูลจากกลุ่มสารนิเทศและวิเทศ สัมพันธ์ สำนักยุทธศาสตร์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก)

@@@

สรรหามาบอก

-ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรุงเทพมหานคร ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมงาน ’วันต้อหินโลก“ ใน วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2554 เวลา 06.00-11.00 น. ณ อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี ภายในงานพบกับกิจกรรมการเดินรณรงค์ “รวมพลังระวังต้อหิน”, ชมนิทรรศการต้อหิน, เสวนารู้ลึก รู้จริงเรื่องต้อหินและกิจกรรมตอบปัญหากับดารานักแสดง อาทิ เขมนิจ จามิกรณ์, กาญจนา จินดาวัฒน์ และวินัย พันธุรักษ์ สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiglaucoma.org หรือสอบถาม โทร. 0-2938-4450-4

-โรงพยาบาลมนารมย์ ขอเชิญประชาชนผู้สนใจรับฟังการบรรยายเรื่อง ’ไบโพลาร์...โรคอารมณ์แปรปรวนที่รักษาได้“ โดย นพ.โกวิทย์ นพพร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ ใน วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2554 เวลา 08.30–12.00 น. ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลมนารมย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-2725-9595, 0-2399-2822

-บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด จัดทำหนังสือ ’โพรไบโอติก (Probiotic) จุลินทรีย์สุขภาพดี“ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยวัฒน์ ไชยสุต ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการ และคุณประโยชน์ของจุลินทรีย์แก่ผู้บริโภค อาทิ โพรไบโอติกดีต่อสุขภาพอย่างไร การส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่ดีด้วยโพรไบโอติก ฯลฯ สนใจติดต่อขอรับหนังสือ (ฟรี) ได้ที่ โทร. 0-2881-2222 หรือดาวน์โหลดที่ www.dutchmill.co.th ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
ที่มา เดลินิวส์

10 ข้อบังคับใจสาวเรา ให้หาเงินเก่ง-เก็บเงินอยู่!

สาวเราสมัยนี้ แม้จะยังโสดสด หรือแต่งงานแล้ว ก็มักไม่ได้แค่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หากแต่ยังต้องทำงานนอกบ้าน เป็นเวิร์กกิ้งวูเมน ที่ต้องหาเงินเก่ง และเก็บเงินอยู่!!

เราจึงนำเสนอ 10 ข้อเพื่อบังคับเตือนใจว่า เงินแต่ละบาทที่คุณหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงน่ะ ควรจะวางแผนจัดสรรอย่างไร ดูแลแบบไหน ให้งอกเงย และลงตัว แถมเป็นสมบัติติดกายไปได้น้านนาน
ข้อ 1 : มุ่งมั่น รักษาเครดิตของตัวเอง

หากคุณคือ อีกคนที่ใช้จ่ายเงินแบบเดือนชนเดือน ค่าจ้างออกมาเท่าไหร่ ก็กด ATM ใช้จนหมด ไม่เคยเหลือไว้ประดับบัญชีละก็ รีบเปลี่ยนให้ด่วนจี๋เลยค่ะ เพราะการทำเช่นนั้นมันคือ การลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของตัวเองอย่างน่าใจหาย

สิ่งที่ควรทำคือ พยายามรักษาระดับเงินฝาก และเงินคงเหลือในบัญชีให้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากอย่างต่อเนื่อง หรือเหลือเงินติดบัญชีเงินเดือน (บัญชีที่เงินเดือนของคุณโอนเข้ามา) ไว้ทุกเดือน เป็นการแสดงให้เห็นว่า รายรับในแต่ละเดือนของคุณมีมากกว่าค่าใช้จ่าย ถือเป็นอีกวิธีสำคัญที่ช่วยรักษาเครดิต (credit - ฐานะทางการเงิน) เอาไว้เผื่อในอนาคต ต้องการซื้อรถ ผ่อนบ้าน หรือกู้เงินมาลงทุนใดๆ ธนาคารผู้ให้กู้จะได้เชื่อถือและเชื่อมั่น ว่าคุณสามารถหาเงินมาผ่อนเขาได้ไงล่ะ

ข้อ 2 : ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

เริ่มสำรวจว่า ในชีวิตประจำวันและประจำทุกเดือนของคุณมีค่าใช้จ่ายใด ที่จริงๆ แล้ว มันไม่จำเป็นเล้ย.. แต่คุณก็ควักกระเป๋าจ่ายอยู่ตลอด เมื่อพบแล้วให้หาทางตัดค่าใช้จ่ายเหล่านั้นออกจากชีวิตเสีย โดยการกำหนดเป้าหมายไว้ให้ชัด เช่น ต้องลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 1 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายเดิม แล้วนำเงินค่าใช้จ่ายที่ลดได้นั้นมาเก็บไว้เป็นเงินออม แม้ช่วงแรกอาจจะยากนิด จึงต้องทำใจแข็งหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า ลองทำสัก 6 เดือน ตัวเลขเงินฝากในบัญชีของคุณ จะเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ จนน่าภูมิใจเชียวหล่ะ

ข้อ 3 : ไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

หลายคนไม่รู้ตัว ว่าการดำเนินชีวิตประจำวันในแบบที่คุณคุ้นเคย อาจเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายได้โดยไม่รู้ตัว อาทิ ไปไหนใกล้ๆ ก็ต้องใช้แท็กซี่ นั่งวินมอเตอร์ไซด์ ลองหันมาเดิน ได้ออกกำลังกาย แถมประหยัดทรัพย์ดีกว่ามั้ย?

แม้แต่พฤติกรรม ตระเวนช้อปปิ้งข้าวของเครื่องใช้ในห้างสรรพสินค้าหรู ซึ่งต้องนั่งรถขับรถไปหลายกิโลฯ นี่ก็อีกตัวการที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น ลองเปลี่ยนมาช้อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ต (supermarket) ใกล้บ้านดูบ้างสิ ประหยัดค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าขนม ที่ต้องใช้ระหว่างไปช้อปปิ้งตามห้างฯไกลโพ้นตั้งเยอะ!

ข้อ 4 : อย่าเหนียมอายที่จะประหยัด

สาวๆ หลายคนอาจมีความหวาดหวั่นในระยะแรก ที่จะต้องจัดการระบบการเงินของตัวเอง ด้วยการประหยัด รัดเข็มขัดเรื่องค่าใช้จ่าย กลัวถูกมองว่า ‘งก’ หรือเค็มเกินเหตุ แต่เชื่อเถอะว่า ความรู้สึกเหล่านั้นจะหมดไป เพียงแค่คุณได้ลองเริ่มต้น แล้วคิดเสียว่า เวลาคุณจน ไม่มีใครมาจนร่วมกับคุณนี่คะ!

ข้อ 5 : ตั้งกองทุนส่วนตัว ไว้ใช้ยามขัดสน

เปิดบัญชีส่วนตัวขึ้นมาสัก 1 บัญชี แล้วกันรายได้ส่วนหนึ่งของคุณเก็บไว้ในบัญชีนั้น อาจสัก 5-20% ของรายได้ทุกเดือน เพื่อเตรียมความพร้อมในยามฉุกเฉิน อาทิ ยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติบังเกิด ไม่ว่าจะเป็นลมพัดแรงทำหลังคาปลิว, กระจกแตก, ท่อประปารั่ว ฯลฯ ท่องไว้ว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน เหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นได้เสมอ ต้องเตรียมใจ เตรียมกำลังทรัพย์ไว้แก้ไขสถานการณ์ให้พร้อม จะได้ไม่ต้องบากหน้าไปกู้หนี้ยืมสินให้อับอาย แถมเสียดอกเบี้ยโหดๆ ให้เจ้าหนี้อีกต่างหาก

ข้อ 6 : ตกลงเรื่องเงินให้ชัด เมื่อคิดแต่งงาน

ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องวางแผนไว้ในระยะยาว เพื่อให้ชีวิตการเงิน และชีวิตรักของคุณมั่นคง

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ร่วมหอลงโรงกับชายหนุ่มสักคน คุณและว่าที่เจ้าบ่าวควรมีการพูดคุยเรื่องของหนี้สินก่อนสมรสให้เข้าใจตรงกัน ..รถที่คุณผู้ชายซื้อต้องผ่อนอีก 30 งวด นั้น คุณต้องร่วมรับผิดชอบด้วยมั้ย? เรื่องนี้สำคัญค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้ครอบครัวของคุณครองรักกันได้อย่างราบรื่น ไร้ปัญหาเรื่องเงินมาบั่นทอนจิตใจแล้ว ยังทำให้คุณสามารถคาดคะเน การจับจ่ายใช้สอย และวางแผนการเงินภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดีด้วย

ข้อ 7 : ประเมินอัตราเงินเดือนตัวเองอย่างเหมาะสม

มนุษย์ทุกคนย่อมมีคุณค่าในตัวเอง ไม่เว้นกระทั่งมนุษย์เงินเดือนอย่างคุณ ดังนั้นเคล็ดลับเด็ดประการที่ 7 ซึ่งจะทำให้คุณวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดได้ คือ การรู้จักประเมินคุณค่าของตัวเอง ว่าความสามารถของคุณอยู่ในระดับไหน และควรจะได้รับค่าตอบแทนเท่าไหร่

นั่นหมายถึง หากคุณยังได้เงินเดือนน้อย อันเนื่องมาจากขาดประสบการณ์และความสามารถ คงต้องหมั่นฝึกฝนให้ช่ำชอง จะได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะขึ้นเงินเดือนตัวเองให้มากขึ้น แต่หากคุณเชื่อมั่นว่า ความสามารถของคุณ ควรจะได้รับค่าตอบแทน ที่มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วล่ะก็
อย่าลังเลที่จะหาหนทาง ทำให้คุณได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะกับความสามารถ ถึงแม้จะต้องเสี่ยงลาออกจากที่เดิมๆ แต่ถ้าคิดแล้วว่าคุณเจ๋งพอ มีความสามารถถึงก็ควรกล้าลุย เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีกว่า

ข้อ 8 : ไตร่ตรองสักนิด ก่อนให้ใครยืมเงิน

มันไม่ดีนักหรอก ที่คุณจะกลายเป็นฝ่ายสินเชื่อเคลื่อนที่ ให้ใครต่อใครได้หยิบยืมเงินตลอดเวลา เคยได้ยินมั้ยล่ะ กระทั่งเพื่อนรักก็หักเหลี่ยมโหดกันได้ เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ นี่แหละ

แต่เข้าใจค่ะ บางคนใจดีเป็นแม่พระ ใจกว้างเป็นมหาสมุทร ต้องการช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริงๆ อันนี้ก็มิได้ห้าม แค่เพียงกระตุ้นเตือนไว้นิด ว่าขอให้พิจารณาไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ ว่าการหยิบยืมเงินในครั้งนั้นๆ มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ผู้ยืมมีความจำเป็นแค่ไหน ที่สำคัญ คุณจะได้เงินของคุณคืนจริงมั้ย ถ้าเสียงหัวใจคุณบอกว่ายืมไปโดนเบี้ยวแน่ล่ะก็ ..อย่าทำใจอ่อน มือไว ควักเงินออกจากกระเป๋าไปให้เขาง่ายๆ ล่ะ

ข้อ 9 : ทาช่องทางลงทุนอย่างคุ้มค่า

อย่าได้กลัวกับเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล สลากออมทรัพย์ หุ้น ฯลฯ เพราะการลงทุน ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เงินของคุณงอกเงยขึ้นมาได้ ทว่าคุณต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนว่า การลงทุนนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ จงลงทุนในสิ่งที่คุณคิดว่าคุ้มค่า และทำให้ได้ผลลัพธ์กลับมาอย่างน่าพอใจ

ข้อ 10 : วางแผนการเงินระยะยาว ด้วยประกันชีวิต

หลายคนที่มีครอบครัวแล้วมักห่วงลูกน้อย ไม่อยากให้ลำบาก หากคุณต้องประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงเลือกลงทุนด้วยการประกันชีวิต ที่สามารถยกผลประโยชน์ให้กับบุตรของตนเองได้

แม้การประกันชีวิตจะเป็นการวางแผนด้านการเงินอีกวิธี ที่น่าสนใจไม่น้อย ทว่าก่อนตัดสินใจ คุณก็ต้องพิจารณารายละเอียด ข้อบังคับของกรมธรรม์ให้ถ้วนถี่ เพราะระเบียบของประกันชีวิตหลายแห่ง มักมีการระบุว่า แม้ผู้ทำประกันจะเสียชีวิตลง แต่ทายาทจะยังรับผลประโยชน์ไม่ได้จนกว่าจะอายุครบ 18 ปี ดังนั้นคุณอาจต้องวางแผน หาผู้รับเงินประกันคนใหม่ ที่มั่นใจได้ว่า จะสืบทอดเจตนารมณ์ ดูแลลูกของคุณได้กระทั่งถึงวันรับผลประโยชน์ หรือไม่ก็หากรมธรรม์ประกันชีวิต ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้มากกว่า
เรียบเรียงจากไชน์
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เสริมพัฒนาการสร้างลูกเป็นนักคิด

เด็กในวัย 1-6 ขวบเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการสำคัญทั้งทางร่างกาย สมอง อารมณ์ และสังคม การมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการเปิดประสบการณ์เรียนรู้อย่างไร้ขีดจำกัด เด็กที่มีภูมิคุ้มกันดี ร่างกายก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ส่งผลให้พัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย สมอง อารมณ์และสังคมเป็นไปได้ดีกว่า บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด จึงเปิดตัวแคมเปญการตลาดล่าสุด “จากนักสำรวจ สู่นักสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาการไม่รู้จบ” พร้อมเปิดตัวการแข่งขัน “มัมมี่แบร์ บล็อกเกอร์ ปี 3” ชวนคุณแม่ที่มีลูกวัย 1-3 ขวบ สมัครเป็นบล็อกเกอร์แข่งขันในภารกิจเลี้ยงลูก และแบ่งปันประสบการณ์สำหรับคุณแม่ทันสมัย

ในงานแถลงข่าว เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่เดอะ เทรเชอรี่ เกษร พลาซ่า จันทรา โรจน์เจริญศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์โภชนาการสำหรับเด็กโต บริษัท เนสท์เล่ฯ กล่าวว่า นมผงตราหมี แอดวานซ์ เอ็กซ์เปิร์ท ทำกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการดูแลลูกมาตลอด ครั้งนี้ได้ทำแคมเปญตัวใหม่ที่นำเสนอเป็นภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง เรนโบว์ เพื่อสื่อสารแนวคิดเรื่องการก้าวสู่โลกกว้างของเด็กวัยเริ่มเรียน ซึ่งโฆษณาเรื่องใหม่ชี้ให้เห็นว่าเด็กวัย 1-6 ขวบ คือ วัยที่พร้อมเรียนรู้ด้วยการสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านประสาททั้ง 5 ซึ่งคุณแม่หลายคนอาจเกิดความกังวลที่จะปล่อยลูกน้อยออกไปเรียนรู้หรือสัมผัสโลกภายนอก แต่คุณแม่สามารถเตรียมความพร้อม โดยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ลูกน้อย ลูกน้อยก็จะแข็งแรง และพร้อมเต็มที่กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุก ๆ วัน

นอกจากนี้ยังจัดทำเว็บไซต์ให้เป็นสังคมแม่หมีออนไลน์ถ่ายทอดความรู้ด้านการพัฒนาการเด็กวัย 1-6 ขวบ รวมถึงให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการเลี้ยงดูลูกจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้คุณแม่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือสับสนในการเลี้ยงดูลูก ด้วยกิจกรรมพิเศษ “มัมมี่แบร์ บล็อกเกอร์ ปี 3” พร้อมชวนคุณแม่ที่มีลูกวัย 1-3 ปี มาร่วมเป็น 1 ใน 10 มัมมี่แบร์ บล็อกเกอร์ ประจำปี พ.ศ. 2554 แบ่งปันประสบการณ์การเลี้ยงลูกผ่านเว็บไซต์ สมัครง่าย ๆ ที่ www.mommybear.net ถึงวันที่ 10 มี.ค.นี้

ภายในงานยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและจุลชีววิทยา นพวรรณ ชินะโชติ แนะนำอาหารที่เหมาะกับลูกน้อยในวัยเรียนรู้ว่า อาหารที่เหมาะสำหรับเด็กควรเป็นประเภทเนื้อปลา โดยเฉพาะปลาทะเลมีดีเอชเอที่จำเป็นต่อการพัฒนา และโปรตีนจากเนื้อปลาสามารถย่อยง่ายที่สุด ส่วนเด็กไม่ชอบกินผักเพราะให้อาหารรสชาติเดิมหรืออาหารบดละเอียด ต้องเปลี่ยนอาหารให้แตกต่างในแต่ละวัน เด็กจะได้ไม่เลือกกิน ส่วนผลไม้ไม่แนะนำเพราะมีน้ำตาลสูง หากไม่สามารถให้อาหารลูกครบ 5 หมู่ สามารถให้นมเป็นอาหารเสริมได้ โดยนมที่มีแอล-โพรเทคทัส ช่วยในการปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร ป้องกันการติดเชื้อและลดอาการท้องผูกท้องเสียในเด็ก และนมที่มีพรีไบโอวัน ซึ่งเป็นใยอาหารจากธรรมชาติ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดี รวมถึงนมที่มีดีเอชเอและเออาร์เอมีคุณสมบัติช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง แต่ควรระวังการชงนมผงที่มีพรีไบโอวันไม่ควรชงในน้ำที่เดือดจัด เพราะจะทำให้สารอาหารตัวนี้หายไป ควรชงในอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสหรืออุณหภูมิร่างกาย และควรให้เด็กรับประทานทันที.
ที่มา เดลินิวส์

สมุทรสาคร ชวนดูนกชายเลน ที่ โคกขาม

ททท.ร่วมกับหลายหน่วยงาน ร่วมกันจัดงานเทศกาลอนุรักษ์นกชายเลนขึ้นในวันที่ 27 ก.พ. 54 ณ แหล่งดูนกชายเลน ต.โคกขาม อ.เมือง สมุทรสาคร ซึ่งทุกๆในช่วงเวลานี้จะมีนกอพยพหนีหนาวมาอาศัยอยู่นับแสนๆตัว โดยมีนกที่น่าสนใจ อาทิ นกชายเลนปากงอน นกชายเลนกระหม่อมแดง และนกชายเลนปากช้อน หนึ่งในนกชายเลนที่หายากมากที่สุดของโลก

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ร่วมกับชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติโคกขามร่วมกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย องค์การบริหารส่วนตำบลโคกขาม โดยการสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร สมาคมประมงจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกันจัดงานเทศกาลอนุรักษ์นกชายเลน ครั้งที่ 10 ในวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554 ณ แหล่งดูนกชายเลน ลานนาเกลือ หมู่ที่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

นางสาวอังคณา พุ่มผกา ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) เปิดเผยว่า แนวชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรสาครนับเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อ่าวไทยตอนใน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารและสัตว์น้ำขนาดเล็กอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ช่วงฤดูหนาวมีนกชายเลนนับแสนตัวบินย้ายถิ่นหลบหนีความหนาวเย็นเข้ามาอาศัยหากินรวมกันอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครเป็นวัฏจักรเช่นนี้ทุกปี

โดยเฉพาะตำบลโคกขามนับเป็นแหล่งอาศัยที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของนกชายเลนในช่วงฤดูหนาว เพราะมีพื้นที่บางส่วนติดกับแนวชายฝั่งอ่าวไทยตอนใน ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงยึดอาชีพการทำนาเกลือ เลี้ยงสัตว์น้ำ และประมงชายฝั่งเป็นหลัก พื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งอาศัยของนกขายเลนนานาชนิด เช่น นกชายเลนปากงอน นกชายเลนกระหม่อมแดง นกทะเลขาเขียวลายจุด เป็นต้น และที่สำคัญยังมีนกชายเลนปากช้อน ซึ่งเป็นนกชายเลนที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ประมาณการว่ามีประชากรเหลืออยู่ทั้งสิ้นไม่เกิน 400 ตัว แต่สามารถพบได้ที่ตำบลโคกขามเป็นประจำทุกปี

นอกจากนักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับการดูนกชายเลนแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์นกชายเลน ป่าชายเลน โลมา วาฬ และวิธีการทำนาเกลือตามวิถี ภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านมาร่วมงานและเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง อันได้แก่ ศาลพันท้ายนรสิงห์ วัดโคกขาม โครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งทะเล จังหวัดสมุทรสาคร ฯลฯ

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติโคกขาม โทร. 08 -7082-8486 หรือ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0-3475-2847-8
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

'ไปอัมพวา' เที่ยวตลาดน้ำย้อนความสุขวันวาน

เพลินสีสัน'อัมพวา'โฉมใหม่ เที่ยวตลาดน้ำย้อนความสุขวันวาน ด้วยความโดดเด่นของระยะทาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร อัมพวา อำเภอหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงครามแห่งนี้ นอกเหนือจากสีสันบรรยากาศตลาดน้ำชวนเดินเพลิดเพลินใจแล้ว สถาปัตยกรรมบ้านเรือน วิถีชีวิตของชาวชุมชนที่นี่ ยังมีมนต์เสน่ห์ชวนค้นหา...

ตลาดน้ำอัมพวา นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย หรือชาวต่างชาติต่างตอบรับแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ด้วยเพราะสีสันมนต์เสน่ห์ของตลาดริมคลองที่มีพ่อค้าแม่ขายพายเรือลอยลำนำอาหารหลากหลายอย่างมาให้เลือกลิ้มลอง ทั้งก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน ผลไม้ อาหารทะเลปิ้งย่าง ฯลฯ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกอาหารที่ชอบแต่ละชนิดได้อย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกันสองฟากฝั่งน้ำซึ่งมีบ้านเรือนไม้เรียงรายก็มีหลากหลายร้านอาหาร ร้านค้า ที่พักบรรยากาศสบาย ๆ ให้เลือกเดินจับจ่ายเพลิดเพลิน ย้อนความสุขความทรงจำวันวาน และด้วยความที่อัมพวาเป็นจุดหมายของการเดินทางมาพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกเหนือจากสีสันอาหารคาวหวาน ขนมไทยโบราณหลากหลายรูปแบบชวนชิมลิ้มรสชาติความหวานอร่อย ในย่านตลาดอัมพวายังมีสีสันของอาคารชวนเดินเที่ยวชม โดยล่าสุด เทศบาลอัมพวา ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) รวมทั้งชาวชุมชนเจ้าของอาคาร ต่างพร้อมใจกันร่วม ฟื้นฟู บูรณะทาสีกลุ่มอาคารพาณิชย์ให้มีเอกลักษณ์เหมาะกับวิถีชีวิตชุมชนริมคลอง สร้างความภูมิใจให้กับชาวอัมพวา และความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว

ในด้านสีสันอาคาร ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบสีให้ความรู้เกี่ยวกับอาคารตึกแถวสองชั้นบริเวณตลาดอัมพวาว่า มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย แต่ละคูหามีครีบกั้นด้านข้าง ประตูหน้าบ้านมีทั้งที่เป็นบานเฟี้ยมเหล็กและไม้ ฯลฯ และจากสภาพอาคารบริเวณเปลือกนอกที่เริ่มเปลี่ยนสภาพ และการศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมือง จึงก่อเกิดความพิถีพิถันของการเลือกใช้สีที่ปรากฏ โดยแต่ละสีต่างมีเอกลักษณ์ และความหมายที่น่าสนใจ อย่าง สีเขียว ด้วยความที่เมืองอัมพวาเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โดยตรงกับวันพุธก็ได้ใช้สีเขียวในการทาสีตึกเพราะเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 2

นอกจากนี้ทรงมีบทพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์และตัวเอกของเรื่องคือ พระราม รวมทั้งความสอดคล้องกับชื่อ เมืองอัมพวา ที่แปลว่า ป่ามะม่วง โดยทั้งใบและผลของมะม่วงต่างก็เป็นสีเขียว เป็นต้น ขณะเดียวกันในทางวิทยาศาสตร์ สีเขียวเป็นสีที่มองเห็นได้ดีกว่าทุกสีแม้ในสภาพที่มีแสงน้อยหรือแสงสลัว ซึ่งในกิจกรรมการท่องเที่ยวตลาดอัมพวามีบรรยากาศของตลาดน้ำยามเย็น สีเขียวจึงเป็นสีที่เหมาะสมสำหรับสภาพแสงก่อนสิ้นแสงธรรมชาติไปสู่แสงไฟยามค่ำคืน

ไม่เพียงสีเขียวที่มีความโดดเด่น สีที่ปรากฏบนอาคารยังมี สีเหลืองและชมพู ซึ่งก็มีที่มา อีกทั้งยังสร้างความสดใสให้กับอาคารได้เช่นเดียวกัน โดย สีเหลืองเป็นสีดั้งเดิมที่ทาทั่วไปช่วยสร้างบรรยากาศในภาพอดีตให้เกิดความงาม ส่วน สีชมพู มีองค์ประกอบของสีแดงผสมขาวมีที่มาจากสีเปลือกลิ้นจี่ ผลไม้ขึ้นชื่อของอัมพวา ฯลฯ ซึ่งก็เป็นอีกสีสันมนต์เสน่ห์ของการเดินเที่ยวชม

นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น อัมพวายังมีสีสันของการท่องเที่ยวอีกหลากหลายซึ่งในวันวาน อัมพวาถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่มีความสำคัญ บ้านเรือนที่ปลูกสร้างสองฝั่งน้ำล้วนมีความโดดเด่นเป็นห้องแถวไม้ เรือนพื้นถิ่นโดยตลอดชุมชนมีความยาวประมาณ 800 เมตร ซึ่งสามารถเลือกเดินเพลิดเพลินหรือจะนั่งเรือชมวิวสองฝั่งน้ำก็ได้ความเพลิดเพลินไปอีกแบบ

นอกจากนี้เมื่อมาถึงอัมพวา ยังสามารถแวะเที่ยว พิพิธภัณฑ์ขนมไทย ชมสีสันอาหาร ขนมหลากหลายซึ่งจัดแสดงจำลองบอกเล่าประวัติเอกลักษณ์ของชุมชนไว้อย่างครบพร้อม หรือถ้าชื่นชอบความสงบเที่ยววัดไหว้พระทำบุญก็มีหลากหลายสถานที่ ซึ่ง วัดอัมพวันเจติยาราม ถือเป็นหนึ่งในวัดที่อยู่ใกล้กับตลาดน้ำ ก่อนเดินเที่ยวลัดเลาะบ้านเรือน ร้านค้า อาจแวะเข้าไปไหว้พระ ชมความงามของสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้ความสุขใจ อิ่มบุญไปตาม ๆ กัน

ไม่ไกลนัก ยังเป็นที่ตั้งของ อุทยาน ร.2 ที่สามารถเดินเที่ยวชมท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น โดยบริเวณนี้มีหมู่เรือนไทยทรงคุณค่า นอกจากนี้อาจแวะเข้าไปไหว้พระที่ วัดจุฬามณี อีกวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองอัมพวา โดยด้านในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังงดงามทรงคุณค่าให้ศึกษาเที่ยวชม ซึ่งนอกจากการเที่ยววัดจะใช้เส้นทางรถยนต์ หลากหลายวัดสำคัญของที่นี่ยังนั่งเรือไปถึงได้ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสีสันมนต์เสน่ห์เติมต่อประสบการณ์เที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดอย่างคุ้มค่าที่อัมพวา.

.....................

เล่าเรื่องเมืองอัมพวา

ในอดีต เมืองอัมพวาถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม มีตลาดน้ำขนาดใหญ่และชุมชนริมน้ำที่เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรม แต่ผลกระทบของการพัฒนาการคมนาคมทางบก ทำให้ความเป็นศูนย์กลางฯ ของอัมพวาต้องสูญเสียไป ตลาดน้ำค่อย ๆ ลดความสำคัญและสูญหายไปในที่สุด ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของความเจริญในอดีตซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกวันนี้ ต่อมาทางเทศบาลตำบลอัมพวา โดยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น ได้ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้งเพื่ออนุรักษ์ความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำ ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยาก ให้สืบทอดตลอดไป โดยใช้ชื่อว่า “ตลาดน้ำยามเย็น”

.....................

รู้ไว้ก่อนไปเที่ยว

ที่ตั้ง : ตลาดน้ำอัมพวา ตั้งอยู่ใกล้กับวัดอัมพวันเจติยาราม ในอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

การเดินทาง : โดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ขึ้นทางด่วนข้ามสะพานแขวนลงดาวคะนอง ใช้เส้นทางพระราม 2 ผ่านมหาชัย-นาเกลือเข้าทางหลวง 325 สมุทรสงคราม-บางแพ-อัมพวา มาทางแยกซ้ายเข้าไปทางที่เส้นทางไปอุทยาน ร.2 หรือเลือกใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 35 ถนนสายธนบุรี-ปากท่อ (พระราม 2) ผ่านสี่แยกมหาชัย-นาเกลือ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 63 มีทางแยกต่างระดับเข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม หรือใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร

โดยรถโดยสารประจำทาง : จากสถานีขนส่งสายใต้ นั่งรถโดยสารประจำทาง กรุงเทพฯ-ราชบุรี-ดำเนินสะดวกมาลงที่ตลาดอัมพวา เป็นต้น

โดยรถไฟ : จากสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ มีรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย ออกทุกวัน ลงรถไฟที่สถานีรถไฟมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ข้ามเรือจากท่ามหาชัยไปยังฝั่งท่าฉลอมต่อรถไฟที่สถานีรถไฟบ้านแหลมไปยังจังหวัดสมุทรสงครามหรือจะลงรถไฟที่สถานีรถไฟมหาชัยแล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม

ฤดูท่องเที่ยว : สีสันตลาดน้ำที่นี่เลือกเพลิดเพลินบรรยากาศได้ทุกฤดูกาล โดยตลาดน้ำอัมพวามีขึ้นในช่วงเย็นวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์

ของฝาก : ขนมหวาน และผลไม้หลายหลากชนิด

...................
ที่มาทีมวาไรตี้ เดลินิวส์

เบื้องหลังแฟชั่น ‘แฉความในใจของเจนี่’

สวย เริ่ด เชิด ‘โสด’ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เรื่อง เสงี่ยม เหนียมสตรี ภาพ Thananondh Thanakornkarn

ผมล่ะอยากจะพาดหัวเบื้องหลังแฟชั่นฉบับนี้ว่าเป็นเรื่อง ‘แฉความในใจของเจนี่ล้วนๆ’ ไม่กงไม่เกี่ยวกับความรู้สึกที่ได้มาถ่ายแฟชั่นกับmars เลยเหอะ แต่เอาน่า ผมเชื่อว่าเรื่องราวสี่ห้องหัวใจของเจนี่ คุณผู้อ่านหรือผมก็ใช่ว่าไม่อยากรู้ ฮ่าๆ
หลายปีมาแล้ว... หรือตราบเท่าที่ความทรงจำจะพอทบทวนไปถึง พื้นที่ในสี่ห้องหัวใจของเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ยังคงไม่มีผู้ใดได้ครอบครอง
ทำไม!?
...หรือว่าอาจเป็นอย่างที่ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกไว้ 'เวลามีรักมักตาบอด'
“ก็จริง... บางครั้งเราเจอถ้อยคำหวานๆ อะไรที่มันสวยหรู เราก็ต้องมีหลงไปบ้างเล็กน้อย”
หรือแท้จริงแล้ว 'รักนั้นหวานไม่นานก็ขม'
“เจนี่ไม่ใช่คนอินเลิฟตลอดเวลา ถ้าเรารู้สึกว่าเราหวานไปกับมันมาก จนเราไม่ใช่ตัวเอง แปลว่าสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความรัก มันคือความหลงค่ะ พูดว่ารัก ใครก็พูดได้ เจนี่ก็พูดได้ คนนู้นคนนี้ก็พูดได้ แต่การที่เราจะรักใครสักคน เราต้องรู้ว่ารักจริงๆ นั้นคืออะไร”
'รักของพ่อ-แม่ รักโดยที่ไม่มีข้อแม้' คือนิยามที่เธอใช้กับคำว่า 'รัก' ได้เต็มปาก
ผิดกับรักในเชิงหนุ่ม-สาว “เอาจริงๆ ปะ เจนี่ยังไม่รู้...”
ไม่รู้ไม่ใช่ไม่มี เพียงแค่รักที่ว่ายังเป็น 'รักที่ยังหาไม่พบ'
“อะไรที่เรารู้สึกว่ามันคือความรักจริงๆ เรายังไม่เคยเจอ เพราะไม่อย่างนั้นเจนี่ก็แต่งงานไปแล้วสิ เจนี่จะอยู่คนเดียวทำไม อยู่คนเดียวเหงาจะตาย!”
สำหรับสาวสวยสะพรั่งกับความว้าเหว่ ดูน่าจะเป็นไปในเชิงเข็นครกขึ้นภูเขา ผู้ชายดีๆ สักคนไม่น่าจะเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร หรือแท้จริงแล้วลึกๆ ในหัวใจ เธอจะ 'กลัวรัก...เช่นเจ้าสาวที่กลัวฝน'
“เจนี่ไม่ใช่คนที่ปล่อยไปกับความรู้สึกตลอดเวลา ค่อนข้างที่จะพิจารณารอบคอบ คือดูแล้วดูอีก เพราะเราเป็นคนที่รักษาใจตัวเองมาตลอด ไม่อยากเจ็บ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเราจะเริ่มนับหนึ่ง เราจะกลัวแล้ว ...กลัวความรู้สึก เพราะเราต้องแบ่งใจให้ใครอีกคนหนึ่ง”
ทว่า 'ความรักก็เหมือนการเสี่ยงโชค' หากไม่ซื้อลอตเตอรี่ วันที่ถูกรางวัลจะมีมาได้อย่างไร ใช่ไหม?
“สำหรับเจนี่ ความรักไม่ใช่ความเสี่ยงนะ แต่คือการที่ต้องเรียนรู้กันไป คำว่ารักมันต้องมีทั้งความเข้าใจ ต้องมีทั้งการเรียนรู้ คือคนสองคนไม่ได้เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่กันคนละสังคม เพื่อนก็คนละกลุ่ม แล้วอยู่เฉยๆ มารักกัน ซึ่งเจนี่ว่ามันต้องเรียนรู้อะไรกันอีกเยอะ ไม่ใช่แค่แวบสองแวบแล้วเป็นแฟนกัน”
ฟังแล้วดูเหมือนหัวใจของเธอบ่มไว้รอใครสักคน...
“เจนี่ว่า ผู้ชายคนใดที่คบเจนี่คนต่อไป เขาต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีมาก เพราะเขาจะได้ความรู้สึกเจนี่ไปเต็มๆ เพราะชีวิตนี้เจนี่ก็มีทุกอย่างพร้อมแล้ว และทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณแม่และคนรอบข้างแฮปปี้แล้ว
“เอ่อ... พูดเหมือนเป็นผู้ชายเลยเนอะว่าตัวเองมีทุกอย่างพร้อมแล้ว” (หัวเราะ)

ติดตามชมแฟชั่นเซต THE ROOM ได้ใน
นิตยสาร mars ฉบับที่ 100 FEBRUARY 2011
นิตยสาร mars ฉบับที่ 100 FEBRUARY 2011
นิตยสาร mars ฉบับที่ 100 FEBRUARY 2011
นิตยสาร mars ฉบับที่ 100 FEBRUARY 2011
นิตยสาร mars ฉบับที่ 100 FEBRUARY 2011
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รับมืออย่างไร เมื่อลูกไม่ชอบทำ "การบ้าน"

ภาพของเด็ก ๆ ที่รู้จักหน้าที่ด้วยการเปิดกระเป๋าหยิบการบ้านขึ้นมาทำหลังกลับจากโรงเรียนโดยไม่ต้องบอกนั้น เป็นภาพที่พ่อแม่หลาย ๆ ท่านปรารถนาจะให้เกิดกับลูกของตัวเองบ้าง เพราะบางคนกว่าจะเรียกให้ลูกทำการบ้านได้นั้นแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงไปตาม ๆ กัน

วันนี้ ทีมงาน Life & Family มีเทคนิคดี ๆ จาก พญ.สุธิรา ริ้วเหลือง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มาฝากเป็นแนวทางกัน

โดย พญ.สุธิรา เผยว่า การบอกให้ลูกทำการบ้าน เป็นความหวังดีของพ่อแม่ที่อยากฝึกให้ลูกเป็นเด็กมีวินัย หากแต่ในขณะเดียวกัน ต้องเข้าใจด้วยว่า ลูกอาจเครียด หรือมีปัญหาในรายวิชานั้น ๆ อยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นหากลูกไม่ชอบทำการบ้าน ลองทำตามเทคนิคดังต่อไปนี้กันดูครับ เริ่มจาก

- สร้างบรรยากาศในชั่วโมงทำการบ้านให้อบอุ่น ถ้าลูกทำไม่ได้ ควรเป็นเข้าไปช่วยในเบื้องต้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เช่น วันนี้ลูกมีการบ้านวิชาศิลปะ แต่เบื่อที่จะลากเส้น ระบายสี คุณอาจเข้าไปช่วยลูกระบายสี โดยทำให้เป็นเรื่องสนุก จากนั้นคอยชื่นชม และให้กำลังใจลูกอยู่ข้าง ๆ แต่ไม่ควรนั่งกดดัน หรือเข้มงวดกับลูกมากจนเกินไป

- ให้ลูกได้พักบ้าง โดยอาจจะหาอาหารว่าง หรือกิจกรรมให้ลูกได้เล่นระหว่างพัก เช่น เกม ซึ่งไม่ควรให้ลูกนั่งทำติดต่อกันหลายชั่วโมง เพราะลูกจะเบื่อ และเมื่อถึงเวลาทำการบ้านในครั้งต่อไป เด็กจะไม่อยากทำ

- อดทนกับสีหน้าอันบูดเบี้ยวของลูก ถ้าดูแล้วว่าลูกไม่ได้เครียดกับวิชานั้น ๆ มากเกินไปขอให้คุณพ่อคุณแม่อดทน และให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าลูกทำไม่ได้ ร้องไห้ เครียด ควรให้ลูกได้ทำอย่างอื่นแทนก่อน จากนั้นค่อย ๆ ต่อรองให้กลับมาทำการบ้านใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ขณะนั่งที่ลูกนั่งทำการบ้านอยู่นั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรร่ายกับลูกยาวเกินไป เช่น "ลูกรู้ไหม การที่หนูทำการบ้าน เป็นการฝึกความอดทนนะ ลูกต้องมีวินัยกับตัวเองนะ ถ้าแค่นี้ลูกทำไม่ได้ ตอนโตจะไปทำอะไรได้" แต่ควรพูดให้กระชับ และสั้น เช่น "เก่งจังเลยลูก โอ้โห เยี่ยมเลย แม่เอาใจช่วยอยู่นะ สุดยอดไปเลย" โดยลีลา และสีหน้าเป็นกุญแจสำคัญที่ควรแสดงให้ลูกรู้สึกเชื่อจริง ๆ ว่าเขาทำได้

สำหรับเด็กบางคนที่มีรายละเอียดสูง เช่น ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ห้ามสกปรก ถ้าเขียนไม่สวย หรือวาดไม่สวยจะไม่อยากทำ เด็กในกลุ่มนี้ คุณหมอบอกว่า เป็นกลุ่มที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านหนักใจเหมือนกัน เพราะจะมองที่ผลลัพธ์เป็นหลัก วิธีที่ดีที่สุด คือ พูดยืดหยุ่นกับลูก เช่น "ไม่เป็นไรลูก แม่ว่าโอเคละ สวยไม่สวยขึ้นอยู่ที่ลูกได้พยายาม นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด" เป็นต้น

อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านมีคำถามอยู่ในใจว่า แล้วจะช่วยลูกทำการบ้านได้จนถึงเมื่อไร คำถามนี้ จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นให้ตอบว่า ควรดูที่เด็กเป็นสำคัญว่าเขามีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ถ้าความรับผิดชอบเริ่มต้นที่ศูนย์ คุณพ่อคุณแม่ต้องค่อย ๆ สอนไปทีละระดับ เมื่อลูกเริ่มทำได้ หลังจากนั้นลองให้ลูกได้ทำด้วยตัวเอง

ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่บางท่านในการสอนการบ้านลูก แต่ก็ไม่ยากเกินไปถ้าใช้ใจในการสอน เพราะอย่างน้อย ๆ การชื่นชม และให้กำลังใจลูกอย่างต่อเนื่อง สามารถเปลี่ยนชั่วโมงทำการบ้านของลูกให้มีความสุขได้

นอกเหนือจากวิธีดังกล่าวแล้ว หากผู้อ่านท่านใดมีเทคนิค หรือแนวทางอื่น ๆ ที่เคยใช้แล้วได้ผล นำมาแลกเปลี่ยนกันได้ ทางเรายินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณครับ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิธีดูแลรักษาโซฟาหนัง

โซฟาหรือเก้าอี้หนังหากทำความสะอาดไม่ถูกวิธีอาจทำให้พื้นผิวได้รับความเสียหาย จึงต้องใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดหนังโดยเฉพาะ แต่โซฟาหรือเก้าอี้หนังส่วนใหญ่จะได้รับการเคลือบเงามาอย่างดี หากไม่มีน้ำยาทำความสะอาดหนัง อาจใช้ผ้าชุบน้ำสบู่อ่อนๆ บิดให้หมาดแล้วเช็ดทำความสะอาด แต่ต้องระวังไม่ให้ผ้าชุ่มน้ำ เพราะจะทำลายพื้นผิวของโซฟาได้

เพื่อให้แน่ใจว่าการทำความสะอาดจะไม่ทำร้ายหนัง ให้ลองทดสอบน้ำยาหรือสบู่ที่จะใช้ทำความสะอาดโดยเช็ดเป็นบริเวณเล็กๆ ในพื้นที่ที่ไม่สามารถมองเห็น เช่น หลังโซฟา หรือใต้เก้าอี้ รอให้แห้ง หากหนังไม่เสียหายจึงนำไปใช้ทำความสะอาดทั่วทั้งโซฟา

หลังเช็ดด้วยน้ำยาทำความสะอาดแล้ว ให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกครั้ง และปิดท้ายด้วยการใช้น้ำมันสำหรับเคลือบเงาหนังถูให้ทั่ว เพื่อรักษาหนังของโซฟาหรือเก้าอี้.

ที่มาทีมเดลินิวส์ออนไลน์

อุ่นอาหารสยบเชื้อโรคได้ผล

ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อครัว-แม่ครัวมือฉมัง หรือเป็นพ่อบ้าน-แม่บ้านอาหารถุง เมื่อปรุงหรือซื้ออาหารมาแล้วรับประทานไม่หมด บางบ้านก็ไม่ทิ้งให้เสียของเพราะยึดหลักประหยัด เหตุนี้จึงต้องเข้าใจเคล็ดลับเก็บและอุ่นให้อาหารเหมือนปรุงเสร็จใหม่ๆ อร่อยปลอดโรค

สำหรับการเก็บอาหารที่รับประทานไม่หมดเอาไว้รับประทานในมื้อหน้า ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะเปิดโอกาสให้เชื้อโรคปนเปื้อนผสมลงไปกับอาหาร ทางที่ดีควรเก็บใส่ภาชนะที่ปิดมิดชิด หรือเก็บใส่ตู้กับข้าว หากเป็นอาหารที่เสียง่ายควรนำเข้าตู้เย็น แช่ไว้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการเก็บไม่ควรนานเกิน 3 วัน หรือจนกว่าอาหารเริ่มมีลักษณะหรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป

เมื่อถึงเวลานำอาหารเหล่านั้นกลับมารับประทาน ขั้นตอนในการอุ่นอาหารเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจและทำให้ถูกต้องเพื่อฆ่าเชื้อโรค ป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการรับประทานอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย เพราะอาหารเป็นพิษ

ครัวบ้านไหนพึ่งการอุ่นอาหารด้วยเตาแก๊สเป็นหลัก เมื่อเทใส่ในหม้อหรือกระทะแล้ว ตั้งไฟให้ร้อนจัด อุณหภูมิความร้อนควรอยู่ระหว่าง 60-70 องศาเซลเซียส หรือให้อาหารร้อนจนเดือด ระหว่างอุ่นต้องคนคลุกเคล้าอาหารเพื่อให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง อุ่นให้นานราว 15 นาที

ขณะที่ครัวไฮเทคมีเตาอบไมโครเวฟเป็นตัวช่วย แม้จะเร็วและไม่ทำให้คนทำต้องยืนร้อนอยู่หน้าเตา แต่ไมโครเวฟมีข้อด้อยกว่าเตาแก๊สตรงที่ระหว่างอุ่นอาหารไม่สามารถคลุกเคล้าได้ จึงทำให้อาหารมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน โมเลกุลคลื่นไมโครเวฟก็ลงลึกได้เพียง 1-2 นิ้วเท่านั้น หากสังเกตดีๆ อาหารที่อุ่นด้วยไมโครเวฟแบบรีบๆ จะสุกหรือร้อนไม่เท่ากัน

วิธีแก้ไขไม่ยาก คือ อาหารที่จะอุ่นต้องใส่ในภาชนะหรือฝาครอบสำหรับไมโครเวฟโดยเฉพาะ อาหารทิ้งมีชิ้นใหญ่หรือหนาให้วางไว้บริเวณขอบฐานรองหมุ่น เพราะจะถูกคลื่นความร้อนมากกว่าวางตรงกลาง ไม่ควรตั้งเวลาอุ่นให้นานแบบทีเดียวเสร็จ ควรแบ่งตั้งเป็นช่วงๆ เพื่อหยุดนำอาหารออกมาคนให้ความร้อนกระจายไปได้ทั่ว

อุณหภูมิของอาหารแต่ละชนิดเมื่ออุ่นในไมโครเวฟยังต้องให้ได้ความร้อนที่เหมาะสมจึงจะสยบเชื้อโรคร้ายได้ อาทิ พวกเนื้อ ปลา ไข่ ต้องตั้งอุณหภูมิ 106 องศาเฟเรนไฮต์ ส่วนไก่กับเป็ดอยู่ที่ 170-180 องศาเฟเรนไฮต์

แม้การเก็บอาหารที่เหลืออิ่มไว้รับประทานในมื้อต่อๆไป อาจถือว่าไม่กินทิ้งกินขว้าง แต่ในทางที่เหมาะควรนั่นคือ ปรุงหรือซื้อแต่พอกำลังกระเพาะ เพื่อให้ได้รับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จแบบสดใหม่ คุณค่าทางอาหารไม่สูญเสียไปมาก.
takecareDD@gmail.com
ที่มาทีมเดลินิวส์ออนไลน์

สมุนไพรพลูคาว...ที่กำลังมาแรง

เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการค้นพบว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งคือพลูคาวมีฤทธิ์สามารถสกัดยับยั้งโรคได้หลายชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากไวรัสต่าง ๆ พลูคาวหรือคาวตองหรือก้านตองเป็นพืชท้องถิ่นของหลายจังหวัดทางภาคเหนือที่ผ่านการวิจัยทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
ดร.ปพน ลิ้มธำรงกุล ประธานกรรมการ บริษัท คิงส์เฮิร์บเวิลด์ 1999 จำกัด กล่าวว่า ความจริงแล้ว คุณสมบัติด้านการสกัดยับยั้งโรคร้ายต่าง ๆ ของสมุนไพรพลูคาวนั้น มีการค้นพบตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เห็นได้จากมีการระบุไว้ในคัมภีร์หมอล้านนาหรือหมอพื้นบ้านทางภาคเหนือว่าสามารถใช้พลูคาวสดรักษาแผลริดสีดวงทวารได้และใช้ต้มเป็นยาหม้อสกัดยับยั้งอาการกำเริบของโรคร้ายจากต่อมน้ำเหลืองด้วย ต่อมาจึงมีการไปค้นคว้าต่อจนพบว่า แท้ที่จริงฤทธิ์สกัดยับยั้งโรคร้ายดังกล่าวนั้นเกิดจากจุลินทรีย์ในตระกูล “แล็คโตบาซิลัส” 2 สายพันธุ์จากจำนวนที่มีอยู่ตามธรรมชาติหลายร้อยสายพันธุ์ โดยจุลินทรีย์ทั้งสองสายพันธุ์มีคุณสมบัติพิเศษคือ มันจะกินแบคทีเรียและไวรัสทุกชนิดในร่างกาย ซึ่งเมื่อร่างกายปราศจากเชื้อโรคหรือแบคทีเรีย และไวรัสก็เท่ากับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงสามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้นั่นเอง

ดร.ปพน กล่าวว่า หลังจากที่ได้ผลิตสมุนไพรพลูคาวจำหน่ายเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีเป็นเหตุให้ต้องขยายแปลงปลูกพลูคาวที่เชียงรายเพิ่มขึ้นหลายสิบแปลง เป็นการสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นอีกด้วย

การปลูกพลูคาวนั้น ในปีหนึ่ง ๆเกษตรกรสามารถปลูกพลูคาวได้หลายครั้งเพราะมันเป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตง่าย เพียงแต่คอยดูแลไม่ให้ถูกรบกวนจากวัชพืช หมั่นรดน้ำในฤดูแล้งและใช้ปุ๋ยอินทรีย์เสริมในบางครั้งเท่านั้น สำหรับผลผลิตนอกจากจะส่งเข้าโรงงานผลิตเครื่องดื่มสมุนไพรที่ขอนแก่นแล้ว ยังนำไปจำหน่ายที่ตลาดสดได้ด้วย เนื่องจากเป็นพืชที่ชาวเหนือทั่วไปนิยมนำมารับประทานเป็นผักสดพร้อมกับลาบ หลู้...อาหารของชาวเหนืออยู่แล้ว

ปัจจุบันเครื่องดื่มสมุนไพรพลูคาวเริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน ล่าสุดมีผู้สั่งตรงไปยังประเทศตะวันตกคือ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย...

...เชื่อว่าในอนาคต สมุนไพรพลูคาวจะแพร่หลายขึ้นในตลาดโลก ซึ่งหมายถึงอนาคตของเกษตรกรที่ปลูกพลูคาวจะมีตลาดรองรับมากขึ้นนั่นเอง.
ที่มา เดลินิวส์

เมื่อไหร่ที่ควรจะทิ้งเครื่องสำอาง

ผู้หญิงหลายคนมีเครื่องสำอางมากมายอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง บางชนิดก็เก็บไว้นานแต่ไม่อยากทิ้งหรือเครื่องสำอางบางชิ้นก็ไม่ระบุวันหมดอายุเลยไม่รู้ว่าต้องทิ้งตอนไหน

การใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุอันตรายมากกว่าที่คิด เพราะเครื่องสำอางเป็นแหล่งที่อยู่ชั้นดีของแบคทีเรีย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้ทาตา พวกอายชาโดว์ อายไลเนอร์ หลังจากเปิดใช้แล้ว 3 เดือน เพราะแบคทีเรียจะเข้าไปสะสม ซึ่งสารกันบูดก็อาจไม่สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ และอาจทำให้ผู้ใช้ติดเชื้อตาแดง

ขณะที่แป้งและรองพื้นควรจะทิ้งเมื่อเปิดใช้แล้วประมาณ 1 ปี หากใช้ต่ออาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เกิดเป็นจุดแดงเล็กๆ คล้ายสิว และอุปกรณ์แต่งหน้าก็ควรเปลี่ยนบ่อยๆ อย่างฟองน้ำที่ใช้ทารองพื้นควรเปลี่ยนหรือซักอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

ข้อสำคัญคืออย่าใช้ลิปสติกร่วมกับคนอื่น เพราะอาจติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคเริมได้ แม้ว่าเจ้าของลิปสติกแท่งนั้นจะไม่มีอาการใดๆ ให้เห็นก็ตาม

การทิ้งเครื่องสำอางราคาแพงอาจเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากสำหรับผู้หญิง แต่เมื่อเทียบกับผลเสียที่จะได้รับเมื่อใช้เครื่องสำอางหมดอายุ เช่น ผิวหนังอักเสบหรือเป็นสิว ซึ่งต้องเสียเงินและเวลาในการรักษา ถือว่าคุ้มค่า หากไม่รู้ว่าชิ้นไหนควรจะทิ้ง แนะนำให้ลองดมกลิ่น เพราะเครื่องสำอางที่มีกลิ่นผิดปกติไปจากเดิมแสดงว่ามีแบคทีเรีย.

ที่มาโดยทีมเดลินิวส์ออนไลน์

สัตว์เป็นมากกว่าเพื่อน

นอกจากเราจะเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนแล้ว การเลี้ยงสัตว์ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความรักและปรารถนาดีต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ มันไม่เคยหักหลัง มีแต่รับฟังด้วยความเข้าใจ และมอบความอบอุ่นให้มนุษย์เสมอ ทำให้ผู้เลี้ยงรู้สึกมั่นคงในอารมณ์และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีคนรัก ซึ่งช่วยผู้ป่วยทางจิตได้

ที่สำคัญนักวิจัยยังพบว่า คนไข้โรคหัวใจที่เลี้ยงสัตว์จะมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ไม่เลี้ยงถึงร้อยละ 3 คนที่เลี้ยงแมวและสุนัขมักจะไม่เป็นโรคปวดหัวและปวดหลัง สัตว์เลี้ยงช่วยลดความดันโลหิตและคอเรสเตอรอลในเลือดของเจ้าของ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อย ซึ่งเป็นเพราะอารมณ์เย็นและได้เดินออกกำลังกายพร้อมสัตว์เลี้ยงนั่นเอง

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่า ปกติแล้วคนที่มีสัตว์เลี้ยงมักจะมีจิตใจดี เอื้ออาทรต่อสัตว์ และเพื่อนมนุษย์มากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงด้วย.
ที่มา เดลินิวส์

ร้าน Champoo Shop

ร้าน Champoo Shop เสื้อผ้าเด็กสไตล์เกาหลี ราคาถูกๆ จร้า!!!
ร้าน Champoo Shop เสื้อผ้าเด็กสไตล์เกาหลี ราคาถูกๆ จร้า!!!

วิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์

วิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์..สำหรับคุณแม่ยุคใหม่
เดี๋ยวนี้ผู้หญิงดูแลตัวเองกันมากขึ้น ส่วนใหญ่ใช้ครีมและเครื่องสำอางกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ระหว่างที่มีเจ้าตัวเล็กอยู่ในครรภ์ จะใช้เครื่องสำอางที่มีอยู่เดิมก็กลัวจะมีผลต่อเด็ก แถมในประเทศเรายังไม่มีผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ คุณแม่มือใหม่จะทำอย่างไรดี นพ.ชัยประสิทธิ์ บาลมงคล อายุรแพทย์โรคผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี แนะนำวิธีเลือกใช้เครื่องสำอางในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงการแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายหลังคลอดว่า ความจริงแล้ว เครื่องสำอางที่ขายตามท้องตลาดนั้นค่อนข้างปลอดภัย จึงสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อที่ตั้งกันแทบทุกซอย เพียงแต่เพิ่มความใส่ใจนิดเวลาเลือกซื้อเครื่องสำอาง

การเลือกเครื่องสำอางสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ มีวิธีการเลือกอย่างไร

แนะนำให้อ่านฉลากข้างขวดหรือกล่อง มองหาส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ และจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้นถ้าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมี หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย และเลือกแบรนด์ที่มีขายทั่วไป เชื่อถือได้ อย่าซื้อเพราะเชื่อเพื่อน หรือคำโฆษณาอวดอ้างว่าดี โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่นำเข้ามาเอง หรือผสมเอง เพราะเราไม่ทราบแหล่งผลิดที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องสำอางราคาแพงแต่อย่างใด

การแต่งหน้าสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ควรเป็นลักษณะใดบ้าง

จริงๆ แล้วผู้หญิงขณะตั้งครรภ์จะดูมีน้ำมีนวลขึ้น ดูสวยขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งเติมอะไรมาก คุณแม่ทุกท่านสามารถดูดีได้ด้วยการดูแลผิวให้สะอาดและแข็งแรง โดยล้างหน้าด้วยเจลหรือโฟมอ่อนๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หลังจากนั้นทาครีมหรือโลชั่นให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวเดิม และที่สำคัญคือทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีหรืออัลตราไวโอเลตที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ ถ้าแต่งหน้าด้วยครีมรองพื้นหรือแป้งตลับซึ่งมีไขมันเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก ต้องทำความสะอาดให้ดีทุกครั้งหลังใช้เพื่อป้องกันการเกิดสิวอุดตัน เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปทำให้คุณแม่บางท่านมีสิวเห่อขึ้นได้ง่าย

เครื่องสำอางประเภทไหนที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง

ระหว่างตั้งครรภ์ ผิวจะมีการเปลี่ยนแปลง บางคนจะมีผิวที่แพ้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงผลิตภัฑณ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ขาว (Whitening) หรือผลัดผิว ที่เราคุ้นหูได้ยินกันบ่อยๆ ได้แก่ กรดผลไม้หรือ AHA เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้ ถ้าต้องการใช้ ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำก่อน นอกจากนี้การขัดถู หรือสครับบ่อยเกินความจำเป็นก็อาจทำร้ายผิวมากขึ้นไปอีก

หากมีการใช้เครื่องสำอางไม่ถูกต้องหรือเกิดอาการแพ้ จะมีการแสดงอาการอย่างไรบ้าง และมีผลกระทบต่อลูกในครรภ์หรือไม่ อย่างไร และควรมีการแก้ปัญหานี้อย่างไร

การแพ้มีหลากหลายรูปแบบ การแพ้ทางผิวหนังที่พบได้บ่อยคือเกิดจากการระคายเคืองหรือการสัมผัส โดยอาจเกิดเป็นตุ่มหรือผื่นแดง ถ้าเป็นมากอาจเป็นตุ่มพอง ตุ่มใสหรือมีน้ำเหลืองซึมได้ อาจมีอาการแสบหรือคันร่วมด้วย ถ้าเป็นไม่มาก ให้หยุดใช้ สักพักอาการจะทุเลาลง แต่ถ้าไม่หายหรือกลับเป็นมากขึ้น แนะนำให้พบแพทย์ผิวหนังเพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมต่อไป และควรแจ้งแพทย์ด้วยทุกครั้งว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่เพื่อเลือกยาที่ไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ โดยทั่วไปแล้วการแพ้แบบนี้ไม่มีผลกระทบต่อเด็ก จึงไม่ต้องกังวลมากนัก

เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมใดที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้และเป็นอันตราย

หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของโลหะหนักซึ่งมักพบในครีมแก้ฝ้าหรือครีมช่วยให้หน้าขาว เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนออกมาค่อนข้างมาก ทำให้สีผิวเข้มขึ้นในหลายๆ ตำแหน่ง เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ หน้าท้อง และรอบหัวนม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่คุณผู้หญิงกลัวกันมากที่สุดคือฝ้า ดังนั้นจึงสรรหาครีมต่างๆ มาทาเพื่อให้รอยดำต่างๆ เหล่านี้จางลง ต้องระวังครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีส่วนผสมของโลหะหนักเช่น ปรอท ซึ่งนอกจากใช้ติดต่อกันจะทำให้เกิดฝ้าถาวรแล้ว ปรอทยังมีผลต่อระบบประสาท ทำให้ทารกในครรภ์พิการได้

รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรักษาสิว เนื่องจากอาจมีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ ซึ่งจากรายงานพบว่าถ้าได้รับโดยการรับประทานขณะตั้งครรภ์สามารถทำให้เด็กเกิดความผิดปกติหรือแท้งได้ โดยปกติแพทย์จะหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่มนี้ทั้งในรูปของยารับประทานและชนิดทาที่ผิวหนัง

เครื่องสำอางแบบใดที่เหมาะสมกับกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์

ใช้เครื่องสำอางพื้นฐาน เช่น ครีมบำรุงและครีมกันแดดก็เพียงพอแล้ว โดยมองหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติหรือออกแบบสำหรับผิวแพ้ง่าย ปราศจากสี น้ำหอม หรือสารกันบูดที่ไม่จำเป็น

ความคิดเห็นของคุณหมอคุณแม่ตั้งครรภ์ก็สามารถสวยได้ (เป็นคำแนะนำ)

ช่วงระหว่างตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะอยู่ในความทรงจำของคุณแม่ตลอดไป เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่มีน้องตัวน้อยๆ ค่อยๆ เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ จึงควรเป็นช่วงที่คุณแม่มีความสุข ถ้าทำอะไรแล้วคุณแม่สบายใจ มั่นใจขึ้น ก็ลงมือทำเลย แต่ถ้าทำแล้วกังวล เครียด ไม่มั่นใจว่าจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ ก็เลื่อนไปใช้หลังคลอด ดังนั้นแนะนำทำจิตใจให้สบาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์และน้ำอย่างพอเพียง ออกกำลังกายบ้าง งดของมึนเมาและบุหรี่ อย่าลืมว่าความงามภายนอกก็มาจากการดูแลจากภายในเช่นกัน

ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นความรู้กับคุณแม่ตั้งครรภ์

หากมีข้อสงสัยในผลิตภัณฑ์ใดๆ แนะนำอ่านฉลากข้างกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ว่าห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์หรือไม่ หรือมองหาส่วนผสมว่ามีสารอันตรายดังที่กล่าวไปข้างต้นไหม ถ้ามีให้หลีกเลี่ยง หรือเลือกซื้อจากร้านที่มีเภสัชกรประจำเพื่อช่วยคัดกรองอีกขั้นตอนหนึ่ง

ศูนย์ผิวหนัง เลเซอร์และความงาม โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com
ที่มา ไทยรัฐ

ของเล่นอะไร? ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาสมองลูก

ของเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาสมองลูกการเลือกซื้อของเล่นให้กับลูกบางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัจจุบันมีของเล่นมากมายหลากหลายประเภทที่ผลิตออกมาสู่ท้องตลาด ของเล่นบางอย่างอาจจะยากและซับซ้อนเกินไปจนทำให้เด็กขาดความสนใจ หงุดหงิด จนอาจพาลทำลายของเล่นนั้นได้ หรือของเล่นบางอย่างอาจจะง่ายเกินไป ไม่ท้าทายความสามารถของเด็ก
ดังนั้นสิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกของเล่นสำหรับเด็ก คือเรื่องของอายุ และ วุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน วันนี้ผู้เขียนมีเทคนิคการเลือกของเล่นง่ายๆสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในการเลือกของเล่นที่เหมาะสมกับลูกของท่าน ดังนี้

1. ต้องเป็นของเล่นที่ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อนต่างๆ
2. เป็นของเล่นที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
3. เป็นของเล่นที่เด็กได้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ
4. ท้าทายความสามารถ
5. ได้แสดงความเก่ง
6. ได้ใช้ทักษะทางด้านร่างกาย
7. เร้าความสนใจ สร้างจินตนาการ
8. สามารถเล่นบทบาทสมมุติ
9. ฝึกสมาธิ
10. ไม่มีราคาแพงจนเกินไป
11. มีคุณค่าทางจิตใจ

แนะนำของเล่นที่น่าสนใจ

บล็อก : ไม้บล็อก ตัวต่อ แท่งไม้ มีขนาดและสีหลากหลายต่าง ๆ กัน

ตุ๊กตา : หุ่นมือ ตัวสัตว์ต่างๆที่ทำด้วยผ้า หรือนุ่น

อุปกรณ์ในการเล่นบทบาทสมมุติ : ชุดหม้อข้าวหม้อแกงเด็กเล่น เงินปลอม กล่องทอนและเก็บเงิน ชุดแต่งตัวแฟนซี (เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า)

ตัวต่อ : ภาพต่อ 4-10 ชิ้น การร้อยลูกปัด

หนังสือ : หนังสือภาพ คำคล้องจอง เพลงกล่อม เทป/ซีดีเพลง เครื่องอัดเสียง นิตยสาร

ของเล่นพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ : เครื่องปีนป่าย ไม้กระดาน ไม้ลื่น ราวโหน จักรยานสามล้อ ห่วงใหญ่ๆ ลูกบอล

ของเล่นพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก : การเท การตัก การตอก การตี การปัก แป้งปั้น เล่นน้ำ เล่นทราย เล่นดิน

ของเล่นสำหรับงานศิลปะ : กระดาษ ดินสอและปากกาสีแบบต่างๆสำหรับเด็ก กรรไกร กาว แป้งโดว์

ของเล่นนับเป็นสื่อสำคัญอย่างหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็ก เพราะเมื่อเด็กได้ลงมือเล่นเด็กจะเรียนรู้ในการแก้ปัญหา พัฒนาทักษะการคิด ฝึกความอดทน ฝึกสมาธิ นอกจากนี้ของเล่นเป็นเหมือนสื่อกลางในการเปิดโลกจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ดังนั้นของเล่นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็กเล็กนั้น เพราะในวัยนี้สมองของเด็กมีการทำงานและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเลือกของเล่นที่ดีและเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก จะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ในอนาคต
ของเล่นอะไร? พัฒนาสมองลูก/ดร. สุพาพร เทพยสุวรรณ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นอนท่าไหนอย่างไรให้ ไม่ปวด-ไม่เมื่อย

บ่อยครั้งหลังตื่นนอนแล้วลุกขึ้นจากเตียง หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณคอและหลัง สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเคล็ดลับในการแก้ไขก็เพียงแค่นอนในอิริยาบถที่ถูกที่ควรย่อมช่วยบรรเทาได้

อย่างท่านอนหงาย ที่เหมาะสมคือ นอนหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่คดงอ กระจายน้ำหนักไปให้ทั่วตัว เคล็ดลับลดความเสี่ยงอาการปวดหลังอยู่ที่การนำหมอนใบพอเหมาะหรืออาจใช้ผ้ารองไว้ใต้เข่า ช่วยให้บั้นเอวไม่แอ่นขึ้น ลดโอกาสการปวดหลังได้

ขณะที่ท่านอนตะแคง ควรป้องกันลำตัวบิดด้วยการใช้หมอนข้างหรือหมอนรองลำตัวช่วงแขนและขาเอาไว้ ซึ่งก็คือการนอนกอดหมอนข้างนั่นเอง ทั้งนี้ควรนอนตะแคงด้านขวาจะไม่รบกวนการทำงานของหัวใจ

นอนมาตั้งหลายชั่วโมง ตอนตื่นจะลุกขึ้นจากเตียงก็เป็นช่วงที่สำคัญ ควรลุกออกมาจากท่านอนตะแคงแล้วค่อยๆ ใช้มือพยุงลำตัวให้ยกขึ้น นั่งพักสักครู่แล้วจึงลุกยืน

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการเลือกที่นอนให้เหมาะกับน้ำหนักตัว สำหรับคนที่น้ำหนักตัวมาก ควรนอนบนที่นอนแข็ง ป้องกันสะโพกจมที่นอนทำให้บั้นเอวแอ่นและปวดหลัง ส่วนคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและคนน้ำหนักน้อย สามารถนอนบนที่นอนนุ่มหรือแข็งก็ได้ เนื่องจากการกระจายน้ำหนักตัวไม่เป็นปัญหา.
takecareDD@gmail.com
ที่มาเดลินิวส์ออนไลน์

‘แคนตาลูป’กินดีซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

ด้วยต้นสัปดาห์ ‘มุมสุขภาพ’ กล่าวถึงเรื่องการเจาะ-การสักที่รบกวนผิวหนังและเนื้อเยื่อ วันนี้ ‘กินดี’ จึงส่งผลไม้เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ แถมยังช่วยแก้ปัญหาผิวอีกด้วย ซึ่งก็คือ ‘แคนตาลูป’ พืชตระกูลแตง บางคนเรียก แตงเทศ, แต่งฝรั่ง หรือแตงคุณหนู เพราะไม่ใช่ผลไม้ไทยแท้ๆ ระหว่างกาเพาะปลูกในบ้านเรา เกษตรกรก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ

สำหรับสรรพคุณของแคนตาลูป อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ อย่าง วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาสิว วิตามินซี จะทำให้แผลหายเร็ว ส่วนสารอาหารอื่นๆ ที่มีในแคนตาลูป ประกอบด้วย กรดโฟลิก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และวิตามินบี1 บี2 และบี6 จัดเป็นผลไม้ที่ล้างพิษได้อย่างอ่อนโยนกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ช่วยดับร้อน ลดไข้ รักษาการอักเสบของลำไส้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ

ส่วนเครื่องดื่มสุขภาพจากแคนตาลูป ปรุงดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม...

แคนตาลูป 3 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแคนตาลูป โดยจะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ หั่นพอหยาบ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็ง ดื่มทันที.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

นอนหมอนไม่เหมาะเสียสุขภาพ

ในแต่ละวันคนเราต้องนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เสมือนเป็นการชาร์จพลังให้กับร่างกาย ทว่าช่วงเวลาแห่งการหลับใหลไม่ราบรื่นเพราะหมอนที่ใช้หนุนไม่เหมาะสม อาจทำให้ตอนตื่นรู้สึกไม่สดชื่น คล้ายกับนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ระหว่างวันจะรู้ง่วงเหงาหาวนอน

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการนอนหนุนหมอนที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ อาจทำให้นอนกรน เนื่องจากนอนบนหมอนที่สูงเกินไปทำให้ทางเดินหายใจแคบ เมื่อลมหายใจเคลื่อนผ่านบริเวณทางเดินหายใจของช่องคอที่แคบ จะเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน ซึ่งภาวะนอนกรนนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การนอนหลับด้อยคุณภาพหรือนอนหลับไม่สนิท

นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ อาจเป็นเพราะนอนหมอนที่สูงหรือต่ำเกินไป ทำให้บางคนเกิดอาการปวดต้นคอ เอี้ยวหันคอไม่ได้ และมักเกิดขึ้นหลังจากตื่นนอนตอนเช้า จนเข้าใจว่าเป็นอาการนอนตกหมอน ที่บ้างคนแก้เคล็ดด้วยการนำหมอนเจ้ากรรมนั้นไปตากแดด

ส่วนใหญ่อาการนอนตกหมอนมักทุเลาและหายไปเองราว 2-3 วัน แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากนอนในท่าที่ไม่เหมาะ คอพับ คอแหงนมากเกินไป หรือเคลื่อนไหวคอผิดท่า ซึ่งคนเราจะไม่รู้ตัวเพราะกำลังหลับอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาทั้งการนอนกรนหรือนอนตกหมอนอยู่ที่การเลือกหมอนให้เหมาะสม และพรุ่งนี้ ‘มุมสุขภาพ’ เตรียมข้อมูลรอให้ติดตามแล้ว.
takecareDD@gmail.com
ที่มา ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

รู้เท่ากัน'โรคคอเกร็ง' ปรับพฤติกรรมลดความเสี่ยง

เพราะอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมีความสำคัญ หากเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับส่วนหนึ่งส่วนใดแล้วย่อมส่งผลต่อสุขภาพนำมาซึ่งอุปสรรคในการดำรงชีวิต

“คอเกร็ง” อีกอาการความ เจ็บป่วยที่อาจถือได้ว่าเป็นภัยเงียบโดยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศวัย ซึ่งในอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อส่งผลให้ร่างกายส่วนนั้นมีรูปร่างผิดปกติไปและเคลื่อนไหวได้จำกัด

รองศาสตราจารย์วิวัฒน์ วจนะวิศิษฐ หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยา ลัยมหิดล ให้ความรู้เล่าถึงอาการดังกล่าวว่า คอเกร็ง เป็นอาการปวดคออย่างรุนแรงซึ่งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและซอกคอหดเกร็งและเมื่อขยับเคลื่อนไหวคอเพียงนิดหน่อยก็จะมีอาการปวด

อาการปวดคออาจจะเกิด ขึ้นอย่างเฉียบพลันและอาจจะเกิดเป็นซ้ำ ๆ ได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอาจนำสู่การปวดเรื้อรังซึ่งกรณีการปวดคอเกร็งเป็นการปวดอย่างเฉียบพลัน สาเหตุมีด้วยกันหลายประการ แต่ที่มักพูดกันถึงเป็นเรื่องของหมอนรองกระดูกคอเสื่อม ซึ่งก็ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งลำคอ

“หมอนรองกระดูกเสื่อมของคอพบได้ในคนทั่วไปนับแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเมื่อหมอนรองกระดูกคอเสื่อมโรคที่จะตามมาด้วยคือกระดูกงอกหรือที่เรียกกันว่าหินปูนเกาะโดยจะเกิดอยู่รอบหมอนรองกระดูกและข้อต่อซึ่งถ้ากระดูกงอกนี้ไปเบียดเส้นประสาทจะทำให้เกิดอันตรายได้

ประเด็นสำคัญคือเมื่อมีอาการปวดเกิดขึ้น ร่างกายจะมีอาการเกร็งทางกล้ามเนื้อซึ่งเมื่อมีอาการดังกล่าวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดเบื้องต้นต้องหยุดการเคลื่อนไหวโดยอาจนอนพักหรือใส่ปลอกคอช่วยพยุง อาจทานยาแก้ปวด ใช้ถุงน้ำร้อนประคบก็จะช่วยลดคลายอาการปวด กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว”

ส่วนกรณีที่เกิดการปวดเพิ่มขึ้นและปวดไล่จากหัวไหล่ไปถึงแขนลงไปถึงปลายมือ หากมีอาการปวดร้าวลักษณะนี้ก็อาจแสดงให้เห็นว่ามีความเสื่อมเหล่านี้มีมากขึ้น มีหินปูนเข้าไปเบียดกดรากประสาทแขนทำให้เกิดอาการปวด รวมทั้งถ้ามีอาการชาร่วมด้วยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด อีกภาวะที่ถือว่ามีความเป็นอันตรายสูงคือ การกดไขประสาท ซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

“การสังเกตว่ามีการกดทับไขประสาทบริเวณนี้หรือไม่ เบื้องต้นอาจสังเกตได้จากขาทั้งสองข้างซึ่งหากมีอาการเกร็ง กระตุกของขา เดินไม่ถนัด โดยอาจทดสอบด้วยตนเองได้ด้วยการเดินต่อเท้าก้าวต่อก้าว หากไม่สามารถเดินทรงตัวได้ก็แสดงว่ามีอาการเบียดกดประสาทไขสันหลังก็ต้องรีบรับการรักษาและในกรณีนี้ก็มักต้องได้รับการผ่าตัด

กรณีการปวดธรรมดา ปวดบริเวณต้นคอมีกล้ามเนื้อเกร็ง รวมทั้งกลุ่มที่ปวดร้าวมาที่ปลายแขนจากกดทับรากประสาทส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ต้องผ่าตัด สามารถรักษาได้โดยการทำกายภาพบำบัด ทานยาแก้ปวด ลดอักเสบ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะหายจากอาการดังกล่าวได้ ”

การสังเกตอาการสิ่งนี้มีความสำคัญ หากพบว่ามีการปวดร้าวมาที่แขน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา การเดินผิดปกติทรงตัวได้ไม่เหมือนเดิม ฯลฯ การสังเกตเหล่านี้จะช่วยให้รู้ว่ากรณีไหนมีความเร่งด่วนควรต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ซึ่งการรักษาดังที่กล่าวนั้นมีด้วยกันหลายวิธี

นอกจากนี้พฤติกรรม ที่ผิดไปจากปกติ ไม่ว่าจะเป็น การนั่งทำงาน เขียนหนังสือ พิมพ์งาน นั่งโต๊ะกับเก้าอี้ที่ไม่เหมาะสมกัน อย่างการเขียนหนังสือติดต่อกันหลายชั่วโมง พิมพ์คอมพิวเตอร์นาน ๆ ก้มคอทำงานอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานก็อาจทำให้มีความเสื่อมของกระดูกคอเกิดขึ้นได้ง่าย

สาเหตุของการเกร็งของกล้ามเนื้อในกรณีอุบัติเหตุการเล่นกีฬาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการอักเสบของกล้ามเนื้อคอหรือเกิดจากการเอี้ยวคอผิดท่าก็อาจเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อคอได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้อีกภาวะที่พบบ่อยครั้งและระยะหลังก็มีการกล่าวกันถึงมากขึ้นคือ ภาวะพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งก็ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยมักจะเกิดขึ้นได้นับแต่ บริเวณท้ายทอยด้านหลังทั้งสองข้าง มาถึงต้นคอ สะบักทั้งสองข้าง รวมถึงหัวไหล่ ซึ่งลักษณะของการปวดดังกล่าวนี้จะมีลักษณะเฉพาะที่สามารถตรวจพบได้ที่เรียกว่าพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบที่มีจุดกดเจ็บ ภาวะนี้เป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง แต่มักจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงต่อร่างกาย นอกจากจะสร้างความรำคาญ ใช้งานไม่ถนัด อ่อนเพลียง่าย และส่วนใหญ่จะปวดมากตอนกลางคืน ทำให้นอนไม่หลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

ในความเจ็บปวดดังกล่าวที่เป็นเรื้อรังยังพบว่ามีความสัมพันธ์ต่อจิตใจของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังมักจะพบอาการซึมเศร้าร่วมด้วย แต่อย่างไรก็ตามสามารถที่จะ รักษาให้หายขาดได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหากได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เนื่องจากสาเหตุเกิดจากพังผืดของกล้ามเนื้อมีการหดตัว เกร็งเป็นก้อน หลักการรักษาก็จะต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อเหยียดตัวออก

การรักษาเบื้องต้นก็จะมีท่ากายบริหารที่สามารถปฏิบัติได้โดยง่าย รวมทั้งการใช้ความร้อนประคบหรืออาจใช้การนวดกดจุดคลายกล้ามเนื้อที่มีอาการเกร็ง หรือการฉีดยาชาลดการปวดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการรักษาให้ห่างหายจากอาการปวดเหล่านี้

ดังนั้นก่อนจะต้องเสี่ยงหรือเผชิญกับโรคคอเกร็ง อาการปวดคอที่ไม่เพียงสร้างความทุกข์ทรมานความเจ็บปวดส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันก็คงจะต้อง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย

หันมาสนใจดูแลรักษาสุขภาพไม่มองข้ามความสำคัญของการพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่วมกับกายบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง รวมทั้งการรับประทานอาหารที่สะอาดหลากหลายมีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งนอกจากจะช่วยให้ห่างไกลจากอาการดังกล่าวแล้วยังเป็นอีกเกราะป้องกันโรคภัยต่าง ๆ อีกด้วย.

ทำงาน-พักผ่อนให้พอดี หลีกหนีโรค 'เบิร์น เอาท์'

เพราะสาว ๆ ยุคใหม่ต้องทำงานทั้งนอกบ้านในบ้านแถมยังต้องดูแล ลูก ๆ ควบคู่ไปด้วยไม่มีวันหยุดพักผ่อนที่เพียงพอจนเกิดอาการเหนื่อยล้า สมองไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความเครียด นี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าจิตใจของเรากำลังเสี่ยงเป็น โรคเบิร์น เอาท์ ซินโดรม “Burn Out Syndrome” ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะอาจลุกลามเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

ผศ.ดร.นพ.ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข ผู้อำนวยการคลินิกเฉพาะโรค ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค “Burn Out Syndrome” ว่า Burn Out หมายถึง การทำงานหนักมากเกินไปไม่ได้สัดส่วนกับการพักผ่อน จนเกิดอาการสมองไม่แล่น ความจำไม่ดี อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนไม่หลับ นักจิตเวชชาวอเมริกัน เฮอร์เบิร์ต เจ ฟลอยเดนเบอร์เกอร์ ได้นำชื่อ Burn out มาใช้ในการรักษาทางจิตเวชเมื่อปีค.ศ. 1974 ซึ่งก็คือโรคจิตทางหนึ่งมักเกิดกับคนที่ตั้งความหวังไว้สูงเกี่ยวกับตัวเองและต้องการความเพอร์เฟกต์จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจ

จริง ๆ แล้วคนไทยมักมีอาการ “Burn Out” โดยไม่รู้ตัว เพราะคนไข้ที่มาพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่มักเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว นอกจากนี้หญิงไทยยังมีโอกาสเป็นโรค Burn Out Syndrome สูงเพราะต้องแบกภาระมากมายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเป็นโรคจิต โรคเครียด โรคประสาทมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ซึ่งถ้าคนเราทำงานมากกว่าสัดส่วนของการพักผ่อนก็เกิดอาการนี้ได้ แต่หากทำงานแล้วพัก เช่น ทำงาน 1 ชั่วโมงควรใช้สมอง 45 นาที แล้วพัก 10-15 นาที สมองจะได้พักและขจัดเมตาบอลิซึ่มของเสียต่าง ๆ ออกไปซึ่งควรทำเช่นนี้ทุก ๆ ชั่วโมง วันหยุดงานก็เช่นกันทั่วโลกทำงานกัน 5 วันพัก 2 วัน ใน 1 สัปดาห์ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่า Burn Out ที่ไม่ได้สัดส่วนคือทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาหยุดพักหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจะหมดเรี่ยวแรงและพลังไปในที่สุด

หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ได้มากกว่า 100 โรค เช่น โรคเกี่ยวกับหู โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โดยสัญญาณแรกคือหมดพลัง ไม่กระตือรือร้น เฉื่อยชา ความจำแย่ลง ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนแรง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ประสาทเครียด ความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อสูง ซึ่งส่วนมากคนที่เป็นโรค Burn Out มักหาทางออกปลอบจิตตัวเองด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ กินยานอนหลับ กินอาหารที่มากเกินไปและสูบบุหรี่จัด ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีในการรักษา

ดังนั้นข้อแนะนำในการรักษาคือ ควรทำงานและพักผ่อนให้ได้สัดส่วน ซึ่งสัดส่วนที่พอดีของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจมากหรือบางคนอาจน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในการจัดความสำคัญของงานว่างานใดควรทำก่อนทำหลัง หากจัดสรรเวลาได้ดีแล้วควรมีกิจกรรมคลายเครียด เช่น พูดคุยหรือออกกำลังกายร่วมกับเพื่อน ๆ เพราะการออกกำลังกายทางจิตวิทยาถือว่าเป็นการให้คุณค่าแก่ตัวเราเอง

สาว ๆ ทราบแบบนี้แล้วอย่าทำงานจนโอเวอร์มากเกินไป เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมาอีกมากมายทีเดียวค่ะ.

- สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก จัดโครงการ “พลังเลือดใหม่...ถวายแด่พ่อของแผ่นดิน” เนื่องในโอกาสมหามงคลครบ 7 รอบพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2554 ประจวบกับปี 2554 นี้เป็นปีที่กรมแพทย์ทหารบกมีอายุครบ 111 ปี ในวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา จึงขอเชิญชวนนิสิตนักศึกษา ทหาร และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตที่ กองธนาคารเลือด สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนธันวาคม 2554 สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2354-7572

- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ จัดประชุมวิชาการเรื่อง “นวัตกรรมสู่การป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย” พร้อมเปิดตัว “โรบอตเทคโนโลยีสุดล้ำ ระบบการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่สมบูรณ์แบบเครื่องแรกในประเทศไทย” ที่ทำให้ผลการตรวจมีความรวดเร็ว แม่นยำ ได้มาตรฐาน ใน วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 10.00-12.00 น. ณ Grand Millennium Hotel สุขุมวิท (อโศก) สนใจสอบถามโทร. 08-1377-2111

- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ขอเชิญผู้สนใจฟังบรรยายเรื่อง “ดูแลอย่างไรให้ห่างไกลสมองเสื่อม” ใน วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 13.00–16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 12 อาคารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สุขุมวิท 3 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับ 20 ท่านแรกที่สำรองที่นั่งล่วงหน้าจะได้รับการตรวจประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นเรื่องความจำเสื่อม (ผู้ที่ได้รับการตรวจต้องมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป) สำรองที่นั่งได้ที่ โทร.0-2667-2000

- โรงพยาบาลเจ้าพระยา ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมกิจกรรม “โครงการครอบครัวยุคใหม่...สุขใจเมื่อตั้งครรภ์” ครั้งที่ 4 ใน วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 09.00-12.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลเจ้าพระยา สำรองที่นั่งได้ที่คลินิกสูตินรีเวชเที่ยงคืน โทร.0-2434-1111 ต่อ 1208, 1218

- โรงพยาบาลไทยนครินทร์ร่วมกับ S-26 Mom ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์และผู้สนใจร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “5 สัมผัส สร้างลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์” ใน วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 08.30–12.00 น. ณ ห้องประชุม A ชั้น 4 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ บางนา-ตราด กม. 3.5 สำรองที่นั่งฟรีได้ที่ โทร.0-2361-2727 ต่อ 3042, 3056
ที่มา เดลินิวส์

อย่าห้ามเด็กพูดคนเดียว

ผู้ปกครองหรือคนที่มีโอกาสอยู่ร่วมกับเด็กเล็กที่อายุไม่ถึง 10 ขวบ อาจจะเคยพบว่า ลูกหลานชอบพูดคนเดียว เหมือนเป็นพฤติกรรมที่ไร้สาระ แต่แท้จริงแล้วการกระทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญและส่งผลต่อชีวิตและอุปนิสัยของเด็กในอนาคต

นักจิตวิทยาค้นพบว่า การพูดพึมพำคนเดียวของเด็กแสดงว่า เด็กคนนั้นกำลังใช้ความพยายามแก้ปัญหาหรือไขความสับสน ยิ่งกิจกรรมยากเขาก็จะยิ่งพูดกับตัวเองมาก ดังนั้น หากผู้ใหญ่เห็นเด็กพูดกับตัวเองควรเข้าไปช่วยชี้แนะหรือให้กำลังใจ ไขข้อข้องใจของเด็กว่า ต้องทำเช่นนั้นเพราะอะไร เด็กจะได้เห็นวิธีการแก้ปัญหา และค่อยๆ ให้เด็กพึ่งตัวเองในครั้งหน้า เมื่อโตขึ้น เด็กจะสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยตนเอง

แต่หากผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้เด็กพูดพึมพำกับตัวเอง เด็กจะกลายเป็นคนเก็บกด ไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรมหรือเรียน และเมื่อโตขึ้นก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ในที่สุด.
ที่มา เดลินิวส์

'แพนเค้ก' รับจูบจริง 'เป้' ลั่นทำไปตามบท

เป็นเพราะในละคร “เธอกับเขาและรักของเรา” มีฉากที่นางเอกสาว แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ จูบกับพระเอกหนุ่ม เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ออกมาถี่เหลือเกิน เลยตอกย้ำกระแสข่าวที่ทั้งคู่มีด้วยกันก่อนหน้านี้ แถมยังมีข่าวลือว่าตั้งแต่แพนเค้กและพระเอกหนุ่ม เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ เลิกกัน ทำให้ถูกถอดจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าหลายชิ้น วันก่อนเจอหน้าแพนเค้กเจ้าตัวเลยแจกแจงข่าวทีละเรื่องซะเลย

แพนเค้ก เผยว่า “มันเป็นตามบทบาทมากกว่า ก็มีช่วงที่เสียใจมาก ๆ และก็มีช่วงความสุขอีกช่วงเดียว อาทิตย์หน้าละครก็จบแล้วค่ะ บทก็เขียนมาตามนั้น เราก็อยากทำให้ได้ตามที่เขาเขียนด้วยความตั้งใจ เราต้องเคารพในบทค่ะ พี่เป้เองก็มีขอโทษกันก่อน ซึ่งเราก็คุยกันในหลาย ๆ มุมอยู่แล้ว” จูบจริงทุกฉากเลยใช่มั้ย? “ก็มีมุมกล้องบ้างค่ะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแรกที่แพนจูบจริง” …จะเป็นบรรทัดฐานของเราต่อไปเลยหรือเปล่าว่าต้องจูบจริง... “ความจริงเราต้องมีความพอดี แต่พอบทบาทใหม่ ๆ เข้ามา ที่เรามีโอกาสได้ทำ บางอย่างเราก็ต้องตามบทบาทนั้น ซึ่งเราเป็นนักแสดงและทำเต็มที่ในส่วนของการทำงาน แพนเชื่อว่าเราก็โอเค ไม่ได้กลับมาคิดอะไรค่ะ” แฟนคลับเราว่ายังไงบ้าง? “ไม่มีใครว่าอะไรค่ะ ก็แล้วแต่คนจะมองมากกว่า แพนก็อยากตั้งใจทำงานในส่วนตัวเอง” …เรากลัวสาว ๆ ที่ปลื้มเป้อยู่จะโกรธมั้ย... “(หยุดคิด)... คงมีค่ะ (หัวเราะ) ก็แล้วแต่ ให้ติดตามในละครละกัน” เรายอมจูบจริงเพราะเป็นเป้หรือเปล่า? “ไม่ค่ะ ก็ร่วมงานกันมาสักพักแล้ว เราก็ต้องมีการคุยกันก่อนว่าจะให้มันออกมาในทิศทางไหน”

...ข่าวว่าแม่แพนก็เชียร์เป้อยู่นะ... “ไม่มีอะไรแบบนั้นค่ะ เรื่องนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเรา แต่คุณแม่จะคอยประคับประคองเสมออยู่แล้ว ในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นเรื่องวันข้างหน้า” เรียกว่าตอนนี้เราโสดสนิท? “ก็ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ค่ะ ส่วนเรื่องจะเปิดรับใครมั้ย ก็ยังไม่มีอะไรตายตัว ช่วงนี้เราก็มีความสุขอยู่” …ตอนนี้สเปกต้องไม่ดื่มสุราหรือเปล่า... “ว้าย ! ตอนนี้ไม่มีสเปกแล้วค่ะ บางทีปัจจัยหลายอย่างก็เยอะ ต้องดูต่อไป” ได้ยินมาว่าข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้สินค้าบางตัวถอดเราออกจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์? “ไม่จริงนะ แพนยังมีโอกาสได้ทำงานของตัวเองตามปกติอยู่ ซึ่งแพนว่าข่าวแบบนี้ก็ไม่ใช่ข่าวอะไรที่น่าตื่นเต้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งของชีวิต ก็เดินหน้ากันไปค่ะ”.
ที่มา เดลินิวส์

เทคนิคการเก็บกุ้งให้สดปรุงรสอร่อย

เทคนิคการเก็บกุ้งให้สดปรุงรสอร่อย
วิธีเลือกซื้อกุ้งควรเลือกตัวที่เนื้อแน่น กลิ่นไม่เหม็นคาว หัวติดแน่นกับลำตัวและเปลือกใส หากเป็นกุ้งแช่แข็งให้แช่ตู้เย็นในช่องธรรมดาหนึ่งคืน กุ้งก็จะละลายพร้อมปรุง แต่ถ้าต้องการปรุงอาหารทันทีให้แช่กุ้งในน้ำเย็นแล้วเปิดน้ำก๊อกลงไปในถ้วยที่แช่กุ้งด้วย ประมาณ 15 นาที กุ้งก็จะละลายนำไปประกอบอาหารได้

หากจะเก็บกุ้งให้ใส่กล่องพลาสติคแล้วใส่น้ำลงไปพอปริ่ม นำไปแช่ในช่องฟรีซ เมื่อจะใช้ก็ละลายน้ำแข็ง แต่ถ้าเป็นกุ้งแช่แข็งที่ละลายแล้ว ไม่ควรนำไปแช่แข็งเพื่อเก็บไว้ทาน เพราะเนื้อกุ้งจะยุ่ย รสชาติไม่ดี.

ที่มา ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

แผ่นป้าย'คำอวยพรอักษรจีน'เสริมโชคลาภ...สิริมงคล

ช่วงนี้เยาวราชกำลังคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้างก็หาซื้อของไหว้ บ้างก็มองหา “แผ่นป้ายคำมงคล” เพื่อนำไปติดไว้ที่บ้าน

เรื่องราวการเขียนคำอวยพรของชาวจีนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนจีนซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นและมีความหมายอย่างยิ่ง นิธิวุฒิ ศรีบุญชัยชูกุล อาจารย์พิเศษภาควิชาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เซียนพู่กันจีนอันดับหนึ่งของประเทศไทย เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียนคำอวยพรจีนให้ฟังว่า แรกเริ่มของการเขียนคำอวยพรจีนเกิดจากการเขียนคำอวยพรคู่ที่เรียกว่า ตุ้ยเหลียน

การเขียนกลอนคู่ หรือ ตุ้ยเหลียน นั้น ประพันธ์โดย หลินต้าชิน หรือ หลิ่มไต่คิม ในภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นจอหงวนคนเดียวของชนแต้จิ๋วในยุคราชวงศ์หมิง มีลักษณะเป็นข้อความ 2 วรรค ที่มีดุลของเสียงและความหมาย กล่าวคือ มีจำนวนคำหรืออักษรเท่ากัน มีความหมายที่ไปในทิศทางเดียวกัน เป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างสละสลวย คำในทุกตำแหน่งเป็นคู่สมดุลกันอย่างกลมกลืน ความหมายก็เป็นสิริมงคลโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกันก็ได้ เพราะมีเสียง หนักเบาที่สมดุลกัน ทำให้มีความไพเราะเป็นร้อยกรองอยู่ในตัวอยู่แล้ว เข้าลักษณะที่เรียกว่า กลอนเปล่า นั่นเอง

หลักในการติดคำกลอนคู่ หรือตุ้ยเหลียน มีอยู่ว่า กลอนบาทแรกจะต้องติดด้านขวาของผู้อ่าน และบาทที่สองจะติดทางด้านซ้ายของผู้อ่าน ถือเป็นเพชรงามในวรรณกรรมการประพันธ์อย่างหนึ่งของจีน สามารถใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานเทศกาลตรุษจีน เรียกว่า ชุนเหลียน นอกจากใช้ในเทศกาลตรุษจีนแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เนื่องในโอกาสวันเกิดได้อีกด้วย

นับจากนั้นก็กลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา และมีการเขียนตัวอักษรที่เป็นมงคลต่าง ๆ ตามมา โดยคำที่นิยม กันมาก คือ คำว่า ฝู ในภาษาแต้จิ๋ว อ่านว่า ฮก ถือเป็นอักษรที่มีความหมายเป็นมงคลมากที่สุดตัวหนึ่งของอักษรจีน

ตามความหมายดั้งเดิมจาก คัมภีร์หานเฟยจวื่อ ได้กล่าวไว้ว่า ฝู หมายถึง บุญวาสนา หรือโชควาสนา พร้อมด้วยทรัพย์ ยศศักดิ์และอายุยืน ซึ่งต่อมา ภายหลังได้แยกคำว่า ยศ ศักดิ์ ออกมาเป็น ลก หรือ ลู่ ส่วนความหมายของ อายุยืน คือ คำว่า สิ่ว หรือ โซ่ว และ คำว่า ฮก หรือ ฝู จึงมีความหมายเพียงแค่ ทรัพย์หรือโชคลาภ ซึ่งหากรวมกันแล้วจะเป็น ฮก ลก ซิ่ว เรียกว่า ตรีพิธพรของจีน ที่มีความหมายเป็นมงคลอย่างยิ่ง ซึ่งก็คล้ายกับจตุรพิธพรของไทย คือ พรสี่ประการ ได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ นั่นเอง

แต่บางบ้านก็จะติดคำว่าฝู กลับหัว ซึ่งเกิดจากการเล่นคำพ้องเสียง เพราะเมื่อเขียนอักษรฝูกลับหัว จะอ่านว่า ฝู เต้า แปลว่า ตัวฝูกลับหัว ซึ่งตรงกับคำพ้องเสียงของคำว่า ฝู เต้า ที่แปลว่า ความสุข โชคลาภ วาสนามาถึงบ้านเราแล้ว

การเขียนคำกลอนคู่ หรือ คำอวยพร มักนิยมใช้กระดาษแดงและอักษรสีดำ โดยจะเห็นว่าแตกต่างจากประเทศไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ ที่จะนิยมเขียนคำอวยพรด้วยอักษรสีทอง ซึ่งตรงนี้ อ.นิธิวุฒิ อธิบายให้ฟังว่า ไม่ถือว่าเป็นการเขียนที่ผิด แต่เพิ่งจะมาเปลี่ยนตัวอักษรเป็นสีทองเมื่อ 30-40 ปีก่อนหน้านี้ หลังจากที่เริ่มมีการผลิตสีต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้คำอวยพรมีความงดงามเพิ่มมากขึ้น จากความแวววาวของสีทอง จึงเริ่มมีการใช้สีทองแทนสีดำในการเขียนคำอวยพร

“ตามหลักแล้ว หรือแม้กระทั่งในปัจจุบัน ในประเทศจีนก็ยังใช้กระดาษแดงและใช้หมึกสีดำในการเขียนคำมงคลต่าง ๆ เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า กระดาษแดง ความหมาย คือ ความเป็นมงคล ส่วนหมึกสีดำ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นงานอวมงคลหรืองานศพ งานเศร้าหมอง จริง ๆ แล้ว สีที่คนจีนถือว่าเป็นอวมงคล คือ สีขาว ไม่ใช่สีดำ แต่คนไทยใช้ความรู้สึกที่เกิดกับวัฒนธรรมไทยที่มองว่าสีดำเป็นสีอวมงคล ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่

สีดำเป็นสีหมึกจีน ที่เรียกได้ว่าเป็นสีดั้งเดิม ซึ่งอยู่ในรัตนะทั้งสี่ ซึ่งประกอบด้วย กระดาษ พู่กัน แท่นฝนหมึก และจานฝนหมึก ในสมัยก่อนการจะเขียนหนังสือจะต้องทำหมึกขึ้นมาไม่ได้มีเป็นขวดเหมือนในสมัยนี้ โดยจะต้องใช้แท่นฝนหมึกผสมกับน้ำ ฝนกับจานฝนหมึกจนกลายเป็นน้ำหมึกออกมาแล้วจึงนำมาเขียน ฉะนั้น การที่ใช้หมึกสีดำเขียนนั้น ก็สื่อถึงการใช้ภูมิปัญญาของคนจีนสมัยโบราณ ที่บ่งบอกถึงผู้มีความรู้ สีดำสำหรับคนจีนจึงไม่ใช่สีอวมงคล”

นอกจากการเขียนตุ้ยเหลียน หรือ คำกลอนคู่ คำมงคล รวมทั้ง คำอวยพรต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนิยมเป็นตัวอักษร 4 ตัว ที่บ่งบอกถึงการเฉลิมฉลองในเทศกาลวันตรุษจีนแล้ว ยังเป็นการอำนวยพรซึ่งกันและกัน ซึ่งคำอวยพรนั้นล้วนเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคลทั้งสิ้น

“เป็นคำอวยพรให้มีความสุข ครอบครัวมีแต่ความเป็นสิริมงคล การค้าเจริญรุ่งเรือง รํ่ารวย ทุกคนในบ้านปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง เป็นการส่งมอบความสุข ความเป็นสิริมงคล ให้กับตนเองและครอบครัว รวมถึงให้กับผู้อื่นด้วย ถือเป็นวิธีที่ประหยัดและง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน นับเป็นการสืบสานวัฒนธรรมจีนได้อย่างมั่นคงวิธีหนึ่ง”

การเขียนคำอวยพร ในสมัยก่อนจะใช้ผู้ที่มีความสามารถในการเขียนพู่กันเป็นผู้เขียนให้ แต่ในปัจจุบันผู้มีความรู้ในการเขียนอักษรพู่กันจีนมีน้อยลง ทำให้มีการไปจ้างเขียนกันเกิดขึ้นซึ่งแหล่งใหญ่ก็คือ ย่านเยาวราช โดยจะพบเห็นได้บ่อยครั้งในช่วงเทศกาลต่าง ๆ

อ.นิธิวุฒิ กล่าวด้วยว่า เมื่อเขียนคำอวยพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนิยมนำมาติดที่ประตูหน้าบ้าน เพราะประตูหมายถึง การเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่ประตูที่เราจะต้องผ่านเข้าไป จึงเป็นจุดที่คนจีนนิยมนำไปติดกัน โดยจะติดให้เห็นเด่นชัด หมายถึงว่า คนที่เข้าไปในบ้านก็มีความเป็นมงคล เมื่อออกจากบ้านก็มีความเป็นมงคล คนที่มาพบเห็นก็มีความเป็นมงคล ทุกคนก็จะมีความสุขที่สื่อออกมาจากความหมายของตัวอักษรในนั้นด้วย

ส่วนใหญ่จะนิยมติดกันก่อนวันตรุษจีน 1 วัน หรือเมื่อไหว้เจ้าเสร็จแล้วค่อยติดก็ได้ เพื่อรับโชคเข้ามาในวันปีใหม่ ซึ่งใครจะเป็นผู้ติดก็ได้ แต่ที่นิยมกันก็จะเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน อาทิ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อความเป็นสิริมงคล

สำหรับการติดคำอวยพรจีนนั้น เมื่อติดไปได้สักระยะหนึ่ง พอซีด ๆ ช่วงกลางปี ก็จะเอาออกกันแล้ว เมื่อถึงตรุษจีนปีหน้าก็เขียนใหม่ โดยมีความเชื่อว่า ยิ่งเขียนใหม่ก็ยิ่งมีความสุขทุก ๆ ปี ไม่จำเป็นต้องติดให้เป็นถาวรวัตถุ ปีใหม่ก็เขียนใหม่ ทำใหม่ขึ้นมา จะเป็นป้ายเล็กหรือป้ายใหญ่ก็ตามขนาดประตูของบ้าน ไม่ได้บ่งบอกอะไร โดยทุกตัวอักษรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ถือเป็นสิ่งมงคลทั้งสิ้น.

ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

แนะวิธีมาเป็นภรรยาที่ดีกันเถอะ

เป็นความจริงที่ผู้หญิงหลายท่านอาจไม่ทราบ แต่สิ่งที่เรียกว่าคุณสมบัติ ของ "ภรรยาที่ดี" นั้นมีอยู่ในตัวของทุกท่านอยู่แล้ว เพียงแต่อาจนอนหลับอย่างสงบเงียบจนคุณหลงลืมมันไป หรือบางท่านก็มีครบทุกข้อที่กล่าวด้านล่าง เพียงแต่ยังไม่มีใครบอกกับคุณเสียทีว่า คุณเป็นภรรยาที่ดีพร้อม

ถ้าเช่นนั้นแล้ว ลองมาติดตามดูกันไหมคะ ว่าคุณสมบัติใดบ้างที่เหล่าสามีเขาอยากได้จากภรรยาที่แสนดีข้าง ๆ ตัว

1. เป็นคนร่าเริง จิตใจดี ไม่พูดจาหยาบคายกับสามี คนในครอบครัว หรือเพื่อนบ้าน ใจเย็น มองโลกในแง่บวก พยายามทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว และมีมนุษยสัมพันธ์ดี ต้อนรับสามีเวลากลับบ้านด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร และรอยยิ้ม แทนการทำหน้าบูดบึ้ง ฟังเขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากวันนี้เป็นวันที่เขาไปเจอเรื่องราวแย่ ๆ มา

2. ปฏิบัติต่อสามีอย่างให้เกียรติ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะดูละครหลังข่าวตามสถานีต่าง ๆ เสมอ ก็ต้องขอเรียนว่า สิ่งที่สามีภรรยาในละครปฏิบัติต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ "การให้เกียรติกัน" หากคุณต้องการให้คนอื่นให้เกียรติคุณ คุณเองก็ควรให้เกียรติคนอื่น ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะคนข้างกายอย่างสามี ไม่เฉพาะเวลาที่ออกไปข้างนอก แต่เวลาที่อยู่ในบ้านก็ควรให้เกียรติกันอย่างสม่ำเสมอ

3. สื่อสารเรื่องต่าง ๆ ด้วยความซื่อสัตย์ หลังจากแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ควรปิดบัง หรือเก็บความลับบางอย่างเอาไว้โดยไม่พูดคุยกัน เพราะนานวันไป สิ่งเหล่านั้นอาจกลายเป็นปัญหาได้ ในทางกลับกัน หากสามีต้องการเปิดอกคุยบ้าง ก็ควรฟังด้วยความตั้งใจ ที่สำคัญ ไม่ควรใช้วิธีบ่นว่าเพื่อให้เขาหันมาสนใจคุณเด็ดขาด

4.เป็นผู้สนับสนุนที่ดี สามีทุกคนต้องการการสนับสนุน และกำลังใจจากภรรยาที่เขาตัดสินใจแต่งงานด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เขามีปัญหา ภรรยาที่ดีก็ควรให้ความรักกับสามีไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ อีกทั้งไม่ควรพูดจาทำร้ายความรู้สึก หรือทำให้เขาเสียความเชื่อมั่น ยินดีในทุก ๆ ความสำเร็จของสามี และยกย่องเขาเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น หากคุณทำได้ ก็เชื่อว่าสามีก็จะเห็นความดีของคุณ และปฏิบัติต่อคุณเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี หากมีสิ่งใดที่คุณเป็นห่วง หรือไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของสามีก็ควรบอกเขาตามตรง ว่าคุณไม่เห็นด้วย

5. เลิกนิสัยเหน็บแนม ไม่มีใครชอบคนขี้เหน็บแนม โดยเฉพาะกลัับมาบ้านเจอภรรยาตัวเองเป็นคนแบบนั้นยิ่งไม่มีความสุขใหญ่ แต่ก็มีภรรยาจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า การทำแบบนั้นจะทำให้สามีของตนเองปฏิบัติตัวตามที่พวกเธอต้องการ ซึ่งในความเป็นจริง สามีก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การเหน็บแนมไม่เพียงแต่ไม่ให้ความเคารพกับเขา ยังสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ของคุณสองคนได้เป็นอย่างดี

6. ให้เขามีเวลา - พื้นที่ของตัวเอง เพราะคุณเองก็อยากมีเวลา - พื้นที่ส่วนตัวเช่นกัน ดังนั้นหากเขาขอเวลาไปพบปะเพื่อน ครอบครัว หรือทำงานก็ควรทำความเข้าใจ และไม่เข้าไปก้าวก่ายจนเกินพอดี

7. ทำชีวิตบนเตียงให้มีความสุข เพราะอย่างน้อย สามีคุณก็คือผู้ชายคนหนึ่ง

8. วางแผนเซอร์ไพรส์เขาบ้าง ไม่จำเป็นต้องจัดเซอร์ไพรส์ใหญ่โตเปลืองสตางค์ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้เขาประหลาดใจได้

9. บอกให้เขารู้ว่าคุณรักเขา และเขามีความสำคัญต่อคุณแค่ไหน

10 ซื่อสัตย์ มั่นคง หนักแน่นต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเข้ามากระทบในชีวิตคู่

11.ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ


12. ดูแลบ้านให้ดี คำว่าบ้านในที่นี้ยังรวมถึงเรื่องของการบริหารเงินทอง การดูแลจัดการสิ่งต่าง ๆ ในบ้านให้ดีเสมอ หากจุดไหนมีปัญหาก็หาทางซ่อมแซม ปรับปรุงให้ดี

อ่านจบแล้ว ผู้ที่เป็นสามี - ภรรยาทั้งหลายมีความคิดเห็นอย่างไร คุณภรรยาคิดว่าข้อใดทำได้ยาก หรือคุณสามีอยากให้ข้อใดเป็นไปได้จริง ๆ ลองมาแสดงความคิดเห็นกันดูก็ได้ค่ะ ทีมงานขอน้อมรับทุกความคิดเห็นด้วยความขอบคุณค่ะ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์