วิธีสร้าง "ความเป็นผู้นำ" ให้ลูกรัก/ดร.แพง ชินพงศ์

วิธีสร้าง "ความเป็นผู้นำ" ให้ลูกรัก/ดร.แพง ชินพงศ์ ความเป็นผู้นำ หมายถึง การเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในการชี้นำทางความคิดและพฤติกรรมต่อผู้อื่น อีกทั้งมีความสามารถในการกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเต็มใจจนผลงานประสบความสำเร็จตามแผนงานที่วางไว้ ดังนั้น “ความเป็นผู้นำ” จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของคนในการนำพาตนเอง สังคมและการงานไปสู่ความสำเร็จ
การพัฒนาความเป็นผู้นำของลูกที่จะได้ผลดีนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องฝึกตั้งแต่ลูกยังเล็กด้วยการหล่อหลอมอย่างต่อเนื่องและดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งวิธีการพัฒนาความเป็นผู้นำของลูกรักสามารถทำได้ ดังนี้

1. เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดสำหรับลูกทั้งในด้านความคิด การแสดงออกและการดำเนินชีวิต สิ่งต่างๆที่ลูกได้เห็น ได้รับรู้ ลูกจะซึมซับไว้ฝังแน่นจนกลายเป็นพฤติกรรมของลูกตั้งแต่เล็กไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องแสดงบทบาทของความเป็นผู้นำให้ลูกได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะมีพฤติกรรมความเป็นผู้นำเฉกเช่นเดียวกัน เช่น คุณพ่อซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัว ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ต้องมีความมานะอดทนและมีความพยายามในหน้าที่การงานจนมีความมั่นคงที่จะสามารถเลี้ยงดูภรรยาและลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งในทางตรงกันข้าม หากคุณพ่อเป็นคนที่ไม่สามารถปกครองดูแลหรือแก้ปัญหาในครอบครัวได้ หรือไม่สนใจในหน้าที่การงานของตน หรือให้ครอบครัวอยู่กันแบบตามมีตามเกิด เช่นนี้ลูกก็จะกลายเป็นคนที่เหลาะแหละ ขาดความรับผิดชอบเหมือนแบบอย่างที่เห็นหรือได้สัมผัสมานั่นเอง

2. ปลูกความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของบุคคลที่เป็นผู้นำ ดังนั้นการที่จะฝึกให้ลูกมีความเป็นผู้นำตั้งแต่เด็กนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องปลูกฝังให้ลูกเป็นคนที่มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคม โดยมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้

- ฝึกให้ลูกช่วยทำงานบ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยทำงานในบ้านตามความเหมาะสมกับระดับของวัยลูก เช่น รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ช่วยทำอาหาร เก็บเสื้อผ้า พับเสื้อผ้า ซึ่งการมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้ลูกทำ นอกจากจะฝึกให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานแล้ว ยังเป็นทางหนึ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะของความเป็นผู้นำของลูกได้เป็นอย่างดีทีเดียวเพราะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกที่คุณพ่อคุณแม่ไว้วางใจให้ลูกรับผิดชอบงานและเกิดความภาคภูมิใจที่เขาสามารถทำงานนั้นๆให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง

- ฝึกให้ลูกปลูกต้นไม้หรือเลี้ยงสัตว์ วิธีการนี้นอกจากจะฝึกให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณาและเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมรอบตัวแล้ว ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบในการดูแลเอาใจใส่ต่อสิ่งที่มีชีวิตด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ลูกพัฒนาความเป็นผู้นำที่จะสามารถดูแลครอบครัวและผู้อื่นในสังคมได้เป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต

วิธีดูแลต้นไม้ – พาลูกไปตลาดต้นไม้ และให้ลูกเลือกต้นไม้ที่ชอบเพื่อนำมาปลูกที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกปลูกต้นไม้ หลังจากนั้นให้ลูกมีหน้าที่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลรับผิดชอบต้นไม้ของตนเอง

วิธีเลี้ยงสัตว์ - หากเป็นไปได้คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้มีสัตว์เลี้ยงของตนอง โดยเลือกประเภทของสัตว์ให้เหมาะสมกับวัยของลูก เช่น ปลา สุนัข แมว โดยการให้ลูกเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่แค่เพียงให้เล่นสนุกกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่ควรมอบหมายให้ลูกมีหน้าที่ช่วยให้อาหาร ช่วยทำความสะอาดตู้ปลา หรือกรงสุนัข ช่วยอาบน้ำและดูแลเรื่องความสะอาดของสัตว์

3. เสริมสร้างให้ลูกมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนให้ลูกมีสังคม โดยเปิดโอกาสให้ลูกได้ไปทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนฝูง เช่น หากคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนลูกชักชวนให้ลูกไปเที่ยวที่บ้านของเขา ก็ควรอนุญาตให้ไป แต่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปในคราวแรก เพื่อทำความรู้จักกับผู้ปกครองและเพื่อนของลูก หรือชวนให้เพื่อนลูกมาเล่นที่บ้านของเราบ้างตามความเหมาะสม เพราะผู้นำที่ดีต้องเป็นคนที่ไม่เก็บตัวหรือทำตัวโดดเดี่ยว แต่ต้องเป็นคนที่สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ดี นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนให้ลูกได้เข้าชมรมหรือทำกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน และในช่วงปิดเทอม หากมีโอกาสคุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ไปเข้าค่ายต่างๆตามความชอบของลูก เช่น ค่ายกีฬา ค่ายดนตรี ค่ายศิลปะ ค่ายบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ เพื่อฝึกการเรียนรู้ในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ฝึกในการวางแผน การตัดสินใจ สร้างความมั่นใจในตนเอง การทำงานเป็นทีม การแบ่งงาน การแก้ปัญหา การเป็นผู้นำผู้ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการช่วยพัฒนากระบวนการของความเป็นผู้นำของเด็กเป็นอย่างดี

“ความเป็นผู้นำ” เป็นกระบวนการที่สร้างขึ้นได้ คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจคิดมากหรือกังวลใจว่าความเป็นผู้นำต้องเกิดจากสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มีความพร้อมทางฐานะการเงินหรือความมีหน้ามีตาทางสังคม แต่จริงๆแล้ว ไม่ว่าครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอแค่คุณพ่อคุณแม่มีความตั้งใจดีเพื่อลูก ที่ต้องการจะให้ลูกเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นใจ เป็นคนมีความมุ่งมั่นที่ดีที่จะพัฒนาการงานของตนให้ประสบความสำเร็จแล้ว ให้เริ่มตั้งแต่วันนี้โดยการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบและเสริมสร้างให้ลูกมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น ก็สามารถสร้างลูกเล็กๆของเราคนนี้ให้เป็นผู้นำที่ดีในวันข้างหน้าได้ แต่ทั้งนี้สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจคือ ต้องสอนลูกให้เข้าใจบทบาทการเป็นผู้นำที่ดีด้วย เช่น ต้องไม่ทำร้ายผู้อื่น ต้องไม่เอาเปรียบผู้อื่น ต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีความหวังดีต่อผู้อื่น เพราะนี่คือผู้นำที่จะประสบความสำเร็จที่สวยงามอย่างแท้จริง

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

มหัศจรรย์ 5 สัมผัสสร้างลูกให้ฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

มหัศจรรย์ 5 สัมผัสสร้างลูกให้ฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านคงอยากเห็นลูกที่อยู่ในครรภ์ออกมาดูโลกอย่างปลอดภัย เฉลียวฉลาด และน่ารัก ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีความเฉลียวฉลาดขึ้นอยู่กับ 3 ประการคือ 1.พันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับเด็กตั้งแต่เกิดไม่สามารถแก้ไขได้ 2.สิ่งแวดล้อม มีงานวิจัยที่กล่าวถึงเด็กฝาแฝดที่ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน กลับมีความสามารถและความฉลาดที่แตกต่างกัน 3. สิ่งที่คุณแม่รับประทาน สิ่งนี้จะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์โดยตรง การกระตุ้นพัฒนาการของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์สามารถทำได้ โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกโดยผ่านทางผิวหนังหน้าท้อง การสร้างสายใยสัมพันธ์ โดยการกระตุ้นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เราลองมาดูกันว่า มหัศจรรย์ 5 สัมผัสนี้คืออะไร
1.สัมผัสทางร่างกาย ทำได้โดยการสัมผัสผ่านหน้าท้อง การนวด การลูบเป็นวงกลม ลูบลงและขึ้นสลับกันพร้อมกับการสลับการหายใจเข้า ออกลึกๆ เป็นการแสดงความรัก ความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก สัมผัสที่อ่อนโยนและผ่อนคลายจะทำให้ตัวคุณแม่รู้สึกสบายทั้งใจและกายในเวลาเดียวกัน เมื่อคุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข ( Endorphin) ออกมาและช่วยส่งผลต่อลูกในครรภ์ เช่นเดียวกัน

2.สัมผัสทางเสียง ลูกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงในช่วง 4 -5 เดือน ดังนั้นการพูดคุยกับลูก การใช้คำคล้องจอง คำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การพูดคุย การเปิดเพลงที่อ่อนโยน เพลงที่คุณแม่ชอบ ระหว่าง 60-80 beat ต่อนาที เพลงที่ระดับเสียงที่ไม่ดังเกินไป ประมาณ 10-15 นาทีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ของตัวคุณพ่อคุณแม่เองกับลูก เสียงที่ผ่านน้ำคร่ำจะเดินทางได้อย่างรวดเร็วเป็น 4 เท่าของทางอากาศ และส่งผลต่อประสาทรับรู้ทางหูซึ่งจะช่วยกระตุ้นเส้นใยประสาท ช่วยเรื่องประสาทรับรู้เรื่องความจำ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาภาษาขั้นพื้นฐานสำหรับลูกอีกด้วย

3.สัมผัสทางการลิ้มรส ช่วงนี้คุณแม่ต้องรับประทานอาหารให้ครบหมู่ มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โฟเลต ธาตุเหล็ก อาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ งดทานอาหารประเภทที่มีคาเฟอีน และอาหารที่จะเป็นอันตรายต่อลูก ฯลฯ เพราะอาหารที่คุณแม่ทานจะส่งผลโดยตรงต่อลูกน้อย โดยสามารถที่จะกล่าวได้ง่ายๆว่าคุณแม่ทานอะไรลูกก็จะทานอย่างนั้น

4.สัมผัสทางการดมกลิ่น สามารถทำควบคู่ไปกับการนวด ในช่วงเย็นหลังจากทำงานหนัก ยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 คุณแม่ต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น การนวดผ่อนคลายโดยการใช้โลชั่นกลิ่นที่คุณแม่ชอบจะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย มีความสุข มีจิตใจที่แจ่มใสส่งผลต่อลูกในครรภ์ด้วยเช่นเดียวกัน

5.สัมผัสทางสายตา สามารถทำได้โดยการส่องไฟที่บริเวณหน้าท้อง โดยใช้เวลาไม่นาน เป็นสัญญาณไฟกระพริบ ห่างจากบริเวณหน้าท้องพอสมควร และมีแสงที่ไม่จ้าจนเกินไป จะทำในช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะในช่วงนี้ลูกจะเริ่มลึมตา การกระตุ้นโดยการใช้แสงจะช่วยให้ลูกปรับสภาพการมองเห็น ควรทำในช่วงเย็นหลังคุณแม่ทานอาหารเสร็จ เพราะจะทำให้ลูกตื่นและนอนในเวลากลางคืนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปรับตัวเตรียมพร้อมในการออกมาดูโลกอีกด้วย

มหัศจรรย์สัมผัสทั้ง5ที่คุณแม่ปฏิบัติต่อลูกนั้น จะเป็นสิ่งที่ช่วยงกระตุ้นให้ลูกในครรภ์มีการรับรู้ที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ถ้าคุณแม่มีจิตใจที่สบายและคิดในทางบวกก็จะส่งผลที่ดีต่อลูกในครรภ์ด้วย การที่คุณแม่ทานอาหารที่ครบ5หมู่และมีประโยชน์ต่อร่างกาย การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย รวมทั้งการพูดคุยกับลูก สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นวิธีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับลูกที่ส่งผลที่ดีต่อพัฒนาการของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ได้อย่างมหัศจรรย์ทีเดียวค่ะ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เคล็ดลับแก้ไขปัญหาการนอนหลับ


เคล็ดลับแก้ไขปัญหาการนอนหลับ

สำหรับบางคนเกิดมาโชคดี พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย นอนที่ไหนก็ได้ไม่มีอาการแปลกที่ แต่สำหรับคนโชคร้ายหลายคนนอนยากนอนเย็นเหลือเกิน บางครั้งนอนไปไม่นานดันตื่นขึ้นมากลางดึก คราวนี้ยิ่งทรมานหนักเพราะอยากให้หลับลงไปใหม่ยิ่งยากกว่า อาการนอนไม่หลับนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพราะเมื่อกลางคืนนอนไม่พอ กลางวันก็เลยง่วง ขาดสมาธิ และก่อความเครียด จนทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้น ขอเสนอเคล็ดลับบางประการที่อาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

• ฝึกหัดและพยายามเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเดิมจนเป็นนิสัยประจำตัว
• จัดห้องนอนให้มีสภาพที่เหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป และให้มืดจะดีกว่าสว่าง
• ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ไม่ให้เหนียวเหนอะหนะ
• ก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระตามประเพณีของแต่ละศาสนาที่ตนนับถือ ถ้าทำสมาธิได้ก็ควรทำ
• พยายามละเว้นเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นทุกชนิด เช่น น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เพราะเครื่องดื่มพวกนี้มีสารคาเฟอีนกระตุ้นสมอง เป็นอุปสรรคต่อการหลับนอน ควรงดเว้นเครื่องดื่มดังกล่าวตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ถ้างดได้ตลอดวันจะเป็นการดีที่สุด
• ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทุกวัน หรือวันเว้นวัน เช่น การเดิน ถีบจักรยาน การว่ายน้ำ กายบริหาร หรือการเล่นกีฬาที่เหมาะกับวัย ฯลฯ จะช่วยทำให้การหลับนอนดีขึ้นทันที
• ใช้สารอาหารช่วยในการนอนหลับ ได้แก่ อาหารชนิดที่มีปริมาณแอลทริปโทแฟนค่อนข้างสูงและมีกรดอะมิโนอื่นๆ ค่อนข้างต่ำ อาทิ เมล็ดทานตะวัน กล้วยหอม นมพร่องมันเนย หัวมันเผา สาหร่ายทะเล ฟักทอง โดยรับประทานหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนนอนจะออกฤทธิ์ได้ดี เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติ ขอดัดแปลงเป็นสูตรเครื่องดื่มง่ายๆ ที่อาจเตรียมเอง สำหรับคืนที่ต้องการพักผ่อนเต็มที่
ส่วนประกอบ กล้วยหอมขนาดกลาง 1 ผล , น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ , นมพร่องมันเนย 1 ถ้วย
วิธีทำ อุ่นนมให้ร้อน เติมน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน ใส่เครื่องปั่น เติมกล้วยที่หั่นเป็นชิ้นเล็กปั่นเป็นเนื้อเดียวกันจะได้เครื่องดื่มรสชาติดี โดยดื่มก่อนนอน 2 ชั่วโมง
• เนื่องจากอาหารจำพวกเนื้อและไข่มีกรดอะมิโนหลากชนิด เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะแข่งขันกับแอลทริปโทแฟนทำให้ฤทธิ์เป็นยานอนหลับลดลง พวกนี้สามารถแก่งแย่งแข่งขันได้ดีมากเสียด้วย และถ้ามันชนะจะกระตุ้นสมองให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้น หากต้องการหลับสบาย ควรลดปริมาณเนื้อสัตว์และอาหารโปรตีนในมื้อเย็น หรือเลิกได้ในผู้สูงอายุก็ยิ่งดี ขณะเดียวกันก็เพิ่มอาหารบางชนิดก่อนนอน เช่น น้ำตาลและแป้งซึ่งช่วยให้แอลทริปโทแฟน เดินทางไปสู่สมองได้ดีขึ้น มื้อเย็นจึงควรมีแป้งเป็นหลัก ทานเนื้อน้อยๆ หน่อย แต่โดยรวมแล้วมื้อเย็นก็อย่าทานให้มาก เดี๋ยวจะอ้วนจนเกินไป
• งาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงประสาท ดังนั้น ท่านที่มีอาการไม่สบายต่างๆ ที่เกิดจากระบบประสาทเช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง การบริโภคงาดำเป็นประจำ จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
ที่มา bloggang

ผมสวยด้วย...สมุนไพรไทย

ผมสวยด้วย...สมุนไพรไทย สมุนไพร ไทยมีคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งสรรพคุณทางยาและตัวช่วยในด้านความสวยความงาม ซึ่งบางสูตรมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตกทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมกันมาอย่างต่อเนื่อง

และนี่คือสารพัดสูตรความงามแบบไทย ๆ ที่จะช่วยให้สาว ๆ มีผมสลวยสวยเก๋ด้วยสมุนไพรไทยที่หาได้ในครัวเรือน...
มะกรูด เป็นสมุนไพรที่เรารู้กันอยู่ว่าใช้ได้ผลดีในการดูแลเส้นผม และใช้กันมานานแล้ว ส่วนที่จะนำมาใช้ประโยชน์คือ ลูกมะกรูด เพราะผิวของมะกรูดจะให้น้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ปราศจากรังแค บำรุงรากผลให้แข็งแรง ส่วนน้ำในเนื้อของผลจะมีรสเปรี้ยว เป็นกรด ช่วยทำให้หนังศีรษะและเส้นผมสะอาด ลื่นมันเป็นเงางาม

ว่าน หางจระเข้ ส่วนที่ใช้คือใบ โดยใช้แต่น้ำเมือกและเนื้อวุ้นในใบเท่านั้น นำใบว่านหางจระเข้ที่ตัดมาสด ๆ เลือกเอาเฉพาะกาบใหญ่ ๆ มาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อวุ้น นำไปล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะยางสีเหลืองเป็นพิษต่อผิว นำวุ้นที่ได้ไปปั่นให้ละเอียด นำไปชะโลมเส้นผมและหนังศีรษะ ที่สระทิ้งไว้นาน 10-20 นาทีจึงล้างออก หลังจากนั้นจึงนวดด้วยครีมนวดผมตามปกติอีกครั้ง ผลจากการใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำ จะทำให้เส้นผมสลวยสวยเป็นเงางาม ผมมีน้ำหนักไม่ฟูกระจาย หวีเข้ารูปทรงได้ง่าย ไม่หงอกก่อนวัย หยุดการหลุดร่วงของเส้นผม รากผมแข็งแรง ปราศจากรังแคและหนังศีรษะสะอาด

ทอง พันชั่ง ช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม โดยเด็ดเอาใบสด ๆ มาประมาณ 15 ถึง 20 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำ หรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำพอแฉะ ๆ ทาหรือพอกบริเวณที่ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ใช้ผ้าโพกทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ให้ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน 8-10 ครั้ง จึงจะเห็นผล

ขิง สด ใช้ส่วนของเหง้า ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม หยุดการลุกลาม และช่วยให้เส้นผมบริเวณนั้นค่อย ๆ งอกขึ้นใหม่ โดยการนำ เหง้าขิงสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วนำขิงไปปิ้งไฟให้ร้อนจัด ตำให้ละเอียด ทาหรือพอกบริเวณที่ผมร่วง ทิ้งไว้สัก 1-2 ชั่วโมง แล้วสระออกให้สะอาด ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน 8-10 ครั้ง จึงจะเห็นผลที่น่าพอใจ

เพียงแค่มีเวลาเล็กน้อย และเลือกหาสมุนไพรในบ้านที่ตรงใจ แค่นี้ผมสวยก็จะอยู่คู่กับเราไปอีกนาน...

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ ฉบับที่ 4236

หนูสิ สิริรัตน์ เรืองศรี คว้ามงกุฎ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010

หนูสิ สิริรัตน์ เรืองศรี คว้ามงกุฎ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010
น.ส. สิริรัตน์ เรืองศรี หมายเลข 8 คว้ามงกุฎมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010 ไปครอง รับเงินสด 1 ล้านบาท รถยนต์เชฟโรเลต แคปติวา รุ่น แอลที 2.0 ลิตร และของรางวัลอีกมากมาย นอกจากนี้ บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยังคว้าตำหน่งรางวัลขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน กับนางงามรูปร่างดี ไปครองอีกด้วย...
ส่วนรองอันดับ 1 ได้แก่หมายเลข น.ส.แคซแซนดรา สาริกานนท์ หมายเลข 4
- รองอันดับ 2 ได้แก่ น.ส.ปาณิกา วรบุญศิริ หมายเลข 18
- รองอันดับ 3 ได้แก่ น.ส.ศริญญา สุขประเสริฐ หมายเลข 1
- รองอันดับ 4 ได้แก่ น.ส.คัทรินทร์ สิทเสรี หมายเลข 19
สำหรับรางวัลพิเศษ 5 รางวัล มีดังนี้

- รางวัลขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน ได้แก่ น.ส.สิริรัตน์ เรืองศรี หมายเลข 8
- รางวัลนางงามรูปร่างดี ได้แก่ น.ส.สิริรัตน์ เรืองศรี หมายเลข 8
- รางวัลนางงามผิวสวย ได้แก่ น.ส.ศริญญา สุขประเสริฐ หมายเลข 1
- รางวัลนางงามสุขภาพ สายตาดี ได้แก่ น.ส.แคซแซนดรา สาริกานนท์ หมายเลข 4
- รางวัลมิตรภาพ ได้แก่ น.ส.จารินีย์ ไคเซอร์ หมายเลข 13

ประวัติ น้องหนูสิ
ชื่อ สิริรัตน์ เรืองศรี
ชื่อเล่น หนูสิ
อายุ 22 ปี
น้ำหนัก 55.5 kg.
ส่วนสูง 178.6 cm.
สัดส่วน 34/24/36
การศึกษา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี พ.ศ.2553 คณะ นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง กทม.
ภาษาที่พูดได้ อังกฤษ
ความสามารถ ศิลปะปั้นแต่ง Yoga เต้น Sport Aerobic
ประวัติการประกวด
1. สุขภาพดี 3G ตำแหน่งที่ได้รับ brand Ambassador พ.ศ. 2553
2. Proflex perfect idol ตำแหน่งที่ได้รับ ชนะเลิศ พ.ศ. 2552
3. Miss Thailand World 2009 ตำแหน่งที่ได้รับ เข้ารอบ 25 คน พ.ศ. 2552

ที่มา http://women.mthai.com/views_Amazing-Women_11_88_42045_1.women

เลิกคิดแบบนี้...แล้วเราจะโสดแบบมีความสุข

เลิกคิดแบบนี้...แล้วเราจะโสดแบบมีความสุข
ตะละแม่วีนัส

เฮ้อ...ชีวิตหนอชีวิต มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนมีคู่ เดินเกี่ยวก้อยตระกองกอดกันกระหนุงกระหนิง หันมองดูตัวเองจนป่านนี้ยังใส่เสื้อยืดเขียนว่า โสดสนิท ใส่มาหลายปีแล้วก็ยังไม่มีแฟนกับเขาสักที เครียดๆๆ จากหน้าตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความหวัง ก็กลายเป็นหมองหม่น ไปๆ มาๆ เลยพาลมองโลกในแง่ร้าย และมีความเชื่อผิดๆ ที่บ่อนทำลายชีวิตไปซะงั้น

ต่อไปนี้คือความเชื่อที่ควรลบล้างออกจากสมอง ถ้าอยากเป็นคนโสดที่มีความสุข

การมองโลกในแง่ดีคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คนที่มองโลกในแง่ลบจะคิดว่าคนที่มองโลกในแง่บวกคือพวกเพ้อเจ้อ และน่าสมเพชเพราะไม่สามารถมองชีวิตอย่างเป็นจริงได้ แถมคนมองโลกในแง่ลบยังขัดแย้งในตัวเองโดยคิดว่าตัวเองเข้าใจความจริงของชีวิตอย่างถ่องแท้ ยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์และชอบเยาะเย้ยถากถางคนอื่น แม้แต่อารมณ์ขันก็ยังออกแนวขมขื่นแสบสันต์ เวลาไปไหนมาไหนก็มองเห็นแต่แง่คิดในด้านลบ หรือไม่ก็แปรความหมายทุกสิ่งอย่างออกมาในแง่ลบไปเสียหมด

ในความเป็นจริง การหลีกหนีจากวังวนขมขื่นดำมืดนี้ง่ายแสนง่าย สมมติว่ามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แทนที่จะคิดว่าแก้วว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็คิดในทางกลับกันว่า ยังดีนะที่มีน้ำอยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว นั่นคือแค่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี สิ่งนั้นก็จะส่งผลให้เรารู้สึกดีไปด้วย แทนที่จะคิดว่าฉันเป็นสาวโสดเดียวดายสุดแสนเหงา ก็ลองมองอีกด้านหนึ่งว่า ความเป็นโสดนี้ช่างอิสรเสรีเหนือสิ่งอื่นใด อยากไปไหนทำอะไรไม่ต้องคอยรายงานใคร

ใครๆ ก็มีความสุขมากกว่าฉัน
ถ้ามีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวละก็...แสดงว่าเรานั้นอาจจะมัวสังเกตสังกาคนอื่นมากเกินไป แถมยังเชื่อว่าใครๆ ก็มีชีวิตที่ดีกว่าและมีความรักที่เพอร์เฟ็คท์ แค่มองเห็นคู่รักเดินกอดกันกลมอยู่ข้างถนนก็เหมาเอาว่า คนเหล่านั้นไม่มีปัญหาอะไรในชีวิต จากนั้นก็จะหันมามองชีวิตและความรักของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าความทุกข์พุ่งจี๊ดขึ้นมาทันที เพราะเราไม่มีความสุขอย่างที่เราคิดว่าคนอื่นเป็น และไม่มีอะไรจะทำให้เราทุกข์ทรมานได้มากไปกว่าความคิดที่ว่า ใครๆ ก็มีความสุขสนุกสนานมากกว่าเรา

ความสุขของฉันขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือสิ่งอื่น
คนที่คิดแบบนี้มักมีประโยคติดปากว่า คุณทำให้ฉันโกรธมาก! และ คุณทำให้ฉันมีความสุขเหลือเกิน! ถึงแม้คำพูดแบบนี้จะมีสีสันเต็มไปด้วยอารมณ์ มันยังแสดงให้เห็นว่าความสุขของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ถ้าคนอื่นทำให้เรารู้สึกสุข/เศร้า/โกรธ/หรืออะไรก็ตาม และคนๆ นั้นยังทำให้เราทุกข์/เศร้าน้อยลง/หายโกรธ/หรืออะไรก็ตาม หากสถานะทางอารมณ์ของเรายังถูกควบคุมด้วยการกระทำของคนอื่น เราก็ไม่มีทางหาความสงบในชีวิตได้เลย ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมการกระทำของผู้อื่นได้ แล้วเราจะพบความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร

ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ในฐานะคนโสดที่อยู่คนเดียว
มีคนมากมายเชื่อว่าชีวิตจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีคู่อยู่ด้วยกันเท่านั้น ถ้าเราเชื่อแบบนี้ เราก็อาจเชื่อด้วยว่าคนรักจะทำให้เรามีความสุข นอกจากจะเป็นการโยนความรับผิดชอบในความสุขของเราให้ปัจจัยภายนอกแล้ว ยังยัดเยียดความรับผิดชอบนี้ให้คนรักของเราอีกด้วย ซึ่งความจริงของชีวิตที่ไม่ควรลืมคือ ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต ในที่สุดไม่จากเป็นก็จากตาย ดังนั้นถ้ายังเชื่อว่าชีวิตจะมีความสุขเมื่อมีคู่ละก็...เราก็จะทุกข์ทรมานไปแบบนี้ละ

ที่มาจาก msn

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด แบบ "อารมณ์ดี๊ดี"

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด แบบ "อารมณ์ดี๊ดี" หากพูดถึง "การเลี้ยงลูก" เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุข แต่หลายๆ ครั้งเป้าหมายที่วางไว้ค่อยๆ จางหายไปทีละข้อ สองข้อ เมื่อพ่อแม่ตกไปอยู่ภายใต้การแข่งขันที่กดดันของสังคม ทำให้ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอในการเลี้ยงลูก จึงมักเลือกที่จะฝากลูกไว้กับโรงเรียน หรือสถาบันกวดวิชาต่างๆ เพราะอยากให้ลูกเก่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับลืมไปว่า ความฉลาดทางอารมณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เช่นกัน

ในเรื่องนี้ "ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ" จิตแพทย์เด็ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้มุมมอง และแนวทางในเวทีสัมมนาเรื่อง "เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด...แบบอารมณ์ดี" จัดโดยนมเปรี้ยวดัชมิลล์พลัส แอดวานซ์ และโรงพยาบาลนครธน ว่า ความฉลาด หรือที่เรียกว่า IQ นั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่ต้น ซึ่งพ่อแม่มีส่วนที่จะช่วยให้ลูกได้ใช้ความฉลาดหรือ IQ อย่างเต็มที่ โดยเสนอให้ลูกได้แสดง เรียนรู้ และใช้ความสามารถที่มีอยู่ ไม่ว่าจะด้านวิชาการ ดนตรี กีฬา หรือการมีปฎิสัมพันธ์กันในครอบครัว พูดคุยกับลูก เล่นกับลูก ก็เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เด็กฉลาดได้

แต่ทั้งนี้ ความฉลาดต้องมาคู่กับอารมณ์ดี เพราะถ้าเด็กอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด วิตกกังวล หรือกลัว ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ และใช้ความฉลาดที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นจุดหนึ่งที่พ่อแม่ต้องพัฒนาไปทั้งสองอย่าง และควบคุมพฤติกรรมของลูก ไม่ตามใจลูกจนเกินไป เพราะหากตามใจ เมื่อลูกหงุดหงิด ก้าวร้าว ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เด็กอาจจะจบด้วยการเอาแต่ใจตัวเอง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ดังนั้นความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าฉลาดแต่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนคงจะดูไม่ดีแน่นอน

อย่างไรก็ดี การเลี้ยงลูกให้อารมณ์ดีนั้น ศ.พญ.อลิสา บอกว่า เด็กจะอารมณ์ดีหรือไม่เกี่ยวโยงกับพัฒนาการหลายๆ ด้านของเด็ก เช่น ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม อาทิ หากเด็กมีพื้นฐานอารมณ์ดีก็จะกินได้ เล่นได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ในทักษะความรู้ด้านต่างๆ ได้ดี ขณะเดียวกันเมื่อตัวเด็กพร้อม ย่อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข เช่น พ่อ แม่ คุณครู ปู่ ย่า ตายาย หรือ เพื่อน เพราะการที่เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เด็กจะต้องมีอารมณ์ และทักษะทางสังคมที่ดี หรือที่เรียกว่า พัฒนาการดี เริ่มต้นจากอารมณ์ที่ดีนั่นเอง
"เก่ง ดี มีสุข หากเด็กมีเพียง เก่ง และ ดี แต่ไม่มีความสุข เด็กก็จะมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ ทำให้2 คำแรกไม่สามารถพัฒนาเป็นคำที่ 3 คือความสุขได้ พ่อแม่จึงควรเลี้ยงลูกให้มีอารมณ์ดี เมื่อเด็กอารมณ์ดีก็จะมีความสุข ช่วยในเรื่องความฉลาดได้ ซึ่งจริงอยู่ที่ความฉลาดติดตัวเด็กมาตั้งแต่เล็ก แต่บางครั้งตัวเด็กก็ไม่ได้ใช้ความฉลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กจะใช้ความสามารถที่เขามีอยู่ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเด็กมีอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสากล่าว

ศ.พญ.อลิสา แนะทิ้งท้ายว่า สิ่งใกล้ตัวที่จะทำให้ลูกฉลาด และมีอารมณ์ดีได้ คือพ่อแม่ที่พร้อมจะมีลูก รักลูก รู้ใจลูก และเรียนรู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งต้องมีเวลาให้กับลูก เพื่อที่ลูกจะได้เรียนรู้ใจตัวเอง พร้อมกับจัดการได้อย่างลงตัว นอกนั้นเป็นเรื่องของเทคนิควิธีที่พ่อแม่จะต้องเรียนรู้จากผู้ใหญ่ จากคนรอบข้าง จากสื่อ และตัวช่วยอื่นๆ เช่น บุคคลทดแทน เวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่คล้ายคลึงกัน อาจจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือเป็นญาติพี่น้อง และโยงต่อไปถึงการเลือกโรงเรียน การดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมของลูก ให้ลูกได้มีโอกาส ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ควรจะเรียนรู้ ได้ทำทุกอย่างที่เขาควรจะทำ แต่ไม่กดดันสิ่งที่ลูกทำไม่ได้ เมื่อเขาทำดีก็ชมเชย และคอยเฝ้าระวังปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถ้ารู้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น

"เรื่องสุขภาพ และอาหารการกินของลูก มีผลต่ออารมณ์ของลูกเช่นกัน พ่อแม่จึงควรเลือกกลุ่มของอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายหมู่ให้ลูกกิน อย่าให้เด็กกินอะไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีอาหารพิเศษเสริมให้บ้าง เพราะเมื่อได้กินดีเด็กก็จะอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสาทิ้งท้าย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ลูกใจดีเกินไป" สอนอย่างไรให้พอดี

"ลูกใจดีเกินไป" สอนอย่างไรให้พอดี เมื่อพูดถึงเรื่องการแบ่งปัน หรือการให้ เป็นเรื่องสำคัญที่สังคมกำลังถามหาจากเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานจำเป็นที่พ่อแม่ทุกคนหวังอยากจะให้ลูกมีติดตัว แต่การจะสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปันนั้น ถ้าสอนโดยมองไม่รอบ และไม่ครอบ อาจเกิดปัญหาขึ้นกับเด็กได้ เช่น มีก็จะให้ ไม่มีก็จะพยายามเสาะหามาให้
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก และผู้ทำงานด้านเด็กมากว่า30 ปี กล่าวว่า พ่อแม่บางคนสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน แต่ไม่ได้สอนต่อไปว่า ควรจะแบ่งปันอย่างไรไม่ให้เบียดเบียนตัวเอง ทำให้ลูกติดนิสัยใจดีจนแบ่งปันเกินขอบเขต ดังนั้นวิธีการสอนเรื่องการแบ่งปัน พ่อแม่ควรใช้คำพูดที่ว่า ถ้ามีมากพอแล้วเหลือจึงค่อยนำไปแบ่งปัน ซึ่งการแบ่งปันต้องแบ่งในภาวะที่ไม่ทำให้ตัวเราเองต้องลำบาก

"แรกๆ ก็สอนลูกให้รู้จักแบ่งปันไปก่อน จากนั้นค่อยเจาะต่อไปว่า เรามีเท่าไร เหลือเท่าไร และเก็บส่วนที่พอเอาไว้ไปแบ่งปัน ตรงนี้ถึงจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อไรที่สอนลูกให้แบ่งปัน แต่ไม่บอกให้รู้ถึงความเหมาะสม หรือความพอดีที่จะแบ่งปัน มีแต่จะให้ ให้ และก็ให้จนเบียดเบียนตัวเอง และทำให้เป็นทุกข์ เมื่อโตขึ้น เด็กก็จะรู้สึกผิดทุกครั้งที่เขามี และไม่ได้ให้ ตรงนี้อันตรายต่อเด็กในตอนโตมาก" กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กกล่าว

การสอนเรื่องการแบ่งปัน คุณเรืองศักดิ์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า พ่อแม่ต้องสอนให้รอบ และให้ครอบ เช่น มีเงิน 10 บาทที่สามารถแบ่งให้คนอื่นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะแบ่งให้คนอื่นได้ทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีเงินกินข้าว แต่ถ้าเกิดว่า10 บาท จะแบ่งให้เพื่อน 4 บาท หลังจากกินข้าว และน้ำแล้วก็ย่อมทำได้ ฉะนั้น การสอนไม่ว่าจะเรื่องการแบ่งปัน หรือเรื่องอื่นๆ พ่อแม่ต้องมอง 2 ด้าน ไม่ใช่มองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
ด้าน พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า การสอนลูกในเรื่องที่เป็นนามธรรม ความเข้าใจของเด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละระดับ เช่นกันกับการสอนเรื่องการแบ่งปัน ตัวเด็กเองอาจพบความขัดแย้ง หรือเงื่อนไขต่างๆ ในสถานการณ์จริงนอกเหนือจากสิ่งที่พ่อแม่สอนก็ได้ ดังนั้นพ่อแม่ควรมีการพูดคุยกับลูก และค่อยๆ สอนไปพร้อมๆ กับอธิบายให้ลูกเข้าใจ

นอกจากนี้ พญ.พรรณพิมล บอกต่อว่า สำหรับพ่อแม่ที่ทำให้ลูกรู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกมากที่สุด ทำทุกอย่างให้ลูกได้ทั้งหมด ถ้าไม่สอนให้ลูกรู้จักการตอบแทน หรือมีส่วนร่วมในการส่งคืนบ้าง เด็กจะกลายเป็นผู้รับฝ่ายเดียวจนไม่ได้เรียนรู้ถึงการให้คนอื่น เช่น ขนมชิ้นนี้ พ่อให้ลูกหมดเลย เพราะพ่อรักลูกมากที่สุด ถ้าพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กจะมองแต่ขนมตัวเอง จนไม่ทันคิดที่จะแบ่งปันคนอื่น

แต่ถ้าใช้วิธีตั้งคำถามกับลูก อาทิ ขนมชิ้นนี้อร่อยมาก หนูอยากกินคนเดียวใช่ไหมคะ แล้วนอกจากกินคนเดียวแล้ว ถ้าอยากจะให้ใครสัก 1 คน หนูจะเลือกแบ่งให้ใครดีจ้ะ ซึ่งลูกจะแบ่งให้เจ้าเหมียว หรือใครก่อนก็แล้วแต่ลูก แต่สิ่งที่เด็กได้รับจากการตั้งคำถามแบบนี้ คือ เด็กเริ่มเรียนรู้ และรู้จักที่จะแบ่งปันในสิ่งที่เกินไปกว่าตัวเขาเอง ดังนั้นจุดเริ่มต้นของพ่อแม่ต้องทำให้เด็กรู้ก่อนว่า พ่อแม่รักเขามากที่สุด และสอนให้เขารู้จักส่งคืนความรักกลับมาพร้อมๆ กันด้วย เมื่อถึงวันหนึ่งเด็กก็จะรู้สึกอยากแบ่งปันความรักไปให้พ่อแม่ หรือคนอื่นๆ ต่อไป

ดังนั้น การจะสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปันเป็นเรื่องที่ละเอียด พ่อแม่ต้องสอนให้รอบ และให้ครอบ เพราะไม่เช่นนั้น ลูกอาจกลายเป็นเด็กใจดีเกินไป จนไม่รู้จักปฏิเสธเมื่อตัวเองมีไม่พอ แต่จะให้เพราะไม่อยากรู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้ ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องค่อยๆ สอน และยกตัวอย่างให้ลูกรู้จักการแบ่งปันอย่างรู้ขอบเขต โดยไม่เบียดตัวเองจนเป็นต้องเป็นทุกข์

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เทคนิค"เลือก-ใช้"กระเป๋านักเรียนอย่างเหมาะสม

เทคนิค"เลือก-ใช้"กระเป๋านักเรียนอย่างเหมาะสม ในอดีต เด็กนักเรียนตัวเล็กจิ๋วหิ้วกระเป๋าหนังสีดำกันจนตัวเอียงคงเป็นภาพที่ผู้ใหญ่เห็นกันจนชินตา ในกระเป๋านักเรียนใบเล็ก ๆ อัดแน่นไปด้วยสมุด หนังสือ จำนวนมากที่ต้องขนไปขนกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียน หันกลับมาในยุคปัจจุบัน โชคดีที่เด็กหลายคนมีกระเป๋าเป้เข้ามาแทนที แต่ก็ไม่พ้นต้องแบกหนังสือเพื่อไปเรียนกันอยู่ดี

ในแต่ละปีมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บกับอาการปวดไหล่ - ปวดหลังเพราะต้องแบกกระเป๋าหนังสือน้ำหนักมาก เพื่อลดความเสี่ยงของลูกน้อย เราจึงมองหาคำแนะนำดี ๆ ในการพิจารณาเลือกกระเป๋านักเรียน และการใช้งานที่เหมาะสมมาฝากกันค่ะ

1. เลือกกระเป๋าสะพายที่มีน้ำหนักเบา ขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน และอายุของเด็ก

2. ใส่หนังสือ หรืออุปกรณ์การเรียนเท่าที่จำเป็น ไม่ควรใส่หนังสือเยอะจนเด็กแบกไม่ไหว สังเกตได้จากเวลาลูกสะพายกระเป๋าว่าเขาต้องเดินโน้มตัวมาข้างหน้าหรือไม่ ถ้าใช่ ก็แปลว่า กระเป๋าใส่ของมากเกินไป หรืออีกหนึ่งวิธีคำนวณก็คือ สัมภาระที่จะบรรจุไม่ควรหนักเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวเด็ก

3. เวลาเลือกซื้อควรพิจารณาสายกระเป๋านักเรียน และบริเวณหลัง สองจุดนี้ควรมีฟองน้ำ บุภายใน เพื่อป้องกันไหล่กับหลังของลูก อีกทั้งยังช่วยป้องกันเด็กจากการถูกดินสอ ปากกา หรืออุปกรณ์การเรียนแทงทะลุกระเป๋าออกมาทิ่มเนื้อได้ด้วย

4. การจัดหนังสือในกระเป๋า ควรจัดหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดหรือหนักที่สุดใส่ไว้ชิดในที่สุด

5. เมื่อลูกสะพายกระเป๋า ควรใช้สายสะพายทั้งสองข้าง การสะพายกระเป๋าด้วยไหล่เพียงข้างเดียวอาจทำให้ไหล่ข้างดังกล่าวของลูกต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้ร่างกายไม่สมดุลกัน นอกจากนั้น ควรปรับสายสะพายไม่ให้แน่นเกินไปด้วย

6. หากกระเป๋าสะพายที่ซื้อมามีสายรัดบริเวณเอว ก็ควรใช้ด้วยเช่นกัน เพราะจะช่วยให้การแบกง่ายดายยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น อุปกรณ์สำคัญที่ผู้ปกครองไม่ควรลืมในช่วงหน้าฝนก็คือร่มคันเล็ก ๆ หรือชุดกันฝนสีสดใสสำหรับให้เด็ก ๆ ใส่หากเจอฝนตก เป็นการปกป้องอีกชั้นหนึ่ง ก่อนไข้หวัดจะถามหาค่ะ

เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจากเฮลท์เดย์นิวส์

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิธีทำเงินบนโลกไอที 3G-Cloud เกิด E-Commerce เปลี่ยน (E-Commerce รูปแบบใหม่กำลังจะมา)

วิธีทำเงินบนโลกไอที 3G-Cloud เกิด E-Commerce เปลี่ยน (E-Commerce รูปแบบใหม่กำลังจะมา) ในเมื่อวิถีการสื่อสารของมนุษย์ยังถูกปฏิวัติโดย 3G ขณะเดียวกัน วิถีการทำงานของมนุษย์ก็ถูกยกระดับขึ้นโดย Cloud Computing นับประสาอะไรกับวิถี E-Commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะมีแรงต้านเฮอร์ริเคน 2 ลูกนี้

"พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต" ผู้มีดีกรีเป็นเบื้องหลังการดำเนินยุทธศาสตร์การค้าออนไลน์แห่งอาณาจักรซีพี จะพาชาวผู้จัดการไซเบอร์ไปเห็นถึงช่องทางใหม่ที่คนอีคอมเมิร์ชไทยสามารถเปลี่ยนแปลงกระแสที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสงามในตลาดโลกได้ โดยไม่ต้องทนงมเข็มในมหาสมุทรอีคอมเมิร์ชแบบเก่าอย่างเดียว
***อีคอมเมิร์ชยุคหน้า ภายใต้อิทธิพล 3G และ Cloud Computing
โดย พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต

แม้จะมีคำประกาศจากเว็บที่ให้บริการหลายรายว่าจะผลิกโฉมวงการ E-Commerce ของไทย แต่ความล้าหลังของ E-Commerce ของไทยยังปรากฏอย่างชัดเจนทุกครั้งที่มีใครเริ่มผลิกโฉมวงการ E-Commerce ด้วย Internet อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่ได้แปลว่าประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าเข้าสู่ E-Commerce ยุคใหม่เช่นเดียวกับต่างประเทศ ถ้าอย่างนั้นสถานภาพ E-Commerce ของเมืองไทยจะเป็นเช่นไร ขอเชิญท่านผู้อ่าน Manager Online มาร่วมพิจารณาไปพร้อมกับผู้เขียนกันเลยครับ

E-Commerce ในปัจจุบันนั้น หมายความถึงการทำธุรกิจในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายประเภทผ่านเครือข่ายสื่อสาร ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ต้องเป็นการค้าปลีกเปิดหน้าร้านขายของประมูลของผ่านเครือข่าย Internet เท่านั้น

หากท่านผู้อ่านสามารถทำธุรกิจผ่านระบบหรือเครือข่ายสื่อสารแล้วให้มีชำระเงินกันผ่านระบบเครือข่าย ก็น่าจะอยู่ในขอบเขตของคำว่า E-Commerce เช่นกัน เราลองมาพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้กันนะครับ

กรณีเป็นสินค้า

ถ้าเราทำการนำเสนอขายสินค้าของบริษัทซึ่งอาจจะเป็นสินค้าประเภทใดก็ได้ผ่าน VDO conference ที่อยู่บนเครือข่ายโทรศัพท์แบบ 3G ในระหว่างที่ต้องไปประชุมกันที่สาขาของบริษัท ในอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ เราสามารถนำเสนอกระบวนการผลิตจากสถานที่จริงให้ลูกค้าดูได้ว่า เราผลิตได้อย่างไร ปลอดภัยไร้สารพิษตกค้างไปถึงลูกค้าหรือไม่

ลูกค้าก็ดูเลย ถามกันสดๆ ไป หรือหากมีข้อเปรียบเทียบ หรือมีตัวอย่างหรือรูปแบบที่อยากให้เราผลิตให้ตามแบบที่ต้องการ ก็สามารถเตรียมมาเราก็ดูได้เลย เมื่อคุยกันเสร็จ เราก็ให้เขาทำการชำระเงินผ่านระบบ หรือโอนเงิน หรืออะไรก็ได้มาให้เรา

ซี่งสินค้าที่เราสามารถดำเนินการในรูปแบบนี้ได้ ก็ต้องเรียนว่า เป็นสินค้าอะไรก็ได้ครับ ตั้งแต่สินค้าเกษตร แบบพืชผักผลไม้ ปศุสัตว์ ทั้งแบบที่ผลิตส่งเลย และแบบแปรรูป หรือจะเป็นการทำหุ่นยนต์เหล็กจากเศษเหล็ก ที่พักอาศัย สินค้าจากอุตสาหกรรมรถยนต์ อะไหล่ และอุปกรณ์เสริม อุปกรณ์ตกแต่ง สินค้าอีเล็กทรอนิกส์ สินค้าประเภทเครื่องใช้อุปโภคบริโภค เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน

เพียงแต่เราจัดสถานที่ของเราไว้เลย ให้รองรับการสร้างประสบการณ์แบบนี้ได้ ก็จะได้ความแปลกใหม่ในการขายสินค้าพร้อมกับประสบการณ์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก็จะทำให้ที่ทำงานของเราค่อนข้างจะดูดีน่าทำงานซึ่งจะสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีให้กับพนักงานของเราไปด้วย

และเมื่อเราพัฒนาทั้งหมดให้กลายระบบ มีกล้องวีดีโอถ่ายของจริงแบบอัตโนมัติเตรียมไว้ด้วย จนถึงระบบชำระเงิน นี่ใช่ E-Commerce หรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่อธิบายมาข้างต้นนั้นมันน่าจะเรียกว่า E-Commerce ในยุคของ Creative และ Service Economy แถมพ่วงด้วย Experience Marketing กันเลยทีเดียว ไร้ข้อจำกัดในประเภทของสินค้า ไม่ใช่ต้องมีคนกลางมาเปิดเว็บขายเหมือนเป็นห้างสรรพสินค้ากันอีกต่อไป

เพื่อขยายความให้ท่านผู้อ่านได้นึกภาพตามได้ทันกับตัวอย่างแรกไปนะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้ว่า ปัจจุบันอุปกรณ์ประเภท Audio/Video นั้นมีการพัฒนาไปมาก และราคาถูกลงอย่างมาก เราสามารถซื้อ LCD TV ขนาดจอภาพ 50” ได้ในราคาเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น ย่อมหมายถึง ในปีหน้าแทบทุกบ้านน่าจะมีเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีจอภาพขนาดไม่ต่ำกว่า 25-30” กันแล้ว

หากมองไปที่องค์กร ก็คงต้องมีเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 50” ในห้องประชุมเป็นแน่ เรียกว่าเครื่องรับโทรทัศน์เครื่องหนึ่งมีขนาดเท่ากับหน้าต่างหรือประตูบานหนึ่งเลยทีเดียว

ที่สำคัญตอนนี้พวกเราก็ซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีเทคโนโลยีจอภาพแบบ 3D และ HD กันแล้วด้วย ระบบเสียงก็เป็น HiFi Stereo แบบรอบทิศทางกันหมดแล้ว ยิ่งทำให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ออกจากอุปกรณ์เหล่านี้ดีและชัดตามที่ต้องการกันเลยทีเดียว

ด้วยขนาดของจอภาพที่กล่าวมาข้างต้น หมายความว่า พวกเราจะสามารถสื่อสารกันในรูปแบบ VDO conference ระหว่างกันได้บรรยากาศเหมือนพวกเราคุยกันผ่านหน้าต่างหรือประตูกันเลยทีเดียว เราสามารถส่งข่าวสารที่เป็นภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวที่ชัดเจนสมจริงกันได้ ดังนั้นเมื่อมีระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงย่อมจะทำให้เกิดการสือสารเช่นนี้ได้

ผู้เขียนจะขอขยายภาพเพิ่มเติมจากข้างต้นอีกเล็กน้อย ว่าท่านผู้อ่านสามารถเพิ่มการบริการใส่เข้าไปในดำเนินธุรกิจแบบ E-Commerce ในยุคของ Creative และ Service Economy แถมยังมีรูปแบบของ Experience Marketing ร่วมไปด้วยได้อย่างไรอีกบ้าง ดังนี้ครับ

สมมติว่า สินค้าของผู้เขียนเป็นสินค้าเกษตรขายผ่านระบบไปยังต่างประเทศ เราสามารถมีบริการเสริมกับลูกค้าของเราได้ อาทิ การสอนทำอาหารไทยด้วยวัตถุดิบจากประเทศไทย การกินอาหารแบบบรรยากาศในประเทศไทยโดยมี VDO ที่ถ่ายทำจากสถานที่จริงของตลาดน้ำ แม่น้ำ ภูเขา ชายทะเล ฯลฯ ในประทศไทย หรือประเทศใดๆ ที่เราคัดสรรกันมาแล้ว หรือกระทั่งฟังดนตรีจากศิลปินไทยพื้นบ้าน เพียงลูกค้าสมัครซื้อวัตถุดิบจากเรา และมีห้องที่มีเครื่องรับโทรทัศน์ที่ชมได้สะดวก ซึ่งด้วยขนาดและศักยภาพของจอภาพเครื่องรับโทรทัศน์ก็สามารถจะสร้างบรรยากาศดังกล่าวได้ไม่ยากเย็นนัก

นอกจากรูปแบบของการขายสินค้าร่วมกับบริการที่เสริมเข้าไปเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยกมาข้างต้นแล้ว บางอย่างที่เป็นบริการล้วนๆ ก็ยังสามารถดำเนินการได้ เช่น การศึกษาทางไกล ในเส้นทางที่พวกเรากำลังจะเดินหน้าเข้าสู่การเป็นเขตเศรษฐกิจแบบอาเซียน + 3 เราสามารถที่จะขายการเรียนการสอนในรูปแบบที่มีการโต้ตอบ หรืออาจจะไม่โต้ตอบเมื่อเป็นการเรียนแบบ 24 ชั่วโมงตามผู้เรียนต้องการได้ โดยการผ่านระบบเครือข่ายความเร็วสูง ให้กับลูกค้าของเราที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจอาเซียน + 3 ได้

มีผู้คนมากมายอยากเรียนรู้การทำอาหารแบบไทย ศิลปะแบบไทย กีฬาแบบไทย โดยที่ไม่ได้อยากจะเดินทางไปกลับเมืองไทยตลอดเวลา หรือมาอยู่ที่ประเทศไทยนานๆ และเช่นเดียวกัน เราเองก็อยากจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ บันเทิง และศิลป จากประเทศอื่นในเขตเศรษฐกิจอาเซียน + 3 เช่นกัน

ด้วยเครือข่ายความเร็วสูง รวมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของการนำเสนอข้อมูล อย่างอุปกรณ์ Audio/Video รุ่นใหม่ ย่อมเอื้อต่อการดำเนินการดังกล่าวได้

หันกลับมาธุรกิจ E-Commerce ของบ้านเรา พื้นฐานที่เราคิดหรือที่เราพูดคุยกันอยู่นั้นเป็น E-Commerce รุ่นแรกที่ได้ล่มสลายไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งยุคฟองสบุ่ดอทคอม ราวปี 2000 เป็นยุคที่คิดว่า ทุกคนจะวิ่งเข้าไปใน Internet เพื่อซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งก็มีส่วนถูก แต่นั่นเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กของโลกเท่านั้น ดังนั้นรูปแบบของ E-Commerce จึงถูกพัฒนาให้กลายเป็น Brick & Click โดย Brick หมายถึง การดำเนินธุรกิจอยู่นอก Internet และ Click คือ การดำเนินธุรกิจส่วนที่อยู่ใน Internet มานานเกือบสิบปีแล้ว แต่บ้านเรายังมีมุมมองของ Click อย่างเดียว

ท่านผู้อ่านลองมองดู จะเห็นแม้แต่พวกที่เป็น Click เดิมและเป็นผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่พยายามจะพัฒนารูปแบบของธุรกิจของตนเองให้เป็น Brick & Click อาทิ

• Amazon.com มี Kindle เป็นเครื่องมือในการใช้บริการจากเว็บ Amazon.com
• Barns and Noble ก็มี Nook
• Google ก็มี Android ซึ่งจะถูกกระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น Smart Phone, Netbook ฯลฯ
• Microsoft มี Zune, Windows Phone, Xbox และคอมพิวเตอร์อีกนับร้อยล้านเครื่อง
• Hi5, Facebook และ Twitter ก็สามารถใช้งานได้จากเครื่องโทรศัพท์มือถือ
• Apple ก็มี iPhone, iPAD, iTunes และ iPOD
• ฯลฯ

ดังนั้นหากอยู่ในกรอบนี้ของผู้เขียนบริการที่มี Call Center ร่วมด้วยอย่าง 7Catalog, ค่ายเพลงต่างๆ, การจอง/ซื้อตั่วเครื่องบิน รถทัวร์ ผ่าน Counter Service หรือเว็บ, TV Direct ที่มีการชำระเงินผ่านระบบ ก็ล้วนแล้วแต่เป็น E-Commerce

แต่ที่บ้านเรายังมีการซื้อขายผ่านระบบกันน้อย ก็ด้วยความที่ยังติดภาพของ E-Commerce ยุคล่มสลายอยู่นั่นเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของ E-Commerce นั้นไม่มีที่ใดเลย นอกจากประเทศไทย ที่จะมอง E-Commerce เป็น Internet และพยายามที่จะให้ผู้คนเข้าไปยังเว็บของตนเองเพื่อจับจ่ายซื้อของ

ดังนั้นหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะพัฒนาธุรกิจของตนเองด้วยรูปแบบของ E-Commerce ท่านก็ต้องคิดหาทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขั้นตอนหรือกระบวนการตั้งแต่ผลิตจนถึงมือของลูกค้า โดยมูลค่าเพิ่มที่เกิดกับขั้นตอนหรือกระบวนการดังกล่าวนั้น ต้องเป็นมูลค่าเพิ่มที่ท่านสามารถสร้างรายได้ให้กับท่านได้ อย่าพยายามจำกัดรูปแบบของธุรกิจของท่าน เช่น ต้องชำระด้วยบัตรเครดิต หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ขอให้คิดว่าโดยมีจุดมุ่งหมายคือ การที่ลูกค้ายินดีรับสินค้าและบริการของท่านแล้วจ่ายเงินที่สามารถทำให้ท่านมีกำไรโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณธรรม และถูกกฏหมาย

เบื้องหลังระบบเครือข่าย คือ Cloud Computing และ Ubiquitous Network

ซึ่งถือว่าโชคดีที่ประเทศไทยกำลังมีความพร้อมในทุกด้านกับรูปแบบของ E-Commerce ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ข้างต้น การเติบโตของ E-Commerce ในต่างประเทศนั้น ไปกับความเร็วของระบบเครือข่าย และศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลของผู้ให้บริการ

ซึ่งเดิมนั้นบ้านเรายังติดปัญหาที่ไม่สามารถเปิดประมูลได้ แต่เราก็กำลังเดินหน้ามุ่งที่จะเปิดให้บริการ Ultra Hi-Speed Internet และ Broadband Network ให้ได้ ทำให้นอกจากจะมีการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบการให้บริการเครือข่าย 3G กันแล้ว ยังจะมีการเปิดใบอนุญาต Wi-Max อีกด้วย

ซึ่งพอเราเริ่มมีโครงข่าย 3G หรือ Wi-Max เข้ามาก็จะเริ่มสามารถทำให้เกิดรูปแบบของการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ระบบเครือข่ายความเร็วสูงเกิดขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน อาทิ

Ultra Realistic Communication

การสื่อสารแบบ VDO conference ทั้งใช้ในองค์กร ใช้กันในหมู่ครอบครัว ที่บ้านกับเพื่อนหรือญาติในที่ห่างไกลหรือต่างประเทศ หรือใช้กับการทำธุรกิจดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้าต้น

Real World Web

ตำแหน่งที่อยู่ของเรา ที่พักอาศัยของเรา ที่ทำงาน สถานที่สำคัญต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ รอบตัวเราทั้งหมดจะถูก plot บนแผนที่แบบเสมือนจริง คือ มีข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่ระบบแผนที่ซึ่งคลาดเคลื่อนที่ใช้กันเกลื่อนไปทั้งเมืองแบบปัจจุบัน นั่นหมายความว่า เราจะสามารถรู้ได้ว่า เรากำลังอยู่ที่ไหน เราจะไปตำแหน่งที่เราต้องการได้อย่างไร และตำแหน่งที่เราต้องการนั้นพร้อมให้บริการเราอยู่หรือไม่ ระหว่างทางจากตำแหน่งที่เราอยู่จนถึงตำแหน่งเป้าหมายเรามีอะไรอยู่บ้าง ฯลฯ เสมือนว่ามีตัวเรา และสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอยู่ในระบบจริงๆ

Ubiquitous Sensor Device/Gadget

เขาบอกว่า บนโลกที่เราอยู่นี้ ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เรามักจะมีคอมพิวเตอร์อยู่รอบตัวเราเพียง 1 เครื่องที่ทำงานแบบ Active อยู่ แม้ว่าเราจะมีคอมพิวเตอร์อยู่หลายเครื่องก็ตาม อย่างผู้เขียนมี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง Notebook 1 เครื่อง และมี Smartphone 1 เครื่อง แต่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ยังใช้มันได้เครื่องเดียวอยู่ดี หรือไม่ก็ต้องสั่งให้มันทำงานทิ้งไว้ เช่น อีกเครื่องหนึ่งอาจจะเปิดภายนต์ไปด้วย แต่นั่นก็คือ ผู้เขียนต้องไปดำเนินการบางอย่างทิ้งไว้

แต่ด้วยระบบเครือข่ายความเร็วสุง และอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถเรียกว่า Ubiquitous Sensor ซึ่งหมายถึง อาจจะเป็นอุปกรณ์เดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แต่เพิ่ม sensor กับชิ้นส่วนของโทรศัพท์มือถือ เข้าไปทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถเก็บข้อมูล หรือทำการตอบสนองกับเราได้

Ubiquitous Sensor Device/Gadget มีการใช้อย่างมากมายในประเทศที่เปิดให้บริการเครือข่ายระบบ 3G เรียกได้ว่า ติดกันทั้งประเทศ ใช้ตั้งแต่ในภาคอุตสาหกรรมเกษตร ใช้กับระบบขนส่งมวลชน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านสาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ฯลฯ ซึ่งเมื่อนำมาเสริมกับ Digital Map รุ่นใหม่ ก็จะทำให้เกิดข้อมูลเชิงพื้นที่ (Location Base) จำนวนมหาศาล แต่นั่นก็จะกลายเป็นปัญหาตามมาว่า เมื่อมีอยู่ทั่วไป และยังสามารถรับส่งข้อมูลจากระบบเครือข่ายได้ แล้วอะไรล่ะที่จะมาประมวลผลข้อมูลมหาศาลที่วิ่งไปวิ่งมาผ่านระบบเครือข่ายความเร็วสูง

Social Network ที่เติบโตมากกว่าเดิม

แน่นอนว่า ขนาดที่เรายังสื่อสารกันด้วยความเร็วบ้างไม่เร็วบ้างอย่างในปัจจุบัน แต่ความนิยมในบริการบน Internet ที่เรียกว่า Social Network ก็มีการใช้งานอย่างมากมาย ดังที่เราเห็น และหากว่าระบบเครือข่ายเร็วขึ้นแน่นอนว่า บริการแบบ Social Network สำหรับบ้านเราคงจะพัฒนาขึ้นไปอีกมาก และทำให้ชิวิตมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้นไปอีก

Cloud Computing

จากปัญหาข้างต้นที่ว่า หากมีการรับส่งข้อมูล หรือข้อมูลที่วิ่งไปวิ่งมาจากอุปกรณ์ต่างๆ ในพื้นที่ซึ่งน่าจะมีอย่างมากกมายน่าจะก่อให้เกิดข้อมูลอย่างมาก เมื่อมีข้อมูลมหาศาลย่อมจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประมวลผลที่มีศักยภาพรองรับได้อยู่ด้วย และด้วยความที่นอกจากมีข้อมูลมหาศาลแล้ว ยังต้องรองรับการเติบโตของข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลเหล่านั้นด้วย ซึ่งพอมีปริมาณมหาศาลแล้ว ก็ส่งผลต่อการวางแผนในการจัดการกับ Hardware และ Network ที่จะมารองรับ แต่การขยายหรือเพิ่มความเร็วในระบบเครือข่ายนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลให้มีความ Dynamic ด้วยนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก ซึ่งต้องถือว่า คำถามนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ ไล่ๆ กันทั่วโลก โดยเฉพาะกับผู้ให้บริการ Internet Service รายโหญ่ของโลก จึงเป็นที่มาของการเกิดเป็นระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลแบบไม่จำกัด นั่นคือ Cloud Computing

ในส่วนของ Google นั้น เกิดปัญหาคล้ายกันเพียงแต่เกิดจากความนิยมในการใช้บริการของ Google ทั้ง Search Engine, Gmail, Google Doc, Google Map/ Google Earth ทำให้ระบบพื้นฐานของ Google ไม่สามารถรองรับกับปริมาณการใช้บริการอย่างมหาศาลได้

คุณลักษณะของความต้องการในการใช้บริการ Cloud Computing และเป็นคุณลักษณะของ Cloud Computing ด้วย นั่นคือ

• On-Demand Self-service บน Cloud Computing ระบบจะเป็นการให้บริการกับผู้ใช้ที่ไม่ต้องมีทักษะสูงนัก
• Ubiquitous Network Access เหมาะกับระบบที่ต้องการเข้าถึงได้จากทุกที่ ผ่านเครือข่าย Internet
• Location independent resource pooling ผู้ใช้บริการแทบจะรู้เลยว่า ระบบหรือเครื่องกลางอยู่ที่ใด
• Rapid Elastic มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
• Pay per use มีการค้ดค่าใช้จ่ายตามที่ใช้จริง บางทีเรียกว่า Utility Computing คือ เราจ่ายค่าบริการ Cloud Computing เหมือนกับการใช้บริการไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ และทางด่วน ที่เราจะชำระตามที่เราใช้จริง เราจะไม่จ่ายเมื่อเราไม่ได้ใช้

นอกจากคุณลักษณะข้างต้นแล้ว Cloud computing ยังมีรูปแบบในการให้บริการที่หลากหลาย นั่นคือ

• Cloud Infra เป็นการให้บริการเฉพาะ CPU, Memory, Storage, Network เหมือนที่ Amazon มีให้บริการ
• Cloud Platform เป็นการให้บริการกับนักพัฒนา เหมือนที่ Google ให้บริการผ่าน Hi5 นักพัฒนาไม่ต้องลงทุนหรือพัฒนาระบบใหญ่โต แต่มาใช้บริการบน Google App Engine แล้วพัฒนาบริการอย่างที่ตนเองชอบแล้วขายให้ได้
• Cloud Software เป็นการให้บริการ Software ชุดแบบที่เราต้องการ เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการขายสินค้า, ซอฟต์แวร์สำหรับถ่ายทอดสัญญาณ VDO, ซอฟต์แวร์สำหรับทำบัญชี, ซอฟต์แวร์สำหรับงานบริหารงานบุคคล, ซอฟต์แวร์สำหรับการตลาด หรือการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ฯลฯ เรียกได้ว่า ท่านสามารถเปิดสำนักงานอยู่บน Internet ได้เลยทีเดียว

และบริการทั้งหมดสามารถนำมาประกอบกันเป็นระบบต่างๆ ข้างต้น ตามที่ท่านต้องการได้อีกด้วยไม่ว่าจะพ่วงเข้าไปกับระบบ Call Center, ระบบ Ware House Logistic ฯลฯ

Cloud Computing กับ E-Commerce

ประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ Cloud Computing เข้ามาสนับสนุน E-Commerce นั้นอาจจะไม่ใช่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีว่า สามารถทำให้เกิดพลังในการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลได้ เพราะนั่นน่าจะเกิดหลังจากที่ธุรกิจได้พัฒนาเติบโตไปแล้ว หรือการมี Hi-Speed Network ที่ทำให้เกิดรูปแบบของUbiquitous Network ส่งผลให้เกิดการสื่อสารรูปแบบใหม่

แต่เป็นรูปแบบของระบบที่สามารถคิดค่าบริการแบบจ่ายจริง จ่ายเท่าที่ใช้บริการ (Pay Per Use) ซึ่งจากเดิมหากท่านต้องการเปิดบริการ E-commerce แบบที่ผู้เขียนนำเสนอ นั่นคือ ให้ผู้ซื้อเข้ามามีประสพการณ์กับการผลิตสินค้าและกระบวนการ หรือบริการเสริมต่างๆ ที่สร้างประสพการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ รวมทั้งมีระบบสมัครสมาชิกเก็บเงินผ่านระบบเครือข่าย ทั้งหมดนี้ท่านคงจะต้องลงทุนเป็นล้าน หรือหลายล้าน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าลูกค้าจะชอบหรือไม่ หรือทำแล้วจะขายได้จริงไหม ที่สำคัญอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก็มักจะเปลี่ยนแปลงเร็ว

แต่ด้วยรูปแบบของ Cloud computing จะทำให้ท่านสามารถทดลองให้บริการใดๆ ก็ตามที่นอกกรอบเดิมๆ สร้างความแตกต่างที่ลูกค้าคาดไม่ถึงมาก่อนได้โดยง่ายดาย โดยการจ่ายค่าบริการเป็นครั้งๆ ไป ก่อนจะเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ อีกทั้งในกรณีที่ท่านต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงท่านก็เพียงแจ้งต่อผู้ให้บริการ แต่หากเป็นแบบเดิมท่านต้องการคาดการณ์และวางแผนการลงทุนและเมื่อต้องการขยายก็ต้องลงทุนก้อนใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วต้องมานั่งคำนวนผลตอบแทนที่คืนกลับมาอีก

แต่ด้วยรูปแบบของ Cloud Computing ท่านได้โอกาสคิดและลองทำจริงเลย ทั้งหมดจ่ายเป็นค่าบริการ

ที่สำคัญท่านไม่ต้องรู้เรื่องทางด้านเทคนิคอะไรมากมายเลย เพียงด้วยสอบถามบริการจากผู้ให้บริการเท่านั้น

วันนี้ประเทศไทยก็มีการให้บริการ Cloud Computing อย่างสมบูรณ์แล้วโดย True Internet Data Center (True IDC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ True Corporation PLC. รวมทั้งเรายังมี Thailand Cloud Community โดย SIPA, Software Park, NECTEC, CP, True IDC, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โครงการ Thai Grid และองค์กรรวมไปถึงผู้ที่สนใจอีกมากมาย มารวมตัวกันเพื่อศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีของ Cloud computing และยังมีการตั้ง Cloud Computing ทั้งที่เป็น Open Source (โดยการสนับสนุนของ True IDC และ Microsoft (โดยการสนับสนุนของ Microsoft ประเทศไทย) ติดตั้งไว้ที่โครงการ Thai Grid และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งไว้สำหรับให้องค์กรใดๆ ที่สนใจพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนบริการเดิมมาให้บริการบน Cloud Computing ได้ หรือจะมาทดสอบการทำงานของบริการของท่านบน Cloud Computing ก็ได้ สามารถติดต่อได้ที่ www.thaigrid.or.th

สรุป

ด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่ประเทศไทยกำลังจะมีความพร้อมในการรองรับสนับสนุน E-Commerce รูปแบบใหม่ๆ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ซึ่งที่ดีกว่านั้นคือ ท่านสามารถทดลองแนวคิดหรือรูปแบบธุรกิจของท่านได้โดยง่าย

คำถามที่จะฝากกันไว้ก็คือ เมื่อมี Cloud Computing และ Ubiquitous Network เกิดขึ้นแล้ว รูปแบบของ E-Commerce ของท่านผู้อ่านในวันนี้จะเป็นอย่างไร.

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เทคนิคเพิ่ม ความชุ่มชื้น ให้ดวงตา


เทคนิคเพิ่ม ความชุ่มชื้น ให้ดวงตา
กระพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20 - 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่งตาค้างไว้นานกว่าปกติ เช่น เวลาที่เราอ่านหนังสือ ดูทีวีหรือจ้องคอมพิวเตอร์ จะทำให้เรากระพริบตาเพียง 8 - 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้น จึงควรพักสายตาระยะสั้นๆ โดยการหลับตา หรือกระพริบตาอย่างช้าๆ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 2 - 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง

ประคบดวงตาด้วยน้ำเย็น แช่ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืนในน้ำเย็น หยิบขึ้นมา 1 ผืน บิดพอหมาดและพับทบเป็นผืนยาว วางปิดดวงตาไว้ทั้งสองข้างนานประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าผ้าจะหายเย็น แล้วจึงใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งประคบ สลับกันไปมา จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาของคุณได้เช่นกัน

ติดตามอ่านได้ใน นิตยสารชีวจิต

ทดสอบภูมิแพ้ เพื่อแก้ให้ตรงจุด

ทดสอบภูมิแพ้ เพื่อแก้ให้ตรงจุด ทดสอบภูมิแพ้ เพื่อแก้ให้ตรงจุด (M&C แม่และเด็ก)

การทดสอบภูมิแพ้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเด็กที่มีปัญหา หรือกำลังสงสัยว่าเค้าจะเป็นภูมิแพ้ เพราะถ้าคุณแม่ทราบว่าลูกน้อยแพ้อะไร เช่น อาหาร อากาศ หรือแมลง เรามีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยง และง่ายต่อการรักษาด้วยค่ะ

ภูมิแพ้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ภูมิแพ้ระบบหายใจ ส่วนใหญ่จะเป็นสารที่เราสูดดมเข้าไปค่ะ รวมทั้งสารในและนอกบ้าน เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ สัตว์เลี้ยง เชื้อรา ลักษณะอาการ คือจะมีหวัด น้ำมูก บ่อย หอบหืดและมีอาการทางตาร่วมด้วย

2. แพ้อาหาร คืออาการแพ้อาหารที่ทานเข้าไป ในเด็กเล็กที่พบบ่อยคือจะแพ้อาหาร โดยเฉพาะไข่ ลักษณะอาการคือ อาเจียน ท้องเสียเมื่อทานอาหารเข้าไป เป็นผื่น คัน ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการหยุดหายใจ หอบหลังจากที่ทานอาหาร และในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการทางผิวหนังร่วมกับอาการอย่างอื่นด้วย

เมื่อจะทดสอบภูมิแพ้

การ ทดสอบภูมิแพ้ ไม่มีการกำหนดอายุในการทดสอบค่ะ สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะทดสอบในเด็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะพบการแพ้อาหาร อย่างเช่น แพ้ไข่ เป็นต้นค่ะ ซึ่งการทดสอบที่มาตรฐาน มีการใช้เทคนิคที่เหมาะสม น้ำยาที่มาตรฐาน แพทย์มีความชำนาญ ผลการทดสอบย่อมได้มาตรฐาน และน่าเชื่อถือค่ะ

ดังนั้นก่อนการทดสอบจึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อนค่ะ ซึ่งวิธีการทดสอบมีด้วยกัน 3 วิธี คือ

1. การสะกิดผิวหนัง คือการหยดน้ำยาลงบริเวณที่แขน หลัง และใช้เข็มสะกิดตรงกลางที่หยดน้ำยา จะเกิดปฏิกิริยา รอยแดงนูน คัน และอ่านผลภายใน 15 นาที ซึ่งทำง่าย เร็วและไม่เจ็บ ผลน่าเชื่อถือ และปลอดภัย

2. การฉีดเข้าผิวหนัง เป็นการฉีดน้ำยาเข้าใต้ผิวหนัง ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าเป็น แต่ว่าใช้วิธีการสะกิดไม่เจอ การฉีดจะเจ็บมากกว่า อันตรายจะสูงกว่า และค่าใช้จ่ายก็สูงตามด้วย และการฉีดจะใช้ในบางกรณีเท่านั้น

3. การตรวจเลือด คือการตรวจ ไอจีอีจำเพาะ คือการตรวจหาภูมิไวเกิน ใช้ในกรณีเด็กที่มีอาการแพ้รุนแรง มีข้อดีคือ ไม่มีการฉีดสารใดๆ เข้าไปในร่างกาย แต่มีข้อจำกัดเรื่องราคาสูง และต้องมีเทคนิคการตรวจสอบที่ได้มาตรฐาน
ดังนั้นโดยมาตรฐานส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้การทดสอบด้วยการสะกิด ที่ทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย ค่าใช้จ่ายไม่มาก และผลการทดสอบก็น่าเชื่อถือค่ะ

ได้อะไรจากการทดสอบ

อย่าง น้อยที่สุดคุณแม่จะได้รู้ว่า ลูกน้อยเป็นภูมิแพ้จริงหรือไม่ และถ้าแพ้จริงจะได้ทราบว่าลูกแพ้อะไร เพื่อที่จะหาทางรักษาและหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ และในกรณีที่เค้าเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง พยายามรักษาและหลีกเลี่ยงสารที่แพ้แล้วก็ยังไม่หาย คุณแม่ก็จะสามารถหาทางรักษาที่เหมาะสมต่อไปได้ค่ะ

ใน เด็กที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หรือทางการแพทย์เรียกว่า อนาฟัยแลกซิส ซึ่งต้องหาสาเหตุสิ่งที่แพ้ให้เจอ เพราะอาการแพ้ที่รุนแรงถ้าได้รับสารที่ทำให้แพ้ อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ แต่ถ้าได้รับการตรวจที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็จะป้องกันได้ในเวลาฉุกเฉิน เช่น การพกยาประจำตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้าน

การเตรียมตัว

คุณ แม่ที่ตัดสินใจที่พาลูกมาเข้ารับการทดสอบภูมิแพ้ ต้องโทรปรึกษาแพทย์เพื่อนัดวันและบอกวิธีการเตรียมตัวค่ะ คือจะมีการหยุดยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด และต้องอยู่ในช่วงที่ร่างกายแข็งแรง อยู่ในช่วงที่อาการสงบ ไม่กำเริบ

มี คุณแม่หลายท่านที่มีความเข้าใจเรื่องภูมิแพ้ โดยคิดว่าการทดสอบภูมิแพ้เป็นเรื่องที่น่ากลัว และอันตราย ซึ่งความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ ถ้าแพทย์มีความชำนาญและเชี่ยวชาญจริง ๆ และอีกในกรณีหนึ่งคือ พ่อแม่มักคิดว่า ให้ลูกโตเสียก่อนค่อยทดสอบก็ยังได้ แต่ถ้าลูกมีลักษณะอาการของภูมิแพ้ และเป็นไม่หายสักที โดยที่ไม่ทราบแท้จริงว่าแพ้อะไร การพาลูกมาทดสอบตั้งแต่ยังเล็ก ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเค้ามากกว่านะคะ อย่างน้อยจะได้หาทางเลี่ยงสารที่แพ้และรักษาได้ถูกต้องค่ะ
ที่มา http://women.kapook.com/view14973.html

ชุดชั้นในนั้นสำคัญไฉน

ชุดชั้นในนั้นสำคัญไฉน
การเลือกชุดชั้นในให้เหมาะกับกางเกง หรือกระโปรงที่ใส่นั้นสำคัญนะคะ สาวๆ คงไม่อยากให้ความเซ็กซี่มันเลยเถิดจนเกินไปใช่ไหมละ

รอยขอบชั้นในอาจเป็นปัญหากวนใจให้สาวๆ ต้องหงุดหงิดทุกครั้งที่ใส่กางเกงแนบเนื้อ เช่น สกินนี่ยีนส์ หรือกางเกงเข้ารูปสีขาว ฉะนั้นควรที่จะเลือกขนาดของชั้นในให้พอดีกับช่วงสะโพก และก้น เพราะหากหลวมเกินไปแล้ว เวลาที่ใส่กระโปรงหรือกางเกงที่พอดีตัว รอยขอบกางเกงในจะนูนออกมาให้เห็นได้ชัด

หากอยากให้สะโพกดูเรียบเนียนไม่มีรอยชั้นใน ให้ลองใส่แบบ G-string หรือ Thong ซึ่งนอกจากจะไม่เห็นรอยแล้วยังรู้สึกสบาย มั่นใจทุกท่วงท่า

ส่วนชั้นในแบบลูกไม้นั้นก็ควรเก็บไว้ใส่กับชุดหลวมๆ เพราะลายลูกไม้ก็สามารถนูนออกมาเห็นชัดได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณต้องการให้หน้าท้องดูแบนราบและกระชับ ให้ใส่กางเกงในที่ขอบเอวสูงแบบ Boyleg เพราะจะช่วยเก็บเนื้อหน้าท้องได้ดีกว่ากางเกงในแบบเอวต่ำหรือบิกินีค่ะ
ขอขอบคุณ :
Lisa
ผู้สนับสนุนเนื้อหา