เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด แบบ "อารมณ์ดี๊ดี"

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด แบบ "อารมณ์ดี๊ดี" หากพูดถึง "การเลี้ยงลูก" เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุข แต่หลายๆ ครั้งเป้าหมายที่วางไว้ค่อยๆ จางหายไปทีละข้อ สองข้อ เมื่อพ่อแม่ตกไปอยู่ภายใต้การแข่งขันที่กดดันของสังคม ทำให้ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอในการเลี้ยงลูก จึงมักเลือกที่จะฝากลูกไว้กับโรงเรียน หรือสถาบันกวดวิชาต่างๆ เพราะอยากให้ลูกเก่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับลืมไปว่า ความฉลาดทางอารมณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เช่นกัน

ในเรื่องนี้ "ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ" จิตแพทย์เด็ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้มุมมอง และแนวทางในเวทีสัมมนาเรื่อง "เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด...แบบอารมณ์ดี" จัดโดยนมเปรี้ยวดัชมิลล์พลัส แอดวานซ์ และโรงพยาบาลนครธน ว่า ความฉลาด หรือที่เรียกว่า IQ นั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่ต้น ซึ่งพ่อแม่มีส่วนที่จะช่วยให้ลูกได้ใช้ความฉลาดหรือ IQ อย่างเต็มที่ โดยเสนอให้ลูกได้แสดง เรียนรู้ และใช้ความสามารถที่มีอยู่ ไม่ว่าจะด้านวิชาการ ดนตรี กีฬา หรือการมีปฎิสัมพันธ์กันในครอบครัว พูดคุยกับลูก เล่นกับลูก ก็เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เด็กฉลาดได้

แต่ทั้งนี้ ความฉลาดต้องมาคู่กับอารมณ์ดี เพราะถ้าเด็กอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด วิตกกังวล หรือกลัว ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ และใช้ความฉลาดที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นจุดหนึ่งที่พ่อแม่ต้องพัฒนาไปทั้งสองอย่าง และควบคุมพฤติกรรมของลูก ไม่ตามใจลูกจนเกินไป เพราะหากตามใจ เมื่อลูกหงุดหงิด ก้าวร้าว ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เด็กอาจจะจบด้วยการเอาแต่ใจตัวเอง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ดังนั้นความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าฉลาดแต่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนคงจะดูไม่ดีแน่นอน

อย่างไรก็ดี การเลี้ยงลูกให้อารมณ์ดีนั้น ศ.พญ.อลิสา บอกว่า เด็กจะอารมณ์ดีหรือไม่เกี่ยวโยงกับพัฒนาการหลายๆ ด้านของเด็ก เช่น ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม อาทิ หากเด็กมีพื้นฐานอารมณ์ดีก็จะกินได้ เล่นได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ในทักษะความรู้ด้านต่างๆ ได้ดี ขณะเดียวกันเมื่อตัวเด็กพร้อม ย่อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข เช่น พ่อ แม่ คุณครู ปู่ ย่า ตายาย หรือ เพื่อน เพราะการที่เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เด็กจะต้องมีอารมณ์ และทักษะทางสังคมที่ดี หรือที่เรียกว่า พัฒนาการดี เริ่มต้นจากอารมณ์ที่ดีนั่นเอง
"เก่ง ดี มีสุข หากเด็กมีเพียง เก่ง และ ดี แต่ไม่มีความสุข เด็กก็จะมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ ทำให้2 คำแรกไม่สามารถพัฒนาเป็นคำที่ 3 คือความสุขได้ พ่อแม่จึงควรเลี้ยงลูกให้มีอารมณ์ดี เมื่อเด็กอารมณ์ดีก็จะมีความสุข ช่วยในเรื่องความฉลาดได้ ซึ่งจริงอยู่ที่ความฉลาดติดตัวเด็กมาตั้งแต่เล็ก แต่บางครั้งตัวเด็กก็ไม่ได้ใช้ความฉลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กจะใช้ความสามารถที่เขามีอยู่ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเด็กมีอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสากล่าว

ศ.พญ.อลิสา แนะทิ้งท้ายว่า สิ่งใกล้ตัวที่จะทำให้ลูกฉลาด และมีอารมณ์ดีได้ คือพ่อแม่ที่พร้อมจะมีลูก รักลูก รู้ใจลูก และเรียนรู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งต้องมีเวลาให้กับลูก เพื่อที่ลูกจะได้เรียนรู้ใจตัวเอง พร้อมกับจัดการได้อย่างลงตัว นอกนั้นเป็นเรื่องของเทคนิควิธีที่พ่อแม่จะต้องเรียนรู้จากผู้ใหญ่ จากคนรอบข้าง จากสื่อ และตัวช่วยอื่นๆ เช่น บุคคลทดแทน เวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่คล้ายคลึงกัน อาจจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือเป็นญาติพี่น้อง และโยงต่อไปถึงการเลือกโรงเรียน การดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมของลูก ให้ลูกได้มีโอกาส ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ควรจะเรียนรู้ ได้ทำทุกอย่างที่เขาควรจะทำ แต่ไม่กดดันสิ่งที่ลูกทำไม่ได้ เมื่อเขาทำดีก็ชมเชย และคอยเฝ้าระวังปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถ้ารู้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น

"เรื่องสุขภาพ และอาหารการกินของลูก มีผลต่ออารมณ์ของลูกเช่นกัน พ่อแม่จึงควรเลือกกลุ่มของอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายหมู่ให้ลูกกิน อย่าให้เด็กกินอะไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีอาหารพิเศษเสริมให้บ้าง เพราะเมื่อได้กินดีเด็กก็จะอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสาทิ้งท้าย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์