5 เทคนิคเที่ยวถูกใจ พาลูกรักไปพักผ่อน

5 เทคนิคเที่ยวถูกใจ พาลูกรักไปพักผ่อน แม้เข้าหน้าฝน ครอบครัวที่รักการท่องเที่ยวก็ยังคงมองหาสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ดี โดยเฉพาะครอบครัวที่ลูกกำลังน่ารัก เดินเตาะแตะ หรือกำลังพูดเจื้อยแจ้ว พ่อแม่ก็อาจถือโอกาสนี้พาลูก ๆ ไปอวดโฉมกันเสียหน่อย แต่จะเที่ยวอย่างไรให้ถูกใจเจ้าตัวเล็ก พระเอกนางเอกของบ้าน วันนี้เรามีเทคนิคดี ๆ มาฝากกันค่ะ
1. สร้างภาพของสถานที่นั้นในใจลูก

การออกเดินทางไปเที่ยวกับลูก ๆ สู่สถานที่ที่เด็ก ๆ ไม่รู้จักมาก่อน พ่อแม่สามารถเติมความสนุกลงไปได้ด้วยการให้ข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับลูก เช่น หากมีญาติอาศัยอยู่ ก็อาจบอกกับลูก ๆ ว่าที่จังหวัดนี้เรามีคุณป้า....อยู่ไง ลูกจำได้ไหม หรือหากพ่อแม่เคยมีประสบการณ์ประทับใจ เคยมาเที่ยวสมัยหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็เล่าให้ลูกฟังก็ได้ ลูกจะได้สร้างภาพของสถานที่นั้น ๆ ขึ้นมาในใจ

แต่หากอยากป้อนข้อมูลที่จริงจังมากขึ้น ก็อาจลองหาหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้น ๆ มาอ่านกับลูก ๆ ก่อนวันไปเที่ยวสักเล็กน้อย จะได้ทราบว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวใดน่าสนใจบ้าง โดยพ่อแม่อาจถามลูกเพิ่มเติมก็ได้ว่า ลูกอยากทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษเมื่อไปถึง

2. หากล้องถ่ายภาพเล็ก ๆ ให้ลูกสักอัน

อาจเป็นกล้องดิจิตอลอันเก่าที่คุณไม่ค่อยได้ใช้แล้ว หรืออันที่ถึงพังก็ไม่เสียดาย แล้วลองให้โอกาสลูกเป็นตากล้องสมัครเล่น ถ่ายทอดมุมมองแบบเด็ก ๆ ที่เขามีให้คุณได้ชม เพราะนั่นหมายถึงการที่ลูกสะท้อนสิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขาเห็น และทำให้เด็กน้อยมีกิจกรรมสนุก ๆ ทำระหว่างไปเที่ยว ช่วยให้เขาไม่เบื่อง่าย ๆ ด้วย

3. มองโลกแบบเด็ก ๆ

พ่อแม่เมื่อจะชวนลูกเที่ยวนั้น แม้จะเตรียมแผนการท่องเที่ยวเอาไว้อย่างดีแล้วว่าจะไปที่นั่นที่นี่ ออกจากตรงนั้นไปดูตรงนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธรรมชาติของเด็ก มักเต็มไปด้วยจินตนาการสูงส่ง บางครั้งไปทะเล เตรียมแค่ชุดว่ายน้ำ - ถังทรายก็ไม่พอ อาจต้องพกเต็นท์เผื่อเจ้าตัวซนนึกสนุกอยากกางเต็นท์ริมทะเลขึ้นมา และที่สำคัญ อย่าเครียด ว่าจะต้องเที่ยวได้ตามที่พ่อแม่กำหนด หรือยึดเวลาเคร่งครัด (เว้นเสียแต่ว่าคุณไปเที่ยวญี่ปุ่น และซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซ็นเอาไว้) ปล่อยสบาย ๆ ทำตัวเป็นเด็กไปกับลูก จะสนุกกว่าค่ะ

4. ไม่ควรลืม "ขนม"

ขนมอร่อย ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญของพ่อแม่ที่จะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมงอแงของลูก ๆ ได้ในเวลาอันสั้น หากที่บ้านไม่ค่อยให้ลูกทานขนม เวลาไปเที่ยวก็อาจหย่อนข้อบังคับนี้ลงบ้างก็ได้ สำหรับการเลือกขนม ไม่ควรเลือกประเภทช็อคโกแลต เพราะหากขับรถไปเที่ยว โดยเฉพาะตอนกลางวัน อากาศที่ร้อนอาจทำให้ช็อคโกแลตละลายเยิ้ม เลอะถุง - มือ - เสื้อผ้าได้

5. จัดเก็บความประทับใจไว้ในรูปแบบต่าง ๆ

เมื่อกลับมาจากทริปสุดประทับใจนี้แล้ว ลองชวนลูก ๆ มาช่วยกันทำบันทึกความทรงจำที่มีร่วมกัน อาจเป็นกรอบรูปที่ตกแต่งด้วยภาพเก๋ ๆ หรือภาพที่ลูกถ่ายเอง หรือจะตัดต่อในคอมพิวเตอร์ ใส่เพลง ใส่ภาพ ใส่ข้อความ ไรท์ลงซีดี ฯลฯ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก www.more4kids.info

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เตือนคนโสดระวังโรคเหงา..อันตรายเท่าสูบบุหรี่

เตือนคนโสดระวังโรคเหงา..อันตรายเท่าสูบบุหรี่ พบเพชฌฆาตตัวใหม่ "โรคเหงา" เชื่อเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่ต่างจากการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือการเป็นโรคอ้วนเลยทีเดียว

ดร.Julianne Holt-Lunstad จากมหาวิทยาลัย Brigham ในยูทาห์ ผู้ทำการวิจัยเรื่องดังกล่าวระบุว่า การมีเพื่อน หรือครอบครัวอยู่ข้างกายช่วยให้คน ๆ หนึ่งค้นพบความหมายของชีวิต และมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีสังคม

"เมื่อคน ๆ หนึ่งรู้สึกว่ามีเพื่อนฝูงคบหา หรือต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น จะทำให้เขาดูแลตัวเองดีขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในชีวิตน้อยลง ส่วนการแยกตัวโดดเดี่ยวนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพเทียบเท่ากับผู้ที่สูบบุหรี่วันละ 15 มวนเลยทีเดียว"

ดร. Julianne ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ หรือนักวิชาการ ตลอดจนสื่อต่าง ๆ มักมองที่การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ความเครียด หรือการไม่ออกกำลังกายว่าเป็นเหตุให้คน ๆ หนึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ปัจจัยด้านสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตเร็วหรือช้าได้เช่นกัน"

ไม่เพียงเท่านั้น มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่แต่งงานมีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่แต่งงานแล้ว (รวมถึงคนที่แต่งงานแล้วหย่าด้วย)

เรียบเรียงจากเดลิเมล

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

9 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้วันทำงาน

9 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้วันทำงาน แม้จะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่หลายคนอาจเตรียมแพ็คกระเป๋าออกเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาว แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายท่านที่มีงานล้นมือ เหนื่อยล้า และต้องการกำลังใจ ซึ่งในวันนี้ เรามีเทคนิคสร้างกำลังใจดี ๆ มาฝากกันค่ะ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองติดตามกันเลยค่ะ 1. มองโลกในแง่ดี

การมองโลกในแง่ดีเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจ อาจทำได้โดยนึกภาพตัวเองว่ากำลังรู้สึกดีใจแค่ไหน ที่สามารถทำสิ่งที่หวังให้สำเร็จลงได้

2. ตั้งเป้าหมายของตนเอง และเขียนลงบนกระดาษ

การเขียนสิ่งที่เป็นเป้าหมายของตนเองออกมาจะทำให้คุณรวบรวมสมาธิจดจ่อในการทำสิ่งนั้น ๆ ให้สำเร็จ และถ้าจะให้ดี เล่าเป้าหมายของคุณให้เพื่อนรักฟังด้วย เพราะนั่นจะยิ่งเพิ่มโอกาสให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จตามเป้าหมายอีกถึง 33 เปอร์เซ็นต์

3. เลือกคำที่มีความหมายดี ๆ เป็นพาสเวิร์ด

เปลี่ยนพาสเวิร์ดคอมพิวเตอร์เป็นคำที่ให้ความหมายดี ๆ หรือคำที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ ทุกครั้งที่คุณล็อกอินเข้าระบบ และต้องพิมพ์พาสเวิร์ดนี้ ก็จะยิ่งตอกย้ำให้คุณคิดถึงสิ่งดี ๆ เหล่านั้นมากขึ้น

4. ลืมอดีตที่เลวร้าย

ยิ่งคุณนึกถึงอดีตที่เลวร้ายมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นพยายามนึกถึงมันให้น้อย ๆ และแทนที่ด้วยภาพของตัวเองยามที่มีความสุข มั่นใจในตัวเอง
5. พกภาพแห่งความประทับใจติดตัวไว้เสมอ

แค่ 2 - 3 ภาพที่คุณรู้สึกดี อาจเป็นภาพของช่วงเวลาที่คุณมีความสุข หรือเป็นทริปท่องเที่ยวแห่งความทรงจำ ซึ่งปัจจุบันไม่จำเป็นต้องพกในลักษณะของภาพถ่ายใส่กระเป๋าสตางค์แต่เพียงอย่างเดียว ยังอาจใส่ไว้ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้

6. จัดหมวดหมู่เพลงสำหรับ "เพิ่มกำลังใจ"

ในโปรแกรมสำหรับฟังเพลงซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อ เราสามารถสร้างเพลย์ลิสต์ขึ้นมาได้ ซึ่งในกรณีนี้ ก็สร้างเพลย์ลิสต์เพลงที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คุณเก็บเอาไว้ เวลาต้องการกำลังใจก็จะได้เปิดขึ้นมาฟังได้เลย

7. ยิ้ม

เวลาที่เรายิ้ม สมองจะหลั่งสารที่ช่วยให้รู้สึกดีออกมา ยิ่งเรายิ้มมากเท่าไร ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกดี และความมั่นใจให้มากเท่านั้น

8. เชิดหน้าเข้าไว้

การเดิน ยืน หรือนั่งก้มหน้า เป็นการส่งสัญญาณว่าคุณกำลังมีปัญหา หรือรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้น เชิดหน้าเข้าไว้

9. ไม่นั่งกอดอก

การนั่งกอดอกให้ความรู้สึกของกำแพงที่กั้นขวาง และทำให้ผู้ที่สนทนาด้วยรู้สึกอึดอัดได้ ตรงกันข้าม การนั่งสบาย ๆ กลับทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และพร้อมสำหรับการรับฟังสิ่งต่าง ๆ

เรียบเรียงจากเดลิเมล
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

โชว์ Cosplay แต้มสีสันในไชน่าจอย


โชว์ Cosplay แต้มสีสันในไชน่าจอย สองสาวคอสเพลย์ ในการประชุมและแสดงนิทรรศการสื่อบันเทิงระบบดิจิตอล หรือ China Joy ครั้งที่ 8 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ในวันที่ 29 ก.ค.

นครเซี่ยงไฮ้เปิดงานประชุมและแสดงสินค้าสื่อบันเทิงระบบดิจิตอล (8th annual China Digital Entertainment Expo and Conference) หรือ China Joy ครั้งที่ 8 ซึ่งเป็นงานเกมส์ออนไลน์ใหญ่สุดของประเทศจีน และมุมหนึ่ง
ของไชน่า จอย ก็มีบรรดาอาตี๋ อาหมวยแต่ง คอสเพลย์ (Cosplay) หลากสีสันฉูดฉาดบาดตา ออกมาประชันกันอย่างคึกคัก

คอสเพลย์มีรากมาจากวัฒนธรรมป๊อปในญี่ปุ่น โดย cosplay หรือ costume role play ประกอบด้วย การสวมเสื้อผ้าและแต่งหน้าเลียนแบบตัวละครในสื่อต่างๆ อาทิ ตัวละครในหนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ ตลอดจนวีดีโอเกมส์

ชมชุด คอสเพลย์ ในงานประชุมและแสดงสินค้าสื่อบันเทิงระบบดิจิตอล หรือ China Joy ครั้งที่ 8 วันที่ 29 ก.ค. 2553 ที่นครเซี่ยงไฮ้ (ภาพโดยเอเอฟพี)

สองสาวหมวยคอสเพลย์ กำลังรอเพื่อเตรียมแสดง

โชว์เดี่ยว อย่างน่ารัก

ช่วยจัดเสื้อผ้า

หล่อหรือยังนะ?

คอสเพลย์สไตล์กิโมโน

คอสเพลย์แนวเซ็กซี่ๆ น่ารักๆ

พิงค์กี้ สุดหวาน

หมดแรง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

หลักสูตรอบรมลูกเศรษฐี วิธีต่อยอดความรวย

หลักสูตรอบรมลูกเศรษฐี วิธีต่อยอดความรวย หน่อเนื้อเชื้อไขของผู้ประกอบการที่ร่ำรวยบนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเตรียมรับมรดกและกิจการจากพ่อแม่อีก 10 ปีข้างหน้าดูไม่ค่อยสนใจการอบรมโครงการการรับสืบทอดมรดกและการพัฒนาวิสาหกิจเอกชนครั้งที่3ในการประชุมสุดยอดแห่งจีน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง - เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - เวลานี้จีนกำลังฮิต เปิดหลักสูตรฝึกอบรมทายาทเศรษฐีนักธุรกิจบนแดนมังกร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการรับช่วงกิจการ และต่อยอดความร่ำรวยให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

หลักสูตรอบรมลูกคนรวย ได้รับการสนับสนุนโดยสมาพันธ์อุตสาหกรรมและการค้าแห่งจีนทั้งมวล(the All-China Federation of Industry and Commerce) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ปรากฏว่ามีลูกหลานของครอบครัวผู้มีอันจะกินแห่มาเรียนหลายร้อยคน

หลักสูตรอบรมที่ว่านี้กำลังตกเป็นเป้าสนใจกันทั้งประเทศ และกลายเป็นประเด็นร้อนให้ถกเถียงกันในโลกไซเบอร์ เพราะมันเป็นหลักสูตร ที่ออกแบบขึ้นมาสำหรับ “พวกคนมั่งมีรุ่นที่ 2” อย่างที่ Xinhuanet เรียก โดยกิจการบริษัทของครอบครัวเจ้าสัวน้อยเหล่านี้เบ่งบานอู้ฟู่มาตั้งแต่จีนเปิดรับเศรษฐกิจระบบทุนนิยมเมื่อปี 2522

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เด็ก ๆ กว่า 100 คน ซึ่งเป็นลูกของผู้ประกอบการเอกชนระดับแถวหน้า ที่ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 22-29 ปี ได้เข้าอบรมหลักสูตร ซึ่งเปิดระหว่างวันที่ 16-18 ก.ค. ที่ผ่านมา พร้อมบิดามารดาโดยสำหรับบุตรเสียค่าอบรม 4,800 หยวน หรือราว 24,000 บาท ซึ่งขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะความร่ำรวยของครอบครัวเหล่านี้ หากรวมกันแล้วก็หลายสิบพันล้านหยวนทีเดียว

ด้านผู้อบรมก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยระดับหัวกะทิ และเหล่าผู้คงแก่เรียนจากพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งสอนสมาชิกโปลิตบูโร ตลอดจนนักการเมือง, นักเศรษฐศาสตร์ และประธานบริษัทมาแล้ว

เด็กหญิงวัย 10 ขวบผู้หนึ่งนั่งอยู่เบื้องหลังมารดา กำลังฟังการสอนในชั้นเรียน

“ ถ้าธุรกิจของครอบครัวยังไปได้ดี ดิฉันก็หวังให้ลูกรับช่วงต่อค่ะ แต่ก็ต้องแล้วแต่เขาว่าอยากจะทำอะไร” คุณแม่ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทระบุ

หลักสูตรมุ่งเน้นอบรมวิธีการรับช่วงกองทรัพย์สินมรดก และสืบทอดการดำเนินธุรกิจของครอบครัว

เคล็บลับการสืบทอดอำนาจคือบทเรียนแรกในการอบรมวันแรกสำหรับเจ้าสัววัยกระเตาะ ด้านเจ้าหน้าที่จากสถาบันวิทยาศาสตร์การทหารได้รับเชิญมาสอนเรื่องคุณค่าแห่งความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชน

จุดมุ่งหมายก็เพื่อสอนให้เด็กฐานะร่ำรวยหัดมีความรับผิดชอบ ทว่าเด็กที่เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่สนใจ สำนักข่าวซินหัวระบุว่า เด็กหลายคนชอบคุยกันเรื่องรถเก๋งหรูหรา ที่ตนนั่งมามากกว่า และบางคนถึงขั้นโดดอบรม

หลักสูตรอบรมลูกคนรวยเริ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน และกำลังได้รับความนิยมแพร่หลาย โดยมหาวิทยาลัยชั้นนำบางแห่ง เช่นมหาวิทยาลัยปักกิ่งและมหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่ง ตลอดจนมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในเซี่ยงไฮ้ ก็เปิดหลักสูตรทำนองนี้ คิดค่าอบรมระหว่าง 10,000-300,000 หยวน หรือราว50,000-1,500,000 บาท

จากผลสำรวจ ซึ่งมีการเปิดเผยในเวทีประชุม MBA Forum ในมณฑลเจียงซูเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ประเมินว่า ผู้ประกอบการเอกชน 3 ล้านคนในจีนจะมอบกิจการให้ทายาทในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า และราวร้อยละ90 ต้องการให้ลูก ๆ ดูแลกิจการต่อไป

ทว่าผู้เป็นลูกถึงร้อยละ95 กลับไม่เต็มใจทำตาม เหตุผลหนึ่งก็คือบริษัทเอกชนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยแค่3-1/2 ปี ซึ่งสั้นกว่าอายุเฉลี่ยของบริษัทต่างชาติ ที่อยู่ระหว่าง40-50 ปี

ด้านชาวเน็ตทั่วแดนมังกรพากันวิจารณ์ยกใหญ่ “ฉันละอายใจแทนมหาวิทยาลัย,อาจารย์และเจ้าหน้าที่พวกนั้น ที่จัด หรือเข้าร่วมหลักสูตรสำหรับพวกเศรษฐีแบบนี้” ชาวเน็ตคนหนึ่งระบุในเว็บ Tianya

“พวกเขาควรสอนให้ประชาชนรู้จักสร้างสังคม ที่มีความเท่าเทียมและมีความหวัง มากกว่าการสนับสนุนเรื่องอภิสิทธิ์ ด้วยการสั่งสอนแต่พวกคนรวย”

บางคนยังระบุด้วยว่า หลักสูตรนี้ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งห่างกันมากเกินไปแล้วในจีน ยิ่งเลวร้ายกันไปใหญ่
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สีเสื้อผ้าช่วยเสริมเสน่ห์คนใส่?

สีเสื้อผ้าช่วยเสริมเสน่ห์คนใส่? "เสน่ห์" ย่อมมีอยู่ในตัวทุกคน และมีอยู่ทั่วไปในทุกหย่อม(หญ้า) แต่การดึงเสน่ห์ออกมาใช้ให้เป็น แบบถูกที่ถูกทาง ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก...."การแต่งตัว" คือสิ่งช่วยเสริมเสน่ห์อีกทางเลือกหนึ่งที่สาวๆ หลายคนมักมองข้ามไป

ตามธรรมชาติของมนุษย์มักจะชอบคนสวยๆ หล่อๆ หรือคนมีเสน่ห์มากกว่าคนน่าเกลียดและดูไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย ใช่ว่าทิชชี่จะดูถูกคนหน้าตาไม่ดี แต่สาวๆ รู้หรือไม่ค่ะว่า การที่เราเกิดมาดำ อ้วน เตี้ย ล่ำ ฟันเหยิน หรือหัวเถิก ไม่ใช้เรื่องผิด เพราะสิ่งเหล่านั้นสามารถปรุงแต่งให้ดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมาได้ด้วยกันทั้งสิ้น เช่นถ้าคุณฟันเหยินคุณก็ดัดฟัน ถ้าคุณหัวเถิกคุณก็ใส่วิกแฟชั่นเสริมเข้าไป ถ้าคุณเตี้ยคุณก็ใส่รองเท้าส้นสูง เป็นต้น....(แค่นี้เป็นวิธีที่ง่ายจะตาย)

ต่อ ไปนี้คือวิธีง่ายๆ ที่สามารถช่วยเสริมเสน่ห์ของคุณให้มีความเย้ายวนขึ้นมาได้ (ไม่มากก็น้อย ^^") ด้วยการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะ และเข้ากับสีผิวพรรณที่พ่อแม่ให้มาค่ะ
การเลือกเสื้อผ้ามีเทคนิคง่ายๆ คือ ควรเลือกสีเสื้อให้ใส่แล้วดูมีลุคดี เหมาะกับสีผิวของตัวเอง อย่างสาวผิวสีดำ การใส่เสื้อสีแดงแปร้ดๆ เป็น อีกาคาบพริก นั้นลืมไปเลยเลย (แต่ถ้าคุณไม่แคร์สื่อ ก็ใส่ๆ มันเข้าไปเถอะค่ะ)

สาวผิวดำ ถ้าอยากดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมา ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีกลางๆ ออกสีครีมๆ เรียบๆ เพื่อให้ดูสง่าภูมิฐาน หรือเลือกเสื้อผ้าที่มีสีค่อนข้างอ่อน อย่างสีขาว สีกากี สีฟ้าอ่อน สีเทา สีชมพู เนื่องจากสีเหล่านี้สามารถเพิ่มความอ่อนโยน และเสริมบุคลิกภาพ ให้ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นได้

สาวผิวสองสี สาวคนไหนมีผิวสองสี นับว่าโชคดีมาก เพราะสามารถเลืิอกเสื้อผ้าสีใดใส่ก็ได้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังในการเลือกสีเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน สีเสื้อผ้าที่เหมาะคือ สีม่วงเข้ม สีกรมท่า สีดำ สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีชมพู(ควรมีลวดลาย) สาวผิวสองสีใส่เสื้อผ้าสีเหล่านี้จะแสดงความเป็นตัวตนที่ง่ายๆ แต่หากอยากแสดงความหลากหลายในตัวตน ก็สามารถหยิบจับสีต่างๆเหล่านี้มาผสมผสานกัน

สาวผิวขาว (ซีด) ไม่ ต้องกังวลเพราะเหมาะมากกับเสื้อผ้าที่มีสีพาสเทล สีเหล่านี้สามารถดึงให้เป็นคนที่น่าสนใจ สดใส ซึ่งจะทำให้ลืมความซีดของผิวไปได้ สีเสื้อผ้าที่เหมาะกับผิวขาวซีดคือ สีฟ้าอ่อน สีฟ้าเข้ม สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีน้ำตาล สีขาวแต่ควรมีลวดลายสีสันต่างๆ เสื้อผ้าสีเหล่านี้ จะดึงให้คนผิวขาวซีดมีชีวิตชีวา สามารถทำให้เป็นคนที่น่าสนใจได้ไม่ยาก
เรื่องน่ารู้ของสีกับเสื้อผ้า

- สีขาว เสื้อผ้าสีขาวทำให้คุณดูขี้อ้อนนิดๆ น่าเอ็นดูหน่อยๆ เหมาะจะใส่ไปอ้อนแฟนสุดๆ

- สีน้ำเงิน เวลาไปสัมภาษณ์งาน นี่คือสีที่ขอแนะนำเพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นคนเอาการเอางาน ไว้ใจได้ เรียกว่าน่าจ้างไว้เป็นพนักงานนั่นเอง

- สีชมพู คนๆ นี้อาจกำลังอินเลิฟ

-สีเงิน เสื้อผ้าสีเงินทำให้คนใส่ดูไฮเทคทันสมัย เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์เป็นยอด

-สีทอง ว่ากันว่าถ้าใส่เครื่องประดับสีทอง เงินทองจะไหลมาเทมา

-สีเหลือง ใส่เสื้อสีนี้เวลาเซ็งๆ แล้วอารมณ์จะเปลี่ยนเพราะสีนี้ทำให้รู้สึกสดใสกระฉับกระเฉง จะได้เลิดซังกะตายเสียที

-สีม่วง อย่าไปยุ่งเชียวเขากำลังต้องการโลกส่วนตัว


ขอขอบคุณ :
Thichy Na Sanook
ผู้สนับสนุนเนื้อหา

ไอเดียวเจ๋งๆ ทำให้บ้านมีเสน่ห์

ไอเดียวเจ๋งๆ ทำให้บ้านมีเสน่ห์ ถ้าบรรยากาศในบ้านมันน่าเบื่อ จะไปอยู่แบบซ้ำซากจำเจกันทำไมค่ัะคุณสาวๆ มาม่ะมาหาไอเดียแจ่มๆ เสริมเติมแต่งบ้านให้ดูน่าอยู่กันดีกว่าค่ะ- มูลี่หรือฉาก เป็นการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนแบบไม่ยุ่งยาก แถมยังมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการต่อเติมหรือกั้นห้อง อีกทั้งยังช่วยซ่อนความรกของชั้นวางของและทำให้ห้องดูเรียบร้อยมากขึ้นอีกด้วย

- ลองเปลี่ยนโคมไฟใหม่ เพราะ แสงส่งผลต่อพื้นที่มากกว่าสิ่งอื่นใด และยังช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของห้องได้อีกด้วย ดังนั้น การเปลี่ยนโคมไฟและหลอดไฟให้เหมาะกับห้องก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออก ไป

เช่น การติดโคมไฟแชนเดอเลียร์เหนือโต๊ะรับประทานอาหารเพียงอันเดียวก็ทำให้ห้องดู สวยงามมีสไตล์ขึ้น หรือติดโคมไฟแสงอ่อนๆ ในห้องนอนก็สร้างบรรยากาศทำให้คุณเคลิ้มน่าดูเลยค่ะ

- จัดมุมเล็กๆ ของตัวเอง อาจเริ่มจากห้องนอนของตัวเองก่อน เพราะห้องนอนเป็นห้องที่แต่ละคนใช้งานมากกว่าห้องไหนๆในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าห้องนอนของเราน่าอยู่ ก็จะมีแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องส่วนอื่นๆ ของบ้านต่อไป....

- ติดผ้าม่าน การ ติดผ้าม่านเป็นวิธีช่วยกรองแสงแดดให้เข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างเหมาะสม และการติดผ้ากรุซับในด้านหลังม่านจะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้ห้องนั้นๆ เทคนิคง่ายๆ อีกอย่างคือ ติดผ้าม่านชนิดทิ้งชายเป็นแนวยาวจากเพดานจรดพื้น จะช่วยพรางตาให้ห้องที่มีเพดานเตี้ยดูสูงขึ้น

ลองปรับลองเปลี่ยนดูนะ ค่ะ กับไอเดียวที่เรานำมาฝากในวันนี้ง่ายๆ ค่ะ หวังว่าคุณสาวๆ จะลองเอาไปทำกันดูนะค่ะ จะได้มีบ้านที่มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ ชวนให้อยากพักผ่อนในแบบสบาย น่าอยู่กว่าเดิมค่ะ
ไอเดียวเจ๋งๆ ทำให้บ้านมีเสน่ห์
ที่มา women.sanook.com

ชวนคุณสาวๆ มาหัวเราะ....เพื่อสุขภาพ

ชวนคุณสาวๆ มาหัวเราะ....เพื่อสุขภาพ "หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส" หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำกล่าวนี้ แต่คุณสาวๆ เคยสงสัยไหมค่ะว่า การหัวเราะนั้นสามารถทำให้เราสุขภาพดีได้ยังไง
เพราะถ้าหากเราสามารถนำเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์เป็นยา ช่วยรักษาโรคซึมเศร้าเหงาหงอยไปจนถึงโรคหัวใจได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ไม่น้อย เพราะการหัวเราะทำให้อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่ หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อสมอง ไปจนถึงระบบคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการหัวเราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนเราได้ถึง 2 ทาง คือ

1 เพิ่มระดับความเข้มข้นของแอนตี้บอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกันหมุนเวียนในกระแสเลือด

2. เพิ่มระดับเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งสองแบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันในโรคต่างๆ มากขึ้นนั่นเองในขณะที่คุณหัวเราะ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา

ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วย ระงับความเจ็บปวดช่วยให้ ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และฮอร์โมน ซีโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารสำคัญตัวหนึ่งในสมอง ซึ่งช่วยในการนำสัญญาณประสาทต่างๆ ตามเส้นประสาท เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราอารมณ์ดีและสดใส ลดความเครียด

แต่ในขณะที่คุณเกิดอารมณ์เครียด ฮอร์โมนซีโรโทนินก็จะหลั่งออกมาน้อยมาก จึงมีส่วนนำไปสู่ความผิดปกติหลายอย่าง โดยเฉพาะจะก่อให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า เหงาหงอย หงุดหงิด นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว คุณสาวๆ ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ ก็ควรปล่อยวางเสียบ้าง มองโลกในแง่ดี สนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้ แล้วมาเริ่มหัวเราะกันเถอะนะค่ะ วันละนิดวันละหน่อย เพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ่ ....

ที่มา sanook.com

คิดนอกกรอบ กับ เงิน 10 บาท


คิดนอกกรอบ กับ เงิน 10 บาท สวัสดีครับ น้องๆ ชาวจูเนียร์ แม็ก ฉบับนี้พี่หมีจะมาเล่าประสบการณ์ที่เจอกับตัวพี่เองให้น้องๆ ฟัง น่าสนใจมาก คือพี่มีโอกาสไปพบน้องๆ ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในมือพี่มีเหรียญสิบบาทอยู่ 1 เหรียญเลยถามน้องๆ ว่า

"ถ้าเรามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อขนม 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร" น้องอาจมีคำตอบอยู่ในใจแล้วใช่ไหมครับ คือตอบว่า 7 บาทและพี่คิดว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

แต่มีน้องอยู่ 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับเพื่อนคนอื่นคือน้องคนหนึ่งตอบว่า "2 บาท" และน้องอีกคนหนึ่งตอบว่า "ไม่ต้องทอน"

คำตอบของน้องคนแรกคือ "เงิน 10 บาท เป็นเหรียญห้า 2 เหรียญซื้อขนม 3 บาทให้เหรียญห้า 1 เหรียญ จึงได้เงินทอน 2 บาท"

คำตอบของน้องอีกคนคือ "เงิน 10 บาท เป็นเหรียญบาท 10 เหรียญซื้อขนม 3 บาทให้เหรียญบาท 3 เหรียญ ดังนั้นจึงไม่ต้องทอน"

น้องๆ ครับโลกในห้องเรียนกับโลกแห่งความเป็นจริงแตกต่างกัน โลกในห้องเรียนทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกแห่งความเป็นจริง อาจมีมากกว่า 1 คำตอบครับ ฉบับหน้าพี่หมีจะหาไอเดีย "คิดนอกกรอบ" ของน้องๆ มาให้อ่านกันอีกนะครับ

ขอขอบคุณ :
นิตยสารJunior Mag
ผู้สนับสนุนเนื้อหา

15 ไอเดียดีๆ ชวนลูกลดขยะโลก

15 ไอเดียดีๆ ชวนลูกลดขยะโลก
1. ร่วม รณรงค์ลดขยะลดโลกร้อนด้วยการพกถุงผ้า 1 ใบ - เพื่อใส่สิ่งของ เครื่องใช้ จากร้านค้าเมื่อซื้อของทุกครั้ง หรือถุงพลาสติกที่มีเก็บในบ้าน ก็สามารถ พกติดตัวนำกลับมใช้ ใหม่

2. ลอง นำสิ่งของเหลือใช้มาช่วยกันประดิษฐ์ - ส่งเสริมลูกรักเป็นนักประดิษฐ์ เช่น กระปุกออมสินจากกระป๋องแป้ง ถุงผ้าจากเสื้อยืดตัวโปรด ฯลฯ เป็นต้น


3. รูป แบบการกิน ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเรื่องขยะ - เพราะวัตถุดิบถูกผลิตและนำใช้เพื่อแปรรูปเป็นอาหาร ฉะนั้นควรสอนลูกกินแต่พอดี ไม่กินทิ้งกินขว้าง และกินให้หมดในแต่ละมื้อเป็นดีที่สุด

4.ขวด พลาสติกหรือแก้วน้ำจากร้านค้าต่างๆ - ที่ลวดลายน่ารัก น่าใช้ นำมาทำความสะอาด รีไซเคิล แปรเปลี่ยนเป็นกระถางต้นไม้ แก้วใส่ดินสอสี ก็สามารถช่วยลดขยะได้เหมือนกันค่ะ

5. การ ทำงานศิลปะ ใช้จินตนาการผ่านการทำของเล่น - ไม่ว่ากล่องยาสีฟัน กล่องนม หรือสิ่งของอื่นๆ ก็เป็นหนึ่งวิธีแสนง่ายที่คุณและลูกๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีคุณเป็นผู้ช่วยเหมือนเดิม

6. สอน ลูกน้อยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าสุดๆ - เช่น ใช้กระดาษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือใช้ลายกระดาษจากนิตยสารในบ้านมาห่อของแทนการใช้กระดาษห่อของขวัญทั่วไป เป็นต้น


7. นอก จากการร่วมมือ ร่วมใจลดขยะแล้ว การทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง - และทิ้งให้ลงถังก็เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คุณควร สอนลูก ช่วยกันสร้างบ้านเมือง ชุมชนให้น่ามอง น่าอยู่ค่ะ

8. ซ่อมแซ่ม เสื้อ ผ้า เครื่องนุ่งห่มของลูกหากไม่ได้เสียหาย หรืออยู่ในสภาพไม่น่ามอง - ดูแลเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่ก็เป็นหนึ่งวิธีที่ลูกสามารถเรียนรู้เรื่องความ ประหยัด และลดขยะในโลกใบนี้


9. การ บริจาคให้สิ่งของให้ผู้อื่น - เช่น ของเล่น หรือหนังสือ ก็เป็นช่องทางที่ช่วยลดปริมาณการผลิต เพราะผู้รับ สามารถนำไปใช้ โดยไม่ต้องซื้อใหม่ ไม่ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ให้มากขึ้น

10. ชวนลูกออกกำลังกายด้วยการเดิน เพื่อประหยัดพลังงาน - เช่น เดินขึ้น-ลงทางบันได แทนการใช้ลิฟต์์ที่โรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้า

11. การ ปิดน้ำ-ปิดไฟ เมื่อไม่ใช้งานแล้วหรือควรใช้เท่าที่จำเป็น - เพื่อลดการใช้ พลังงานโดยสิ้นเปลืองเรื่องสำคัญที่ควรปลูกฝัง สอนลูกของเรา


12. ลูก วัยเรียนที่โตแล้ว ควรสอนลูกใช้เครื่องใช้ฟ้าให้ถูกวิธี - เช่น ตั้งค่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน, ตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ หรือวางอาหารแช่งแข็งในอุณหภูมิปกติก่อนเข้าอบในเตาไมโครเวฟ ประมาณ 15-20 นาที ก็มีส่วนลดการใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์


13. การใช้เศษผ้าทำความสะอาด สิ่งสกปรก แทนการใช้กระดาษทิชชู - ก็ช่วยลดปริมาณขยะ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดไปพร้อมๆ กันค่ะ


14. โมเดล ความพอเพียง - เป็นแนวทางหนึ่งที่คุณสามารถนำมาปรับใช้สอนลูก เช่น พอใจกับอาหาร ลูกควรคำนึงถึงประโยชน์ของอาหารมากกว่าชื่อร้านค้า หรือหน้าตาอาหาร หรือเข้าใจว่า เสื้อผ้าคือเครื่องนุ่งห่มร่างกาย ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อย เพื่ออัพเดทหรืออินเทรนด์ตามกระแส

15. ช่วย กันบอกต่อถึงวิธีที่คุณทำไปถึงคนอื่นๆ - เพื่อร่วมมือร่วมใจกันลดจำนวนขยะ ลดภาวะโลกร้อน เป็นแรงผลักดันเล็กๆ ที่ทำให้เกิดขึ้นในวงกว้างต่อไป

ขอขอบคุณ :
นิตยสาร Mother&Care
ผู้สนับสนุนเนื้อหา

เทคนิค แต่งห้องลูกน้อย

เทคนิค แต่งห้องลูกน้อย การนอนหลับ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย ฉะนั้น การสร้างบรรยากาศภายในห้องนอนให้กับสมาชิกตัวน้อย จึงเป็นหนึ่งเรื่องที่ควรใส่ใจไม่ต่างไปจากเรื่องอื่นเลย วันนี้เรามีเทคนิคง่ายๆ ที่คุณแม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกรูปแบบของห้องนอน เพื่อสร้างบรรยากาศ ความรู้สึกดีในการพักผ่อนของลูกน้อยค่ะ แสงไฟ

ถ้าเป็นแสงไฟนีออน ควรเลือกหลอดไฟที่มีแสงสว่างนุ่มนวลกว่าห้องอื่นๆ เพื่อช่วยให้ลูกหลับสนิท ไม่ถูกรบกวนจากแสงไฟจ้ามากเกินไป บ้านไหนเลือกใช้แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือตำแหน่งการตั้งโคมไฟ ต้องไม่ตั้งอยู่ในจุดที่ล้มง่ายหรือเกะกะทางเดิน เป็นอันตรายใกล้ตัวลูกน้อย การมีไฟที่สามารถปรับแสงได้ตามต้องการภายในห้องนอน ก็จะยิ่งช่วยให้คุณแม่สะดวกในช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือให้นมลูกน้อย ภายในห้องนอน


ส่วนแสงสว่างแบบธรรมชาติที่ไม่แรงจัดในช่วงบ่ายๆ ช่วยให้ห้องนอนของลูกโปร่งสบาย ไม่อับชื้น เป็นที่สะสมของเชื้อโรค และเป็นแสงสว่างที่มากพอในการทำกิจกรรม เช่น อ่านหนังสือหรือเล่นกับลูกได้


เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง

การตกแต่งห้องนอน ควรคำนึงถึงเรื่องพื้นที่การใช้งาน และขนาดของเฟอร์นิเจอร์เป็นเรื่องหลัก เพื่อความสะดวกในการจัดวางอย่างเหมาะสม เช่น เป็นห้องนอนของลูกนอนคนเดียว หรือห้องที่นอนกับคุณพ่อคุณแม่


หมั่นเช็กความแข็งแรงทนทานของเฟอร์นิเจอร์ เช่น ตู้เสื้อผ้า โซฟา หรือเตียงนอน เมื่อลูกเข้าสู่วัยซน เคลื่อนไหวร่างกายได้เก่ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุห้องนอนที่มีพื้นที่จำกัด ควรมีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น และควรจัดให้เป็นระเบียบ



หากสถานะการเงินสะดวกจะจัดวางเฟอร์นิเจอร์แบบบิวท์อิน ก็ช่วยให้ห้องสว่างและกว้างได้มากขึ้นค่ะ ลูกน้อยเป็นภูมิแพ้ โรคหอบหืด ควรเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นพรมหรือมีขนค่ะ เพราะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการเจ็บป่วยได้มากขึ้น


สีสันห้องนอน

การเลือกสีสันห้องนอนนั้น อาจอยู่ที่ความพอใจของคุณพ่อ คุณแม่เป็นหลัก ว่าจะเลือกแบบใด ดีไซน์แบบไหน แต่ก็มีข้อแนะนำว่า ควรเป็นสีโทนอ่อนเพื่อให้สบายตา สร้างความรู้สึกที่ผ่อนคลายเข้าไว้ ดีกว่า ที่สำคัญ สีที่เลือกใช้ภายในห้องนอนลูกต้องปลอดภัย ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตราย นึกถึงเรื่องสุขภาพของลูกเป็นเรื่องหลัก


ความสะอาด

ความ สะอาดเป็นหัวใจสำคัญ สัมพันธ์กับเรื่องสุขภาพของลูก ฉะนั้น ห้องนอนควรโล่ง โปร่งสบาย ปลอดภัยจากเชื้อโรค และฝุ่นละอองไว้ก่อนโดยวิธีการต่อไปนี้


- หมั่นทำความสะอาดที่นอน หมอน ผ้าห่ม ของใช้ต่างๆ ของลูก สิ่งของใกล้ตัว เช่น ตุ๊กตาขนฟูที่เคียงข้างลูกน้อย อาจไม่ดีต่อสุขภาพลูกน้อยที่เป็นภูมิแพ้ ก็ควรเลี่ยงมีไว้ในห้องนอน


- หากมีการติดตั้งเครื่องปรับ อากาศ ก็ต้องหมั่นตรวจเช็ก ดูแล ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและควรให้ห้องนอนเปิดโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก

ขอขอบคุณ :
นิตยสาร Mother&Care
ผู้สนับสนุนเนื้อหา

บรรเทาอาการปวดท้องด้วยการร้องคาราโอเกะ

บรรเทาอาการปวดท้องด้วยการร้องคาราโอเกะ สำหรับคนที่มีโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome หรือ IBS) ซึ่งจะมีอาการปวดท้องเกร็ง ท้องอืดท้องผูก หรือบางคนอาจท้องเสีย ซึ่งผู้หญิงเราอาจเป็นได้เมื่อเราเครียดมีประจำเดือน หรือกินอาหารมื้อใหญ่ การจับกลุ่มร้องเพลงอาจจะช่วยคุณได้ค่ะ
เพราะนักวิจัยจาก Stockholm University พบว่า การเข้าร่วมคณะนักร้องประสานเสียงอาจช่วยบรรเทาโรคทางเดินอาหารได้ แม้ว่าจะมีผลแค่ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม โดยนักวิจัยทำการทดลองตั้งแต่ปี 2006 โดยให้กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมร้องเพลงประสานเสียง และพบว่าการร้องเพลงสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยลดความเครียดได้ในช่วงหกเดือนแรก

ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาว่า การบำบัดกลุ่ม หรือการเข้าร่วมทำกิจกรรมกับคนมากหน้าหลายตาจะช่วยลดอาการของโรค IBS ได้ นักวิจัยจึงเห็นว่าการเข้าร่วมร้องเพลงแบบนี้ ถือเป็นกิจกรรมนันทนากาอย่างหนึ่งที่อาจบรรเทาโรค IBS ได้เช่นกัน

สำหรับเราชาวไทยอาจจะประยุคเป็นการไปร้องเพลงคาราโอเกะกันเป็นหมู่คณะก็น่าจะใช้ได้นะคะ

ขอขอบคุณ : Lisa ผู้สนับสนุนเนื้อหา

สิ่งที่ พ่อแม่พึงระวังสำหรับเด็กเล็กๆเตือนพ่อแม่ระวังภัย Top 5 ทำร้ายสมองลูก!

สิ่งที่ พ่อแม่พึงระวังสำหรับเด็กเล็กๆเตือนพ่อแม่ระวังภัย Top 5 ทำร้ายสมองลูก ได้ชื่อว่า "เด็ก" ถือเป็นมนุษย์ตัวเล็กที่อยู่ไม่นิ่ง ชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะปีนป่าย วิ่ง หรือกระโดด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติของเด็กทั้งสิ้น แต่การเล่นของเด็กนั้น นอกจากจะให้ความสนุก ผ่อนคลาย และส่งเสริมพัฒนาการในหลายๆ ด้านแล้ว ยังก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่ายอีกด้วย เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ตลอดจนการประสานงานของเด็กยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้น การเลี้ยงลูกให้ปลอดภัย เป็นสิ่งที่จำเป็น และทำได้ไม่ยาก วันนี้ทีมงาน Life and Family มีคำแนะนำดีๆ จาก "รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์" หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาฝากเป็นแนวทางเพื่อรับมือกับภัยใกล้ตัวลูกกัน
1. ระวัง! การเขย่าตัวเด็ก
การจับลูกทารกมาเขย่าอย่างแรง โดยเฉพาะพ่อแม่ หรือผู้ดูแลที่มีอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิดกับการร้องไห้ของลูก และต้องเขย่าเพื่อให้เด็กเงียบ การกระทำโดยรู้ไม่เท่าทันนี้ หารู้ไม่ว่า อาจส่งผลให้เกิดเลือดออกในสมอง และประสาทตาของเด็ก ทำให้เด็กพิการทางสมอง ตาบอด หรือ เสียชีวิตได้ ดังนั้น ห้ามจับทารกเขย่า! เป็นอันขาด
2. ระวัง! จมน้ำ
การจมน้ำเป็นอุบัติเหตุอันตรายที่ทำให้เด็กพิการ หรือเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่ง และมักเกิดขึ้นกับเด็กที่เริ่มเคลื่อนตัวได้ ซึ่งมักเกิดเหตุในแหล่งน้ำใกล้บ้าน หรือสระว่ายน้ำที่เด็กๆ ไปเล่น อย่างไรก็ดี การจมน้ำของเด็กยังเกิดขึ้นขณะที่ลูกอยู่ในความดูแลของพ่อแม่เองที่เผอเรอ หรือเผลอหลับไปเพียงครู่เดียว ทั้งในอ่างอาบน้ำ กะละมัง ถังน้ำ หรือแหล่งน้ำที่อยู่ติดกับบ้าน
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรแยกเด็กออกจากแหล่งน้ำ และเตรียมพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยให้ลูก และเมื่อลูกอายุ 2 ขวบขึ้นไป ควรเริ่มให้ลูกหัดว่ายน้ำ และสอนทักษะการช่วยเหลือตัวเอง ที่สำคัญ พ่อแม่ หรือผู้ดูแลยังคงต้องดูแลใกล้ชิดไม่คลาดสายตาเวลาเมื่อเด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ไม่ว่าจะในบ้าน หรือนอกบ้าน
3. ระวัง! สิ่งอุดตันทางเดินหายใจ
เด็กทารกอายุ 3-6 เดือนขึ้นไป จะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมด้วยการเอาทุกสิ่งที่สนใจเข้าปาก ส่วนเด็กวัยเตาะแตะที่ฟันเริ่มขึ้น และเคลื่อนไหวอยู่ไม่นิ่ง มักจะถือของไว้ในมือ พร้อมกับกินไปพลาง ซุกซนไปพลาง ซึ่งอาจทำให้อาหาร หรือสิ่งแปลกปลอมสำลักอุดตันทางเดินหายใจ ส่งผลให้สมองพิการ หรือเสียชีวิตได้เพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ดังนั้นอย่าให้เด็กอยู่กับสิ่งของชิ้นเล็กเพียงลำพัง เช่น ของใช้ ของเล่น หรือของกินบางอย่าง อาทิ ผลไม้ที่เป็นลูกๆ อย่าง ลำไย น้อยหน่า ลิ้นจี่ เป็นต้น

4. ระวัง! ลูกพลัดตกจากที่สูง
เด็กทารกแม้ยังเดินไม่ได้ แต่ก็สามารถพลิกหงาย และถีบตัวเองขึ้นได้ การวางลูกน้อยวัยแรกเกิดไว้บนเตียง โซฟา โต๊ะ หรือแม้เพียงชั่วขณะเพื่อไปทำธุระ อาจเป็นเหตุให้ลูกพลัดตกได้ ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวบนที่สูง หากไม่มีที่กั้น อย่างน้อยมือหนึ่งของคุณแม่ต้องวางอยู่บนตัวเด็กเสมอ

ส่วนเด็กวัยเตาะแตะ มักได้รับบาดเจ็บในบ้านจากการพลัดตกหกล้ม และตกจากที่สูง เช่น บันได ฉะนั้นการจัดบ้านให้ปลอดภัยจึงสำคัญมาก บันไดควรติดตั้งประตูกั้นตั้งแต่ลูกเริ่มคลานได้แล้ว และต้องทำทั้ง 2 บาน คือ กั้นทางขึ้น และทางลง นอกจากนั้นต้องมีกลอนล็อคไว้เสมอ และล็อคทุกครั้งหลังจากที่เปิดเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญต้องทำให้เปิดเข้าหาตัวได้เท่านั้น เพื่อกันไม่ให้เด็กผลัก หรือไถลตกลงไป
5. ระวัง! เฟอร์นิเจอร์...อันตราย
เมื่อลูกเข้าสู่วัยเตาะแตะ จะเป็นเด็กช่างสำรวจ และชอบปีนป่ายซุกซน จุดต่างๆ ในบ้าน หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่เคยดูปกติดี ก็อาจกลายเป็นจุดอันตรายสำหรับลูกได้ ดังนั้น การจัดบ้าน ควรเลือกโต๊ะที่เป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ ไม่มีกระจก เพื่อจะได้ไม่มีขอบหรือมุมแหลมคมที่ลูกอาจเดินหรือวิ่งเข้ามาชน ควรซื้ออุปกรณ์กันกระแทกมุมขอบโต๊ะใส่ทั้ง 4 มุม ตู้เก็บของ หรือชั้นวางของทั้งที่มีหรือไม่มีลิ้นชักต้องแข็งแรง วางบนพื้นราบ มีอุปกรณ์ยึดติดกับกำแพงที่มั่นคง ไม่ล้มง่ายเมื่อเด็กเข็น ดัน โหน หรือปีนป่าย เพราะไม่เช่นนั้น เด็กอาจถูกเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นล้มทับจนเป็นอันตรายต่อศีรษะและสมองได้ ดังนั้นพ่อแม่ หรือผู้ดูแลต้องให้เด็กวัยดังกล่าวอยู่ในสายตา และอยู่ในระยะที่จะเข้าถึงตัวลูกอย่างทันท่วงทีได้ตลอดเวลาด้วย

เห็นได้ว่า "อุบัติเหตุ" กับ "เด็ก" เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ดังนั้นการรู้เท่าทัน และจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกบ้านควรทำ เพราะการเลี้ยงลูกให้ปลอดภัย ความรักอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิจัยพบ...เด็กเกเร-เด็กถูกแกล้ง เกิดจากต้นตอเดียวกัน

วิจัยพบ...เด็กเกเร-เด็กถูกแกล้ง เกิดจากต้นตอเดียวกัน วิจัยพบ "เด็กเกเร - เด็กอ่อนแอ" เกิดจากปัญหาเดียวกัน นั่นคือมีทัศนคติในแง่ลบต่อตัวเอง - ขาดทักษะในการแก้ปัญหา รวมถึงถูกเพื่อน ๆ ปฏิเสธไม่คบหาสมาคม ส่งผลให้พัฒนาเป็นพฤติกรรมดังกล่าว นักวิจัยเผยอีกด้วยว่า เด็กชายมีโอกาสเป็นอันธพาลได้มากกว่าเด็กหญิง
เคลย์ตัน อาร์ คุก นักวิจัยชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียน่า ผู้ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าวเปิดเผยว่า "โดยปกติแล้ว การที่เด็กคนหนึ่งกลายเป็นนักเลงหัวไม้ได้เป็นเพราะเด็กคนนั้นมีปัญหาด้านพฤติกรรม และมีปัญหาด้านการเรียนด้วย เด็ก ๆ กลุ่มนี้มักมีทัศนคติที่เป็นลบต่อคนอื่น และต่อตัวเอง ต้นกำเนิดของปัญหามาจากการเลี้ยงดูที่ไม่ได้คุณภาพของพ่อแม่ บรรยากาศภายในบ้านมีแต่ความขัดแย้งกัน หรือไม่เด็กก็ได้รับอิทธิพลจากเพื่อน หรือสิ่งแวดล้อม"

ทั้งนี้ หากปล่อยให้เด็กเล็ก และกลุ่มวัยทีนขาดทักษะในการแก้ปัญหา ก็จะทำให้เขาเสี่ยงต่อการกลายเป็นอันธพาลในโรงเรียน หรือไม่ก็ตกเป็นเหยื่ออันธพาลเสียเอง มิเช่นนั้นก็เป็นทั้งสองอย่าง

อย่างไรก็ดี ถ้าพบว่าเด็กคนนั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยเก่งด้วยแล้ว ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเด็กเกเรสูงมากขึ้น

โดยปกติแล้ว ทั้งเด็กเกเร และเหยื่อมักจะมีทัศนคติแง่ลบเกี่ยวกับตนเอง และมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา ทำผลงานได้ไม่ดีนักที่โรงเรียน และมักไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ หรือได้รับแรงบันดาลใจที่ไม่เหมาะสมจากเพื่อนที่เขาเข้ากลุ่มด้วย

"เราหวังว่า งานวิจัยนี้จะช่วยให้เราเข้าใจเงื่อนไขของการเกิดปัญหาเด็กกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน และหวังว่าอาจช่วยให้เราสามารถหาแนวทางป้องกัน และหลีกเลี่ยงวงจรเหล่านี้ได้ ซึ่งในที่สุดแล้ว พ่อแม่ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ส่วนทางโรงเรียนก็ควรช่วยฝึกให้เด็กมีทักษะในการแก้ไขปัญหา" เคลย์ตันกล่าว

เรียบเรียงจากเฮลท์เดย์นิวส์
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สปาผม ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

สปาผม ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง
กำลังนิยมกันมากสำหรับการทำสปาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสปาหน้า สปาผิว สปาเท้า เนื่องจากการทำสปาเป็นทำความสะอาด เสริมอาหารบำรุงให้ลึกถึงผิวชั้นใน ช่วยในการช่วยฟื้นฟูและบำรุงเซลล์ในส่วนนั้นๆ ของเราให้ดีขึ้น นอกจากนี้การทำสปายังเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยให้สาวๆได้ผ่อนคลายด้วยค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียมในการทำสปาผม…อันดับแรก คั้นน้ำมะนาวใส่ถ้วยเตรียมไว้ (ใช้ประมาณสัก 8 ช้อนโต๊ะ) จากนั้นนำมาผสมน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วยแล้วคนให้เข้ากัน

ทีนี้เริ่มลงมือทำสปาผม ด้วยตัวคุณเอง โดยนวดลงบนหนังศีรษะและเส้นผมด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา ด้วยการค่อยๆ นวดให้ทั่วทั้งศรีษะ เพื่อช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดและระบบประสาทแถมยังช่วยผ่อนคลายด้วยค่ะ เมื่อนวดทั่วทั้งศรีษะแล้ว ก็หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่อยล้างออก (ถ้าทำแล้วรู้สึกมีอาการคันหรือแสบที่บริเวณหนังศรีษะให้รีบล้างออกทันทีค่ะ เพราะบางคนอาจแพ้กรดธรรมชาติที่อยู่ในมะนาวก็ได้)

เหตุที่เราเลือกใช้มะนาวก็เนื่องจาก ในมะนาวนั้นมีกรดธรรมชาติ ที่ช่วยในการชำระสิ่งสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกจากเส้นผมของเรา แถมยับยั้งแบคทีเรีย ช่วยในการลดความมัน ช่วยล้างรังแคที่ติดอยู่บนหนังศีรษะ ช่วยทำความสะอาดให้กับหนังศีรษะและเส้นผมของเรา นอกจากนี้ยังเป็นการปรับความสมดุลให้กับหนังศีรษะและเส้นผมของเราด้วยค่ะ

เมื่อรู้วิธีทำสปาผม ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองแล้ว อย่าลืมไปลองทำกันดูนะคะ หมั่นทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพียงเท่านี้ผมของคุณก็จะนุ่มสลวยเป็นเงางามแล้วละค่ะ

ที่มา : Ladyvisa.com

เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ

เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ
สาวๆ ที่รักในการเล่นกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเดินเล่นในสวนสาธารณะ การปลูกต้นไม้ การวิ่งออกกำลังกายใกล้ๆ บ้าน หรือจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผิวเกิดการคล้ำเสียเนื่องจากการสัมผัสกับแสงแดด และรังสี UV ซึ่งรังสี UV ในแสงแดดนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญ และต้นเหตุที่ทำให้ผิวใสๆ ของคุณสาวๆ กลับมาคล้ำเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งกว่าจะกลับขาวใสเหมือนเดิม ก็อาจใช้เวลานานในการต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไม่อยากออกไปโดนแสงแดดข้าง นอก และนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำเสียแล้ว แสงแดดเหล่านี้อาจทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นจุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน และหยาบกระด้างได้ และโดยปกติแล้ว ถึงแม้ว่าจะหลบอยู่ในที่ร่ม แต่รังสี UV นี้ก็สามารถที่จะทำลายผิวขาวสวยๆ ของสาวๆ ได้อยู่ วันนี้เนสมีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้ผิวของสาวๆ ที่เกิดคล้ำเสีย กลับกลายมาเป็นผิวขาว สวย อวดผิวสุขภาพดีกันอีกครั้ง

เคล็ดลับที่ทำให้ผิวขาว สวยใส

อาหารช่วยให้ผิวสวย โดยเน้นรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ หรืออาหารที่ต้านการเสื่อมของผิวพรรณ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือผิวหนังที่เสียไป เช่น ไข่ นม เนย บรอกโคลี ผักขม ฟักทอง มะเขือเทศ และส้ม ผักสีเหลืองและสีแดง หรือสารอาหารที่ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวกาย เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำมันปลา น้ำมันงา

ขัดผิวกาย เพื่อเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายหรือเสื่อมสภาพแล้วให้หลุดลอกออกโดยเร็ว และเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ สาวๆ ทั้งหลายสามารถทำสครับขัดผิวเองได้ง่ายๆ ด้วยการนำสิ่งของใกล้ตัว เช่น น้ำตาล เมล็ดกาแฟ ข้าวโอ๊ต กล้วยมีเมล็ด เมล็ดอัลมอนด์ มาบดให้ละเอียดและผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรือน้ำมันมะกอก การขัดผิวนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความสดใสสุขภาพดีของผิวพรรณ

แต่งเติมเสริมแต้มอีกนิด หากต้องการเพิ่มความกระจ่างใสของผิวสาวอย่างรวดเร็ว สาวๆ อาจมีการเสริมแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ด้วยการใช้ผงชิมเมอร์ทาบนผิวกาย หรือหากต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นให้กับผิวกาย ก็สามารถนำผงชิมเมอร์ผสมกับโลชันบำรุงผิว หรือโลชันบำรุงผิวบางชนิดตามร้านค้าอาจมีส่วนผสมของชิมเมอร์อยู่แล้วก็ สามารถใช้ได้ เพื่อสร้างความเรืองรองกระจ่างใสให้ผิวได้อีกทางหนึ่ง

โลชันบำรุงผิวสาว หากต้องฟื้นฟูผิวจากความคล้ำเสียอย่างถาวร สาวๆ จำเป็นจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวคล้ำเสีย ด้วย ไปพร้อมกับการปกป้องผิวจากแสงแดด โดยควรทาโลชันบำรุงผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนนอน เพื่อบำรุงและป้องกันผิวไม่ให้กลับมาคล้ำเสียอีก

พักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนนอนหลับอย่างสนิท จะช่วยยืดอายุของผิวพรรณไม่ให้เสื่อมเร็วเกินไป ถ้าจะให้ดีที่สุด ก่อนนอนทานนมอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย ทำจิตใจให้สงบ หรือจะสวดมนต์ ทำบุญวันเกิด อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตาจิตก่อนนอน เท่านี้ ตื่นขึ้นมา ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ จะสดชื่นผิวพรรณผุดผ่องได้

ที่ มา : beautyvwander.com

วิธีแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับ

วิธีแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับ
ไม่อยากดูแก่ไปกว่าวัย แต่ทั้งนี้ก็เป็นคนที่หลับได้อยากเสียเหลือเกิน ครั้นจะพึ่งยานอนหลับก็คงจะไม่ดีสักเท่าไร ถูกต้องแล้วล่ะ ที่คุณไม่คิดใช้ยานอนหลับเป็นทางออกของการแก้ปัญหา เพราะยานอนหลับทุกชนิดถือว่าเป็นยาเสพติด ถ้าคุณใช้มันอยู่บ่อยๆ คุณก็จะติดและไม่สามารถนอนหลับได้เองอีกเลย เมื่อเป็นคนที่หลับยาก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใดก็ตาม คุณลองเตรียมตัวก่อนนอนทุกๆ คืนด้วยวิธีการเหล่านี้ดูสิ

1.ดื่มนมอุ่นๆ สักแก้ว หรือกล้วยสัก 1 ผล

2.สวม ใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย หรือเป็นไปได้ก็ไม่ต้องสวมอะไรเลย

3.ผ่อนคลายร่างกายสบายๆ กับอากาศที่ถ่ายเท แสงที่มืดและเสียงที่ไม่เป็นมลพิษ

4.นวดหน้าอย่างเบามือไป พลางๆ พร้อมกับปล่อยใจปล่อยสมองให้โล่งไม่ต้องคิดอะไร

เชื่อ ว่าขั้นตอนดังกล่าวนี้น่าจะทำให้คุณหลับได้สนิทง่ายมากขึ้น แต่ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหานอนไม่หลับได้อีก นั่นก็หมายถึงว่าร่างกายของคุณยังไม่พร้อมที่จะหลับ ฉะนั้นก็ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ค้างคาให้เสร็จๆ ไป ถ้าเหนื่อยและเพลียเมื่อใดร่างกายก็คงต้องการจะพักผ่อนไปเองโดยอัตโนมัติ

ที่มา : http://nuuboom.blogspot.com

วิธีดูแลหน้าอกให้ เฟิร์ม กระชับรับสัดส่วนสำหรับผู้หญิง

วิธีดูแลหน้าอกให้ เฟิร์ม กระชับรับสัดส่วนสำหรับผู้หญิง หน้าอกผู้หญิง เป็นจุดสำคัญที่แสดงความเป็นผู้หญิงของผู้หญิงอย่างเราๆ เมื่ออายุมากขึ้น อาจส่งผลให้หน้าอกของผู้หญิงเราหย่อนคล้อยได้ แล้วจะมีวิธีการต้องดูแลอย่างไรเพื่อให้หน้าอก เฟิร์ม กระชับ ไม่หย่อนยานตามกาลเวลา ดังนั้นวันนี้ก็เลยนำวิธีดูแลหน้าอก ให้เฟิร์ม กระชับ สำหรับผู้หญิงมาฝากกันค่ะ
วิธีที่จะช่วยดูแล และ กระชับหน้าอกที่ผู้หญิงเราควรใส่ใจและปฏิบัติตามมีดังนี้

หมั่นควบคุมน้ำหนักตัวของคุณให้คงที่
เมื่อผู้หญิงเราลดน้ำหนัก หรือน้ำหนักตัวลดจะส่งผลทำให้เต้านมนั้น มีขนาดปรับตามน้ำหนักตัวที่ลดลงไปด้วย ถ้าคุณผู้หญิงหักโหมเร่งรีบกลับการลดน้ำหนักมากๆ ก็จะทำให้หน้าปรับขนาดอกเล็กลงจนถึงขั้นแบน ก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ดีจึงไม่ควรโหมลดน้ำหนักค่ะ ควรรักษาควรรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่เข้าไว้

หมั่นออกำลังกาย
ผู้หญิงเราควรหันมาออกกำลัง กายเพื่อบริหารหน้าอก แม้ว่าเต้านมของผู้หญิง
เราจะประกอด้วยเนื้อเยื่อ ไขมันซะส่วนใหญ่ และแม้ว่าหน้าอกของผู้หญิงเราจะไม่รับผลโดยตรงจากการออกกำลังกาย แต่ผลโดยอ้อมที่ได้รับคือ คุณผู้หญิงสามารถปรับปรุงโดยการจัดรูปร่างและท่าทางให้เหมาะสม ไปพร้อมๆ กับการสร้างกล้ามเนื้อหน้าอกในเวลาเดียวกัน

จัดวางท่าทางให้ถูกต้องเหมาะสม
เป็น สิ่งสำคัญมากไม่ต่างไปจากการเลือกขนาดบราให้เหมาะสม เพราะการวางท่าทางที่เหมาะสมทั้งการยืน นั่ง เดิน และ นอน อย่างเวลาเดินผู้หญิงเราควรเดินวางลำตัวตรง หน้าตั้งฉากมองไปข้างหน้า หน้าอกแอ่นเล็กน้อยเพื่อช่วยรักษารูปร่างของเต้านมผู้หญิงไม่ให้หย่อนยาน

ควรนอนในท่านอนหงาย
เพราะท่านอนหงายนั้น เป็นท่าที่ถูกต้อง และ เหมาะสมที่จะช่วยรักษาความสมดุลของเต้านมทั้งสองข้างของผู้หญิงเราให้เท่า กัน นอกจากนี้ท่านอนหงาย ยังไม่ทำให้เต้านมของผู้หญิงเกิดรอยพับหรือย่นด้วย

เคล็ดลับความสวยงามแบบนี้ รู้แล้วอย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำ นะคะ เพื่อการมีหน้าอก เฟิร์ม กระชับ สำหรับคุณผู้หญิงทุกคนค่ะ

ที่มา : Ladyvisa.com

เรื่องความลับใต้วงแขนที่ผู้หญิงควรรู้

เรื่องความลับใต้วงแขนที่ผู้หญิงควรรู้ ใต้วงแขนที่เคยเรียบลื่น แต่เริ่มโตกลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเติบโต อะไรๆ ในร่างกายก็ต้องเปลี่ยนแปลง เหมือนผิวหนังใต้วงแขนเมื่อก่อนเคยเรียบลื่น พอเริ่มโตเป็นหนุ่มสาวไม่ใช่จะมีเพียงรูขุมขนที่ขยายให้เส้นสีดำโผล่ออกมา เท่านั้น แต่บางครั้งยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์แถมมาให้รำคาญใจอีกต่างหาก ถ้าไม่ต้องออกไปพบปะผู้คนภายนอกก็คงไม่กระไร แต่ชีวิตในเมืองทุกวันนี้เลี่ยงได้ซะที่ไหน
นี่ จึงเป็นช่องว่างให้เครื่องหอมในรูปโรลออนประชันกันออกมาเป็นตัวเลือก ผ่านการโฆษณาห้ำหั่นกันสุดฤทธิ์ หวังครองใจวัยรุ่นที่เพิ่งพบพานการมีกลิ่นตัว บางคนไม่มีก็หามาใช้ซะก่อน ประมาณว่าเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ แต่เชื่อไหมคะว่า…เจ้าผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนเหล่านี้อาจสร้างปัญหาให้เราได้ !!!?

เชื่อ…ไม่เชื่อ…ก็น่าจะฟังไว้สักนิด เพราะตอนนี้ รศ.พิมลพรรณ พิทยานุกูล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า ล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำการวิจัยพบว่า การใช้โรลออนมากๆ จะทำให้เกิดสารตกค้างใต้วงแขนซึ่งมีส่วนไม่มากก็น้อยกับการเป็นสาเหตุของการ เกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิง รวมถึงผู้ชายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

สาเหตุ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในโรลออนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่ออันเป็นที่มาของกลิ่นตัว จะมีสารอะลูมิเนียมคลอไฮเดรต ซึ่งมีความ เข้มข้นถึง 30-50% เป็นส่วนประกอบ และสารตัวนี้จะไปอุดรูขุมขนไม่ให้เหงื่อไหลออกมา เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ จะเกิดเป็นรอยด่างดำที่ใต้วงแขนเพราะการสะสมของสารอะลูมิเนียม

แม้ จะใช้แบบไวท์เทนนิ่งก็ไม่ช่วยลดความเสี่ยง เพราะยังมีสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบอยู่ดี และจากที่บริเวณใต้วงแขนมีท่อและต่อมต่างๆ เชื่อมต่อกับเต้านมอยู่มาก ทำให้สารตกค้างสามารถไปจับกับดีเอ็นเอของเซลล์ที่เต้านม จนอาจกลายเป็นสาเหตุร่วมทำให้เป็นมะเร็งได้

แม้ เรื่องนี้จะเป็น เพียงข้อสันนิษฐานเพราะสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งมาจากหลายปัจจัย แต่การใช้โรลออนมากๆ ก็ถือเป็นความเสี่ยงหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็น และยังไม่มีกลิ่นตัวรุนแรงก็น่าจะหาทางออกอื่นๆ ที่เสี่ยงน้อยกว่า

โดย รศ.พิมลพรรณ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า เนื่องจากกลิ่นตัวมีที่มาจากการหมักหมมของเหงื่อซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อ จุลินทรีย์ทำให้เกิดกลิ่น เพราะฉะนั้นการดูแลเนื้อตัวให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องใช้โรลออน รวมถึงอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน อย่างเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน เนย และเนื้อสัตว์บางชนิด ก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัว ดังนั้นจึงควรดูแลเรื่องอาหารควบคู่กันไป

ถ้า ยังอยู่ในอาการไม่มั่นใจจริงๆ ก็ควรพยายามใช้แต่น้อย เพื่อลดการสะสมของสารตกค้าง เหมือนคนที่เลือกใช้สารส้มจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่า เพราะสัดส่วนของสารอะลูมิเนียมไม่เข้มข้นเท่าโรลออน

ยิ่งอายุยังน้อยแบบเด็กๆ วัยแรกรุ่น ถ้ายังไม่มีกลิ่นที่ชัดเจนก็อย่าเพิ่งรีบใช้ เพราะจะกลายเป็นการเพิ่มอายุการสะสมให้เร็วมากขึ้นโดยไม่จำเป็น และต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เครื่องสำอางใต้วงแขนกับมะเร็งเต้านมกำลังเป็นหัวข้อวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ทำอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และกำลังทำอยู่ต่อไป

ที่มา สยามดารา

แต่งหน้าอ่อนๆ ก็สวยใสได้แล้ว

แต่งหน้าอ่อนๆ ก็สวยใสได้แล้ว
ในยุคสมัยที่อะไรๆ ก็เน้นความเป็นธรรมชาติ ความสวยแบบธรรมชาติก็คือ ความงามที่ดูดีที่สุด

แต่ในสมัยวัยที่เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ครั้นจะให้งานสดใสก็คงจะดูไม่เต็มร้อยสักเท่าไร อย่างนั้นก็คงต้องใช้ make-up เข้ามาช่วยเติมให้เต็มร้อยแล้วล่ะ การจะแต่งหน้าเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติและลดวัยไปในตัวด้วยนั้นให้เลือกโทนสี ที่อ่อนๆ แล้วยึดหลักที่ว่าแต่งบางๆ ใช้เบาๆ ก็สวยใสได้แล้ว จากนั้นเสริมความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าด้วยการใช้ลิปกลอสแต้มริมฝีปาก

ที่ มา : beautyvwander.com

เคล็ดลับ การลดหน้าท้องอย่างถูกวิธี ( วิธีการออกกำลังกายกระชับสัดส่วน )

เคล็ดลับ การลดหน้าท้องอย่างถูกวิธี ( วิธีการออกกำลังกายกระชับสัดส่วน )
คนอ้วนส่วนใหญ่ มักมีหน้าท้องยื่นออกมา ทำให้ยุ่งยากในการแต่งตัว นุ่งกระโปรงก็ไม่สวย นุ่งกางเกงก็อึดอัด การลดน้ำหนักให้ได้ผล ต้องควบคุมอาหาร ควบคู่กับ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงาน ที่สะสมไว้อย่างเต็มที่

การออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อเผาผลาญไขมันปรับเปลี่ยน เป็นกล้ามเนื้อให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอนำเสนอ ท่ากายบริหารเฉพาะบริหารหน้าท้อง ดังนี้

ท่าที่ 1 กล้ามเนื้อท้องรวม
ท่าเตรียมพร้อม นอนหงายกับพื้น มือประสานไว้ที่ท้ายทอย งอเข่าเล็กน้อย ยกศีรษะขึ้นในมุมประมาณ 40 องศากับพื้น โดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือควรจะกางออกตึงไว้ แต่ไม่ใช่ห่อ และออกแรงดันศีรษะ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ คอเคล็ดตามมาได้ง่าย

ท่าที่ 2 กล้ามเนื้อท้องด้านบน
นอนราบกับพื้น ขายกตั้งฉาก (ดังรูป) ใช้ช่วงน่องไขว้กัน เพื่อเพิ่มความหนักเวลายกตัวขึ้น มือประสานกันที่ท้าทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 3 กล้ามเนื้อท้องด้านข้าง
นอนราบกับพื้น โดยยกเข่าข้างซ้ายขึ้นและพับขาขวาแนวนอนขัดกัน มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้ ซึ่งท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้าย และทำท่าเดิม แต่ยกเข่าขวาขึ้นและพับขาซ้ายสลับข้างกันกับตอนแรก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านขวา

ท่าที่ 4 กล้ามเนื้อท้องน้อย
นอน ราบกับพื้น พับขาให้ปลอดภัยบรรจบกัน มือประสานกันรองไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้ง 2 ข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 5 กล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง
นอนราบกับพื้น ขาเหยียดตรง มือสองข้างวางราบกับพื้น รองใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักให้ส่วนหลัง เกร็งขาไว้และยกขึ้นตั้งฉาก (ดังรูป) ค้างไว้นับ 1-10 แล้วเหยียดกลับไปท่าเดิม

ท่าที่ 6 กล้ามเนื้อท้องด้านบนและล่าง
นอนราบ กับพื้น มือขวารองไว้ที่ท้ายทอยเพื่อพยุงศีรษะ มืออีกข้างเหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัว ยกเข่าด้านขวาให้ตั้งขึ้น และยกขาซ้ายพาดคล้ายท่าไขว่ห้าง ใช้กำลังที่หัวไหล่ขวาและหลังยกตัวเฉียงขึ้น ให้ข้อศอกแทบจรดเข่าซ้าย ทำท่าเดิม แต่เปลี่ยนจากใช้มือขวารองและเข่าขวาตั้ง เป็นมือและเข่าซ้ายแทนเพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม

แต่ละท่าควรทำซ้ำท่าละ 20 ครั้ง หากเป็นท่าที่ต้องสลับข้าง ให้ทำข้างละ 20 ครั้ง ใช้เวลาในการทำประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดหน้าท้องแล้ว ยังช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง ปวดตามตัวได้อีกด้วย

ที่มา : 10 20 30 ็Health Body Program by ABBOTT

วิธีแก้ไขปัญหาเรื่อง "หน้ามันเยิ้ม"

วิธีแก้ไขปัญหาเรื่อง "หน้ามันเยิ้ม" ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง
ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง

การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

ที่ มา : TTTonline.net

นอนหลับดมกลิ่นดอกกุหลาบ บำรุงสมองช่วยให้ เกิดความจำดี

นอนหลับดมกลิ่นดอกกุหลาบ บำรุงสมองช่วยให้ เกิดความจำดี
วารสารวิชาการ "วิทยาศาตร์" ของสหรัฐฯเล่มใหม่ รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน ได้ศึกษาโดยใช้นักเรียนแพทย์เป็นหนูทดลอง ให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยจัดให้บางคนเล่นอยู่ในห้องที่หอมอบอวลด้วยกลิ่นดอกกุหลาบ และขณะที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในคืนเดียวกันนี้ ก็ยังปล่อยกลิ่น กุหลาบให้ดมซ้ำอีก เมื่อลองทดสอบในวันรุ่งขึ้น พวกเขาทำคะแนนได้ดีกว่าเพื่อนคนที่ไม่ได้รับกลิ่นอะไรเลย โดยทำคะแนนถูกถึง 97% เทียบกับคนอื่นที่ทำถูกได้เพียง 86%.

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=2973

สิ่งที่ผู้หญิงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ ผู้ชาย

สิ่งที่ผู้หญิงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ ผู้ชาย ผู้หญิงฉลาดรักย่อมรู้จักผู้ชายในหลายแง่มุม แต่ที่ควรรู้จักคือจิตใจของเธอเองรู้จักศักยภาพและคุณค่าในตัวชัดเจน รู้ว่าควรทุ่มเทใจของตัวเองแค่ไหน และสมควรได้รักตอบเพียงใดรวมเคล็ดลับต่างๆ ที่ผู้หญิงควรรู้บ้าง ดังนี้....
1. รู้ว่า ต้องใช้ชีวิตคุ้มค่า
เมื่อ มีคนรักจงปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น หากคุณเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง
กลายเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่คุ้นเคย เขาก็จะค่อย ๆ หมดความสนใจในตัวคุณ
ถ้าคุณมองไม่เห็น คุณค่าของตัวเอง แล้วใครจะมองเห็นคุณค่าของคุณ

2. รู้ว่า เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ว่าคุณจะ หลงเสน่ห์เขาแค่ไหน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร อย่าลืมว่า
คน แปลกหน้าก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ถึงประวัติส่วนตัวเขาจะดี แต่ที่แน่ ๆ คุณไม่มีโอกาสรู้ว่า
เขามีโรคติดต่อทางเพศหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่คุณต้องมีอะไรกับเขาถ้าคุณยังไม่พร้อมในทุกด้าน
เรารู้จัก รักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กส์ด้วย

3. รู้ว่า..ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ
ถ้า เขาคนนั้นทำให้คุณมีความสุขอบอุ่น หัวเราะได้ มีความชอบอะไรเหมือนกันหลายอย่าง
แถมเขายังฉลาด แต่ไม่หล่อเลย คุณสาว ๆ ลองไปเดินสังเกตตามซูเปอร์มาเก็ตดูคะ
ผู้ชายที่มาซื้อของกับครอบครัวหรือ เล่นอยู่กับลูก ๆ ตามชายหาด แฟมิลี่แมนเหล่านี้หน้าตา
อาจจะไม่เหมือนนาย แบบในนิตยสารเลย แต่เขานี่แหละที่ เหมาะจะเป็นพ่อของลูกคุณ

4. รู้ว่า.ความเป็นเพื่อนยาวนานกว่าความรัก
หากคุณและเขามีปัญหา ทะเลาะกันบ่อย ๆ ในยามเป็นคนรักกัน ลองคุยกันแล้วเปลี่ยนความสัมพันธ์
ให้ เป็นรักแบบเพื่อนเสียก่อน เรียนรู้ที่จะคบและศึกษานิสัยใจคอกันไปนานๆ แล้วค่อยพัฒนา
ความสัมพันธ์นั้นไปสู่การเป็นคนรักกัน คู่รักคือมิตรภาพที่ยาวนาน

5. รู้ว่าความรักมีปริมาณ 50-50
สิ่งที่คู่รัก ต้องการคือความรักที่พบกันครึ่งทาง มีการให้และรักอย่างสมดุล ต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่
ห่วงใยกันช่วยเหลือกัน มอบความรักให้อีกฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

6. รู้ว่าทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว
ในเรื่องความ เป็นส่วนตัว ไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่า แค่ไหนและอย่างไร ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัว
ต่อกันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละคนมาจากพื้นฐานไม่เหมือนกัน ในพื้นที่ส่วนตัวนั้น
ควรตกลงกันก่อน ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับใคร ควรพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้อยู่เสมอ
ในความเป็นจริง ของของเขาคือของเขา ไม่ใช่ของคุณ และของของคุณคือของคุณ ไม่ใช่ของเขา

7. รู้ว่า เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้
เหตุผลก็คือ เราไม่สามารถและไม่สมควร ที่จะพยายามเปลี่ยนสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ
ไม่ มีใครเปลี่ยนใครได้นอกจากตัวของเขาเอง เก็บพลังใจกายและเวลาอันมีค่าที่จะสูญเสียไป
ไว้ให้กับคนที่ต้องการความ สัมพันธ์ดี ๆ กับเราดีกว่า หรือทำอะไรก็ได้ร้อยแปดประการที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น
หากเขาแสดงการไม่ ให้เกียรติคุณ เขาก็ไม่สมควรที่จะได้รับความรักห่วงใยจากคุณ
ถ้าปล่อย ให้เขาทำตัวแย่กับเราเขาก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ

8. รู้ว่า.ความใกล้ชิดร้องขอกันไม่ได้
อยู่ที่ ความต้องการและความรับผิดชอบ และความรู้สึกที่สองฝ่ายมีให้กัน หากคุณต้องการความไว้ใจ
คุณต้องให้เขาก่อน และหากคุณต้องการความใกล้ชิด คุณต้องลองเป็นฝ่ายมีเวลาให้เขาก่อน

9. รู้ว่า.งานบ้านไม่ใช่เฉพาะของผู้หญิงฝ่ายเดียว
ความ สัมพันธ์จะยืดยาวต้องอาศัยคนสองคนมีบทบาทร่วมกัน ปัจจุบันผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดให้ทำงานอยู่แต่ในบ้าน
ต้องรู้วิธีแบ่งงาน ในบ้าน ให้ร่วมกันทำได้ทั้งสองฝ่าย โดยที่ไม่เสียความรู้สึก และผู้ชายที่ทำงานบ้านเป็น
เป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุด

10. รู้ว่าเป็นคนรักต่างกับคนรับใช้
จริงๆแล้ว ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบดี เขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่อ่อนแอและเป็นเบี้ยล่างให้เขาตลอดเวลา
หรือเกรงใจ ผู้อื่นจนปฏิเสธใครไม่เป็น เราต้องรู้จักปฏิเสธและโต้กลับบ้าง การปฏิเสธข้อเรียกร้องของคนอื่นบ้าง
ไม่ใช่เรื่องหยาบคาย

11. รู้ว่าการแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว
ใบทะเบียนสมรสไม่ใช่ สิ่งที่จะรับรองว่า ชีวิตคู่ของคุณจะอยู่กันตลอดรอดฝั่ง แต่การแต่งงานนั้นเป็นงานจริง ๆ
งานที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ ต้องทำความตกลงกันในหลายเรื่อง อาศัยการประนีประนอม
และหมายถึงการใช้ ชีวิตซ้ำๆ ในแต่ละวันกับมนุษย์คนเดิม ซึ่งเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องได้ดั่งใจคุณทุกอย่าง
ไม่จำเป็นต้องรู้สึกหรือ มีความคิดเห็นเหมือนคุณทุกเรื่อง และชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนคิกตลอดเวลา
ก็ สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่แท้และฉลาดได้

12. รู้ว่า.ไม่ควรประจานข้อบกพร่องของตัวเองให้เขาฟัง

13. รู้ว่า ต้องไม่เป็นหนังสือที่อ่านง่ายสำหรับเขา

14. รู้ว่า ผู้ชายไม่ใช่ซูเปอร์แมน เขาเองก็อ่อนแอและท้อแท้เป็น

15. รู้ว่า อย่าเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้ชาย ถ้าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้

ที่มา : thaireaderclub.com

วิธี รักวัวให้ผูก รักลูกให้ทำโทษบ้าง

วิธี รักวัวให้ผูก รักลูกให้ทำโทษบ้าง วัยเด็กเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ พ่อแม่จึงมีหน้าที่คอยดูแลเอาใจใส่และให้บทเรียนแก่ลูกเมื่อลูกทำผิดพ่อแม่ หลายๆ คนมักมีความกังวลว่าควรจะอบรมสั่งสอนอย่างไร เพื่อไม่ให้ดูรุนแรงหรือหละหลวมเกินไป เรามีข้อแนะนำดีๆ ในการอบรมลูกน้อยเมื่อเขาทำผิดมาฝากกันค่ะ
1. Time out
เมื่อลูกทำผิด ให้พาไปในที่เงียบๆ ไม่มีสิ่งดึงดูดความสนใจ เพื่อให้เขาได้ทบทวนการกระทำของตัวเอง โดยระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับอายุของลูก เช่น 1 นาทีต่อ 1 ขวบ หรือจนกว่าลูกจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ลูกรู้จักควบคุมตัวเองได้ดีและยอม รับฟังความคิดเห็นผู้ อื่น

2. สอนและตักเตือนด้วยวาจา
ไม่ใช้ การบ่นหรือการดุด่า แต่เป็นการบอกให้ลูกทราบถึงเหตุและผลว่า สิ่งที่ทำไม่ถูกต้องอย่างไร และแนะนำสิ่งที่ถูกที่ลูกควรทำควรเป็นอย่างไร อาจใช้น้ำเสียงที่เรียบๆ แต่หนักแน่นจริงจัง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสม สมควรได้รับการแก้ไข และที่พ่อแม่เตือนก็เพราะไม่อยากเห็นลูกทำผิดไม่ใช่เ พราะโกรธหรือไม่รัก


3. ส่งสัญญาณเตือนก่อน
หาก ลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ่อและต้องต้องส่งสัญญาณเตือนให้ลูกหยุดพฤติกรรมดังก ล่าว ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการจัดการกับพฤติกรรมของเขาโดย การเตือน อาจใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ ทำให้ลูกมีโอกาสแก้ตัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจหากต้องถ ูกลงโทษ


4. ทำโทษด้วยการตี
วิธี นี้เป็นวิธีสุดท้าย หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากวิธีนี้ หากมีเหตุผลไม่เพียงพอหรือทำไปด้วยอารมณ์โกรธ ผลที่ได้จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น การตีลูกจะต้องคำนึงถึงหลักดังนี้


อย่าตีพร่ำเพรื่อ การตีลูกไม่จำเป็นต้องตีบ่อยๆ เพราะเด็กที่โดนตีบ่อย มีแนวโน้มที่จะเกเรและต่อต้านมากยิ่งขึ้น ดังนั้น พฤติกรรมบางอย่างที่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องลงไม้ลง มือ เช่น การร้องไห้โวยวายการปัสสาวะรดที่นอน ใช้การตักเตือนก็เพียงพอ


การตีแรงๆ หรือการตีโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง จะทำให้ลูกรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้พ่อแม่ ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องระมัดระวังอย่าใช้กำลังกับลูกมากเกินไป และควรจะตีเมื่อลูกทำผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่พ่อแม่ได้ตักเตือนไปแล้ว จึงจะเป็นการตีที่สมเหตุสมผล


การใช้ไม้เรียว เข็มขัด หรือไม้แขวนเสื้อตีลูก จะเป็นการทำให้ลูกบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ ลูกจะรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนก สิ่งที่ตามมาคือลูกจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความผิด แต่คิดว่าพ่อแม่ใช้กำลังกับเขา


อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น การตีลูกต่อหน้าคนอื่นจะทำให้ลูกอับอายและเสียหน้า วิธีจัดการเมื่อลูกทำตัวไม่น่ารักขณะมีผู้อื่นอยู่ด้วย ให้พ่อแม่ใช้วิธีเตือนด้วยเสียงเข้มๆ ก่อน หากเขาไม่หยุดก็ให้พาลูกแยกออกไปสักพักแล้วค่อยลงโทษ


การที่พ่อแม่จะ อบรมสั่งสอนลูก สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การระงับสติอารมณ์และใช้เหตุผลให้มาก และพ่อแม่ก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กๆ ได้เห็นอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะเด็กจะซึมซับพฤติกรรมของคนรอบข้างได้เร็ว และเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี พ่อแม่ก็ต้องไม่ลืมที่จะให้กำลังใจเพื่อให้ลูกมีกำลังใจที่จะทำดีต่อไปค่ะ

ที่มา : ข่าวสด

เคล็ดลับ การลดหน้าท้องอย่างถูกวิธี ( วิธีการออกกำลังกายกระชับสัดส่วน )


เคล็ดลับ การลดหน้าท้องอย่างถูกวิธี ( วิธีการออกกำลังกายกระชับสัดส่วน )
คนอ้วนส่วนใหญ่ มักมีหน้าท้องยื่นออกมา ทำให้ยุ่งยากในการแต่งตัว นุ่งกระโปรงก็ไม่สวย นุ่งกางเกงก็อึดอัด การลดน้ำหนักให้ได้ผล ต้องควบคุมอาหาร ควบคู่กับ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงาน ที่สะสมไว้อย่างเต็มที่

การออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อเผาผลาญไขมันปรับเปลี่ยน เป็นกล้ามเนื้อให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอนำเสนอ ท่ากายบริหารเฉพาะบริหารหน้าท้อง ดังนี้

ท่าที่ 1 กล้ามเนื้อท้องรวม
ท่าเตรียมพร้อม นอนหงายกับพื้น มือประสานไว้ที่ท้ายทอย งอเข่าเล็กน้อย ยกศีรษะขึ้นในมุมประมาณ 40 องศากับพื้น โดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือควรจะกางออกตึงไว้ แต่ไม่ใช่ห่อ และออกแรงดันศีรษะ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ คอเคล็ดตามมาได้ง่าย

ท่าที่ 2 กล้ามเนื้อท้องด้านบน
นอนราบกับพื้น ขายกตั้งฉาก (ดังรูป) ใช้ช่วงน่องไขว้กัน เพื่อเพิ่มความหนักเวลายกตัวขึ้น มือประสานกันที่ท้าทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 3 กล้ามเนื้อท้องด้านข้าง
นอนราบกับพื้น โดยยกเข่าข้างซ้ายขึ้นและพับขาขวาแนวนอนขัดกัน มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้ ซึ่งท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้าย และทำท่าเดิม แต่ยกเข่าขวาขึ้นและพับขาซ้ายสลับข้างกันกับตอนแรก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านขวา

ท่าที่ 4 กล้ามเนื้อท้องน้อย
นอน ราบกับพื้น พับขาให้ปลอดภัยบรรจบกัน มือประสานกันรองไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้ง 2 ข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 5 กล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง
นอนราบกับพื้น ขาเหยียดตรง มือสองข้างวางราบกับพื้น รองใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักให้ส่วนหลัง เกร็งขาไว้และยกขึ้นตั้งฉาก (ดังรูป) ค้างไว้นับ 1-10 แล้วเหยียดกลับไปท่าเดิม

ท่าที่ 6 กล้ามเนื้อท้องด้านบนและล่าง
นอนราบ กับพื้น มือขวารองไว้ที่ท้ายทอยเพื่อพยุงศีรษะ มืออีกข้างเหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัว ยกเข่าด้านขวาให้ตั้งขึ้น และยกขาซ้ายพาดคล้ายท่าไขว่ห้าง ใช้กำลังที่หัวไหล่ขวาและหลังยกตัวเฉียงขึ้น ให้ข้อศอกแทบจรดเข่าซ้าย ทำท่าเดิม แต่เปลี่ยนจากใช้มือขวารองและเข่าขวาตั้ง เป็นมือและเข่าซ้ายแทนเพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม

แต่ละท่าควรทำซ้ำท่าละ 20 ครั้ง หากเป็นท่าที่ต้องสลับข้าง ให้ทำข้างละ 20 ครั้ง ใช้เวลาในการทำประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดหน้าท้องแล้ว ยังช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง ปวดตามตัวได้อีกด้วย

ที่มา : 10 20 30 ็Health Body Program by ABBOTT

เคล็ดลับ การลดรอยแผลเป็นบนใบหน้า


เคล็ดลับ การลดรอยแผลเป็นบนใบหน้า
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น

ที่ มา : INN

วิธีการทำสวยด้วยขมิ้นสด


วิธีการทำสวยด้วยขมิ้นสด
- ขมิ้นสด (เล็กน้อย)
- ดินสอพอง 2-3 เม็ด
- มะนาว 1 ผล


วิธีทำ

- นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาวจนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้น และเหนียว นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้


ถ้าใครอยากมีผิวหน้าที่ดูดี ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้นะคะ...
ที่มา สยามดารา

วิธีแก้สิวสาวแบบชาวอินเดีย


วิธีแก้สิวสาวแบบชาวอินเดีย นอกจากไขมัน ชา กาแฟ ของดอง ฯลฯ ที่อายุรเวทแนะนำให้หลีกเลี่ยงแล้ว ยังมีวิธีแก้สิวอีกอย่างคือ การนำแป้งหมี่ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับนมสด 2 ช้อนโต๊ะ แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นแซนดอลวู้ด สัก 1 หยดลงไป อย่าลืมเติมมะนาว 1/2 ช้อนชาลงไปด้วย คนให้เข้ากัน แล้วทาให้ทั่วใบหน้า เน้นๆ หน่อยตรงเม็ดสิว ทิ้งไว้ 1/2 ชั่วโมง จึงล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น และสิวยุบลง

ที่ มา : TTTonline.net

ผิวหน้าสวยด้วยน้ำมะขามเปียก


ผิวหน้าสวยด้วยน้ำมะขามเปียก สูตรมะขามเปียกนี้ เชื่อว่าคงได้ยินมาตั้งแต่โบร่ำโบราณกันแล้วถ้าสรรพคุณไม่ดีเยี่ยมจริงๆคง เลือนหายไปตั้งแต่อดีตกาลแล้วว่าไหม

ก่อนจะใช้น้ำมะขามเปียกนวดผิวหน้า ให้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ล้างหน้าก่อน จากนั้นจึงใชัน้ำมะขามเปียกนวดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า แล้วพอกหน้าทิ้งไว้อย่างนั้นนาน 5นาที จึงล้างออกให้สะอาดใช้สูตรนี้ให้บ่อยๆ รับรองผิวใสกิ๊ก เด้ง เต่งตึงจนสาวๆ บางคนต้องหลีกทางให้กันเลยล่ะ

ที่ มา : http://nuuboom.blogspot.com

ประโยชน์ของมะเขือเทศ และประโยชน์ของซีลีเนียมในมะเขือเทศ

ประโยชน์ของมะเขือเทศ และประโยชน์ของซีลีเนียมในมะเขือเทศ
ซีลีเนียมก็เป็นเกลือแร่อีกหนึ่งชีวิต ที่สามารถช่วยต่อต้านความชราได้เป็นอย่างดี ซีลีเนียมจะทำงานร่วมกับวิตามิน E โดยมีหน้าที่ช่วยรักษาเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ของร่างกายไม่ให้เสื่อมสภาพไปเร็วนัก

ที่สำคัญมีผลที่ดีกับผิวหนังอย่างเห็นได้ชัดคือ ช่วยต้านความเหี่ยว และริ้วรอย(การลบริ้วรอยด้วยสารเคมี)เมื่อเข้าสู่วัยชราไม่ให้เกิดขึ้นก่อน วัยคุณสามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีซีลีเนียมเป็นประจำซึ่งได้แก่
นม กระเทียม มะเขือเทศ หอย ปลาและเครื่องในสัตว์

ที่มา : beautyvwander.com

ผิวแห้งกับริ้วรอยเหี่ยวย่อน

ผิวแห้งกับริ้วรอยเหี่ยวย่อนผู้หญิงสมัยใหม่มักทำแต่งานจนลืมเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหลายๆคนจึง ประสบปัญหาผิวแห้ง

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งนั้น ควรต้องได้รับการดูแลบำรุงผิวมากกว่าผู้ที่มีผิวแบบอื่นๆ ให้มากเป็นพิเศษ ถ้าคุณอยากจะยื้ออายุความอ่อนเยาว์ให้อยู่ไปได้นานๆเนื่องจากผิวแห้งนั้นมี ความตื่นตัวสูงกับการแสดงอารมณ์ความรู้สึกออก มาทาง สีหน้า ไม่ว่าคุณจะยิ้ม หัวเราะ โกรธ หรือแม้แต่การกินอาหาร การเคลื่อนไหวต่างๆ บนใบหน้า จะทำให้เกิดริ้วรอยที่ชัดเจนได้ง่ายมากกว่าผิวชนิดอื่น คนที่มีผิวแห้งจึงมักจะประสบกับริ้วรอยเหี่ยวย่นได้รวดเร็วกว่าคนที่มีผิว แบบอื่นการดูแลบำรุงผิวแห้งไม่ให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่ายๆ ทำให้ดูแก่เกินวัย สามารถแก้ไขได้โดยตรงที่ต้นเหตุ ซึ่งก็คือ การดูแลเรื่องของอาหารการกินให้มีประโยชน์ รวมทั้งควรพาตัวเองให้อยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดีอยู่เสมอ นอกจากนั้น ก็ควรบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ด้วยการชโลมโลชั่นที่มีมอยส์เจอไรเซอร์สูงเป็นประจำ อ๋อ อย่าลืมดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วด้วยล่ะ

ที่มา : http://nuuboom.blogspot.com

สูตรผิวใส ใบหน้าเต่งตึง


สูตรผิวใส ใบหน้าเต่งตึง

แตงกวา
จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

มะเขือเทศ
ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และ น้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น


เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น ถ้าคุณต้องเผชิญกับศัตรูความงามทุกๆ วัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อคืนความขาวเนียนสดใสให้กับผิว ทั้งนี้เคล็ดลับง่ายๆ ก็มีอยู่ว่า

"ควรบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์สม่ำเสมอ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการทามอยส์เจอร์บำรุงผิวก็คือ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวพอหมาดเหลือทิ้งความชุ่มชื้นไว้บนผิวบ้างก่อนทามอยส์เจอร์ เพื่อเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิวได้นานขึ้น"

หากต้องทำงานในห้องแอร์หรือสัมผัสกับอากาศร้อนอบอ้าวทุกวัน การบำรุงผิวหลังจากอาบน้ำตอนเช้าหรือตอนเย็นอาจไม่เพียงพอ ควรจะขยันบำรุงผิวขึ้นอีกนิด วิธีง่ายๆ คือ แค่พกพามอยส์เจอร์บำรุงผิวที่ซึมซับอย่างรวดเร็วติดกระเป๋าหรือใส่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานไว้ เพื่อเติมความชุ่มชื่นระหว่างวันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา หรือข้อศอก ทุกวันที่ต้องออกไปผจญกับแสงแดดเช่นเดียวกัน คุณควรปกป้องผิวสวยจากรังสียูวีด้วยครีมกันแดดทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสกับแสงแดดแรงกล้าในช่วงระหว่าง 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น

หากต้องการคืนความขาวให้กับผิวของคุณ ต้องเลือกครีมบำรุงผิวอย่างเหมาะสม การดื่มน้ำให้พอเพียงวันละประมาณ 8 แก้วต่อวัน เท่ากับเป็นการเติมทั้งความสดชื่นให้กับร่างกายแล้วยังเป็นการช่วยเติมน้ำให้ผิวคงความชุ่มชื่นอีกด้วยค่ะ ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าแต่ละวันดื่มน้ำได้วันละ 8 แก้วตามคำแนะนำที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ลองวางขวดน้ำดื่มและวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อเตือนใจว่าแต่ละวันได้ดื่มน้ำพอเพียงหรือยัง

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์