ทายนิสัยจากสัตว์เลี้ยงแสนรักตัวโปรด

ทายนิสัยจากสัตว์เลี้ยงแสนรักตัวโปรด
ถ้าคุณเป็นคนที่รักสุนัขมาก เห็นเป็นไม่ได้ ต้องเข้าไปเล่นด้วย บอกได้ว่า ... คุณเป็นคนที่มีความจริงใจมาก
และค่อนข้างจะรักเพื่อน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ น้ำใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นเสมอ คุณมีนิสัยที่ชอบปกป้องดูแล เอาใจใส่คนอื่น มีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม รักความเป็นธรรม คุณเป็นคนที่อนุรักษ์นิยม พูดหรือทำอะไรตรงไปตรงมา จนถึงขั้นเป็นพวกขวานผ่าซาก จิตใจกล้าหาญ ไม่กลัวปัญหา ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค จิตใจของคุณมั่นคง ไม่อ่อนแอ จุดอ่อนของคุณคือความไม่รู้จักยืดหยุ่น ขาดความคิดสร้างสรรค์ เวลาอารมณ์เสียจะกลายเป็นคนเย็นชา เก็บกด และอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

คนที่ชอบแมวเหมียวมากๆ บอกได้ถึงนิสัยขี้อ้อน คุณเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจใคร ทำอะไรพิถีพิถัน ละเอียดลออ คุณเป็นคนมีฝีมือ ทำงานประณีต รสนิยมดี ชอบใช้ของดีมีราคา คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองก่อน ไม่ค่อยสนใจคนอื่น เป็นคนหยิ่ง จนดูยโส และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คุณออกจะเป็นคนเรื่องมาก จู้จี้จุกจิก และขี้ระแวง ถ้าอยากได้ผลประโยชน์จากใคร คุณจะรู้จักประจบเอาใจ แต่พอคุณสมใจก็หายวับไปกับตา ที่จริงแล้ว คนที่ชอบแมว มักจะมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ชอบฉายเดี๋ยว จึงดูเหมือนเป็นคนไม่จริงใจ ทั้งที่คุณไม่ร้ายอย่างที่คนอื่นคิดเลย

คุณชอบเลี้ยงพวกหนูๆ ละก็ บอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรียว ขยันขันแข็ง ร่าเริง มองโลกในแง่ดี
คุณเป็นนักสะสม มีความกระตือรือร้น รักความก้าวหน้า ค่อนข้างปรับตัวได้เก่ง มีความระมัดระวังเป็นสัญชาตญาณ บุคลิกท่าทางของคุณดูเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดมาก แต่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี คุณค่อนข้างเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี รัก
อิสระ ไม่ชอบถูกผูกมัด คุณมักจะเก็บเงินเก่ง เพราะเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ คุณจะมีความสุขกับยอดสะสมในบัญชีมาก จัดระเบียบกับชีวิตได้ วางแผนก่อนใช้เงินเสมอ ทั้งยังดูแลบ้านช่องได้ดีอีกด้วย

สำหรับคนที่ชอบเลี้ยงปลา บอกได้ถึงความเป็นคนช่างฝัน ช่างอ่อนไหว คุณออกจะเป็นคนที่มีท่าทางค่อนข้างสบาย ไม่ค่อยทะเยอทะยานนัก งานยากๆ หนักๆ คุณรับไม่ค่อยไหว โดยปกติจะเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย มองโลก
ในแง่ดี ชอบอยู่กับความฝันมากกว่าความจริง ไม่มีนิสัยชอบเอาชนะ หรือเกี่ยวกับการแข่งขัน เรียกได้ว่า คุณค่อนข้างขี้อาย ขลาดเขิน อ่อนไหวง่าย เสียใจง่าย และโกรธง่ายแต่หายเร็ว นิสัยพื้นฐานของคุณเป็นคนที่ติดดิน ไม่ค่อยสนใจภาพพจน์ตัวเองเท่าไหร่ เวลาที่คุณโมโหจะเปลี่ยนเป็นคนก้าวร้าว ปากร้ายชอบกัดเล็กน้อยช่างประชดประชันอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกันได้



คุณที่ชอบกระต่าย ซึ่งเป็นสัตว์ขี้ตกใจ บอกถึงนิสัยของคุณที่มีไหวพริบดี รู้จักเอาตัวรอดเก่ง คุณเป็นคนที่ป้องกันตัวเองได้ดี ลักษณะภายนอกของคุณดูเหมือนคนอ่อนแอ แต่ภายในคุณเป็นคนเข้มแข็งแหลมคม และมีเล่ห์กลซ่อนอยู่ คุณเป็นคนละเอียดรอบคอบ มีความระมัดระวัง รู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลง บุคลิกของคุณเป็นคนคล่องแคล่ว ท่าทางสุภาพ มารยาทดี คุณเป็นคนอ่อนโยน ไม่ชอบปะทะกันซึ่งๆ หน้า ใจกว้าง รักสวย รักงาม รสนิยมดี มีพรสวรรค์ทางศิลปะ คุณค่อนข้างเป็นคนโรแมนติก ติดจะรักสบายไปสักนิด แต่เรื่องของความรู้สึกคุณค่อนข้างจะเข้าถึงจิตใจคนอื่นได้ง่าย แม้กระต่ายจะดูเป็นสัตว์ที่ขวัญอ่อน แต่คนที่ชอบกระต่าย กลับเป็นคนที่เข้มแข็งมั่นใจ อย่างที่ใครๆ คาดไม่ถึงทีเดียว

คุณที่ชอบนก ไม่ว่าจะอยู่ชมรมดูนก หรือมีนกไว้เลี้ยงดู จะเป็นคนชอบอิสระ และไม่ชอบผูกมัดกับใคร คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนที่คล่องแคล่วแอ็กทีฟ ไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานๆ หรือทำอะไรซ้ำซาก เรียกว่าเป็นคนขี้เบื่อ และมีนิสัยออกจะขี้อวดด้วย คุณมักจะไม่ค่อยผูกพันกับครอบครัว บางครั้งน่าเบื่อ เพราะชอบหงุดหงิดง่าย จุกจิก ขี้บ่น เรื่องรักสวยรักงามต้องมาก่อน เวลาไม่พอใจ หรือไม่ชอบใคร จะเปิดเผยอารมณ์ให้รู้ทันที อย่างตรงไปตรงมา จนคนรับอารมณ์คุณแทบไม่ทันจริงๆ

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=565

5 วิธี เลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วดูผอมเพรียวทันใจสาวๆ

5 วิธี เลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วดูผอมเพรียวทันใจสาวๆ
1. ใส่ เสื้อผ้าสีเข้ม เข้าไว้ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าชุดสีดำนั้นช่วยพรางรูปร่างได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่คุณจะวิ่งไปซื้อมาใส่เต็มตู้ สำรวจนิดนึง ว่าซีซั่นนี้เสื้อผ้าสีเข้มสีใดที่มาแรง อาจเป็น สีน้ำเงินเข้มหรือเทาเข้ม ก็ได้


2. รองเท้าส้นสูง มีส่วนช่วยมาก ข้อเท็จจริงที่ว่ารองเท้าส้นสูงสามารถใส่ได้กับเสื้อผ้าทุกชุดนั้น คุณไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือส้นสูง ยังทำให้ขาของคุณดูเรียวขึ้นและช่วยยกสะโพกขึ้นได้เล็กน้อย ไม่เชื่อลองดูสิ


3. คาด เข็มขัดเส้นโต ใครจะเชื่อว่าความมหัศจรรย์ของเข็มขัดเส้นใหญ่จะมีจริง เพราะแค่ขนาดต่างกัน มันก็ทำให้เรือนร่างของคุณเปลี่ยนได้เช่นกัน


4. อ้าแขนต้อนรับผิวสีแทน มันเยี่ยมมากถ้าคุณอยากจะพรางส่วนเกินชิ้นยักษ์ของคุณ หา ครีมทาผิวสีแทน มาทาส่วนเกินสักนิด อย่าทาทั้งตัว แต่ให้นึกถึงการทำไฮไลต์เข้าไว้แล้วเรือนร่างของคุณจะดูมีมิติขึ้น


5. หาจุดเด่นของตัวเอง และเผยให้ดูโดดเด้งที่สุด โอกาสดีเป็นของคุณแล้ว ถ้าคุณเป็นคนมีหน้าอกก็ให้ใส่ชุดเข้ารูปเล็กน้อย หรือถ้าเป็นสาวขาเรียวเลือกใส่สกินนี่จะดีที่สุด เพราะเมื่อจุดเด่นของคุณเด่นชัด แน่นอนจุดด้อย จะจางหายไปทันที แต่ก็อย่าให้มากจนดูไม่งามล่ะ

ที่มา : Lisa

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว


เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว
การมีสุขภาพดี เริ่มต้นจากข้างใน ดังคำกล่าวอมตะของจีนที่ว่า กินอะไร ได้อย่างนั้น สุขภาพที่ดีก็เช่นกัน หากเราเลือกและพิถีพิถันซักเล็กน้อยในเรื่องของการกิน (ไม่ใช่ว่าจะสรรหาแต่สิ่งที่ดีแพงๆ มากินอย่างเดียว) สุขภาพที่ดีก็จะไม่ไปไหน ลองดูขั้นตอนนี้ดู เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว


เริ่มต้นด้วยการลองทานอาหารใหม่ๆ ดูบ้าง คุณผู้หญิงคนไหนที่ no idea ไม่รู้หรือคิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดี แล้วที่สุดก็ต้องจบด้วยเมนูอาหารซ้ำซาก จำเจ แบบเดิมๆ อยู่อย่างนั้น คุณควรปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ เวลาที่คุณผู้หญิง ทานอาหารซ้ำๆ แบบเดิมๆ นั้น จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอได้ อีกทั้งอาหารซ้ำๆ อาจเกิดพิษสะสมในร่างกาย ลองคิดดู ถ้าร่างกายรับรู้ว่า เวลานี้ต้องได้ไก่ เวลานี้ต้องได้เนื้อ แบบเดิมๆ ร่างกายก็จะสกัดสารหลายชนิดมาเตรียมพร้อมรองรับ เหมือนเวลาเราหิว ถ้ารับประทานอาหารตรงเวลา เราจะหิวตรงเวลา ดังนั้นควรหันมาทานอาหารที่หลากหลายขึ้น แล้วก็เลือกรับประทานตามความเหมาะสมเพื่อที่ร่างกาย จะได้รับวิตามิน และ สารต้นอนุมูลอิสระเพิ่มเติมมากขึ้นด้วย อีกทั้งได้พัฒนาสมองว่า วันนี้จะมีเมนูเด็ดอะไรให้ลองชิม

สุขภาพที่ดีซื้อไม่ได้

ทดลองสวมบทเชฟให้กับตัวเองในบางมื้อ ลงทุนเข้าครัวบ้าง นานๆ ครั้งก็ไม่เลว จะได้ควบคุมในเรื่องของการปรุงอาหารเอง เลือกทานแต่ของดีมีประโยชน์ สำหรับส่วนผสมไหนที่ไม่ต้องการมากนัก ก็ลดๆ ลงไปบ้าง สำหรับสาวๆ ที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่ นี่เป็นเคล็ดลับเพื่อสุขภาพสาวสวยจริงๆ หากใส่ใจสุขภาพ การอยู่กับอาหาร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้อ้วนแต่อย่างใด

ลองหัดทานอาหารจำพวกธัญพืช หรือไม่ต้องหัดสำหรับสาวสวยชีวจิต เพราะชำนาญการอยู่แล้ว ที่แนะนำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายหันมาทานธัญญาพืชนั้น เนื่องมาจากว่าธัญพืช สามาถป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้เช่น โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคลมชัก โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็ง และหลายๆ โรค เนื่องจากผักผลไม้บางชนิด มีสารต้านอนุมูลต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะธัญพืช หรือ ผักผลไม้ที่มีสีจัดจ้าน เช่น งาดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง นอกจากนี้ ธัญพืชยังช่วยต่อต้านคอเลสเตอรอลในร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังดูแลรักษาสัดส่วน นั่นก็คือ ธัญพืช มีไฟเบอร์เยอะมาก เมื่อทานไปแล้วก็ทำให้อิ่มท้องอยู้ได้นาน ใครที่กำลังควบคุมน้ำหนักเพื่อหุ่นสวยก็สามารถนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ดู

หาของทานเล่นระหว่างมื้อ ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวสารพัด แต่หมายถึงการกินมื้อเล็กๆ ระหว่างวันจะช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญในร่างกายนั้นทำงานตลอดทั้งวัน (ทั้งนี้การทานมือหลังก็ทานเฉพาะพออิ่มท้อง) นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการทานในมื้อหลักๆ 3 มื้อ ข้อดีของการทานอาหารระหว่างมื้อนั้น ยังช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และทำให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย

รู้หรือไม่ว่าการที่สาวๆ ทั้งหลาย กินมื้อเล็กๆ แทรกระหว่างวันจะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น เพราะคุณจะได้รับวิตามิน และ เกลือแร่ ที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอนั่นเอง

ที่มา : beautyvwander.com

สูตรทำอาหารเมนูปลาทูราดผัดเปรี้ยวหวาน


สูตรทำอาหารเมนูปลาทูราดผัดเปรี้ยวหวาน
ส่วนผสมปลาทูราดผัดเปรี้ยวหวาน

- ปลาทูสด 2 ตัว
- พริกชี้ฟ้าแดง 4 เม็ด
- กระเทียม 4 กลีบ
- น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำ 1/2 ถ้วย
- ผักชี 1 ต้น
- น้ำมัน 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำปลาทูราดผัดเปรี้ยวหวาน

1. ล้างปลาทูให้สะอาด ควักไส้ออก
2. ใส่น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน นำปลาทูลงทอดให้เหลือง ใส่จานไว้
3. โขลกพริก กระเทียม ให้เข้ากัน
4. ใส่น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะในกระทะ พอร้อน ใส่เครื่องที่โขลก ผัดให้หอม ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน
5. ใส่ปลาทูที่เตรียมไว้ ใส่น้ำ ต้มไปจนเครื่องเข้าเนื้อปลาทู (เติมน้ำร้อนๆ) ชิมรสตาม

ที่มา : http://variety.teenee.com

สรรพคุณสมุนไพร

สรรพคุณสมุนไพร
กระชายดำ
-เป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ ขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคกระเพาะอาหารแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา บำรุงเลือดสตรี แก้ตกขาว ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ



ชะพลู
- เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน นิยมใช้ห่อ เป็นเครื่องเมี่ยงคำ มีสาร เบต้าแคโรทีน

ชะอม
- เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง นิยมใช้ปรุงอาหารในรูป ชุบไข่ทอด ให้สารอาหารประเภท ฟอสฟอรัส วิตตามินซี เบต้าแคโรทีน สรรพคุณ ช่วยป้องกันมะเร็ง ให้กากใย ช่วยระบบการย่อย และระบบขับถ่าย

ดอกโสน
- เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้วิตตามินมีน เกลือแร่ โปรตีน และ ธาตุเหล็ก

ต้นหอม
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส สรรพคุณ ช่วย ให้ร่างกาย
ดูดซึมอาหาร ป้องกันมะเร็ง

แตงกวา
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้ประโยชน์ทางยา สรรพคุณ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้
กระหายน้ำ ใบของแตงกวายัง ช่วย แก้บิดและท้องเสีย ส่วนเถา ช่วยลดความดันของเลือดได้

ตำลึง
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีเบต้าแคโรทีน สรรพคุณ ลดอัตราเสี่ยง
การเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด ให้แคลเซียม มีกากใยช่วยระบบการขับถ่าย

ถั่วแขก
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้วิตตามิน ซี ให้แคลเซียม สรรพคุณ ช่วยเสริมสร้าง
กระดูกและฟัน มีธาตุเหล็ก ที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือด

ถั่วฝักยาว
- พืชผักสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส มีกากใยอาหาร
สรรพคุณ ช่วยลดคอเลสเตอรอล

ถั่วพู
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตตามินซี

ถั่วลันเตา
- เป็นพืชผัก ที่อุดมไปด้วย ธาตุ แคลเซียม ฟอสฟอรัส มีโปรตีนมาก

บร็อคโคลี่
ี - เป็นพืชผักที่นำพันธุ์มาจากต่างประเทศ ให้ ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม วิตตามินซี

บวบ
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้คุณค่าทางอาหาร มีฟอสฟอรัส และแร่ธาตุ
สรรพคุณ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน มีธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือด

ใบบัวบก
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้คุณค่าและสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดอาการแพ้
ลดความดันโลหิต แก้ช้ำใน มีแคลเซียม และเบต้า แคโรทีน มีวิตตามิน บี 1 สูงช่วยบำรุงสมอง

ใบแมงลัก
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้คุณค่าและมีสรรพคุณ ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร
ช่วยระบบการขับถ่าย

ปวยเล้ง
- มีคุณค่าทางอาหาร ทางสมุนไพรมี สรรพคุณ ช่วยให้สายตาดี ผิวพรรณผุดผ่อง ป้องกันโรคมะเร็ง

ผักกระเฉด
- พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง ที่ ให้วิตตามิน บี วิตตามีน ซี เบต้า แคโรทีน ให้ แคลเซียม

ผักกาดขาว
- เป็นพืชผักที่มีคุณสมบัติทางสมุนไพร สรรพคุณ มี โฟเล็ต สูง ช่วยให้ระยะการตั้งครรภ์ ในระยะ
สามเดือนแรก ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยระบบ ขับถ่ายและระบบการย่อยอาหาร

ผักกาดหอม
- เป็นพืชผักสวยงาม นิยมใช้ปรุงอาหารและรับประทานสด ๆ สรรพคุณทางสมุนไพร ช่วยให้แม่มีน้ำนม
เลี้ยงลูก ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

ผักชี
- เป็นพืชผักสวยงาม นิยมใช้ปรุงอาหารและรับประทานสด ๆ สรรพคุณทางสมุนไพร ช่วยการสร้างเม็ดเลือด
มีแคลเซี่ยมและ ฟอสฟอรัส สูง มีธาตุเหล็ก

ผักบุ้ง
- เป็นพืชผักที่หาได้ง่าย ทางสมุนไพรมีสรรพคุณ ช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง มีเบต้าแคโรทีน และ สามารถ
เปลี่ยนเป็น วิตตามีน เอ บำรุงสายตา มีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มีแคลเซี่ยมและ ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
ลดน้ำตาลในกระแสเลือด

ผักโขม
- ผักพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร เป็นผักใบเขียว มีคุณสมบัติที่ สามารถเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน
ในตัวของมันเองให้เป็น วิตตามิน เอ สรรพคุณ ช่วย ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด
นอกจากนี้ ยังให้สารฟอสฟอรัสและแคลเซี่ยม

ผักเสี้ยน
- ผักพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร เป็นผักใบเขียว มีคุณสมบัติที่ สามารถเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน
ในตัวของมันเองให้เป็น วิตตามินเอ สรรพคุณ ช่วย รักษาอาการปวดเมื่อย ตามเนื้อตามตัว ขับเสมหะ
และ ฆ่าพยาธิ และอาการระดูเน่าด้วย

ผักกูด
- เป็นเฟริ์นชนิดหนึ่ง อุดมไปด้วย ธาตุเหล็ก และ เบต้า แคโรทีน

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=567

แนะหญิงท้องควรทาน ไอโอดีน เสริมไอคิวลูกน้อย


แนะหญิงท้องควรทาน ไอโอดีน เสริมไอคิวลูกน้อย
• ซึ่งเราสามารถเห็นอาการชัดเจนได้ประมาณร้อยละ 1-10 ของเด็กที่เป็นเท่านั้น
• อีกร้อยละ 5-30 จะเกิดปัญญาทึบ
• ที่เหลืออีกร้อยละ 70 จะออกมาในรูปของการเฉื่อยชา เกียจคร้าน อ่อนแรง

จากการสำรวจการใช้เกลือครั้งล่าสุดในปี 2549 พบมีครัวเรือนเพียงร้อยละ 59 ใช้เกลือเสริมไอโอดีนปรุงอาหาร ในจำนวนนี้ใช้เกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพคือ มีสารไอโอดีนในปริมาณกำหนดคือ 30 ส่วนในเกลือ 1 ล้านส่วนหรือ 30 พีพีเอ็ม (30 ppm) เพียงร้อยละ 54 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด คือต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์ไทยร้อยละ 50 หรือประมาณ 4 แสนคน ได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ เสี่ยงคลอดลูกเป็นเอ๋อ หรือปัญญาอ่อน

ขณะนี้ค่าเฉลี่ยระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิวเด็กสากลกำหนดไว้คือ 90-110 จุด แต่ไอคิวของเด็กไทยประเมินในรอบ 5 ปีมานี้ได้แค่ 88 จุด ในขณะไอคิวเด็กในประเทศในกลุ่มตะวันออกไกลมี 104 จุด ที่ยุโรปอเมริกาเหนือ 98 จุด จึงน่าห่วงมาก

หากดูในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดไอโอดีนแล้ว ประเทศไทยจะมีเด็กคลอดใหม่เสี่ยงต่อการมีสติปัญญาด้อยหรือไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานประมาณ 400,000 คน

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=688

ผักผลไม้มีฤทธิ์ช่วยป้องกัน ทั้งหอบหืดและแพ้อากาศในเด็ก

ผักผลไม้มีฤทธิ์ช่วยป้องกัน ทั้งหอบหืดและแพ้อากาศในเด็ก วารสารธอแร็กซ์เผยแพร่งานวิจัยร่วมกันของสถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของอังกฤษ มหาวิทยาลัยครีต โรงพยาบาลกลางของกรีซ และศูนย์วิจัยระบาดวิทยาสภาพแวดล้อมของสเปนที่ต้องการศึกษาว่า เหตุใดเด็กยุโรปบางพื้นที่เช่นอังกฤษ จึงเป็นหอบหืดมากถึง 1 ใน 10 คน ขณะที่บางพื้นที่เช่น เกาะครีตของกรีซกลับไม่เป็น

ผลการศึกษาเด็กบนเกาะครีตเกือบ 700 คน อายุระหว่าง 7-18 ปี พบว่าเด็กเหล่านี้มีอาการแพ้ทางผิวหนัง เช่น แพ้ไรฝุ่นค่อนข้างมาก แต่มีไม่กี่คนที่แพ้อากาศ เมื่อสอบถามเรื่องอาหารการกิน พบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเด็กเหล่านั้นรับประทานผลไม้และผักสดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว

เด็กกว่าครึ่งรับประทานส้ม แอปเปิล มะเขือเทศ และองุ่นทุกวัน ผลไม้เหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้เด็กกว่าครึ่งยังรับประทานถั่วอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถั่วนั้นนอกจากอุดมด้วยวิตามินอีที่ป้องกันไม่ให้ เซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีแมกนีเซียมสูงที่อาจช่วยให้ปอดแข็งแรงขึ้น ผลการศึกษาพบด้วยว่า เด็กที่รับประทานมาการีนหรือ เนยเทียมมากกว่าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีโอกาสเป็นหอบหืดและแพ้อากาศ 2 เท่าของเด็กที่รับประทานไม่บ่อย.

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=3042

วิธีการทำยำใบชะพลู

วิธีการทำยำใบชะพลู
ส่วนผสม

- ใบชะพลูสดหั่นฝอย 2 ถ้วย
- กุ้งขนาดกลางลวกพอสุก 4 ตัว
- หมูสับรวนให้สุก 1/2 ถ้วย
- หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
- มะพร้าวคั่วให้เหลือง 1/2 ถ้วย

ส่วนผสมน้ำยำ

- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- พริกขี้หนูสวนบุบพอแตก 4–5 เม็ด

วิธีทำ

- ผสมน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาวในชาม คนให้เข้ากันใส่พริกขี้หนู
- นำใบชะพลู หมูสับ มะพร้าวคั่วให้เหลืองบุบเล็กน้อยมารวมกัน ราดด้วยน้ำยำที่ทำไว้ให้ทั่ว โรยหน้าด้วยหอมซอย เนื้อกุ้งลวก ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

ที่มา : http://variety.teenee.com

เคล็ดลับ การหมักเนื้อเสต็ก อย่างไรให้นุ่ม... อร่อย

เคล็ดลับ การหมักเนื้อเสต็ก อย่างไรให้นุ่ม... อร่อย
เคยมั๊ยคะ เวลาไปสั่งสเต็กทาน แล้วเจอกับเนื้อสเต็ก ที่แข็งเป็นกระดาน ถึงจะรสชาติดี แต่กลับทาน ไม่อร่อยเอาเสียเลย ทั้งนี้ก็เพราะความอร่อยของ เนื้อที่ทานจะขึ้นอยู่กับ ความนุ่มกำลังดีของ เนื้อเวลาสัมผัสลิ้นด้วยค่ะ (ย้ำ..นุ่มกำลังดีนะคะ ไม่ใช่เปื่อยจนยุ่ย )

ถ้าเราไปถาม พ่อค้าร้านของชำ ว่าทำยังไงให้เนื้อนุ่ม เค้าก็อาจจะแนะนำให้เราใช้ ผงทำให้เนื้อเปื่อย หรือผงเนื้อนุ่ม ซึ่งโดยมากเจ้าผงดังกล่าว ก็คือ โซดาผง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์นุ่มได้จริงๆค่ะ แต่ประสิทธิภาพอาจมีมากกว่านั้น ก็คือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ของเรา เปื่อยนุ่มไปด้วยค่ะ (เป็นของแถมที่น่ากลัวมากๆ)

ทีนี้ ถามว่าทำอย่างไรให้เนื้อสเต็กนุ่ม ทานอร่อยแต่ไม่ยุ่ยใช่ม๊า ครั้งหน้าถ้าจะทำสเต็ก ถ้าซื้อเนื้อแล้ว (จะเนื้อหมูหรือเนื้อวัว ก็เอาเถอะนะคะ) ก็อย่าลืมแวะไปหยิบสัปปะรดกลับบ้านด้วย ถ้าขี้เกียจปอกจะเอาแบบ ที่เค้าปอกแล้วก็ได้ค่ะ เวลาหมักก็ให้ใส่ น้ำสัปปะรดลงไปในน้ำหมักด้วย ในสัดส่วน น้ำสับปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักเนื้อ ประมาณ 1 กิโลกรัมค่ะ หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง (ใส่กล่องปิดฝาเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา) อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆค่ะ ทีนี้ถ้าทำทานไม่หมด ก็ให้ใส่ถุงพลาสติก เรียงเข้าช่องแช่แข็งไว้ เวลาจะใช้ก็ค่อยเอาออกมา

ขอให้มีความสุขกับการรับประทาน เนื้อสเต็กอร่อยๆ นะคะ...

ที่มา : Thaifooddb.com

ชาเขียวป้องกันรักษาโรคหัวใจ แต่ต้านทานโรค มะเร็งไม่ไหว


ชาเขียวป้องกันรักษาโรคหัวใจ แต่ต้านทานโรค มะเร็งไม่ไหว
วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน เผยแพร่ผลการศึกษาในญี่ปุ่นว่า ผู้ดื่มชาเขียวมากมีอายุยืนขึ้น และพบว่าชาเขียวช่วยลดการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ แต่ไม่ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง

ดร.ชินนิจิ คูริยามา และทีมงานจากคณะนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ ศึกษากับชายและหญิงกว่า 40,000 คน อายุ 40-79 ปี ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตที่ผู้คนดื่มชาเขียวกันมากถึงร้อยละ 80 และกว่าครึ่งดื่มไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ถ้วย

ผลการศึกษาสันนิษฐานว่า โพลีฟีนอล สาร ประกอบในพืชที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ดื่มมีอายุยืนขึ้น...

ที่มา http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=3065

วิธีทำแกงเลียงรวมมิตรแบบง่ายๆ

วิธีทำแกงเลียงรวมมิตรแบบง่ายๆ
ส่วนผสม

- ฟักเขียวบั้งให้เป็นลายแล้วหั่น 2 ถ้วย
- ถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อนๆ 1 ถ้วย
- เมล็ดข้าวโพด 1/2 ถ้วย
- มะเขือเทศหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
- ถั่วลิสงคั่ว 1/4 ถ้วย
- ปลาช่อนทอด 1 ตัว
- กุ้งแห้งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
- หอมแดงซอย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
- กะปิ 1 ช้อนชา
- พริกไทย 1 1 /2 ช้อนชา
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

- โขลกหอมแดง กะปิ พริกไทย และกุ้งแห้ง
- ต้มเครื่องที่โขลกในน้ำ 2 ถ้วย จนเดือด แล้วใส่ฟักเขียว ถั่วลิสงคั่ว พอฟักสุก ใส่ถั่วฝักยาว เมล็ดข้าวโพอ มะเขือเทศ
- บิปลาช่อนลงในหม้อ ต้มจนผักทุกอย่างสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา

ที่มา : หนังสือคิดใหม่ทำอร่อย

นักวิทยาศาสตร์ทึ่งขอศึกษารหัสพันธุกรรม "ออซซี่ ออสบอร์น"

นักวิทยาศาสตร์ทึ่งขอศึกษารหัสพันธุกรรม "ออซซี่ ออสบอร์น" บริษัททางการแพทย์จากสหรัฐฯ เตรียมติดต่อขอตัวอย่างเลือดของ "ออซซี่ ออสบอร์น" ร็อครุ่นใหญ่ ในการวิเคราะห์รหัสทางพันธุกรรม เพื่อค้นหาสาเหตุของความทนทายาท สามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาว ทั้งๆ ที่ผ่านการใช้ยาเสพติด และใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบัน มานานหลายสิบปี The Sun รายงานว่า ออซซี่ ออสบอร์น ตำนานที่ยังมีลมหายใจแห่งวงการร็อค ได้ตอบรับคำเชิญของนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ ในการทดลองสุดไฮเทค ที่มีค่าใช้จ่ายถึง 27,000 ปอนด์ เพื่อค้นหาคำตอบว่าเหตุใด หนุ่มใหญ่วัย วัย 61 ปี อย่างเขา ถึงยังคงมีชีวิตมาได้ถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างโลดโผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสพยา และการดื่มหนัก เป็นเวลานานหลายสิบปีติดต่อกัน ซึ่งส่วนใหญมักจะกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของหลายๆ คน

นอกจากนั้นตลอดเส้นทางสายร็อคมากว่า 40 ปี ออซซี่ อดีตนักร้องนำวง Black Sabbath ยังเคยมีวีรกรรมสุดห่าม ที่แทบไม่สามารถสาธยายได้หมด

ตั้งแต่การกัดค้างคางตัวเป็นๆ บนเวทีคอนเสิร์ต, กินนกพิราบดิบๆ และสูดฝูงมดเข้าทางรูจมูก เพราะหาโคเคนมาเสพไม่ได้ เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าตัวยอมรับว่าจำไม่ได้แล้ว เพราะปัญหาความจำเสื่อมจาก การใช้ยาและดื่มอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม นิกกี้ ซิกซ์ แห่งวง Mötley Crüe ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในปี 1984

นอกจากนั้น ออซซี่ ยังเคยผ่านอุบัติเหตุแรงๆ มาแล้วหลายครั้ง ที่หนักที่สุดก็คือ กระดูกคอหักจากอุบัติเหตุในการขับรถมอเตอร์ไซค์ "ผมเคยถือปืนสั้นไล่ยิงคน, ขับรถเรนจ์โรเวอร์ข้ามสะพานแขวน สุดท้ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน" นักร้องรุ่นใหญ่เล่าถึงวีรกรรมของตัวเอง

แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเรื่องยาเสพติด และการดื่มเหล้า ที่ร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งถือถึงจุดที่รุนแรงที่สุดในปี 1989 ถึงขั้นที่ว่าเขาเกือบบีบคอ แชรอน ออสบอร์น ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากจนเสียชีวิตมาแล้ว

หลังผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาได้ ออซซี่ เริ่มมีชีวิตที่ปกติสุขมากขึ้น เลี้ยงทายาททั้ง 3 คนจนเติบใหญ่ และสามารถครองรักกับภรรยาถึง 30 ปี และยังคงหวานกันมาถึงตอนนี้ ซึ่งนักร้องรุ่นใหญ่วัย 61 ปี ยืนยันว่าตอนนี้ตัวเองสามารถลาขาดจาก ยาเสพติดทุกชนิดได้เรียบร้อยแล้ว แม้แต่เหล้า และบุหรี่ ก็ไม่ได้แตะอีกแล้วในตอนนี้

เนธาน เพียร์สัน ตัวแทนของบริษัท Knome จากสหรัฐฯ ออกมาเผยว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ จะเป็นการศึกษา และสร้างแผนที่รหัสทางพันธุกรรมของ ออสบอร์น จากตัวอย่างเลือดของเขา "การวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดของบุคคลที่มีประวัติการใช้ยาอย่างสุดขั้ว จะมีคุณค่าอย่างมหาศาลทางวิทยาศาสตร์"

งานนี้ The Sun ยังกล่าวว่าสงสัยขี้ยารุ่นใหญ่อย่าง คีธ ริชาร์ดส์, รอนนีย์ วูด หรือ อิกกี้ ป๊อป ที่ประวัติการเสพยาหนักหน่วงพอๆ กันและยังมีชีวิตอย่างปกติสุขดีทุกคน อาจได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ สำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในอนาคตต่อไปก็เป็นได้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิธีเลือกใช้มาสคาร่า ให้เหมาะกับตัวเรา

วิธีเลือกใช้มาสคาร่า ให้เหมาะกับตัวเรา ช่างแต่งหน้ามือโปรต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หากคุณอยากเลือกใช้เครื่องสำอางอย่างเดียวสำหรับดวงตา เลือกใช้มาสคาร่า มันจะเพิ่มความคมเข้มให้แก่ใบหน้าของคุณในแบบที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก ในเมื่อมาสคาร่าสำคัญถึงขนาดนี้ มาเลือกใช้มันให้เหมาะเพื่อที่คุณจะได้สิ่งที่ดีที่สุดจากมันกันเถอะค่ะ
เลือกให้เหมาะ

สีน้ำตาลเหมาะสำหรับตอนกลางวัน ส่วนสีดำเหมาะสำหรับยามค่ำคืน ส่วนสีที่ค่อนข้างแปลกหน่อยอย่างเช่น สีชมพู ม่วง เขียว หรือฟ้า เหมาะกับเด็กสาวรุ่นๆ สำหรับยามไปเที่ยวมากกว่า สำหรับสาวที่ค่อนข้างมีอายุ สีสดใสพวกนี้จะยิ่งเน้นให้ดวงตาดูอ่อนโรยมากขึ้นไปอีก

ถ้าคุณขนตาบาง ใช้มาสคาร่าแบบเพิ่มความยาวแต่ควรจำไว้ว่ายิ่งขนตาคุณยาวเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดูบางเท่านั้น ฉะนั้น ควรปัดทับด้วยมาสคาร่าแบบที่เพิ่มความหนาด้วยเช่นกัน

ถ้าคุณขนตาสั้น เลือกแบบที่เพิ่มความหนา แต่เช่นกันที่ยิ่งมันหนาขึ้นก็จะยิ่งดูสั้นขึ้น ฉะนั้น ควรปัดด้วยมาสคาร่าแบบเพิ่มความยาวที่ช่วยแยกเส้นขนตาของคุณด้วย

ถ้าคุณเหงื่อออกทั้งวันหรือคาดว่าอาจมีซีนน้ำตาเล็กน้อย มาสคาร่าแบบกันน้ำจะไม่เลอะเทอะแน่นอน แต่อย่าใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำตลอดเวลา มันก็เหมือนกับยาย้อมผม มันอาจทำให้ขนตาเปราะและขาดได้ง่าย

เคล็ดลับการใช้มาสคาร่าจากมือโปร

- ทาจากโคนขนตาขึ้นไป เพื่อให้ส่วนโคนหนากว่าส่วนอื่น ซึ่งจะทำให้ตาดูคมเข้มขึ้น และอย่าทาส่วนปลายมากเกินไป ถ้าไม่อยากให้ขนตาดูเหมือนขาแมงมุม

- เวลาปัดขนตาบน ให้เงยหน้าไปข้างหลังและเหลือบตามองลง ส่วนเวลาปัดขนตาล่างให้ก้มหน้ามาข้างหน้าแล้วเหลือบตามองขึ้น ทาขนตาล่างน้อยๆ หน่อย เพื่อที่มันจะได้ไม่ทำให้ตาดูหนัก

- ช่างแต่งหน้าบางคนบอกว่า หากขนตาล่างเป็นเส้นบางๆ และหรอมแหรม การปัดมาสคาร่าจะยิ่งทำให้เห็นข้อบกพร่องชัดขึ้น และยังเน้นรอยดำหรือถุงใต้ตาให้เห็นชัดเจนขึ้นอีกด้วย เพราะมันเป็นการดึงดูดความสนใจไปยังจุดด้อยของคุณ

- หลักจากปัดขนตารอบแรก ไม่จำเป็นต้องรอจนกระทั่งมันแห้งถึงค่อยปัดรอบสอง เพราะมันจะยิ่งทำให้ขนตาติดกับแปรงและปัดได้ยาก ควรปัดขนตาต่อเนื่องกันไปจนครบตามต้องการ และควรทาให้เสร็จเป็นข้างๆ ไป

ถ้าทำมาสคาร่าเปื้อนส่วนอื่นของดวงตา ควรรอให้มันแห้งก่อนแล้วค่อยใช้แปรงปัดออก มันจะกลายเป็นผงและหลุดออกมาง่ายกว่า การเช็ดออกตอนยังไม่แห้งจะทำให้เกิดเป็นรอยดำ หลังจากเช็ดออกแล้ว ถ้ายังเห็นรอยอยู่ ให้ทาอายแชโดว์สีกลางๆ ทับลงไปเล็กน้อย

ที่มา :จากหนังสือลิซ่า

แต่หน้าสวยใส แบบเป็นธรรมชาติ

แต่หน้าสวยใส แบบเป็นธรรมชาติ สาวๆ ที่นิยมการแต่งหน้าโทนเข้ม จนคนรอบข้างมักแซวเอาว่า “โป๊ะหน้ามาหรือไงจ๊ะ” วันนี้นี้เรามีเทรนด์ใหม่ในการแต่งหน้าที่เป็นธรรมชาติ แค่แต่งแต้มสีสันบนใบหน้าแบบบางๆ ก็ช่วยให้คุณดูสวยสดใสได้ค่ะเริ่มจากรองพื้น
ก่อนลงรองพื้นให้ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด จากนั้นเลือกรองพื้นที่เข้ากับสีผิวของคุณทาเพียงบางๆ โดยเกลี่ยให้ทั่วทั้งใบหน้าเพื่อปกปิดริ้วรอยค่ะ

แต่งตา
ลงสีเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ โดยไล่น้ำหนักของสีจากหางตาไปถึงหัวตา สำหรับเทรนด์การลงสีตาในช่วงนี้ จะลงสีเข้มที่หางตาแล้วค่อยๆ ไล่สีมาเรื่อยๆ จนถึงกลางเปลือกตาเท่านั้นทำให้ดวงตาดูมีสีสัน ไม่จืดชืด จากนั้นให้เขียนขอบตาด้วยพู่กันปลายเล็ก ควรเลือกสีน้ำตาลเข้มเพื่อช่วยให้ตาดูโตขึ้น ลักษณะการลงเส้นขอบตาของคนตาเล็ก ก็ให้ลงเส้นใหญ่หน่อย เพื่อช่วยให้ตาดูโตขึ้น ส่วนคนที่ตาโตดูสวยอยู่แล้ว ก็แค่กรีดเส้นเล็กๆ ไปตามเส้นดวงตาเป็นการเน้นให้ตาดูคมขึ้น

สีคิ้ว
เพื่อความเป็นธรรมชาติของสีคิ้วแนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลกับแปรงปลายตัด เขียนคิ้ว โดยลงไม่ต้องเข้มมากจนเกินไป คุณอาจจะใช้ดินสอสีน้ำตาลแดงเขียนคิ้วซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้คิ้วดูคมและโฉบเฉี่ยวขึ้นค่ะ

ปัดแก้ม
ปัดแก้มให้ดูมีเลือดฝาด วิธีการปัดนั้นให้ปัดเฉพาะตรงช่วยโหนกแก้ม ซึ่งจะทำให้สีไม่สดจนเกินไป แถมยังทำให้คุณดูเป็นสาวที่มีสุขภาพผิวที่ดี สดใสด้วยค่ะ

ทาปาก
อย่าลืมตบท้ายด้วยการทาลิปสติกนะคะ

อ่านมาถึงตรงนี้…สาวๆ ที่เคยโบ๊ะหน้าหนาเตอะเหมือนใส่หน้ากาก หรือปล่อยให้ใบหน้าซีดเซียวจืดชืด คงพบทางสายกลางแล้วนะคะ
แต่หน้าสวยใส แบบเป็นธรรมชาติ

ที่มา : หนังสือสวยด้วยแพทย์

แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง

แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก เราเลยหาวิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำ
จมูกไม่โด่ง
วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆเกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน

แก้มตอบ
แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆอย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆเข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆมีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆเข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก

แก้มเยอะ
แก้มยุ้ยๆน่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ

ตาไม่ดึงดูด
อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที

คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ
ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว

ตาเล็กและหนังตาตก
สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา แค่นี้ก็ทำให้ตาดูคมโตขึ้นแล้ว
แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง

ที่มา : TTTonline.net

อยากผิวขาว ผิวเนียนนุ่ม ไม่ยากคุณก็ทำได้

อยากผิวขาว ผิวเนียนนุ่ม ไม่ยากคุณก็ทำได้ ถึงเวลาแล้วที่สาวๆ ต้องหัดหันมาเอาใจใส่ดูแลผิวพรรณกันบ้างซะที ดังนั้นสาวคนไหนที่อยากมี ผิวขาว ผิวเนียนนุ่ม นั้นวันนี้มีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำกันค่ะ ทุกวันนี้สาวๆ ทุกคนคงใช้ครีมบำรุงผิวทากันเป็นประจำอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ เวลาเลือกใช้ครีมบำรุงผิวนั้น ให้เลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและก็ต้องมีส่วนผสมสารป้องกันรังสียูวีด้วยค่ะ

แต่แค่ทาครีมยังไม่พอค่ะ ยังมีขั้นตอนพิเศษที่ช่วยบำรุงผิวของสาวๆ ให้มี ผิวขาว ผิวเนียนนุ่ม ได้ดั่งใจ ถึงเวลาแล้วค่ะที่ผู้หญิงสาวทุกคนควรหันมาดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณของตัวเองซะบ้าง วิธีดูแลผิวที่สาวๆ ควรหมั่นหาเวลาให้ตัวเองบ้าง มีดังนี้ค่ะ…

1. การพอกผิว
อยู่บ้านว่างๆ ก็ลองหาโยเกิร์ตมาพอกผิวบริเวณส่วนที่เราต้องการให้มีผิวขาว ผิวเนียน เป็นพิเศษดูนะคะ โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดค่ะ
หมั่นทำประจำผิวจะมีความชุ่มชื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการเกิดผิวหมองคล้ำด้วยค่ะ

2. การสครับผิว
ซึ่งสิ่งที่จะช่วยสครับผิวของเราได้นั้นก็มี ที่วีซ่าเอามาฝากดังนี้ค่ะ

ใช้ส้มสครับผิว
ส้มเป็นที่นิยมมากสำหรับการสครับผิว ซึ่งเมื่อใช้ส้มสครับผิวแล้ว จะช่วยทำให้ผิวที่แห้ง และหมองคล้ำของเรา นั้น ขาวเนียนขึ้นได้ และนอกจากนี้ยัง ช่วยลบริ้วรอยที่แห้งกร้านที่อยู่บนผิวเราได้อีกด้วยนะคะ

ใช้เมล็ดกาแฟสำหรับสครับผิว
เพราะในเมล็ดกาแฟนั้นมีสารที่คอยทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษทีเกาะบริเวณผิว ให้หลุดออกไป นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนังด้านในให้ดูสดใสแถมยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันที่อยู่บริเวณชั้นผิวหนังด้วยนะคะ

ใช้ลาเวนเดอร์สครับผิว
สำหรับสาวๆคนไหนที่สนใจใช้ลาเวนเดอร์สครับผิวนั้น ลาเวนเดอร์จะช่วยในการผ่อนคลายและฟื้นฟูสภาพผิวบนร่างกายของและยังสามารถช่วยในการคลายเครียด ลดอาการปวดหัว ปวดไมเกรน แถมยังช่วยปรับความสมดุลการทำงานของเจ้าต่อมไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเราด้วยนะคะ

3. การขัดผิว
ที่จริงแล้วการขัดผิวนั้นเป็นสิ่งที่เราควรทำเป็นประจำค่ะ บางคนก็ละเลยไม่ค่อยได้เอาใจใส่กันสักเท่าไหร่ แต่รู้ไหมคะ ว่าการขัดผิวนั้นจะช่วยกำจัดเซล์ผิวหนังที่แห้งตายแล้วออกไปจากผิวเราให้หมดได้ค่ะ

หลังจากที่เราได้ พอกผิว สครับผิว และ ขัดผิว กันแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นประจำทุกวันก่อนออกจากบ้านนั่นก็คือ…อย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพราะแสงแดดเป็นตัวการสำคัญของการทำร้ายผิวของสาวๆ ให้แห้ง หมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื่นได้ง่ายๆ ค่ะ
อยากผิวขาว ผิวเนียนนุ่ม ไม่ยากคุณก็ทำได้

ที่มา : Ladyvisa.com

เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ

เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ สาวๆ ที่รักในการเล่นกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเดินเล่นในสวนสาธารณะ การปลูกต้นไม้ การวิ่งออกกำลังกายใกล้ๆ บ้าน หรือจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผิวเกิดการคล้ำเสียเนื่องจากการสัมผัสกับแสงแดด และรังสี UV ซึ่งรังสี UV ในแสงแดดนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญ และต้นเหตุที่ทำให้ผิวใสๆ ของคุณสาวๆ กลับมาคล้ำเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งกว่าจะกลับขาวใสเหมือนเดิม ก็อาจใช้เวลานานในการต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไม่อยากออกไปโดนแสงแดดข้างนอก และนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำเสียแล้ว แสงแดดเหล่านี้อาจทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นจุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน และหยาบกระด้างได้ และโดยปกติแล้ว ถึงแม้ว่าจะหลบอยู่ในที่ร่ม แต่รังสี UV นี้ก็สามารถที่จะทำลายผิวขาวสวยๆ ของสาวๆ ได้อยู่ วันนี้เนสมีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้ผิวของสาวๆ ที่เกิดคล้ำเสีย กลับกลายมาเป็นผิวขาว สวย อวดผิวสุขภาพดีกันอีกครั้ง

เคล็ดลับที่ทำให้ผิวขาว สวยใส

อาหารช่วยให้ผิวสวย โดยเน้นรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ หรืออาหารที่ต้านการเสื่อมของผิวพรรณ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือผิวหนังที่เสียไป เช่น ไข่ นม เนย บรอกโคลี ผักขม ฟักทอง มะเขือเทศ และส้ม ผักสีเหลืองและสีแดง หรือสารอาหารที่ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวกาย เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำมันปลา น้ำมันงา

ขัดผิวกาย เพื่อเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายหรือเสื่อมสภาพแล้วให้หลุดลอกออกโดยเร็ว และเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ สาวๆ ทั้งหลายสามารถทำสครับขัดผิวเองได้ง่ายๆ ด้วยการนำสิ่งของใกล้ตัว เช่น น้ำตาล เมล็ดกาแฟ ข้าวโอ๊ต กล้วยมีเมล็ด เมล็ดอัลมอนด์ มาบดให้ละเอียดและผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรือน้ำมันมะกอก การขัดผิวนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความสดใสสุขภาพดีของผิวพรรณ

แต่งเติมเสริมแต้มอีกนิด หากต้องการเพิ่มความกระจ่างใสของผิวสาวอย่างรวดเร็ว สาวๆ อาจมีการเสริมแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ด้วยการใช้ผงชิมเมอร์ทาบนผิวกาย หรือหากต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นให้กับผิวกาย ก็สามารถนำผงชิมเมอร์ผสมกับโลชันบำรุงผิว หรือโลชันบำรุงผิวบางชนิดตามร้านค้าอาจมีส่วนผสมของชิมเมอร์อยู่แล้วก็สามารถใช้ได้ เพื่อสร้างความเรืองรองกระจ่างใสให้ผิวได้อีกทางหนึ่ง

โลชันบำรุงผิวสาว หากต้องฟื้นฟูผิวจากความคล้ำเสียอย่างถาวร สาวๆ จำเป็นจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวคล้ำเสียด้วย ไปพร้อมกับการปกป้องผิวจากแสงแดด โดยควรทาโลชันบำรุงผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนนอน เพื่อบำรุงและป้องกันผิวไม่ให้กลับมาคล้ำเสียอีก

พักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนนอนหลับอย่างสนิท จะช่วยยืดอายุของผิวพรรณไม่ให้เสื่อมเร็วเกินไป ถ้าจะให้ดีที่สุด ก่อนนอนทานนมอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย ทำจิตใจให้สงบ หรือจะสวดมนต์ ทำบุญวันเกิด อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตาจิตก่อนนอน เท่านี้ ตื่นขึ้นมา ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ จะสดชื่นผิวพรรณผุดผ่องได้
เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ


ที่มา : beautyvwander.com

เสริมพัฒนาการรอบด้านของลูกด้วย "การเต้นรำ"/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

เสริมพัฒนาการรอบด้านของลูกด้วย "การเต้นรำ"/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ วิธีการเสริมสร้างความฉลาดให้กับลูกรักนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การอ่านหนังสือ การเล่นไม้บล็อก การทำอาหาร กิจกรรมศิลปะ รวมถึงการเล่นดนตรี และการเต้นรำ โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ "การเต้นรำ" ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่เด็กๆ ชอบและตอบสนองต่อพัฒนาการของเด็กมากที่สุด เพราะโดยธรรมชาติของเด็กเมื่อได้ยินเสียงเพลง หรือจังหวะที่เร้าใจ เด็กจะตอบสนองโดยการเต้นและโยกย้ายตัวไปมา นอกจากการเต้นรำจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็กๆ ได้รับความสนุกสนานแล้วยังส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเด็กๆ ไปพร้อมกันด้วย ดังนี้

1. ด้านร่างกาย เด็กๆ จะได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน ได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อใหญ่ นอกจากนี้ยังช่วยให้เรื่องของการสูบฉีดโลหิต การคลายตัวของกล้ามเนื้อ รวมทั้งการพัฒนาสมอง เพราะสมองจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ซึ่งถือว่าเป็นสารที่มีความสุขออกมาอีกด้วย

2. ด้านอารมณ์ เด็กๆ จะได้รับความสนุกสนาน ได้เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะเร็วและช้า ซึ่งจังหวะช้าช่วยให้เด็กผ่อนคลายและให้ความรู้สึกสงบ ส่วนจังหวะเร็วจะช่วยให้เด็กรู้สึกกระฉับบกระเฉง สดชื่นแจ่มใส

3. ด้านสังคม เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การเป็นผู้นำ ผู้ตาม การแบ่งปัน รวมทั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและช่วยเรื่องการปรับตัวในการเข้าสังคมสำหรับของเด็กที่ขี้อายอีกด้วย

4. ด้านสติปัญญา เด็กได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น ความจำในท่าทางการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้เรียนรู้เรื่องของจังหวะ พื้นที่และเวลา รวมทั้งในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการอีกด้วย

เช่นเดียวกับคำกล่าวของ Jaques- Dalcroze (1931) บอกว่า ความสนุกสนาน เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการกระตุ้นด้านจิตใจและสำหรับเด็กๆ แล้วการเคลื่อนไหวและดนตรีถือเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานที่สุด นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยยังได้ยืนยันอีกว่าเด็กที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการด้วยการเต้นรำ จะมีพัฒนาการทุกๆ ด้านที่ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้การกระตุ้น

***คราวนี้เราลองมาดูกันว่า มีการเต้นแบบไหนบ้างสำหรับเด็ก

1. การเคลื่อนไหวร่างกายแบบอยู่กับที่ (Nonlocomotor Movement) หรือการเต้นอยู่กับที่ เป็นการเคลื่อนไหวโดยที่ร่างกายไม่ต้องเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่น การยืดตัว การหดตัว การตบมือ หมุนแขน หมุนคอ ขยิบตา เคลื่อนไหวมือ เท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นต้น

2. การเคลื่อนไหวร่างกายแบบเคลื่อนที่ (Locomotor Movement) หรือการเต้นแบบเคลื่อนที่ หมายถึงการเคลื่อนไหวที่ย้ายจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การกระโดด การคลาน การควบม้า เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและการใช้ร่างกายที่ลื่นไหล นอกจากนี้ก็มีการเต้นประกอบจังหวะและการเต้นแบบกายบริหาร และเต้นประกอบจังหวะ เช่น บัลเล่ย์ ( Ballet) เป็นการเต้นระบำปลายเท้า ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเต้นรำประเภทต่างๆ
- การเต้นแบบ (Jazz) เป็นการเต้นที่สวยงามและสนุกสนาน ได้ให้ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นสะโพก มือขา กับเพลงที่มีจังหวะสนุกสนานเร้าใจ
- การเต้นแบบ (Hip Hop) เป็นการเต้นที่ไม่ตายตัว แต่ใช้การแสดงสีหน้าและท่าทาง อย่างอิสระ นอกจากนั้นยังมีการเต้นแบบ Latin ,belly dance และ Tap dance เป็นต้น

3.การเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมอุปกรณ์ เช่น เคลื่อนไหวกับอุปกรณ์ดนตรี เคลื่อนไหวกับผ้า เชือก กระดาษ ตุ๊กตา ฯลฯ

4. การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์หรือการเต้นแบบสร้างสรรค์ (Creative Movement) ซึ่งจะใช้ทั้งเพลงบรรเลง และเพลงที่มีเนื้อร้อง เช่น กิจกรรมเคลื่อนไหวตามจินตนาการ กิจกรรมสร้างสรรค์ท่าทางส่วนต่างๆของร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายระดับสูง (ทำท่าทางบินสูงๆ , ยืดตัวสูงๆ) เคลื่อนไหวร่างกายระดับต่ำ (เคลื่อนไหวร่างกายเลียนแบบหนอนที่คืบคลานอยู่ตามพื้นดิน)

จะเห็นได้ว่ากิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายหรือการเต้นรำสำหรับเด็กนั้น นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ ชอบมากเป็นพิเศษแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์และส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของเด็กโดยตรงอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่พาลูกๆ มาเต้นรำกันเถอะค่ะ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

10 วิธีบริหารสมอง 'ส่วนการเรียนรู้' ของลูก/Mother&Care

10 วิธีบริหารสมอง 'ส่วนการเรียนรู้' ของลูก/Mother&Care
ช่วงแรกเกิด-3 ขวบปีแรก สมองมีการพัฒนาและเจริญเติบโตเร็วที่สุด หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ ส่งเสริมอย่างถูกวิธี ก็เท่ากับได้กระตุ้นเซลล์สมองส่วนการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ในวันนี้เรามีกิจกรรมกาเรรียนรู้ของลูกน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้มานำเสนอค่ะ

***วิธีการบริหารสมองส่วนการเรียนรู้

1. สบตาแล้วส่งยิ้มให้ลูกหรือทำหน้าตาให้ลูกเลียนแบบ เพื่อกระตุ้นความสนใจให้ลูกเรียนรู้เรื่องการสังเกตใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่

2. ให้ลูกเรียนรู้การใช้สายตาในการสังเกตและมองสิ่งต่างๆ เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น เช่น แสงแดดที่ส่องลงมายังต้นไม้ ทำให้เกิดเงาบางส่วน ก็สามารถช่วยให้ลูกเรียนรู้เข้าใจหลักการเรื่องเงา

3. การพูดคุย ร้องเพลงหรืออ่านหนังสือนิทาน (พร้อมท่าทางประกอบ) ของพ่อแม่ จะช่วยพัฒนาทักษะการฟังและภาษา เพราะข้อมูลเหล่านี้ จะถูกเก็บสะสมไว้ในสมอง และเชื่อมโยงเป็นเรื่องราว พัฒนาต่อไปในอนาคตได้เป็นอย่างดี

4. กระตุ้นความสนใจ ให้ลูกเรียนรู้ความแตกต่างเรื่องเสียงต่างๆ จากเสียงเหตุการณ์รอบตัว เช่น เสียงรถ, เสียงสัตว์, เสียงนาฬิกา หรือของเล่นมีเสียงที่บ้าน

5. การให้ลูกสัมผัส หยิบจับ วางซ้อนหรือต่อบล็อกผ้า, จิ๊กซอว์ (ชิ้นใหญ่) จะช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องทิศทางการสังเกตได้ดี และยังช่วยฝึกฝนทักษะการใช้ประสาทสัมผัสและการมองเห็น ให้ทำงานประสานสัมพันธ์กันได้ดีด้วยค่ะ

6. เมื่อลูกกินอาหารได้หลากหลายแล้ว ควรใช้โอกาสนี้ ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องรสชาติ ลักษณะอาหารแบบต่างๆ เช่น กล้วยสุก แตงกวาปลอกเปลือก หรือมะละกอ โดยหั่นเป็นชิ้นให้ลูกหยิบจับได้ง่าย

7. การเรียนรู้เรื่องกลิ่น ควรให้ลูกคุ้นเคยกับกลิ่นใกล้ตัวก่อน เช่น กลิ่นตัวของแม่ (ขณะที่อุ้มให้นม), กลิ่นอาหาร จากนั้นก็ค่อยๆ ให้ลูกเรียนรู้กลิ่นที่แตกต่าง เช่น กลิ่นดอกไม้ที่ไม่ฉุนเกินไป หรือกลิ่นปรุงแต่งของสารเคมี น้ำหอม

8. การอุ้มลูกพร้อมกับลูบไล้ตามแขนหรือลำตัวลูก เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัส เรียนรู้เรื่องความรู้สึกที่สำคัญ สัมผัสความรู้สึกนี้ยังส่งผลดีต่อจิตใจและอารมณ์ในทางบวกของลูกค่ะ

9. เกมสนุกที่คุณเล่นกับลูก ก็เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องต่างๆ ในหลายส่วนค่ะ เช่น ภาษาจากเกมสัมผัสอวัยวะ (พร้อมกับบอกชื่อ) เป็นต้น

10. การหาของเล่นในลักษณะต่างๆ เช่น สำลี, ผ้าขนหนู, น้ำ, ทราย, ดิน มาเป็นผู้ช่วย ให้หยิบจับ สัมผัสกับวัตถุนั้นๆ เพื่อให้ลูกเรียนรู้เรื่องผิวสัมผัส

***ลูกเรียนรู้ได้ดี เพราะอะไร

สมองของลูกน้อยมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงส่งผลให้เซลล์ประสาทในสมองก็ทำงานด้วย และการที่สมองสามารถเรียนรู้ได้ดีนั้น ก็เกิดจากที่เซลล์สมองมีส่งผ่านข้อมูลซึ่งกันและกัน จนมีการสื่อสาร เชื่อมโยง แตกขยายเซลล์สมองออกไปเรื่อยๆ ดังนั้น ยิ่งเซลล์ประสาทได้รับข้อมูลมาก ยิ่งใช้มาก การเรียนรู้ของลูกน้อยก็เกิดได้เร็วและดีตามไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าจุดเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทไม่มีการกระตุ้นให้ทำงาน (การกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5) การแตกแขนงของเซลล์สมองก็จะค่อยๆ น้อยลงไป จนขาดหายไปในที่สุด


**********************

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากนิตยาสาร Mother & care ฉบับเดือนพฤษภาคม 2553 ค่ะ ซึ่งนอกจากเรื่องที่ยกมานำเสนอข้างต้นแล้ว ในเดือนนี้ยังมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น อากาศเปลี่ยน แม้ท้องระวังภูมิแพ้! สายลับจับนักสำรวจน้อย ลูกเราสมาธิสั้นหรือเปล่า หรือ 5 4 3 2 1 นับถอยหลังพร้อมรับวันคลอด เพื่อให้คุณแม่ได้เตรียมตัวต้อนรับเจ้าตัวน้อยกันค่ะ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

หัวเราะบำบัดสร้างสุขให้ครอบครัว/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

หัวเราะบำบัดสร้างสุขให้ครอบครัว/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
ปัจจุบันนี้การหัวเราะบำบัด (Laugh Therapy) เป็นศาสตร์แขนงใหม่ในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศอินเดีย ประเทศอังกฤษ และประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับเด็กๆ แล้วเสียงหัวเราะเป็นเหมือนเสียงสวรรค์ที่ผู้ใหญ่อยากได้ยิน โดยเฉลี่ยแล้วเด็กๆ หัวเราะ มากกว่า 300 ครั้งต่อวัน ในขณะที่ผู้ใหญ่หัวเราะประมาณ 15 ครั้งต่อวัน

ทั้งนี้เพราะโลกของเด็กๆ สวยงาม น่ารัก ไร้เดียงสา ในขณะที่โลกของผู้ใหญ่นั้นเต็มไปด้วยปัญหาและความเครียด โรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน มากกว่า 70% เกิดขึ้นจากความเครียด เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอนไม่หลับ ปวดหัว (ไมเกรน) ภูมิแพ้ ความวิตกกังวลต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นการขาดเสียงหัวเราะในชิวิตส่งผลให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ชิวิต และจิตใจได้

ประโยชน์มากมายจากการหัวเราะ คือ

• การหัวเราะช่วยลดความดันโลหิต
• ช่วยลดฮอร์โมนความเครียด
• ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
• ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย
• ช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอ็นโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
• เป็นยาแก้ปวดที่ร่างกายสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ
• ช่วยให้ปอดแข็งแรง
• ช่วยให้หัวใจมีการสูบฉีดโลหิตที่ดี
• ช่วยให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
• การหัวเราะสร้างเสน่ห์
• ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
• ช่วยเปิดสมองให้แจ่มใส

นอกจากนี้สำหรับเด็กแล้ว การที่เด็กได้ยิ้มและหัวเราะเป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านอารมณ์และสังคมของเด็กได้ดีอีกวิธีหนึ่งด้วย คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ลูกด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

1. หอมพุง และเอาปากเป่าที่พุงลูก ทำเสียงแปลกๆ เด็กเล็กๆ จะชอบมาก ยิ่งถ้าเป็นเสียงผายลมเด็กๆ จะยิ่งหัวเราะคิกคัก

2. แกล้งจาม เด็กเล็กๆ ชอบฟังเสียงแปลกๆ แต่ไม่น่ากลัว ดังนั้นการแกล้งจามจึงเป็นวิธีหนึ่งที่เรียกเสียงหัวเราะของเด็กได้

3. เล่นเกม "จ๊ะเอ๋" เป็นการเล่นที่ง่ายๆ และเด็กชอบมาก

4. ทำหน้าและท่าทางตลกๆ กับลูก เช่น ผลัดกันทำหน้าเหมือนกบ เลียนแบบท่าเดินของเป็ด ซึ่งการเล่นแบบนี้จะทำให้เด็กชอบและสนุกสนานมากทีเดียว

5. กระดกลิ้น เป่าปาก ประสานสายตามองเด็กๆ ด้วยความอ่อนโยน และยิ้มกับลูก

6. เอาของเล่นหรือตัวสัตว์วางที่หัว เมื่อเด็กๆ เริ่มให้ความสนใจแล้ว ทำท่าตลกๆ ทำเหมือนไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่หัว และในที่สุดพูดว่าอยู่นี่เอง

7. เต้นรำกับลูก เด็กบางคนชอบโยกตัวเต้นรำกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ต้องระวังอย่าเขย่า หรือสั่นศรีษะลูกเพราะจะกระทบกระเทือนสมองได้

8. เด็กบางคนชอบให้คุณพ่อ โยนแล้วรับ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ

9. เล่นเกมปูไต่หลังหรือจั๊กจี๊ เอวและเท้า เด็กๆ ส่วนใหญ่ชอบเล่นเกมนี้มาก แต่ต้องสังเกตความชอบของเด็กด้วย เด็กบางคนไวต่อการสัมผัส และอาจเกิดผลเสียได้

10. จับเท้าเล็กๆ ของลูกแล้วแกล้งเอาเข้าปาก ทำเสียงตลกๆ ที่ไม่น่ากลัว ง่ำ ง่ำ ง่ำ ง่ำ จะเรียกเสียงหัวเราะของเด็กได้เช่นกัน

11. หากเป็นเด็กโต ที่รู้เรื่องแล้วอาจแกล้งพูดประโยคผิดๆ เช่น เอารองเท้ามาใส่นมให้แม่หน่อย หรือเอาก้อนหินมาใส่กะทะ เป็นต้น เด็กจะหัวเราะแล้วยิ้มพร้อมทั้งแก้ประโยคให้คุณพ่อคุณแม่

12. แต่งตัวตลกๆ ให้ลูกเห็น เช่น เอารองเท้ามาใส่ที่มือ เอาถุงเท้าใส่ที่แขน เอากางเกงมาสวมที่ศีรษะ เป็นต้น เด็กจะรีบบอกทันทีว่า "ไม่ได้" แล้วหัวเราะคิกคัก

เสียงหัวเราะของเด็กๆ เป็นเหมือนเสียงสวรรค์ที่สร้างความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นเหมือนยาวิเศษที่ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยอ่อนจากการทำงานของคุณพ่อคุณแม่ให้หายไปในพริบตาอีกด้วย ดังนั้นวันนี้เรามาสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในครอบครัวกันเถอะค่ะ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปัญหารูปร่างอำพรางด้วยเสื้อผ้า

ปัญหารูปร่างอำพรางด้วยเสื้อผ้า
ผู้หญิงเราจำนวนไม่น้อยที่มีสรีระร่างกายบางส่วนไม่สวยมักประสบปัญหาการสวมใส่เสื้อผ้า บางทีเสื้อผ้าสวยงาม ยี่ห้อดี ๆ แต่พอซื้อมาใส่เองกลับดูไม่ได้เลย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า แต่อยู่ที่การเลือกชุดให้เข้ากันและการรู้จักตกแต่งเพิ่มเติม ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางส่วนที่สามารถช่วยคุณผู้อ่านที่มีปัญหานี้ได้ค่ะ

หน้าอกเล็กลงด้วยเสื้อผ้าสีเข้ม
ผู้หญิงที่มีหน้าอกโตแล้วยังใส่เสื้อหลวม ๆ สีอ่อนมีลายยาวเป็นทาง แถมยังใส่กระโปรงสั้นเข้มอีก สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไปเน้นความใหญ่โตโอฬารของหน้าอก ที่ถูกต้องแล้วควรทำดังต่อไปนี้ สวมเสื้อที่มีสีเข้ม ยิ่งเป็นสีดำก็ยิ่งดี เสื้อที่ว่าไม่ต้องมีลายอะไรไม่ว่าลายขวางยาวหรือทางขวาง ที่สำคัญต้องเป็นเสื้อที่รัดรูป แล้วใส่คู่กับกระโปรงสีอ่อน ๆ ทั้งหมดนี้ช่วยช่อนรูปและพรางตาให้หน้าอกมีขนาดเล็กลง

ลดขนาดต้นแขนด้วยเสื้อแขน 3 ส่วน
ถ้าคุณมีต้นแขนที่ใหญ่โตเหมือนท่อนซุง การที่คุณจะใส่เสื้อแขนกุด สีโทนอ่อนนั้น ดูแล้วคงจะพิลึก ดังนั้น วิธีแก้ก็คือให้ใส่เสื้อแขน 3 ส่วนปกปิดต้นแขนที่ ใหญ่โตมโหฬารของคุณ และควรเลือกสีที่สดใส ฉูดฉาดเพื่อกลบเกลื่อนทรวดทรงที่ไม่สวยของคุณ

ก้นกระชับด้วยกางเกงรัดรูปสีดำ
สีเข้มสามารถกลบเกลื่อนความใหญ่โตของอวัยวะบางส่วนได้ ผู้หญิงที่ก้นใหญ่สามารถใช้ความจริงข้อนี้มาเป็นประโยชน์กับตัวเองได้ แทนที่คุณจะใส่กางเกงหลวม ๆ สีอ่อน ๆ แล้วไปเน้นความใหญ่ของก้นของคุณก็เปลี่ยนมาใส่กางเกงรัดรูปสีเข้ม ๆ สีดำยิ่งดี เพื่อพรางตาให้ดูเหมือนว่าก้นคุณไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ถ้าใส่สีเข้มทั้งเสื้อและกางเกงแล้วดูไม่ค่อยสดใสก็อาจใส่เสื้อสีโทนร้อนแรง เพื่อเพิ่มสีสันขึ้นก็ได้

ขาสวยด้วยกระโปรงสีโทนอ่อน
ผู้หญิงที่มีขาที่ยาวและเล็กหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าขาตะเกียบ มักมีปัญหาเวลาสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า เนื่องจากกระโปรงแบบนี้ คุณต้องโชว์เรียวขาของคุณ ยิ่งถ้ากระโปรงนั้นมีลีดำเข้าไปอีก ก็จะยิ่งดูไม่สวยมากขึ้นเพราะจะเน้นความเล็ก และยาวของขาคุณทางแก้คือ ให้หากระโปรงยาวเลยเข่าสีโทนอ่อน เช่น สีขาว สีเทา สีครีมมาใส่ เพราะว่าสีอ่อนสามารถพรางตาทำให้ดูเหมือนว่าคุณมีช่วงขาที่สมส่วน ถ้าได้ใส่เข้าคู่กับรองเท้าบู๊ตยาวประมาณเข่าที่ช่วยปิดบังท่อนขาช่วงล่างของคุณ ก็จะยิ่งดูดีขึ้นอีก

เสื้อ

- เสื้อแขนกุดไม่เหมาะกับคนอ้วน
- เสื้อคอวีเหมาะกับคนที่ศีรษะโต หรือช่วงคอสั้น
- เสื้อลายทางยาว ๆ ช่วยพรางหุ่นอวบอ้วนให้ เพรียวขึ้น
- เสื้อเชิ๊ตช่วยให้ดูเป็นผู้ทำงานที่ปราดเปรียวขึ้น

กระโปรง

- สะโพกใหญ่ควรสวมกระโปรงยาวระดับหัวเข่า เข้ารูปไม่ต้องบานนัก
- หน้าท้องยื่นควรปิดด้วยกระโปรงสีเข้ม ทรงสอบ ๆ ตรง ๆ
- เสริมให้ดูช่วงขายาวขึ้นด้วยกระโปรงสั้น ๆ เหนือเข่า
- ขาเล็กเกินไป ไม่ควรสวมกระโปรงสอบ ๆ ควรนุ่งกระโปรงบานย้วย

กางเกง

- ถ้าอ้วนไม่ควรสวมกางเกงเอวรูด จะยิ่งดูอ้วนขึ้น
- อยากหุ่นเพรียวควรใส่กางเกงเข้ารูป ไม่ใช่ กางเกงหลวมโพร่ง
- ถ้าไม่มีก้น ควรเลือกกางเกงลาย ๆ และไม่รัดรูปนัก
- ต้องการพรางบั้นท้าย เลือกกางเกงที่มีกระเป๋า ด้านหลัง

ขอบคุณที่มาจาก goodhealth2010