แพ้เครื่องสำอาง

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ใช้ได้ดีกับยุคสมัยปัจจุบัน เพราะไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างหันไปพึ่งเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว เพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดี จนทำให้บางคนเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางได้

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บอกว่า ใครบอกว่าไม่เคยใช้เครื่องสำอางคง จะไม่จริง เนื่องจาก คำว่า “เครื่องสำอาง” หมายถึง วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือ กระทำด้วยวิธีอื่นใดต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือ ส่งเสริมให้เกิดความสวยงามและรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ด้วย ถ้าใครไม่ใช้เครื่องสำอางก็คงคบไม่ได้เพราะไม่ได้อาบน้ำ สระผมกันเลย

อาการที่ทำให้สงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง คือ 1. อาการปวดแสบ ปวดร้อน อาการคัน หรือ รู้สึกว่าคันยิบๆ 2. มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มาก เป็น ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย 3. ผื่นแดง บวมแบบลมพิษ 4. ผื่นดำ หมองคล้ำ 5. หน้าเริ่มด่าง และ 6. เม็ดผดเล็ก ๆ ไม่คัน หรือ เป็นเหมือนสิว

โดยทั่วไปแล้วการแพ้จะไม่เกิดทันทีหลัง จากที่เปลี่ยนเครื่องสำอางมักจะค่อย ๆ เป็นจนไม่ทันสังเกตว่าจะแพ้จริง เพราะกว่าจะเป็นเครื่องสำอางมาขายต้องผ่านการทดสอบหรือลองใช้มาบ้างแล้ว

เครื่องสำอางที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผล ข้างเคียงสูงได้แก่ น้ำยายืดผม, ครีมที่ทำให้ผิวขาว, ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน ส่วนที่มีอัตรา ทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลางได้แก่ น้ำยาดัดผม, น้ำยาย้อมผม, ครีมบำรุงผม, มาสก์หน้า, ครีมแก้สิว, ครีมรองพื้น, ลิปสติก, น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ, โฟมอาบน้ำ, ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัวและ ยาลดเหงื่อ ทั้งนี้เนื่องจากมีสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ น้ำหอม ที่ช่วยให้เครื่องสำอางมีกลิ่นหอม เพื่อให้น่าใช้และกลบกลิ่นสารเคมี สารกันบูด เช่น พาราเบน, ฟอร์มอลดีไฮด์, สารที่อยู่ในยาย้อมผม ได้แก่ สารพาราเฟนนีลีนไดเอมีน, สารลาโนลิน หรือไขแกะที่เป็นตัวทำเนื้อครีมหรือโลชั่น

เมื่อสงสัยว่า แพ้เครื่องสำอางควรปฏิบัติดังนี้

1. ถ้าสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดไหน ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที ถ้ามีหลายตัว ให้หยุดใช้ตัวที่นำมาใช้ใหม่แล้วเกิดอาการก่อน ถ้าหยุดใช้แล้วอาการดีขึ้นก็อาจแสดงว่าตัวนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้มาก มีผิวหน้าอักเสบอยู่ ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด อนุญาต ให้ใช้ลิปสติกถ้าไม่มีผื่นที่ปาก เครื่องสำอางแต่งดวงตา ถ้าไม่มีผื่นรอบดวงตา แป้งเด็กเมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้ว ค่อยลองใช้ทีละตัว เป็นอย่าง ๆ ไป ถ้าเกิดผื่นขึ้นให้ลองหยุดตัวที่ใช้สุดท้าย ถ้าอาการหายไป ก็น่าจะเกิดการแพ้ เครื่องสำอางนั้น ๆ

2. วิธีที่จะพิสูจน์ง่าย ๆ ว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นเป็นสาเหตุที่เกิดการแพ้จริงหรือไม่ให้ทำ การทดสอบโดยทาเครื่องสำอางที่สงสัย ที่บริเวณ ท้อง แขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริงให้หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้น

3. ถ้าทดสอบเองแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ แพทย์ผิวหนังจะมีการทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีแพตซ์เทสต์ (Patch test) โดยจะใช้สารเคมี ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ในความเข้มข้นที่เหมาะสม มาแปะติดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ทิ้งไว้ 2 วันแล้วกลับมาอ่านผล ถ้ามีอาการผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ทดสอบ ก็แสดงว่าแพ้สารนั้น วิธีนี้มีประโยชน์ในการที่จะเลือกซื้อเครื่องสำอางครั้งต่อไป จะได้เลือกซื้อเครื่องสำอางที่ไม่มีสารที่ แพ้ผสมอยู่ เช่น ถ้าทดสอบแล้วพบว่าแพ้น้ำหอม เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางก็ควรเลือกที่ไม่มีน้ำหอม หรือ มีน้ำหอม ซึ่งอาจจะเขียนว่า โน เพอร์ฟูม (no perfume) หรือ ฟราแกรนซ์ ฟรี (fragrance free) ก็ได้

4. ถ้าเกิดอาการแพ้มาก ๆ ควรจะพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง อย่าฝืนใช้เครื่องสำอาง หรือ ซื้อยาทาเอง เนื่องจากอาจเกิดอันตรายมากขึ้น

ปัจจุบันมีเทคนิคการโฆษณาขายเครื่องสำอางกันมากมาย จึงมีหลักการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ให้คำแนะนำดังนี้

1. เลือกซื้อเครื่องสำอางตามความเหมาะสมกับตนเอง อย่าซื้อตามคนอื่น หรือซื้อเพราะเพื่อนแนะนำ ถ้าเป็นไปได้ ควรทดสอบก่อนใช้ โดยการ ทาเครื่องสำอางนั้นบริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู เช้า-เย็น โดยไม่ต้องเช็ดออก ประมาณ 5-7 วัน ถ้าไม่มีอาการแดง คัน ก็ลองใช้กับหน้าได้

2. ใส่ใจกับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ควร ซื้อเครื่องสำอางที่ขายตามหาบเร่แผงลอย เพราะอาจได้เครื่องสำอางปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน

3. การซื้อแต่ละครั้ง ไม่ ควรซื้อขนาดใหญ่มาก เนื่องจาก บางทีฝากซื้อจากต่างประเทศ ราคาถูกกว่าเมืองไทย แต่เวลาเก็บ หรือเปิดใช้ อาจทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพ หรือมีเชื้อโรคปนระหว่างการใช้

4. ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางเก่า มีสี กลิ่น ความข้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

5. ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอาง ต้องอยู่ ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ฉีกขาดหรือแตกเพราะอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนได้

6. สังเกตฉลากเครื่องสำอาง ควรอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ฉีกขาด มีข้อความภาษาไทยที่อ่านชัดเจน มีรายละเอียด ชื่อ, ชนิดเครื่องสำอาง ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต, วันเดือนปี ที่ผลิต วิธีใช้ ปริมาณสุทธิ และคำเตือนในการใช้

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เลือกซื้อเครื่องสำอางแพง แต่ให้เลือกเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเราแล้ว ก็ไม่ควรเปลี่ยนบ่อย ถ้าเกิดอาการผิดปกติหลังการใช้ควรหยุดเครื่องสำอางชนิดนั้นทันที.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์

วิธีง่าย ๆ สร้างเจ้าหนู "ไม่อายที่จะคิด"กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์

วิธีง่าย ๆ สร้างเจ้าหนู "ไม่อายที่จะคิด"กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
ในโลกสมัยใหม่ หากใครเป็นคนช่างคิด และชอบสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ นับเป็นประตูแห่งโอกาสที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้นั้น ต้องได้รับการกระตุ้นอย่างถูกวิธีตั้งแต่เด็ก ในวันนี้เรามีเทคนิคสร้างเจ้าหนูช่างคิด กล้าบุกเบิกมาฝากเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่กัน

เมื่อพูดถึงการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กในแต่ละวัย สำคัญที่สุดคือวัยเด็กเล็ก เนื่องจากเป็นวัยที่มีพลังการเรียนรู้อันน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะคิด และการกระทำ หากถูกกระตุ้นไม่ถูกต้อง หรือมีเงื่อนไขที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อการปิดกั้น อาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ถูกปิดกั้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี การกระตุ้นให้ลูกช่างคิด กล้าบุกเบิก คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจธรรมชาติของลูกก่อน โดยเริ่มจาก เด็กอนุบาล ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือเครื่องมือเรียนรู้ที่เจ้าหนูวัยนี้พกติดตัวกันทุกคน วัยนี้จึงพร้อมระเบิดพลังความซนด้วยการขีดเขียน สรรค์สร้าง เล่นสนุกตามสไตล์ของเขา ซึ่งมักเป็นการหยิบฉวยวัตถุอุปกรณ์ใกล้มือมาก่อร่างสร้างผลงานใส ๆ แบบที่จิตรกรระดับโลกอาจต้องทึ่ง และแม้ผลงานการสร้างสรรค์ของวัยนี้อาจยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนัก แต่ที่น่าสนุกคือ วิธีคิดอันน่าอัศจรรย์ เช่น คุณอาจได้เห็นแบบร่างของหมึกยักษ์ร้อยมือช่วยคุณแม่ซักผ้า ชวนให้อมยิ้ม

ส่วน เด็กประถม เป็นวัยที่ชอบท้าทายตัวเองกับเรื่องยาก ๆ ไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กวัยนี้จึงทวีความซ้อน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ กลยุทธ์การผลิต รวมทั้งองค์ความรู้ที่หยิบนี่ผสมนั่นจนก่อเกิดสิ่งใหม่ เห็นได้ชัดว่า วัยนี้พร้อมจะลุยเข้าหาปฏิบัติการที่มีขั้นตอนกระบวนการชัดเจนขึ้น เช่น ตั้งคำถาม วางสมมติฐาน ลงมือทำจริง สรุปผลปฏิบัติการ ต่อยอดสู่ปฏิบัติ รวมทั้งสนุกกับเทคโนโลยีทันยุคทันสมัยมากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การให้เด็ก ๆ ได้ลงมือทำทั้งการเล่นแบบอิสระ ให้เขาได้เล่น รื้อ ค้น หรือต่อเติมอย่างอิสระ ได้คิดวางแผน และแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเอง

ดังนั้น ร่างกายของเจ้าหนูจะแข็งแรงก็ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ สมองของเจ้าหนูจะปราดเปรื่องก็ด้วยการหมั่นคิด จินตนาการ เชื่อมโยงองค์ความรู้ เพื่อบุกเบิกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้โลกได้ตะลึง โดยเรามีกิจกรรมในการสร้างเจ้าหนูกล้าคิด และกล้าบุกเบิกไว้เป็นแนวทางสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ดังต่อไปนี้

- เล่นเป็นงานหลัก จะเล่นคนเดียว เล่นเป็นกลุ่ม หรือเล่นแบบอิสระ หรือเล่นกับวัสดุอุปกรณ์ใกล้ตัวที่สองมือน้อย ๆ หยิบฉวยก็ได้ แค่คุณพ่อคุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ เช่น สนุกกับการเรียงก้อนหินในสวน ก่อกองทรายให้เป็นรูปร่างตามจินตนาการของเขา หรือรื้อค้นวงจรไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความอยากรู้สิ่งที่อยู่ด้านในของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว

- คุณอาจคิ้วขมวดว่าทำไมเจ้าหนูคว้าแปรงสีฟันด้ามเก่ามาจุ่มน้ำสบู่ขัดถูถุงเท้ามอมแมมของเขา เขาอาจจะกำลังเลียนแบบวิธีการซักผ้าของคุณแม่อยู่ก็ได้นะครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งเบรกลูกว่า "ทำอะไรเลอะเทอะ" หรือ "ซักแบบนั้นมันผิดวิธีนะลูก" แต่ลองสังเกตไอเดียสร้างสรรค์ของเขา และปล่อยให้เขาเรียนรู้ลงมือทำอย่างเต็มที่ และเป็นอิสระดีกว่าครับ

- สิ่งของรอบกายเป็นของเล่นชิ้นวิเศษที่ลูก ๆ จะได้เล่นบทบาทสมมติ อย่างการสร้างห้องนอนส่วนตัวโดยนำเก้าอี้มาวางเป็นกำแพง ผ้าห่มผืนใหญ่เป็นเพดาน และขนหมอนเข้ามาเป็นเก้าอี้รับแขก เพียงเท่านี้เจ้าหนูก็ได้สนุกในโลกจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด รวมทั้งได้ฝึกทักษะการวางแผน และการแก้ปัญหาไปในตัวอีกด้วย

- สนุกกับคาราวานงานศิลป์ สมุดสเกตซ์เล่มโต ๆ เฟรมวาดภาพขนาดใหญ่ ละเลงสีสันกันให้เพลิน หรือชุดแป้งโดที่ปลอดภัยไร้สารพิษ พร้อมอุปกรณ์ตัด หั่น ปั้นรูปร่างเติมเต็มจินตนาการ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่

- บล็อกไม้ หรือตัวต่อรูปแบบต่าง ๆ ของเล่นน่าสนุกที่กระตุ้นให้เด็ก ๆ คิดแบบปลายเปิด คือการคิดแบบอิสระ สนุกไม่จำกัดรูปแบบ

- เพลินอ่าน สร้างจินตนาการไม่รู้จบ ชวนเจ้าหนูแวะชอปปิ้งที่ร้านหนังสือ แล้วอย่าขลุกอยู่แต่โซนหนังสือเด็ก แต่ควรเปิดโอกาสให้เขาพบเห็นหนังสือหลาย ๆ หมวดหมู่ ซึ่งคุณอาจค้นพบศักยภาพของลูกผ่านเล่มที่เขาหยิบมาพลิกอ่าน เช่น หนังสือวิทยาศาสตร์ คู่มือทำขนม เป็นต้น

การเปิดโอกาสให้ลูก ๆ ได้เล่นอย่างอิสระ ไม่มีโจทย์ ข้อจำกัดจะช่วยส่งเสริมความกล้า เพราะเด็กไม่มีกรอบความคิด เด็กจะไม่กลัวเพราะไม่มีเคยมีประสบการณ์จึงควรให้เขาได้ลงมือทำ ให้ความกล้าเป็นโอกาสของการแสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ แต่หากมีเงื่อนไขที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเป็นการปิดกั้น เช่น "อย่านะ อย่าเล่นนะ เดี๋ยวเลอะเทอะ" "อย่ารื้อของแบบนี้ได้ไหม ตามเก็บกันไม่ไหวแล้วนะ" หรือ "เห็นไหม แม่บอกแล้วว่าต้องเล่นแบบนี้เท่านั้น" เป็นต้น จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ถูกปิดกั้นจนกลายเป็นเด็กไม่กล้าคิดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และเพื่อคนอื่น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วิธีทำให้หน้าขาวใส

วิธีทำให้หน้าขาวใส
มีเคล็บลับบำรุงผิวหน้ามาฝากกัน 2 สูตร ใครที่อยากจะมีผิวสวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ ก็ลองนำไปทำดูได้นะคะ ส่วนผสมต่าง ๆ มีดังนี้ค่ะ

สูตรผิวสวย

1. โยเกริต์ 1 ถ้วย

2. ผงขมิ้น ผงไพร อย่างละ 1 ช้อนชา

3. ผงนมสำหรับนวด 1 ซอง

นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมเข้าด้วยกันแล้วนวดให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำเพียงสัปดาห์ละครั้ง เท่านี้คุณก็จะมีผิวที่ขาวใส ดูมีน้ำมีนวลขึ้น สำหรับสูตรนี้ก่อนจะทำการนวดหรือพอกให้อาบน้ำก่อนนะคะ เมื่อนวดและพอกทิ้งไว้แล้วให้ล้างน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวไม่ต้องฟอกสบู่ซ้ำอีก

สูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ

1. แป้งดินสอพอง

2. ขมิ้นหรือไพร

3. มะขามเปียกหรือมะนาว

ละลายดินสอพองไม่ต้องแฉะมากให้พอข้น แล้วผสมไพรหรือขมิ้น และมะนาวหรือมะขามเปียก ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ใบหน้าของคุณก็จะขาวใสขึ้นค่ะ

ที่่มา http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_22755_1.women

7 เรื่องต้องห้ามที่สาวๆ ไม่ควรทำ

7 เรื่องต้องห้ามที่สาวๆ ไม่ควรทำ
โปรดระวัง! ข้อผิดพลาดพวกนี้ไม่มีทางที่จะช่วยให้คุณดูสวยขึ้นมาหรอก
บีบสิว ใครๆก็รู้ถึงผลเสียของมัน แต่ควบคุมความอยากบีบได้ยากจริงๆ

ปล่อยให้สีเล็บหลุดร่อน นอกจากจะทำให้ดูเสียบุคลิกแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อเนื้อเล็บได้

เข้านอนโดยไม่ล้างหน้า ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยขนาดไหนก็อย่าทำอย่างนั้นบ่อยๆ เพราะสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่แต่งไว้ตั้งแต่เช้านั้น อาจเข้าไปอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้

ไม่ยอมสระผม ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำไม่ให้สระผมบ่อยในช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าคุณปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมอยู่บนหนังศีรษะเป็นประจำละก็ คุณก็จะไม่เหลือเส้นผมให้สระอีกต่อไป

ใช้เครื่องสำอางหมดอายุ ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบเครื่องสำอางชิ้นนั้นมากแค่ไหน ก็ควรทิ้งไปเมื่อหมดอายุแล้ว ไม่เช่นนั้นมันอาจย้อนมาทำร้ายคุณได้

กัดเล็บ คุณคงรู้ดีอยู่แล้วนะว่ามันทำให้เสียบุคลิก และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

ใช้แต่สีที่ชอบ โดยไม่คำนึงว่ามันดูสวยหรือเปล่า ลองศึกษาเรื่องสีที่จะทำให้คุณดูสวยซะหน่อยนะ
ขอบคุณที่มาจาก Lisa

เทคนิคง่ายๆ กระชับผิวกับสาวรูขุมขนกว้าง

เทคนิคง่ายๆกระชับผิว กับสาวรูขุมขนกว้าง
สาวๆ หลายคนมีปัญหา "รูขุมขนกว้าง" แล้วจะทำยังไงดีล่ะ...นอกจากจะเป็นปัญหาที่แก้ยากอยู่แล้ว ยังทำให้
แต่งหน้าออกมาดูไม่เนียนใสอีกด้วย แต่วันนี้หมดกังวลได้เลยค่ะ เพราะ women.mthai มีเทคนิคง่ายๆ ในการ
ดูแลผิวหน้าและแต่งหน้าสำหรับสาวๆ ที่มีรูขุมขนกว้างมาฝากกันค่ะ

1. ใช้คลีนเซอร์และโทนเนอร์ก่อนลงเครื่องสำอาง โดยใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวเพื่อกำจัดและช่วยยับยั้ง
ความมันบนใบหน้า ส่วนโทนเนอร์ให้เลือกที่เหมาะสมกับผิว แล้วใช้สำลีชุบก่อนเช็ดให้ทั่วใบหน้าจนรู้สึกถึงความ
สะอาด

2. ใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นเป็นตัวช่วยในการกระชับรูขุมขน การใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาบนใบหน้านอกจากจะทำ
ให้รูขุมขนกระชับแล้วยังเป็น การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย ดังนั้นการใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาใบหน้าไม่ได้
ทำร้ายผิวหน้าคุณเลยค่ะ ทำทุกวันได้ ไม่เสียหาย แถมให้ผลดีอีกด้วย

3. ทามอยซ์เจอไรเซอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ให้ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่สำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง
แล้ว ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ให้ถูกวิธี โดยค่อย ๆ นวดมันให้ซึมซับลงในผิวเบา ๆ การลงมอยซ์เจอไรเซอร์นอก
จากจะบำรุงผิวแล้วยังทำให้คุณเกลี่ยรองพื้นได้ง่าย และติดทนนานอีกด้วย

4. เมื่อทามอยซ์เจอไรเซอร์แล้ว ให้ทาผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันเป็นอันดับต่อไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
การควบคุมความมันค่ะ

5. ใช้เมกอัพไพรเมอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทนนาน เหมาะกับสาวหน้ามันที่มี
ปัญหาเครื่องสำอางลบเลือนเพราะความมันระหว่างวันโดย เฉพาะ ดังนั้นควรลงไพรเมอร์ก่อนทารองพื้นทุกครั้ง
เพื่อความสวยที่ยาวนานค่ะ

6. ลงรองพื้น ถึงแม้ว่าสาว ๆ จะใช้รองพื้นในการปกปิดรูขุมขนที่กว้างให้ดูเนียนขึ้น แต่พยายามหลีกเลี่ยงการ
ใช้รองพื้นที่มากเกินไปนะคะ เพราะมันยิ่งจะทำให้รองพื้นไปอุดตันรูขุมขนจนยิ่งเห็นรูขุมขนชัดขึ้นไปอีก ดังนั้น
คุณควรใช้รองพื้นแบบน้ำที่กลมกลืนไปกับผิวหน้าดีกว่า แล้วตามด้วยแป้งฝุ่นค่ะ

7. ไม่ควรใช้แป้งผสมรองพื้น เพราะคุณลงรองพื้นไปแล้ว ดังนั้นให้ลงแป้งฝุ่นเท่านั้น เพราะแป้งผสมรองพื้นจะ
ทำให้หน้าดูหนักมากขึ้นไปอีก แล้วยิ่งคุณหยิบมันมาตบแป้งระหว่างวันแล้ว ยิ่งทำให้รองพื้นหนาชั้นขึ้น จนอุดตันรู
ขุมขนและในที่สุดรูขุมขนของคุณก็จะยิ่งกว้างขึ้นไปอีกด้วย
เนื้อหาจาก : showded.com