วิธีการ ล้างเครื่องสำอางค์ ที่ถูกต้อง


วิธีการ ล้างเครื่องสำอางค์ ที่ถูกต้อง
ผิวรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางมาก เวลาทำความสะอาดแนะนำให้หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใส่ลงสำลีพอประมาณจากนั้นเช็ดออกอย่างเบามือ ห้ามถูไปถูมาเด็ดขาด ถ้าเป็นตรงเปลือกตา ก็ค่อยๆ เช็ดลงมาจนถึงตรงขอบตา เพื่อจะรูดมาสคาร่าให้ติดออกไปตามปลายขนตา สำหรับตรงขอบตา ก็แนะนำให้พับสำลีเป็นมุมสามเหลี่ยมเช็ดออกอย่างเบาๆ

ริมฝีปาก

เมื่อพับสำลีเป็นสามเหลี่ยมแล้ว ก็ใช้ตรงมุมเช็ดตามร่องปาก โดยเช็ดในแนวดิ่งจากด้านในออกมาตรงด้านนอกริมฝีปาก ไม่แนะนำให้ถูในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและถ้าทำซ้ำๆ นานๆ ไป มีผลให้ริมฝีปากเป็นร่องและมีรอยย่นเหี่ยว

ผิวหน้า

เริ่มจากบริเวณที-โซนก่อน โดยเริ่มวนจากบริเวณหน้าผาก จมูกและคาง และควรใช้นิ้วนางและนิ้วกลางสำหรับคลึงวนในการทำความสะอาดโดยคลึงวนออกตามจุดต่างๆ บนผิวหน้า ถ้าคุณเลือกใช้คลีนซิ่งออยล์ ก็สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดได้เลย แต่ถ้าเป็นคลีนซิ่งเจลหรือน้ำนม คุณต้องซับหน้าด้วยทิชชูก่อน แล้วค่อยตามด้วยน้ำสะอาดและโฟมล้างหน้า


ที่มาจาก นิตยสาร First

วิธีดูแลใบหน้าให้สวยใสไร้สิว

วิธีดูแลใบหน้าให้สวยใสไร้สิว
ใบหน้ากระจ่างใส ชวนมองล้วนเป็นที่ต้องการของทั้งชายและหญิง วันนี้จึงนำวิธีการดูแลรักษาใบหน้าให้สวยใสไร้สิวมาบอก...รักษาความสะอาด ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

หลังทำกิจกรรม ที่มีเหงื่อออกมาก ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีสามารถขจัดแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสม ของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่เหมาะกับสภาพผิว

ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะ เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิด การระคายเคืองและเป็นสิว

ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

ควรรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ เช่น รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มากๆ พยายามอย่าเครียดหรือนอนดึก

อยากผิวสวยไร้สิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดู


ที่มาจาก สสส. thaihealth.or.th

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า
ปวดหัว . ปวดหลัง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ คุณเคยมีอาการเหล่านี้ไหม ถ้ามี คุณอาจจะแปลกใจ ถ้าจะบอกว่าคุณอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้
รศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล
ปวดหัว . ปวดหลัง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
คุณเคยมีอาการเหล่านี้ไหม ถ้ามี คุณอาจจะแปลกใจ ถ้าจะบอกว่าคุณอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้

ปวดหัวเกี่ยวอะไรกับซึมเศร้า? ไอ้ประเภทปวดหัวตอนปลายเดือน แต่พอต้นเดือนก็ไปปวดในผับในคาเฟ่ (อย่าเกินตีสองนะ) คงไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแน่ แต่ถ้าปวดอยู่บ่อยๆ นอกจากปวดหัวแล้วเดี๋ยวก็ปวดโน่น ปวดนี่ เป็นๆ หายๆ อยู่เรื่อย นี่อาจจะเริ่มเกี่ยวก็ได้

จากการวิจัยเราพบว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะไวต่อการรับรู้อาการปวดต่างๆ มากกว่าในภาวะปกติ นอกจากนั้น ภาวะตึงเครียดทางจิตใจจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวได้ง่าย เลยพาลจะตึงเนื้อตึงตัว ปวดเมื่อยจนต้องนึกถึงนวดแผนไทยไปโน่น

อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหล่านี้ ทำให้นึกถึงโรคซึมเศร้า แต่ลำพังแค่นี้ยังไม่พอครับ
คุณยังต้องมีอาการที่จัดว่าเป็นหัวใจของโรคซึมเศร้า คือ อาการซึมเศร้า หรือเบื่อหน่ายไปหมด ยิ่งถ้าเป็นนาน 2-3 อาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นโอกาสที่จะเป็นก็ยิ่งมากขึ้น

ลักษณะอาการของโรคซึมเศร้าบางครั้งก็คล้ายๆ กับตุ๊กตาที่ถ่านกำลังจะหมด อะไรๆ ก็ช้าไปหมด บางครั้งก็พาลหยุดเอาเสียเฉยๆ ยังงั้นแหละ ในคนที่เป็นโรคซึมเศร้าพลังชีวิตของเขาจะตกลงมาก งานการกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ต้องฝืนใจทำให้แต่ละวันผ่านพ้นไป บางทีตื่นเช้ามานึกไม่อยากไปทำงานก็นนอนต่อมันไปซะเฉยๆ ยังงั้นแหละ ทั้งๆ ที่เดิมมีแต่คนชมว่าขยัน เป็นคนรับผิดชอบดี พอไปทำงานก็เอาแต่นั่งซึมกะทือ จนเพื่อนๆ เป็นห่วง ครั้นจะชวนไปเที่ยวให้รีแลกซ์บ้างเจ้าตัวก็ไม่ยอมไปไหนเลย

พอเจ้าถ่านไฟ (เก่าๆ) มันตก ความเชื่อมั่นในตนเองที่เคยมีเต็มเปี่ยมก็พลอยหดหายไปด้วย จากเดิมที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าเชิด นึกว่าข้าเป็นเลิศในปฐพี ก็กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่คอตกไปในบัดดล (ขนาดนั้นเชียว) จะทำอะไรก็ลังเลใจไปหมด คนไข้ของผมคนหนึ่งจากเดิมที่เคยเป็นช้างเท้าหน้าในบ้าน พอป่วยเป็นโรคนี้เข้า เวลาขับรถ แม้แต่จะเลี้ยวช้างก็ยังต้องหันหน้าไปถามภรรยาว่า คุณๆ ผมจะเลี้ยวตรงนี้ดีไหม? บ้างก็เก็บเรื่องที่ผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตมาคิดไปหมด ยิ่งคิดยิ่งรูสึกว่าตัวเองแย่ ช่วงนี้บางคนพอมีเรื่องมากระทบก็อาจถึงกับคิดไม่อยากอยู่
ข่าวการฆ่าตัวตายตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราอ่านเจอบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นมาจากโรคซึมเศร้านี่แหละ เพราะฉะนั้นการเป็นโรคนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะรักษาก็ได้ไม่รักษาก็ได้

ปัญหาคือบางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ที่เขารู้คือเบื่อไปหมด เซ็งที่ทำงาน ปวดหัวเพราะมีเรื่องเครียดหลายเรื่อง คนรอบข้างก็ไม่รู้ เห็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดกับใคร หงุดหงิดง่าย มีคนเปรียบเทียบไว้ดีทีเดียวว่าโรคซึมเศร้าเนี่ย บางครั้งก็เหมือนกับส้นรองเท้าที่มันค่อยๆ สึกไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร พอได้เปลี่ยนรองเท้าใหม่ถึงรู้ว่าโธ่เอ๋ย ที่ผ่านๆ มาเราทนใส่คู่เดิมอยู่ได้ยังไงตั้งนาน

คนไข้ของผมหลายคนบอกว่าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคิดแต่ว่าตนเองแย่ มองอะไรก็แย่ไปหมดได้ยังไง เหมือนกับใส่แว่นสีชาไว้ พอถอดแว่นออกมา ฟ้าก็แจ้งจางปางเลย คนรอบข้างก็พลอยแฮปปี้ไปด้วย

โรคนี้มีผลกระทบต่อคนรอบข้างมากกว่าโรคทางกายมาก คนที่เป็นแม่บ้านจะหงุดหงิด ตีลูก ดุว่าลูกบ่อยขึ้น หรือไม่ก็ไม่สนใจงานบ้านเอาซะเลย คนที่เป็นพ่อบ้านก็อาจไม่ไปทำงาน ถูกเพ่งเล็ง ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ก็อาจตกงานเอาได้ง่ายๆ ครอบครัวพลอยเดือดร้อนกันไปด้วย

ลองมาดูตัวเลขทางสถิติหน่อยไหมครับ จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจระดับประเทศมีถึง 44 พันล้านเหรียญต่อปีทีเดียว ซึ่งนอกจากตัวเลขนี้นอกจากเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถประกอบภาระกิจต่างๆ ได้ องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ไว้ว่าในปี 2020 ประชากรโลกจะมีการสูญเสียในเชิงเศรษฐกิจจากภาวะซึมเศร้าจสูงเป็นอันดับ 2 รองจากเพียงโรคหลอดเลือดหัวใจเท่านั้น

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ถ้าสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาดูครับ ถ้าสงสัยว่าเพื่อนๆ หรือญาติๆ เป็นก็ควรจะชักชวนเขาไปพบแพทย์ ไปตรวจไปปรึกษากันก่อน ใช่ไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่คุ้มกัน เดี๋ยวนี้เราพบว่าถ้ายิ่งรักษาเร็วยิ่งหายเร็ว

โรคซึมเศร้า เป็นแล้วหายเองได้ไหม ตอบว่าได้เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นน้อยๆ ถ้าเป็นมากยังไงๆ ก็ไม่หายเอง เพราะแสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสมองแล้ว โดยเจ้าสารสื่อนำประสาทที่ชื่อซีโรโตนินลดต่ำลงมาก รวมไปถึงสารอื่นๆ อีกบางตัวด้วย ภาวะที่ขาดสมดุลของสารเคมีต่างๆ เหล่านี้ทำให้ระบบการทำงานของสมองรวนเรไป เรียกว่าเซลล์สมองคุยกันไม่รู้เรื่อง เกิดเป็นอาการต่างๆ ตามมา ยาที่แพทย์ให้จะไปช่วยปรับให้สารต่างๆ อยู่ในสมดุลใหม่ เซลล์ต่างๆ คุยกันเข้าใจเหมือนเดิม อาการก็ลดลง

การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาหลักของโรคนี้ ยังไงก็ตามแม้ว่ายาจะลดอาการได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราปรับตัวต่อปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น เวลาเราพบจิตแพทย์นั้น สิ่งที่เราจะได้มากกว่าการรักษาด้วยยาคือแนวคิดในการแก้ไขปัญหา ที่จิตแพทย์คุยกับเรานานๆ ก็เพื่อหาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณเครียด คนอื่นเขาอาจเจอปัญหาอย่างคุณแต่ก็ไม่เห็นเครียดมากอย่างนี้ คุณมีวิธีการปรับตัวกับปัญหาอย่างไร โดยหลักการก็คือเป็นการพูดคุยเพื่อทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน จนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นนั่นแหละ

ก่อนจบ อยากจะเล่าสู่กันฟังเล่นๆ ว่าโรคนี้เจอค่อนข้างบ่อย ประมาณกันว่าใน 100 คนมีคนเป็นสัก 5 คนได้ คนที่เคยป่วยด้วยโรคนี้ที่เราอาจรู้จักอย่างเช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ วินสตัน เชอร์ชิลล์ หรืออับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น ช่วงที่ซึมเศร้าลินคอล์นเขากล่าวว่า ถ้าผมแบ่งความรู้สึกที่ผมมีอยู่ตอนนี้ให้คนทั่วโลกคนละเท่าๆ กันได้ ก็คงจะไม่มีใครที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสสักคนเลย แต่เขาก็หายกลับมาต่อสู้จนเป็นประธานาธิบดีคนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา !!

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
ก. มีอาการต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า (และต้องมีข้อ 1หรือ 2 อย่างน้อยหนึ่งข้อ) นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่

มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก หรือเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
รู้สึกตนเองไร้ค่า
สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
ข. อาการเหล่านี้ทำให้มีปัญหาในด้านต่างๆ เช่น ด้านกิจวัตรประจำวัน การงาน การเรียน การพูดคุยเข้าสังคม อย่างมาก
ค. อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นจากโรคทางร่างกาย จากยาหรือสารเสพติด

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ลูกโตสมวัยหรือไม่ พ่อแม่ประเมินได้

ลูกโตสมวัยหรือไม่ พ่อแม่ประเมินได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณแม่มือใหม่ แน่นอนว่า ความหวังของแม่ทุกคน คือ การที่ลูกรักมีพัฒนาการสมวัย เนื่องจากพัฒนาการเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านความสามารถในการทำงาน หรือการทำหน้าที่ต่างๆ ในแต่ละช่วงอายุของเด็ก
ไม่ว่าจะเรื่องกล้ามเนื้อ อารมณ์ และการเข้าสังคม เพื่อให้การเติบโตมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเพิ่มขึ้น จากง่ายเป็นยาก จากหยาบเป็นละเอียด ซับซ้อน แม่นยำ และคล่องแคล่วขึ้น ถ้าพัฒนาการลูกมีปัญหา อาจทำให้ทักษะบางอย่างในตัวลูกไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้

คำถามมีอยู่ว่า "แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกโตสมวัยหรือไม่" เพื่อตอบโจทย์ความกังวลของพ่อแม่ดังกล่าว ทีมงาน Life & Family มีคำแนะนำจาก "พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร" กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่จะมาแนะนำพ่อแม่ถึงการประเมิน และคัดกรองพัฒนาการของลูกเบื้องต้นได้เองที่บ้าน เพื่อที่จะได้สังเกต และเมื่อพบความผิดปกติ หรือสงสัยว่าผิดปกติ จะได้ไม่สายจนเกินแก้

กับเรื่องนี้ คุณหมอ อธิบายให้ฟังว่า การประเมินประเมินพัฒนาการของลูกเป็นระยะ ถือเป็นการประเมินเชิงคุณภาพที่พ่อแม่สามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง โดยสมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้เด็กทุกคนควรได้รับการประเมินพัฒนาการ เมื่ออายุครบ 9, 18, และ 24 หรือ 30 เดือน ทั้งนี้เพื่อพ่อแม่จะได้ทราบระดับความสามารถด้านต่างๆ ของลูกว่าเป็นอย่างไร มีพัฒนาการสมวัยหรือไม่ ซึ่งจะรอดูตอนลูกเข้าโรงเรียนเพียงอย่างเดียวคงช้าเกินไป

"หลักเบื้องต้นที่พ่อแม่สามารถประเมินลูกได้ คือ 3 ปีแรก อย่างน้อยสุดประเมินพัฒนาการตอนลูกอายุ 9 เดือน แต่ถ้าสังเกตตั้งแต่แรกเกิดจะดีที่สุด ซึ่งจะเริ่มดูตั้งแต่ เป็นเด็กเลี้ยงง่าย หรือเลี้ยงยาก มีการรับ หรือปรับตัวกับสถาพแวดล้อมได้ดีหรือไม่ จากนั้นให้สังเกตุพัฒนาการอีกที ตอน 18 เดือน 24 เดือน หรือ 30 เดือนอีกสักครั้ง จากนั้น จะถัดออกไปปีละครั้ง" คุณหมอเด็กกล่าว

อย่างไรก็ดี ในแต่ละเดือนที่กล่าวไปนั้น ให้พ่อแม่ดูอะไรบ้าง คุณหมอแนะนำว่า ให้พ่อแม่สังเกตลูกขณะเล่นตามลำพัง เล่นกับผู้อื่น หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดู โดยการคัดกรองแม่สามารถสังเกตได้ โดยแต่ละช่วงวัย เริ่มตั้งแต่ 9 เดือน พ่อแม่ควรสังเกตในเรื่องของกล้ามเนื้อ ความผูกพันรักใคร่กับพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู 18 เดือน เน้นการพูด การเข้าใจทางด้านภาษา และการสื่อสาร ในขณะที่ 3 ขวบ ลูกควรจะพูด และสื่อสาร และเข้าสังคมการเล่นกับเพื่อนได้ ทั้งนี้ ในแต่ละช่วงวัย อธิบายรายละเอียดเพื่อการประเมิน และคัดกรองได้ง่ายๆ ดังนี้ประเมิน และคัดกรองพัฒนาการลูกตอนเข้าสู่อายุ 9 เดือน

- ขณะที่ลูกกำลังเล่น และคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้เลี้ยงดูเดินไปด้านหลังของลูก เมื่อลูกได้ยินเสียงคุณ เขาจะหันหาเสียงกระซิบ หรือเสียงเบาๆ

- ลูกนั่งได้เอง โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องช่วย ซึ่งลูกไม่ต้องใช้มือของเขาช่วยพยุง

- ลูกคลานโดยใช้มือ และเข่าได้หรือไม่

- ลูกสามารถถือขวดนมด้วยตัวเองได้

- ลูกจงใจปล่อย หรือขว้างของเล่น

- ลูกสามารถเคาะ หรือเขย่าของเล่นได้หรือไม่

- เวลานำหนังสือให้ลูก เข้าทำท่าตื่นเต้น และพยายามเอาเข้าปาก

- ลูกระแวดระวังคนแปลกหน้า

- ลูกส่งเสียงคล้ายเสียงสระ หรือพยัญชนะ

ประเมิน และคัดกรองพัฒนาการลูกตอนเข้าสู่อายุ 18 เดือน

- ลูกสามารถถือถ้วยน้ำที่มีหู โดยพ่อแม่ไม่ต้องเข้าไปช่วย หรือดื่มน้ำจากแก้วโดยไม่ทำหก

- ลูกเดินผ่านห้องกว้างโดยไม่เซ หรือหกล้ม

- ลูกถอดรองเท้า และกินอาหารด้วยตัวเอง

- ลูกมองพ่อแม่เมื่อรู้สึกเครียด เช่น พบคนแปลกหน้า

- ลูกลงไปนอนดิ้นกับพื้น

- ลูกพูดได้อย่างน้อย 4-10 คำ

- ลูกสามารถชี้ภาพ ตรงตามที่คุณพ่อคุณแม่บอกได้

- ลูกทำท่าทางเหมือนกำลังพูดคุย
ประเมิน และคัดกรองพัฒนาการลูกตอนเข้าสู่อายุ 3 ขวบ

- ให้คุณพ่อคุณแม่ชี้ภาพสัตว์แล้วถามลูกว่า ลูกตอบได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรก็ได้ ควรตอบได้อย่างน้อย 1 ชื่อ

- ลูกสนุกกับการนั่งฟังนิทานที่คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ฟังได้อย่างน้อย 5 นาที

- ลูกตอบคำถามอะไรก็ได้เกี่ยวกับนิทานที่เพิ่งได้ฟังได้

- ลูกขว้างบอลเหนือหัว (ไม่ใช่โยนขึ้น) ไปบริเวณท้อง หรือหน้าอกของคุณพ่อคุณแม่ที่ยืนห่างไปประมาณ 2 เมตรได้

- ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่เข้าใจสิ่งที่ลูกพูด (ยกเว้นตัวคุณพ่อคุณแม่)

- ลูกช่วยเก็บของเข้าที่

- ลูกตอบได้ว่า "เป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย"

- ลูกบอกสีได้อย่างน้อย 1 สี

- ลูกพูดเป็นประโยคมี 3 คำขึ้นไป

ดังนั้น การประเมิน และคัดกรองพัฒนาการ บุคลากรสาธารณสุขเชื่อว่า "ความกังวลของพ่อแม่ ต้องถือเป็นเรื่องที่ควรเอาใจใส่มากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด" ซึ่งควรหาให้เจอว่าสิ่งที่กังวลคืออะไร และเมื่อพบปัญหาจนผิดปกติ เช่น ลูกทำได้ดีเกินไป หรือด้อยเกินไป อาจมีแนวโน้มต่อเด็กได้ทั้งหมด อย่างไรก็ดี ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไป แต่ขอให้ปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ หรือพฤติกรรมด้านเด็ก เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อปัญหา และหาแนวทางแก้ได้อย่างทันท่วงที และถูกต้อง ก่อนที่จะสายเกินแก้


ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์,http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000029371

เทคนิครับมือ "พฤติกรรมไม่พึงประสงค์" ของลูก

เทคนิครับมือ "พฤติกรรมไม่พึงประสงค์" ของลูก
ขึ้นชื่อว่า "เด็ก" เป็นธรรมดาที่พอถึงช่วงวัยหนึ่ง อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่หนักใจกับการแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ไม่เชื่อฟัง ร้องโวยวาย อาละวาด หรือแสดงพฤติกรรมโดยไร้เหตุผล เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ จนบางครั้งตัวพ่อแม่เองต้องพบกับทางตัน และรับมือไม่ถูก เรียกได้ว่า แก้เท่าไร ลูกก็ยังคงมีพฤติกรรมเดิมให้รำคาญใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ปัญหาข้างต้น ปฏิเสธได้ยากว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นกับพ่อแม่เลย สำหรับพฤติกรรมที่ทำให้พ่อแม่หนักใจมากที่สุด "พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร" กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ บอกกับทีมงาน Life and Family ว่า

ส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกในเชิงสังคม ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ เช่น ทำท่าเอานิ้วจะแหย่ปลั๊กไฟ เพื่อให้พ่อแม่หันมาสนใจ ในขณะที่เด็กบางคนอาจเรียกร้องความสนใจ ด้วยการหาเรื่องทะเลาะกับพี่น้อง ดังนั้น สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำคือ วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกก่อนว่า ลูกแสดงออกมาเพื่อต้องการ หลีกเลี่ยง หรือตอบสนองต่อความต้องการอะไรบางอย่างหรือไม่

"พ่อแม่บางคนมักลืมตัวไปว่ากำลังสร้างเงื่อนไขอะไรบางอย่างให้ลูก เช่น ตีโพยตีพาย หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกทำมากเกินไป ทางที่ดี ควรสังเกตลูกว่า ทำเพื่อเรียกร้องหรือไม่ และเมื่อพบว่า ลูกเรียกร้องด้วยวิธีนี้ เช่น แหย่ปลั๊กไฟ พ่อแม่ต้องป้องกันไม่ให้ลูกสามารถเอานิ้วเข้าไปแหย่ปลั๊กไฟได้ รวมทั้งลดความสนใจที่จะตื่นเต้นไปกับ สิ่งที่ลูกกำลังทำให้น้อยลง แต่พยายามเพิ่มความสนใจในพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของลูกแทน" คุณหมอกล่าว

ปรับพฤติกรรมลูก พ่อแม่ต้องเข้าถึงปัญหา

ก่อนที่จะรับมือกับปัญหาพฤติกรรมหนักใจของลูก คุณหมอสะท้อนให้ฟังว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ และไม่เข้าถึงพฤติกรรมของลูกเท่าที่ควร จึงเน้นใช้คำสั่งเพื่อให้ลูกหยุดกระทำพฤติกรรมดังกล่าวโดยลืมไปว่า ลูกโตขึ้นในอีกช่วงวัยหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะลูกวัยขวบครึ่ง ที่จะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้เด็กเกิดการต่อต้านเมื่อพ่อแม่ชอบใช้คำสั่ง เช่น ร้องดิ้น อาละวาด เป็นต้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะช่วยรับมือได้ดีที่สุดคือ พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง และหันมาฝึกการเสนอตัวเลือกให้ลูกตั้งแต่เด็ก ซึ่งเริ่มสอนได้ตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป เช่น เสนอทางเลือกให้ลูกว่า จะกินนม หรือกินน้ำ ใส่เสื้อสีไหนระหว่างสีนั้นสีนี้ แทนการสั่งว่าจะต้องทำแบบนั้น แบบนี้ อย่างไรก็ดี ทางเลือกนั้น พ่อแม่ต้องกลั่นกรองมาแล้วว่าอนุญาตให้ลูกทำได้ถ้าลูกเลือก ไม่ใช่ให้เลือกแล้ว กลับไม่เห็นด้วย นั่นจะทำให้เด็กเกิดความสับสน และไม่เชื่อถือในตัวพ่อแม่ขณะที่ปัญหาต่อมา พ่อแม่ส่วนใหญ่ มักชอบเปลี่ยนความสนใจของลูกในทันที กล่าวคือ ขณะที่ลูกกำลังเล่น หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสนุกสนานอยู่ แต่พ่อแม่อยากให้หยุดทำ เพื่อเปลี่ยนไปทำสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ นั่นจะทำให้ความสุขของลูกชะงัก ส่งผลให้ลูกต่อต้านด้วยการร้อง อาละวาด เนื่องจากวุฒิภาวะของเด็กยังทำงานไม่สมบูรณ์ กลายเป็นปัญหาหนักใจของพ่อแม่ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้มาตลอด

ดังนั้น วิธีการเปลี่ยนความสนใจของลูกอย่างมีเทคนิค พ่อแม่ไม่ควรหยุดความสนใจของลูกในทันที แต่ควรส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้เวลากับลูกได้เตรียมตัวก่อน เช่น "แม่เข้าใจนะจ๊ะ ว่าตอนนี้หนูยังอยากเล่นอยู่ แต่แม่ว่าใกล้ถึงเวลาอาบน้ำแล้วนะลูก หนูอยากจะเล่นต่อ โดยให้แม่นับ 1-10 หรือ 1-20 แล้วเราไปอาบน้ำกันนะ" ซึ่งวิธีเหล่านี้ทำให้เด็กรู้สึกว่า พ่อแม่เข้าใจเขา และอยากจะเชื่อฟัง ไม่แสดงพฤติกรรมให้พ่อแม่หนักใจ

"การจะให้ลูกเชื่อฟัง วิธีการคุยกับลูก เสียงก็สำคัญนะ หมอไม่รู้ว่าทำไม แม่ส่วนใหญ่ชอบใช้เสียงเข้มในการสอนลูก หมอว่า เด็กจะเชื่อฟัง คนที่ชอบคนพูดเพราะๆ มากกว่า ดังนั้น ขอให้คุณแม่เก็บเสียงที่มีอำนาจไว้ใช้ในยามจำเป็นจะดีกว่า ซึ่งนานๆ ครั้งใช้ที หมอเชื่อว่าได้ผล ดีกว่าใช้กันทุกวัน ทุกเวลา" คุณหมอแนะนำ

การที่พ่อแม่รับมือกับพฤติกรรมของลูกได้ดี โดยการวิเคราะห์ และปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม ถือเป็นการสร้างสันติสุขในตัวลูกอย่างถาวร และโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข ดังนั้นการใช้คำสั่งไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่การปรับพฤติกรรมลูก พ่อแม่ต้องเข้าใจถึงปัญหา และต้องร่วมปรับไปพร้อมกับลูก แล้วพฤติกรรมของลูกที่พ่อแม่หนักใจ จะค่อยๆ ลดหายไป


ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000029615