ดอกไม้บานบนเสื้อผ้าหน้าร้อน

เข้าช่วงซัมเมอร์แบบนี้ สิ่งที่มาพร้อมกับเสื้อผ้าในช่วงฤดูร้อนเสมอและจะไม่พูดถึงไม่ได้คือปริ้นท์ลายดอก เพราะมาแรง และสาวๆ นิยมสวมกันสุดๆ
ปริ้นท์ลายดอกเป็นลายปริ้นท์ที่ฮิตเสมอสำหรับช่วงฤดูร้อน เพราะสื่อถึงความสดชื่นสดใสของซัมเมอร์ได้ดีที่สุด และเป็นลายปริ้นท์ที่แสนจะเหมาะกับผู้หญิง สาวๆ สามารถสวมใส่เสื้อผ้าปริ้นท์ลายดอกได้ทุกโอกาสไม่ว่าจะวันทำงานหรืองานกลางคืน ซึ่งเราจะเห็นสาวๆ เมืองไทยสวมเสื้อผ้าพิมพ์ลายดอกไม้หวานๆ กันมาระยะหนึ่งแล้ว ที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็ในเดรสลายดอก ทั้งเดรสสั้น และแม็กซี่เดรส ส่วนกระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นลายดอกก็มาแรงไม่แพ้กัน

ถ้าพูดถึงรูปแบบของเสื้อผ้า เดรสจะเหมาะที่สุดสำหรับลายปริ้นท์ เพราะเมื่อสวมจะกระจายจุดสนใจไปทั่วทั้งตัว ไม่เฉพาะส่วนบนหรือส่วนล่าง ซึ่งสามารถเบรกความหวานของลวดลายได้เมื่อจับคู่กับเบลสเซอร์ คาดิแกน หรือแจ็คเก็ตตัวเก่งที่เป็นสีเรียบๆ และจะให้ลุคแคชชวลอีกด้วย

ส่วนรูปแบบของเสื้อผ้าที่เหมาะกับปริ้นท์ลายดอก ลายพิมพ์ดอกไม้สีสดๆ หรือดอกเล็กๆ เหมาะที่จะอยู่บนเดรส ซึ่งทำให้ดูสดใสและสามารถสวมในวันสบายๆ หรือสวมไปทำงานก็ได้ เสื้อทูนิกที่มีลายพิมพ์ดอกไม้เหมาะจะสวมกับกางเกงยีนส์สวยๆ หรือกางเกงขากว้าง ซึ่งจะดูเป็นทางการและสามารถสวมไปทำงานได้ด้วย แต่ถ้าเป็นกางเกงหรือกระโปรงควรเลือกลายดอกไม้เล็กๆ ไว้ก่อน เพราะจะได้ไม่ดึงความสนใจไปที่ส่วนล่างมากเกินไป โดยเฉพาะถ้าสาวๆ เป็นคนมีสะโพก

สำหรับสาวๆ ที่ไม่อยากสวมเสื้อผ้าลายดอกทั้งชุด แต่ก็อยากอินกับลายปริ้นท์สุดฮอตในซัมเมอร์นี้ แค่มีเบลสเซอร์ปริ้นท์ลายดอกสวยๆ ก็สามารถจับคู่กับเสื้อผ้าได้ทุกแบบ หรือจะสวมแค่แอคเซสเซอรี่อย่างกระเป๋าและรองเท้าที่เป็นลายดอกก็อินได้ไม่แพ้กัน

นอกจากนี้การวางแพทเทิร์นของดอกไม้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ควรจะดูให้ละเอียดก่อนจะซื้อเสื้อผ้าที่มีลายพิมพ์เป็นรูปดอกไม้ เพราะไม่ใช่ลายปริ้นท์ทุกแบบที่จะเข้ากับรูปร่าง ถ้าเป็นคนตัวเล็กบาง การสวมเสื้อผ้าที่มีลายปริ้นท์ดอกใหญ่จะทำให้ดูเหมือนตัวจมหายไปในกองดอกไม้ ส่วนถ้ารูปร่างค่อนข้างท่วมสามารถสวมเสื้อผ้าในลวดลายปริ้นท์ดอกใหญ่ๆ ได้และอาจสวมเสื้อคลุมสวยๆ ทับเพื่อเบรกไม่ให้ลายตาจนเกินไป

การเลือกเสื้อท่อนบนเป็นลายปริ้นท์ดอกใหญ่จะสร้างจุดสนใจไปที่ส่วนบนของร่างกาย ดังนั้นถ้าต้องการพรางขนาดหน้าอกควรสวมเสื้อที่ตัดจากผ้าปริ้นท์ลายดอกเล็ก

ส่วนสาวๆ ที่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงกับเสื้อผ้าลายปริ้นท์ มีเคล็ดลับคือ ถ้าสวมเสื้อผ้าที่เป็นปริ้นท์ลายดอก อย่าใช้รองเท้าหรือกระเป๋าที่มีลวดลายดอกไม้ เพราะจะดูลายตาไปทั้งตัว ควรสวมเสื้อผ้าชิ้นอื่นหรือเครื่องประดับที่มีสีเดียวเรียบๆ จะดูเข้ากันมากกว่า
ที่มา เดลินิวส์

วิธีพิชิตสิว และรอยด่างดำบนใบหน้า

วิธีพิชิตสิว และรอยด่างดำบนใบหน้า
1. พิชิตสิว ขจัดริ้วรอย เพิ่มความขาวด้วยมะนาว ผ่าซีกมะนาว 1 ผล คั้นน้ำ นำเปลือกที่เหลือจากการคั้นน้ำ มาชุบน้ำมะนาว ทาหน้า ทำจนหมดน้ำมะนาว ทิ้งไว้ 1 ชม.ครึ่ง จึงล้างออก ทำทุก 7 วัน

2. กำจัดสิวหัวดำ สิวเสี้ยน ถั่วเขียวต้มสุก 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกำมะถันผง 1 ½ ช้อนชา และไข่ขาว 1 ฟอง ปั่นให้เนียน พอกหน้า นวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 30 นาที ทุก 5 วัน

3. ทำความสะอาดใบหน้า ลดจุดด่างดำ สิวเสี้ยน ถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศสุกผลใหญ่ 1 ผล (มะเขือเทศสีดา 2-3 ผล) น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนชา ต้มถั่วเขียวแล้วปั่นผสมกับมะเขือเทศผสมน้ำผึ้ง พอกหน้า นวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 20 นาที ทุก 5 วัน

4. ลดความมัน ลบฝ้า จุดด่างดำ สมานผิว กระชับรูขุมขน ปอกแตงกวา หรือแตงร้านอ่อน ๆ 1 ผล หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ปั่นพร้อมไข่ขาว 1 ฟอง บีบมะนาว 1 เสี้ยว ลงไป ปั่นให้เนียน พอกหน้า ทุก 5 วัน

5. ลดความมัน สิวเสี้ยน จุดด่างดำ ริ้วรอย สมานผิว กระชับรูขุมขน ตลอด 2 เดือนแรกควรทำทุก 10 วัน แอพริคอต 2 ผล น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นพร้อมกันให้ละเอียดเนียน พอกหน้า 20 นาที สองเดือนแรกควรทำทุก 10 วัน

6. ลดสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ ทำทุก 5 วัน ถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ สตรอเบอร์รี่ผลโต 2 ผล นมเปรี้ยว ½ ช้อนโต๊ะ ถั่วเขียวต้มสุกยีผสมกับสตรอเบอรี่และนมเปรี้ยว พอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ทุก 5 วัน

7. ลดฝ้าขจัดสิว ช่วยลดผิวหน้ามันด้วยไข่ขาว 2 ฟองไข่ขาวทาหน้าทิ้งไว้ 1-2 ชม. ทำทุก 2 วัน

8. ลบฝ้าด้วยแตงร้าน แตงร้าน 6 – 7 ผล ปั่น พอกหน้า 25 นาที ทำทุก 7 วัน
ที่มา เดลินิวส์

หิ่งห้อยมีแสงได้อย่างไร

หิ่งห้อยมีแสงได้อย่างไร หิ่งห้อย เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่สามารถผลิตแสงได้ด้วยตนเอง พบเห็นได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย มีขนาดตั้งแต่ 2 มิลลิเมตร ไปจนถึง 10 เซนติเมตร สีของแสงหิ่งห้อยที่พบในไทยจะเป็นสีเหลืองและน้ำตาล มันมีอายุขัยประมาณ 1 เดือน แสงที่หิ่งห้อยเปล่งออกมาเป็นพลังงานแสงร้อยละ 90 อีกร้อยละ 10 เป็นพลังงานความร้อน

การที่หิ่งห้อยเรืองแสงได้ เพราะเซลส์จากอวัยวะการสร้างแสงของหิ่งห้อยจะผลิตสารสีขาวที่ชื่อว่า ลูซิเฟอริน (Luciferin) จากนั้นหิ่งห้อยจะควบคุมการเปล่งแสง โดยบังคับอากาศที่ได้จากการหายใจเข้าไป เมื่ออ๊อกซิเจนในอากาศสัมผัสกับสารลูซิเฟอริน และทำปฏิกิริยากับเอมไซม์ชื่อ Luciferase หิ่งห้อยก็จะปล่อยพลังงานออกมาเป็นแสงได้ ฉะนั้นแสงจะสว่างหรือดับจึงขึ้นอยู่กับการหายใจของหิ่งห้อยนั่นเอง

หิ่งห้อยไม่ได้เปล่งแสงเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณเพื่อการหาคู่ ซึ่งหิ่งห้อยแต่ละชนิดจะมีจังหวะการกระพริบแสงที่แตกต่างกัน ฉะนั้นหิ่งห้อยแต่ละชนิดจึงจดจำการกระพริบแสงของพวกเดียวกันได้ จึงทำให้เกิดการผสมพันธุ์ที่ถูกกับชนิดของหิ่งห้อยนั้น ๆ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปจับมันมากักขังไว้ล่ะ มันไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับธรรมชาติหรอก.

ที่มา เดลินิวส์

อาหารจานเดียว...กินอย่างไรให้สุขภาพดี

ฉบับที่แล้ว คอลัมน์ “หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ” ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภาวะที่มีไขมันหน้าท้องมากเกินไป หรืออ้วนลงพุง เชื่อเหลือเกินว่า แฟนคอลัมน์หลายท่านคงจะสำรวจตัวเองในเรื่องการกิน การอยู่ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น

ดังนั้น คอลัมน์ของเราฉบับนี้ มาร่วมสำรวจอาหารการกินที่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่สำคัญของการดำรงชีวิตว่า การรับประทานอาหารจานเดียว ซึ่งเป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่รับประทานอยู่ทุกวี่วัน ทำอย่างไรให้อาหารจานเดียวมีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับตนเอง

ก่อนอื่นเลย อาหารจานเดียว ควรประกอบไปด้วยสารอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนในหนึ่งจาน โดยมีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50 ไขมันร้อยละ 30 และโปรตีนร้อยละ 20

สำหรับพลังงานที่ได้รับจากอาหารแต่ละประเภทนั้นก็มีความแตกต่างกัน โดยอาหารประเภทไขมันให้พลังงานมากที่สุด เมื่อเทียบกับคาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน ในปริมาณที่เท่ากัน ดังนี้

คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี

โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี

ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี

การบริโภคอาหารชนิดเดียวกันอาจให้พลังงานต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้าว่า เน้นส่วนประกอบใด มีวิธีปรุงอย่างไร และยังขึ้นอยู่กับตัวท่านเองด้วย การเติมเครื่องปรุงรสยิ่งมาก ก็จะทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากเลือกรับประทานอาหารจานเดียวอย่างเหมาะสม นอกจากจะให้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และสะดวกในการบริโภคอีกด้วย

จึงมีคำแนะนำในการบริโภคอาหารจานเดียวแบบง่าย ๆ มาฝากกัน

1) ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายเข้าไว้ หากมีอาหารประเภทปลา เช่น ปลาทู ปลาดุก ปลาสวาย ซึ่งมีโอเมก้า-3 ช่วยปกป้องสมอง ได้ด้วยก็จะยิ่งดี

2) ควรทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ

3) หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสับ กระดูกหมู หนังหมู เป็นต้น

4) อาหารที่ใส่กะทิ หรือปรุงโดยวิธีการผัด หรือทอด ควรรับประทานในปริมาณที่จำกัด เพราะมีปริมาณไขมันสูงมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอด ปาท่องโก๋ โดนัท

5) ส่วนของหวานจัด อาหารประเภทแป้ง หากรับประทานมากเกินไป จะมีผลทำให้ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

6) อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารอีกมื้อหนึ่งที่สำคัญ นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายไม่หิวมากในช่วงบ่ายแล้ว ยังควบคุมปริมาณอาหารในมื้อเย็นให้น้อยลงได้

7) อาหารมื้อเย็น ควรทานให้ห่างจากเวลานอนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เช่น หากเข้านอนเวลาสามทุ่ม ควรทานอาหารเย็นให้เรียบร้อยไม่เกินหกโมงเย็น เนื่องจากขณะหลับ ร่างกายกำลังพักผ่อน ก็จะไม่มีการย่อยอาหาร ทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องมีมากขึ้น

8) เลือกประเภทของอาหารที่ให้พลังงานเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ โดยทั่วไปจะให้พลังงานสูงกว่าเส้นเล็ก เส้นหมี่หรือวุ้นเส้น ส่วนก๋วยเตี๋ยวแห้งให้พลังงานสูงกว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำ และอาหารประเภทเนื้อหมูและเนื้อวัวให้พลังงานสูงกว่าเนื้อไก่และเนื้อปลา

9) การทานอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจ ควรเลือกที่มีปริมาณแป้งและไขมันแต่พอควร

10) ข้อสำคัญ ควรชิมอาหารก่อนปรุงรสทุกครั้ง และพยายามไม่ติดอาหารรสจัดเกินไป

11) ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าลืมว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลจะทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาแฟ ให้พลังงานเทียบเท่ากับอาหารหนึ่งจานเลยทีเดียว

หากตัวคุณเองสามารถ เลือกรับประทานอาหารได้ดังนี้แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าสุขภาพดีจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับตัวคุณ แล้วอย่าลืมแนะนำวิธีการเลือกบริโภคอาหารจานเดียวให้กับคนรอบข้างที่คุณรักด้วยล่ะ.
ที่มา เดลินิวส์

เทคนิค 5 เตรียม ก่อนพาลูกเข้า "ร.ร.อินเตอร์"

เมื่อพูดถึงโรงเรียนนานาชาติ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ในชื่อ "โรงเรียนอินเตอร์" นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พ่อแม่ยุคใหม่อยากให้ลูกคุ้นชิน และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เพราะภาษาเป็นหน้าต่างแห่งโอกาส ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านมีโรงเรียนอยู่ในใจกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยมักกังวล และเป็นห่วงนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องการปรับตัว และการใช้ชีวิตในโรงเรียนของลูก

วันนี้ทีมงาน Life & Family มีแนวทางดี ๆ จากงานเสวนา "ทำอย่างไรให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เมื่อเรียนในโรงเรียนนานาชาติ" ที่โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์สมาฝากกัน โดย นพ.จอม ชุมช่วย จิตแพทยเด็ก และวัยรุ่นได้ให้เทคนิคเตรียมความพร้อมลูกไว้ 5 เรื่องหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

1. เตรียมภาษา

หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดคิด และตัดสินใจอย่างดีแล้วว่า จะพาลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติแน่นอน จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นท่านนี้ บอกว่า ภาษาเป็นเรื่องสำคัญมาก การพูดคุย หรือสื่อสารกับลูกเป็นประโยคภาษาอังกฤษจะทำให้ลูกค่อย ๆ คุ้นชิน และปรับตัวได้ง่ายขึ้นเมื่อเข้าไปอยู่ในโรงเรียนนานาชาติ อย่างไรก็ตามการสร้างความคุ้นชินด้านภาษานั้นไม่จำเป็นต้องพูดคุยอย่างเดียว แต่สามารถนำสิ่งใกล้ตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน หรือดนตรี นำมาอ่านกับลูกบ่อย ๆ แล้วลูกจะค่อย ๆ คุ้นชินกับภาษาได้ดีขึ้น

"พ่อแม่ท่านใดพูดไม่ได้ ไม่ต้องกังวล แต่ควรแสดงให้ลูกเห็นว่า เราพร้อมจะพูด ใช้ประโยคง่าย ๆ กับลูก แต่ควรเลี่ยงอังกฤษคำ ไทยคำ เพราะจะทำให้เด็กไม่เข้าใจประโยคในการสื่อสาร ซึ่งมีบางบ้านเขาจะแบ่งกันไปเลยว่า ใครพูดภาษาอังกฤษ ใครพูดภาษาไทย เพื่อให้ลูกชินกับภาษาอังกฤษ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ภาษาไทยได้ดีด้วย" จิตแพทยเด็ก และวัยรุ่นให้แนวทาง

2. เตรียมการเล่น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเล่นเป็นของคู่กันกับเด็ก ซึ่งนอกจากจะให้ความสุขแล้ว ยังเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการคิด การตัดสินใจ รวมไปถึงการแก้ปัญหา เพราะการเล่นทำให้ระบบประสาทของสมองเชื่อมโยงได้อย่างสมบูรณ์ เด็กจะมีความสุขและพร้อมที่จะเรียนรู้ ที่สำคัญยังพบด้วยว่า เด็กที่มีโอกาสในการเล่นมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ขาดโอกาสในการเล่น

ฉะนั้น คุณพ่อแม่ควรให้ลูกเล่นอย่างอิสระ และเล่นอย่างสร้างสรรค์ นั่นหมายความว่าต้องมีของเล่นที่ฝึกทักษะด้านการคิด การแก้ปัญหา เช่น ตัวต่อรูปแบบต่าง ๆ หรืออื่น ๆ ซึ่งหากเด็กทำไม่ได้ ควรเข้าไปช่วยบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นการเตรียมการเล่นเป็นเรื่องสำคัญเพื่อต่อยอดความพร้อมในการเรียนรู้ของเด็กเมื่อต้องเข้าโรงเรียน

3. เตรียมอารมณ์ที่มั่นคง

อารมณ์ที่มั่นคงของลูกจะเป็นตัวช่วยให้เด็กใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเมื่อเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งพ่อแม่สร้างได้จากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับลูก ทั้งการเล่น การกอด และการให้กำลังใจ รวมถึงการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของลูก เช่น ลูกมีความกลัว หรือกังวลในบางอย่าง พ่อแม่ต้องรู้จักพูดคุย และตอบสนองทางอารมณ์ของลูกอย่างเหมาะสม ไม่ควรตอกย้ำความรู้สึกกลัวให้ลูก อาทิ กลัวแล้วพากันวิ่งหนี หรือกลัวในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง นั่นจะทำให้อารมณ์ของเด็กหวั่นไหว และระแวงอยู่ตลอดเวลา

4. เตรียมความเป็นตัวของตัวเอง

ความเป็นตัวของตัวเอง จำเป็นอย่างมากหากคิดจะพาลูกเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ เพราะระบบโรงเรียนจะเน้นให้เด็กทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งคิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เตรียมความพร้อมในจุดนี้ เมื่อเด็กเข้าไปเรียนจะเกิดความรู้สึกด้อย และมีปัญหาในด้านการเรียน และการเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ ตามมา

"พ่อแม่ส่วนใหญ่มีลูกแล้วประสบความสำเร็จกับโรงเรียนนานาชาติ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ลูกเกิดปัญหาในสังคมแบบนี้ ส่วนหนึ่งคือ พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบทะนุถนอม และให้การช่วยเหลือมากเกินไป ไม่ให้อิสระลูกได้ทำอะไรด้วยตัวเองเลย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้อิสระลูกได้คิด และทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น กินข้าวเอง ใส่เสื้อผ้า รวมทั้งรองเท้าเอง เด็กจะอยู่ในสังคมโรงเรียนอย่างมีความสุข" จิตแพทยเด็ก และวัยรุ่นฝากถึงพ่อแม่

5. เตรียมความสามารถทางสังคม

เมื่อเด็กเติบโต และพร้อมที่จะเข้าโรงเรียน สังคมเพื่อนเป็นสังคมที่เด็กจะหลีกหนีไม่พ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูก ๆ ไปเรียนรู้ที่จะเล่นกับคนอื่น ๆ ด้วย เช่น เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกันบ้าง นั่นจะทำให้มีโอกาสพัฒนาภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น มีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ช่วยให้เด็กเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนได้เป็นอย่างดี

นอกจาก 5 เรื่องหลัก ๆ ข้างต้นที่คุณหมอฝากไว้เป็นแนวทางให้กับพ่อแม่แล้ว นพ.จอม ยังฝากไปถึงผู้ปกครองที่มีลูกเรียนในโรงเรียนนานาชาติด้วยว่า ควรสนับสนุนลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเรื่องของภาษา การบ้าน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญควรสื่อสารกับครูที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวทั้งกิจกรรม พฤติกรรม ตลอดจนการเรียนของลูก

"ถ้าลูกเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติแล้วเรียนไม่ได้ ผมแนะนำว่าควรเข้าไปคุยครูว่า เพราะอะไรลูกถึงเรียนไม่ได้ มีปัญหาในเรื่องไหน อย่างน้อย ๆ ผมเชื่อว่าครูน่าจะบอกได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่แน่ใจ ควรพาไปปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งจะมีการวิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคาดเดาเอาเอง" จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นฝาก

อ่านแล้วลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ หากท่านใดมีลูกเรียนในโรงเรียนนานาชาติ แล้วอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนการสอน กิจกรรมต่าง ๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้ อย่างน้อย ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้พ่อแม่ท่านอื่น ๆ ที่มีแนวคิดอยากให้ลูกเข้าเรียนในระบบดังกล่าวมีข้อมูลในการตัดสินใจได้มากขึ้น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์