ลดน้ำหนักอย่างไรไม่โทรม

ลดน้ำหนักอย่างไรไม่โทรม
การไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก่อนวันสำคัญ คุณผู้อ่านสามารถลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
เชื่อว่าคู่รักส่วนใหญ่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฟิตหุ่นให้สมส่วนก่อนถึงวันวิวาห์ บางคนถึงกับลดมื้ออาหารจากปกติ 3 มื้อ เหลือเพียงการรับประทานเฉพาะมื้อกลางวันเท่านั้น ซึ่งวิธีดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสมกับการลดหรือควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่เป็นผลดีกับร่างกาย เมื่อถึงวันแต่งงานพลันจะเป็นคู่บ่าว-สาวแสนโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส ที่มีอยู่ในอาหารประเภทข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำตาล เช่น จากปกติรับประทานข้าวมื้อละ 1 จานเต็ม ๆ อาจลดเหลือเพียงแค่ครึ่งจาน หรืออาจเลือกรับประทานข้าวเพียง 1 มื้อต่อวัน ส่วนมื้ออื่น ๆ ที่เหลือให้เน้นผัก ผลไม่ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลานึ่ง ทั้งนี้หากรับประทานข้าวแล้วก็ไม่ควรรับประทานก๋วยเตี๋ยวหรือขนมปังในวันเดียวกันอีก

สำหรับประโยชน์จากการลดคาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ร่างกายที่ปกติจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเข้าไปใหม่เป็นอันดับแรก ก็จะหันไปเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน

ส่วนอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างควบคุมน้ำหนัก คือ อาหารทอดน้ำมัน เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ รวมทั้งชา กาแฟ ที่ใส่ครีมปริมาณมาก น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน

นอกจากการใส่ใจเรื่องอาหารการกินแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าจะให้เห็นผลควรจัดสรรเวลาออกกำลังกายก่อนวิวาห์อย่างน้อย 4-5 เดือน เช่น การยกเวต เซ็ตละ 15 ครั้ง เพื่อกระชับต้นแขน หรือซิตอัพลดหน้าท้อง เป็นต้น

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

หลักลดน้ำหนักหนีโรคอ้วน

หลักลดน้ำหนักหนีโรคอ้วน
หากตรวจเช็คไขมันส่วนเกินจนรู้ว่าอ้วนขนาดไหน สิ่งที่คุณควรทำต่อไปคือการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยปฏิบัติตามหลักการ คือ ลดน้ำหนัก โดยทั่วไปควรลดให้ได้ร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว แต่อย่าหักโหม ควรลดในอัตราครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ควบคู่กับการออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างต่ำ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หากทำได้ภายใน 6 เดือน น้ำหนักของคุณก็จะหายไปร้อยละ 10 ตามเป้าหมาย

การรักษาน้ำหนักให้อยู่คงที่ โดยการควบคุมอาหารการกิน หมั่นออกกำลังกาย เปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่อาศัยสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินไป เพื่อควบคุมไม่ให้น้ำหนักขึ้นมากกว่า 3 กิโลกรัม ในขณะที่เส้นรอบเอวจะต้องลดลงจากเดิม 4 เซนติเมตร จึงจะถือว่าสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ได้ดี ที่สำคัญต้องคำนึงถึง การป้องกันน้ำหนักตัวเพิ่ม อยู่สม่ำเสมอ โดยเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือให้พลังงานมากเกินความจำเป็น

นอกจากนี้บรรดาคนอ้วนทั้งหลายควรพึงรู้ไว้ว่า การลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วก็จะทำให้น้ำหนักขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นค่อยเป็นค่อยไป และไม่ควรพึ่งการใช้ยาลดน้ำหนักที่ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแล.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อ้วนนำโรคตาม

อ้วนนำโรคตาม
ผู้ที่เข้าข่ายป่วยด้วยโรคอ้วนนั้นจะต้องมีปริมาณไขมันกินร้อยละ 30 ในผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั้นยึดหลักที่ร้อยละ 25เคยได้ยินคนเถียงกันเรื่องอ้วน-ไม่อ้วน สัปดาห์นี้ มุมสุขภาพ มีข้อเท็จจริงว่าด้วยเรื่อง โรคอ้วน มาฝากให้ผู้อ่านเข้าใจก่อนจะฟันธงเรื่องความอ้วน ว่า หรือลองคำนวณด้วยสูตรยอดนิยมอย่าง น้ำหนัก (กิโลกรัม) การ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง จากนั้นนำค่าที่ได้ไปเทียบกับตารางค่าดัชนีมวลกาย หากสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระบุแสดงว่าเป็นโรคอ้วน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนนั้นอาจเป็นเพราะการรับประทานอาหารประเภทแป้ง โปรตีน ไขมัน เกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตส ปะปนอยู่มากยิ่งทำให้ร่างกายดูดดซึมสารอาหารดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายจะหลั่งสารอินซูลินออกมาในปริมาณมาก ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อ้วน

อาการป่วยบางชนิดก็เป็นปัจจัยให้เกิดโรคอ้วน เช่น ป่วยด้วยโรคต่อมธัยรอยด์ ทำให้ร่างกายเผาผลาญอาหารที่บริโภคเข้าไปได้น้อย รวมทั้งจากการรับประทานยาบางชนิด อาทิ ยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาควบคุมความดัน กรรมพันธุ์ก็มีส่วน เพราะครอบครัวที่เป็นโรคอ้วนมักจะมีความผิดปกติของฮอร์โมน Leptin ที่มีความสามารถสั่งสมองให้อยากอาหารลดลงนั้นบกพร่อง

นอกจากนี้ยังสืบเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย การดำรงชีวิตที่พึงพาสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินไป ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า เลิกบุหรี่แล้วอ้วนนั้นเป็นเพราะ บุหรี่มีสารนิโคตินที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร (แต่ก็ไม่ควรเลือกสูบบุหรี่เพราะกลัวอ้วน เนื่องจากบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าประโยชน์เรื่องน้ำหนักตัว)

เป็นไปได้ว่า สาเหตุที่คนอ้วนไม่รีบเร่งลดหรือควบคุมน้ำหนักนั้นอาจเป็นเพราะไม่ทราบถึงอันตรายของโรคดังกล่าวที่จะนำโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน โรคถุงน้ำดี โรคหยุดหายใจเป็นพัก ๆ รวมทั้งภาวะข้อเสื่อม เส้นเลือดขอด กลั้นปัสสาวะไม่ได้

เรื่องราวของโรคอ้วนยังไม่จบลงเพียงแค่นี้ ตามอ่านต่อกันได้ตลอดทั้งสัปดาห์.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ช่องคลอด สะอาดเกิน เกิดภัย

ช่องคลอด สะอาดเกิน เกิดภัย
เนื่องจากบริเวณช่องคลอดนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอยู่หลายชนิด แต่ก็มีประมาณ 15 ชนิด ที่เป็นประโยชน์
หลังรู้จักกลไกการทำความสะอาดภายในช่องคลอดตามธรรมชาติไปแล้ว คุณผู้หญิงก็จะยังต้องรักษาความสะอาดบริเวณภายนอกช่องคลอดอย่างถูกต้องโดยไม่ให้เสียสมดุล อาทิ แลคโตแบซิลลัส แบคทีเรียซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ ส่งผลให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรด ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวร้าย
เมื่อเป็นเช่นนั้นการขจัดสิ่งสกปรกจึงต้องไม่ทำลายแบคทีเรียตัวดี ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะแบบที่เป็นสบู่ผสมน้ำหอมนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้บ่อยครั้ง สามารถใช้น้ำสะอาดล้าง แต่ไม่ควรฉีดน้ำแรง ๆ เข้าช่องคลอด หรือล้างลึกลุกล้ำเข้าไปภายใน เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน

สำหรับขนบริเวณอวัยวะเพศ ไม่ควรโกนทิ้ง เนื่องจากช่วยกรองฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่อวัยวะเพศ ขณะที่อาการคันมักเกิดเพราะความอับชื้นของเหงื่อจากการสวมกางเกงชั้นในหรือกางเกงที่รัดแน่นเกินไป หากไม่เปลี่ยนขนาดเครื่องนุ่งห่ม นานวันไปอาจมีปัญหาเชื้อราตามมา

ส่วนเรื่องของกลิ่นจากช่องคลอดซึ่งไม่เหม็นรุนแรงนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ โดยกลิ่นจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน สารเคมีในร่างกาย ช่วงการมีประจำเดือน หรือจากเหงื่อที่ขับออกมา

อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ 3 เดือน คุณผู้หญิงควรใช้กระจกส่องดูอวัยวะเพศเพื่อสังเกตความผิดปกติของขนาดหรือสี หากมีลักษณะเปลี่ยนไปควรพบสูตินรีแพทย์ด่วน.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

รู้ทันพัฒนาการของลูกรัก/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

รู้ทันพัฒนาการของลูกรัก/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
สิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนควรรู้ก็คือ การรู้พัฒนาการที่แตกต่างกันของเด็กในแต่ละวัย เพราะจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของความเข้าใจในการอบรมเลี้ยงดูลูกรักของเราให้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีพัฒนาการทุกด้านที่ดีสมวัย ซึ่งช่วงอายุที่สำคัญของพัฒนาการเด็กนั้นมีอยู่ 6 ช่วงดังนี้
ช่วงวัยทารกที่อยู่ในครรภ์

ช่วงวัยนี้อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเขาจะผูกพันกับคุณแม่มาก โดยเด็กสามารถที่จะรับรู้ถึงการที่แม่พูดกับเขาได้ตั้งแต่เขาอายุ 5 เดือนในครรภ์ อีกทั้งเด็กสามารถรับรู้ถึงเสียงเต้นของหัวใจแม่และสามารถรับสัมผัสเมื่อแม่เอามือลูบท้องด้วยแรงสั่นสะเทือนของน้ำคร่ำอีกด้วย

ช่วงขวบปีแรก

ในช่วงวัยนี้เด็กเริ่มเรียนรู้จากการใช้สายตาในการสังเกตและการมองดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อีกทั้งเป็นวัยเริ่มต้นของการใช้ประสาทสัมผัสในเรื่องของการหยิบจับ การได้ยิน การดมกลิ่นและการชิมรส นอกจากนี้เด็กในวัยนี้ยังเริ่มเรียนรู้ถึงการจดจำเสียงของแม่หรือคนเลี้ยงได้แล้ว เช่น เด็กจะส่งเสียงอ้อแอ้เมื่อได้ยินเสียงของแม่

ช่วงวัยเตาะแตะ (1-2 ขวบ)
ในช่วงวัยนี้เด็กจะมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น ในการคลาน ยืน เดิน อีกทั้งเริ่มมีพัฒนาการทางด้านภาษาโดยพูดคำง่ายๆได้ เช่น “แม่” “หม่ำ” นอกจากนี้เด็กในช่วงวัยนี้จะเริ่มสนใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยชอบทดลองหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ มาเขย่า โยนหรือบางทีก็หยิบเอาเข้าปากด้วย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูแลระมัดระวังเด็กในวัยนี้อย่างใกล้ชิดไม่ให้เด็กหยิบจับสิ่งของเข้าปากและไม่ให้เด็กสัมผัสกับสิ่งที่มีคมและเป็นอันตรายต่างๆ

ช่วงวัยอนุบาล (3-6 ขวบ)

ในช่วงวัยนี้เด็กจะมีพัฒนาการทางด้านภาษามากขึ้น โดยเด็กจะสามารถพูดเป็นประโยคได้ เริ่มซักถาม อยากรู้อยากเห็น เริ่มมีจินตนาการจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ดังนั้นในวัยนี้จึงเป็นวัยที่สามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการได้ดีที่สุด โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กได้อย่างง่าย ๆ โดยผ่านทางการพูดคุย การเล่านิทาน กิจกรรมดนตรี กิจกรรมศิลปะ และการพาลูกไปสัมผัสกับประสบการณ์ของโลกกว้างจากการพาลูกไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ
ช่วงวัยประถมศึกษา (7-12 ขวบ)

ในช่วงวัยนี้เป็นวัยเริ่มต้นที่จะเข้าสู่วัยรุ่น ในช่วงวัยนี้ถือเป็นวัยที่สามารถปลูกฝังทางด้านจริยธรรม คุณธรรมและกฎเกณฑ์ทางสังคมได้มากขึ้น โดยที่เด็กจะมีพัฒนาการทางสังคมในการมีกลุ่มเพื่อนและให้ความสำคัญในการคบเพื่อน ในเด็กช่วงวัยอายุประมาณ10-12ปีเป็นวัยที่เด็กเริ่มมีฮีโร่ในใจ เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา หลายคนอาจจะแต่งตัวและแสดงออกเลียนแบบดาราหรือคนที่เขาชื่นชม ซึ่งพฤติกรรมนี้ถ้าไม่ได้แสดงออกในทางที่เสียหาย คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเข้าใจและไม่แสดงอาการด่าว่าต่อต้าน เพราะวัยนี้เป็นช่วงวัยที่เด็กกำลังค้นหาบุคลิกภาพและความเป็นตันตนของเขา ซึ่งพฤติกรรมการเลียนแบบนี้เป็นพฤติกรรมตามแฟชั่นที่เป็นไปตามวัยที่สักพักเด็กก็จะเลิกไปเอง

ช่วงวัยรุ่น (13-17 ปี)

ในช่วงวัยนี้เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเลยทีเดียว เพราะเป็นวัยที่เด็กเริ่มก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่วัยนี้เป็นวัยของการพัฒนาทางด้านความคิด และความเป็นตัวของตัวเอง หลายคนเริ่มค้นหาเอกลักษณ์ของตนเอง เริ่มสนใจเพศตรงข้ามและเริ่มมีมุมส่วนตัวที่ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่าย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องมีความเข้าใจอีกทั้งเปิดรับความคิดของลูกในวัยนี้ด้วย โดยปล่อยให้ลูกได้เป็นตัวของตัวเองแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ไม่ให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ห่างเหิน เพื่อที่เวลาลูกมีปัญหาสิ่งใดก็จะได้กล้าเข้าไปขอคำปรึกษาจากคุณพ่อคุณแม่ได้ ทำดังนี้แล้วลูกจะได้ก้าวเดินในทางชีวิตที่ถูกต้องไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ผู้เขียนเชื่อว่าการที่คุณพ่อคุณแม่รู้ทันพัฒนาการของลูกในแต่ละวัยนั้น จะเป็นประโยชน์ในการอบรมและปลูกฝังให้ลูกรักของเราเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีพัฒนาการทุกด้านที่ดีสมวัย มีความสุขและเข้าใจตนเอง อีกทั้งสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์