10 วิธีง่ายๆ ในการเผาผลาญพลังงานเพื่อลดความอ้วน

10 วิธีง่ายๆ ในการเผาผลาญพลังงานเพื่อลดความอ้วน
การที่แต่ละวันคุณมีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ บ้างเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานส่วนเกินที่สะสมจากอาหารที่กินเข้าไปได้ แม้คุณจะไม่ได้ออกกำลังกายหนักหน่วงจริงจังอย่างการเล่นกีฬา
แต่อย่างน้อยก็ได้ออกแรง ขยับกล้ามเนื้อแขนขา ช่วยควบคุมน้ำหนัก แถมยังลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและกระดูกพรุนอีกต่างหาก
เราได้สรรหากิจกรรมง่ายๆ ที่บางทีคุณอาจมองข้ามไป มาแนะนำให้คุณลองมาดูกันว่ากิจกรรมใดใช้พลังงานสักเท่าใดกัน และแบบไหนที่คุณน่าจะทำได้บ้าง
ลุกขึ้นมาเดินคุยโทรศัพท์แทนที่จะนั่งเฉยๆ
สำหรับคนที่ทำงานนั่งโต๊ะ ระหว่างโทรศัพท์เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ลุกจากที่นั่งที่คุณจุมปุ๊กมาทั้งวัน แม้จะไม่ได้ใช้พลังงานมากนักแต่อย่างน้อยก็ทำให้คุณได้ขยับแข้งขา เพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย การเลือกโทรศัพท์ประเภทไร้สายมาใช้จะช่วยได้มาก

เดินไปส่งเอกสารข้ามออฟฟิศด้วยตัวเอง
มีบางครั้งที่คุณต้องการจะยื่นเอกสารไปแผนกข้างๆ หรือต้องเดินข้ามชั้นหากที่ทำงานมีขนาดใหญ่ แทนที่จะใช้คนอื่นทำแทน คุณอาจลองหาช่วงเวลาเหมาะๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปส่งเอกสารเหล่านั้นด้วยตัวเอง นอกจากจะได้ออกแรงเดิน หรือขึ้นลงบันไดแล้ว ยังได้ของแถมเป็นโอกาสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก

หาเวลาว่างไปเดินช้อปปิ้ง
การไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัดเป็นทางออกของหลายๆ คนในการใช้เวลาว่างวันหยุด ไม่เพียงเพลินตาสบายใจเท่านั้น แต่เป็นโอกาสที่คุณจะได้ออกกำลังกายแบบไม่รู้ตัว ลองคิดดูว่าถ้าไปเดินห้างตลอดบ่ายวันเสาร์ นั้นเท่ากับคุณเดินไม่หยุดถึง 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียว จะให้ดีน่าจะสวมเสื้อผ้าที่สบายๆ ใส่ถุงเท้ารองเท้ากีฬาด้วยเสียเลย จะช่วยให้การเดินของคุณสนุกยิ่งขึ้น

ทาสีบ้าน
เชื่อไหมว่าการทาสีบ้านจะผลาญพลังงานคุณได้อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 300 แคลอรีต่อชั่วโมง แถมยังช่วยให้คุณได้ออกกำลังแขน และลำตัวได้อีกต่างหาก

ทำความสะอาดบ้านให้เอี่ยมอ่อง
วันหยุดสุดสัปดาห์ หากคุณได้ลงมือทำความสะอาดบ้านให้หมดจด ทั้งกวาด ทั้งถู ดูดฝุ่น เช็ดหน้าต่าง นอกจากจะทำให้บ้านสะอาดน่าอยู่แล้ว ยังได้ออกกำลังผลาญพลังงานถึง 420 แคลอรีต่อชั่วโมงโดยประมาณด้วย

ทำสวนตัดหญ้า
สำหรับคนที่บ้านมีบริเวณ การใช้เวลาขลุกอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน ทำสวน พรวนดิน ปลูกต้นไม้ จะได้ใช้พลังงานถึง 360 แคลอรีต่อชั่วโมง พอๆ กับการเล่นแบดมินตัน หากสนามกว้างหน่อยเดินไถรถตัดหญ้าบ้างก็ดี ก็จะช่วยผลาญพลังงานได้ถึง 420 แคลอรีต่อชั่วโมง หนักพอๆ กับเล่นเทนนิสเลยทีเดียว

เดินหาที่กินไกลๆ ออฟฟิศ
ใช้เวลาพักกลางวันให้เป็นประโยชน์กับสุขภาพและการออกกำลังกาย ด้วยการเดินไปหาของกินอร่อยๆ ไกลออฟฟิศขึ้นอีกนิด แทนที่จะพึ่งพาแต่โรงอาหารประจำอาคารเหมือนทุกวัน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้คุณได้โอกาสเดินมากขึ้น ใช้พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป ลดการสะสมไขมันไม่มากก็น้อย

ถือตะกร้าจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตแทนใช้รถเข็น
หากคุณต้องการซื้อสิ่งของเพียงไม่กี่ชิ้นที่คิดว่าพอถือไหว ก็ควรใช้ตะกร้าแทนรถเข็น เพื่อให้แขนได้ออกแรงยกของระหว่างเดิน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเผาผลาญพลังงานเสมือนกับการเล่นเวท และอย่าลืมสลับข้างเพื่อให้แขนและไหล่ทั้ง 2 ข้างได้ออกแรงเท่าเทียมกัน

เดินขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟท์
การขึ้นบันไดแต่ละครั้งคุณจะใช้พลังงานประมาณ 10 แคลอรีต่อชั้น เป็นโอกาสง่ายๆ ที่จะใช้เผาผลาญพลังงาน แล้วยังได้ออกกำลังขาอีกต่างหาก

โดยสารรถประจำทาง/รถไฟฟ้าแทนการขับรถ
เมื่อคุณต้องไปพบเพื่อน หรือลูกค้านอกออฟฟิศ หากเส้นทางที่จะไปอยู่ในเส้นทางเดินรถไฟฟ้า หรือมีรถประจำทางวิ่งผ่าน คุณลองจอดรถของคุณไว้แล้วใช้บริการขนส่งมวลชนดูบ้าง ไม่เพียงประหยัดค่าน้ำมัน ยังเป็นโอกาสที่จะได้เดินมากขึ้น ขึ้นลงบันได ใช้พลังงาน แถมยังได้สัมผัสชีวิตริมทางที่คุณไม่ค่อยได้เห็นได้อีกด้วย

10 วิธีที่กล่าวมานี้คงเป็นเพียงตัวอย่างกิจกรรมที่คุณเลือกทำได้ง่ายๆ นอกเหนือจากการออกกำลังกาย เพราะชีวิตประจำวันของคุณมีอะไรต้องทำมากมายไม่ซ้ำกัน ลองสรรหาสิ่งแปลกใหม่ให้ตัวเองทำ โดยตั้งใจจริงว่าจะต้องใช้พลังงานให้เป็นประโยชน์ แล้วคุณจะพบว่าตัวเองได้สุขภาพแข็งแรงเป็นผลตอบแทนกลับคืนมาที่คุ้มค่าจริงๆ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

รวมสูตรความสวยด้วยผลไม้

รวมสูตรความสวยด้วยผลไม้
ตอนที่ 1
กล้วย
ผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี แถมยังมีให้หากินได้ตลอดทั้งปี ใครๆ ก็รู้ว่ากล้วยนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอและซี ที่จะไปช่วยชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติที่เราสูญเสียไปทุกๆ วัน กล้วยจึงช่วยให้เรามีผิวพรรณดีขึ้นได้

วิธีการก็คือ
-นำกล้วยหอมประมาณครึ่งลูกมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับนมสดหรือน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา

-พอกหน้าทิ้งไว้สัก 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

-ทำอย่างนี้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าของคุณจะสดใส กระชับ เต่งตึง

++ หากใครเลือกใช้สูตรกล้วยผสมน้ำผึ้ง นอกจากจะนำมาใช้พอกหน้าแล้ว ยังทำเผื่อสำหรับหมักผมได้ด้วย
โดยนำไปหมักผมไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เส้นผมที่นุ่มสลวย มีชีวิตชีวา พร้อมใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าวัย

ฝรั่งสด
นี่ก็เป็นผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน ใครเลยจะรู้ว่าฝรั่งสามารถช่วยกระตุ้นและทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีเยี่ยม นอกจากจะได้รสชาติที่อร่อยแล้ว ยังได้วิตามินซีไปช่วยดูแลร่างกายอีกด้วย

วิธีง่ายๆ คือ
-นำเนื้อฝรั่ง 1 ลูกมาปั่น แล้วเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก ก็จะช่วยให้ใบหน้าที่เคยหมองคล้ำกลับมาผ่อนใสได้

-ส่วนน้ำฝรั่งที่เหลือก็อย่าเอาไปทิ้งล่ะ เติมเกลือนิดหน่อย ใครที่ชอบรสหวานอาจใช้น้ำเชื่อมเล็กน้อย มาผสมกันเข้าแล้วดื่ม

มะม่วง
ข้อแม้อันดับแรกก็คือ ต้องเป็นมะม่วงสุกเท่านั้นจึงนำมาใช้ได้

วิธีการคือ
-นำมะม่วงสุกมาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วใช้ช้อนยีให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน

-นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ระหว่างนี้ห้ามขยับใบหน้า ห้ามยิ้ม ห้ามพูดโดยเด็ดขาด

-ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าของคุณเกลี้ยงเกลา สะอาด ไร้รอยเหี่ยวย่น

มะละกอ
สำหรับคนที่มืออยู่ไม่สุข ชอบบีบหรือแกะเม็ดสิวจนทำให้เกิดจุดด่างดำบนใบหน้า วิธีนี้จะช่วยป้องกันการอักเสบ ช่วยกระตุ้นและละลายสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้า ทำให้ใบหน้าสดใส และจุดด่างดำก็จะค่อยจางหายไป

-ให้นำมะละกอสุกมาบดให้ละเอียด

-พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีค่อยล้างออก

ที่มาจาก http://www.prd.go.th

กำจัด ‘ริ้วรอย’ ให้สิ้น...รอย

กำจัด ‘ริ้วรอย’ ให้สิ้น...รอย !!!

ทำอย่างไรให้สวยใส...ห่างไกลริ้วรอย
แม้ปัจจุบันจะมีสารพัดนวัตกรรม และหลากหลายผลิตภัณฑ์ อาสาเป็นผู้ช่วยขจัดริ้วรอยให้แก่คุณผู้หญิง ทว่า การตั้งต้นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด (ว่ามั้ย ?!!)

- อาหารและน้ำ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารแอนติ ออกซิแดนต์ และวิตามิน เอ วิตามิน ซี และวิตามิน อี ซึ่งส่วนมากมีในผักและผลไม้ เช่น แครอต ฟักทอง มะเขือเทศ เป็นต้น มีผลทำให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์ รวมถึงการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ผิว และยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย

- ออกกำลังกาย เมื่อเราออกกำลังกาย ร่างกายจะกำจัดของเสียที่จะเร่งให้แลดูแก่กว่าวัยออกจากร่างกาย รวมถึงช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งควรออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 15 นาที หรืออาจออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายๆ ในที่ทำงาน เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การเดินแทนการใช้ลิฟต์ เป็นต้น

- เลี่ยงแสงแดด แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีปริมาณรังสียูวีเข้มข้นและเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อผิว และควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป โดยควรทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที

- งดการสูบบุหรี่ ลดหรือจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ จะขัดขวางไม่ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้เต็มที่ ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัยอันควร ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำและก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอย

- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-9 ชั่วโมง เพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนในการทำงานระหว่างวันก็ควรจะมีการพักสายตา ด้วยการมองออกไปด้านนอกไกลๆ เป็นระยะ หรือหลับตาสักพักบ้าง เพราะการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณตาเกร็ง และอาจเกิดริ้วรอยขึ้นบริเวณรอบดวงตาได้

- เลิกพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การขมวดคิ้ว ขยี้ตา เอามือเท้าคาง เป็นต้น รวมถึงความเครียด และการแสดงสีหน้าอารมณ์โกรธ โมโห หากทำซ้ำๆ จนติดเป็นนิสัยอาจทำให้เกิดริ้วรอยลึกได้ นอกจากนี้ การลดความอ้วนอย่างรวดเร็วก็อาจก่อให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะเมื่อชั้นไขมันใต้ผิวหนังหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวก็จะเหี่ยวย่นตามไปด้วย

- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยที่เหมาะกับสภาพผิว

ที่มา ... โพสต์ทูเดย์

เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ สมองมีการเรียนรู้มากที่สุด อย่าปล่อยให้ ... "สายแล้วสายเลย"

เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ สมองมีการเรียนรู้มากที่สุด อย่าปล่อยให้ ... "สายแล้วสายเลย"
นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ กล่าวว่า จากรายงานสถิติจำนวนประชากรเมื่อปี 2550 โดยสำนักบริหารการทะเบียน สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ประเทศไทยมีเด็กปฐมวัย อายุ 0-6 ปี จำนวน 4.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 7.5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเป็นวัยที่จะต้องได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่จากพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในช่วงนี้ให้มีคุณภาพ ทั้งในด้านโภชนาการ การเลี้ยงดู การส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการ เพราะเป็นวัยที่มีการเรียนรู้มากที่สุดในวงจรชีวิตมนุษย์ สมองเด็กวัยนี้จะเจริญเติบโตและมีน้ำหนักถึงร้อยละ 80 ของผู้ใหญ่ โดยมีการสร้างเครือข่ายของสมองและพัฒนาจุดเชื่อมต่อระบบเซลล์ประสาทมากกว่าช่วงอื่นๆ ของชีวิต

“การเลี้ยงดูที่มีคุณภาพจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง มีพัฒนาการสมดุลทั้งทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจและอารมณ์ ซึ่งการให้ความสำคัญและมุ่งพัฒนาเด็กแม้เพียง 1 ปี ในกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียน เด็กจะมีความสามารถและพัฒนาการที่สูงขึ้น” นพ.ประเสริฐกล่าว

นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า การส่งเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัย ยังมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของระบบบริการสาธารณสุขในท้องถิ่น และศูนย์เด็กเล็ก มีความสำคัญ ต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย ซึ่งจากการสำรวจสถานการณ์การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในประเทศไทย ของ สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2552 พบว่า มีศูนย์เด็กเล็กทุกสังกัดทั่วประเทศรวม 20,043 แห่ง โดยอยู่ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงมหาดไทย จำนวน 17,821 แห่ง นอกนั้นอยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร กระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน มีเด็กอายุระหว่าง 2 ขวบครึ่ง - 5 ขวบ อยู่ในศูนย์เด็กเล็กทุกสังกัด ประมาณ 942,583 คน คิดเป็นร้อยละ 37 ของจำนวนเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

จากการสำรวจพบว่ามีศูนย์เด็กเล็กจำนวนหนึ่ง ยังขาดความพร้อม ทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐาน การดูแลเด็กเล็ก โดยศูนย์เด็กเล็กในสังกัด อปท. จำนวน 17,821 แห่งทั่วประเทศนี้ พบว่า ศูนย์เด็กเล็กร้อยละ 40 มีของเล่นไม่เพียงพอกับจำนวนเด็ก ร้อยละ 37 ของเล่นที่มีอยู่ มีสภาพชำรุด รอการซ่อมแซม ร้อยละ 24 ห้องน้ำ มีสภาพชำรุด ขณะที่ร้อยละ 3.8 มีปัญหาที่ไม่สามารถจัดหาที่นอนให้เด็กนอนได้

สำหรับปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในศูนย์เด็กเล็ก คือ การพลัดตกหกล้ม คิดเป็นร้อยละ 37.5 อุบัติเหตุจากเครื่องเล่นสนาม คิดเป็น ร้อยละ 28.6 ส่วนด้านสุขภาพและพัฒนาการ มีเด็กฟันผุ สูงถึงร้อยละ 92 ไม่จัดกิจกรรมแปรงฟันหลังอาหารกลางวัน ร้อยละ 2.4 มีหนังสือนิทานไม่เพียงพอ ร้อยละ 60 จัดกิจกรรมเล่านิทานให้เด็กฟังทุกวัน ร้อยละ 35.6 ในด้านผู้ดูแลเด็ก พบว่า ขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน ร้อยละ 51 ขาดความรู้และทักษะในการเลี้ยงดูเด็ก

“ศูนย์เด็กเล็กมีความสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัย ศูนย์เด็กเล็กที่ไม่มีความพร้อมในการดูแล จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสติปัญญาของเด็กไทยในอนาคต เพราะเด็กจะมีพัฒนาการเจริญเติบโตที่ล่าช้า ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะด้านที่ช้าคือภาษาและกล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานของสติปัญญา” นพ.ประเสริฐกล่าว

นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า การพัฒนาการเด็กปฐมวัยนี้รอไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคือ “สายแล้วสายเลย” รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้น เร่งบูรณาการอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาปรับปรุงศูนย์เด็กเล็กให้ได้มาตรฐาน โดยศูนย์เด็กเล็กต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านงบประมาณ การพัฒนาบุคลากร ดูแลเด็กเล็กประจำศูนย์ การส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก อุปกรณ์ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็ก เช่น ของเล่น หนังสือ เครื่องดนตรี ฯลฯ อันจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง มีพัฒนาการสมดุล ทั้งทางร่างกายและสติปัญญามากขึ้น

ที่มา วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:43:50 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อาหาร 7 ชนิด ช่วยลดความเครียดได้

อาหาร 7 ชนิด ช่วยลดความเครียดได้
"You are what you eat." ยังเป็นคำกล่าวที่ใช้ได้ทุกสมัย คนเรากินอะไรเข้าไปก็ได้ผลลัพธ์อย่างนั้น และอาหาร 7 ชนิดต่อไปนี้ นอกจากจะอิ่มอร่อยแล้วยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย

ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ และวอลนัท
รับประทาน เป็นประจำเพียงวันละ 1 กำมือ จะได้รับวิตามินอีในปริมาณเพียงพอที่จะไปช่วยเสริมภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ทั้งยังมีวิตามินบีที่ช่วยรับมือกับความเครียด ความตื่นเต้น หรือเป็นกังวลได้อีกด้วย หากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียด หรือน่าตื่นเต้นอย่าลืมให้ถั่วเปลือกแข็งเป็นตัวช่วยนะคะ

อะโวคาโด
ผลไม้สี เขียวเนื้อนุ่มเนียน อันเป็นแหล่งอุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและ โพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดความกังวลและความกระวนกระวายได้อย่างดี ทราบหรือไม่ว่า อะโวคาโดเพียงครึ่งผลนั้นให้โพแทสเซียมมากถึง 487 มิลลิกรัม ซึ่งมากพอสำหรับความต้องการในแต่ละวัน

นมขาดมันเนย
คงเคยทราบกันว่า การดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้วก่อนนอนช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ และคลายความเมื อยล้าได้ เพราะแคลเซียมในน้ำนมจะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว และลดอาการปวดตึง ผู้เชียวชาญจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า นมขาด-มันเนย 1แก้วช่วยลดอาการผิดปกติในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือนได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แปรปรวน เครียด หงุดหงิดง่าย หรือขาดสมาธิ เป็นต้น

ข้าวโอ๊ตหรือข้าวกล้อง
แหล่งพลังงานคาร์โบไฮเดรตและใยอาหารชั้นเยี่ยม คาร์โบไฮเดรตช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขที่ชื่อ เซโรโทนิน ทุกครั้งที่คุณกินแป้ง สารแห่งความสุขตัวนี้ก็จะค่อยๆ หลั่งออกมา แต่ในการรับประทานข้าวโอ๊ต และข้าวกล้อง สิ่งที่คุณจะได้รับนอกจากสารแห่งความสุขแล้วก็คือใยอาหารทีมีส่วนช่วยใน การขับถ่ายนั่นเอง

ส้ม
แหล่งอุดมวิตามินซี มีรายงานวิจัยจาก ประเทศเยอรมนีว่าการบริโภควิตามินซีวันละ 3,000 มิลลิกรัมช่วยลดระดับคอร์ติซอลหรือ ฮอร์โมนเครียดให้เข้าสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็ว วันใดที่คุณเครียดลองกินส้มดูนะคะ   

ปลาแซลมอน
กรดไขมันโอ เมก้า - 3 ที่มีอยู่มากมายในเนื้อปลาแซลมอนเป็นศัตรูตัวฉกาจของฮอร์โมนเครียด เพราะทำหน้าที่กักเก็บไม่ให้ความเครียดไหลพุ่งออกมาเหมือน น้ำพุ ทั้งยังช่วยบำรุงหัวใจด้วย มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า ควรรับประทานปลาแซลมอนครั้งละ ประมาณ 100 กรัม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้สุขภาพดีและไม่เครียดค่ะ

ผักโขม
เต็มไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยลดระดับความเครียด หากเราขาดแมกนีเซียมจะทำให้ปวดศีรษะคล้ายไมเกรน และอ่อนเพลีย ผักโขมเพียง 1 ถ้วยตวงมีปริมาณ แมกนีเซียมมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน อย่าลืมให้ผักโขมอยู ่ในเมนูอาหารมื้อต่อไปนะคะ
เห็นไหมคะว่าการกินนั้นช่วยให้คุณคลายความเครียดได้ง่ายนิดเดียว

อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine

ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 109 เดือน : กุมภาพันธ์ 2553