5สุดยอดอาหารเสริมพัฒนาการลูก

เด็กในวัยเจริญเติบโต นอกจากพ่อแม่จะต้องให้ความสำคัญกับการเสริมพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาแล้ว เรื่อง “อาหาร” ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นพื้นฐานของพัฒนาการในหลาย ๆ ด้าน
ดังนั้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ และหลากหลาย พ่อแม่ควรฝึกให้รับประทานอาหารที่พวกเขาไม่คุ้นเคยด้วย “มุมสุขภาพ” จึงมีวัตถุดิบที่ควรเติม (หรือ แอบเติม) ลงในอาหารมาฝากกัน ซึ่งผลวิจัยในต่างประเทศชี้ว่า เป็น “5 สุดยอดอาหารที่เหมาะสำหรับเด็ก” มากทีเดียว

เต้าหู้ อาหารจากถั่วเหลืองซึ่งเป็นแหล่งของโปรตีน มีประโยชน์ต่อการป้องกันมะเร็ง อาจหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าลงผัดกับผัก หรือใส่ในซุปให้เด็ก ๆ ทาน

มะเขือเทศ ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ บำรุงสายตา ดีต่อสุขภาพผิว ทั้งยังช่วยพัฒนาความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับโรคหืดหอบได้ด้วย สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่ชอบกลิ่น และรสชาติ อาจเริ่มแปรรูปให้ลองทานแบบง่าย ๆ ก่อน เช่น พาสต้าราดด้วยซอสมะเขือเทศ

กะหล่ำปลี ผักตระกูลกะหล่ำอย่าง บรอคโคลี่ และคะน้า มี “ไฟโตนิวเทรียนท์” ลดความเสี่ยงสำหรับโรคมะเร็งหลายประเภท รวมทั้งช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี จัดเป็นสลัดกะหล่ำราดด้วยมายองเนสไขมันต่ำ จะได้ความกรุบกรอบ รสอ่อน มักถูกปากเด็ก ๆ กว่าสลัดผักใบเขียวชนิดอื่น หรืออาจใส่ลงในซุป และบะหมี่ก็ได้

ปลาแซลมอน อุดมด้วยโอเมก้า 3 บำรุงสมอง หัวใจ สายตา มีโปรตีนสูง รวมถึงแร่ธาตุซีลีเนียม วิตามินเอ, ดี, บี6 ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อาจใส่เนื้อปลาในเบอร์เกอร์ หรือทำเป็นซาซิมิ (ปลาดิบ) ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนสด (ซูชิ) สลัดผักกับปลาแซลมอนสด สเต๊กปลาแซลมอน หรือใส่เนื้อปลาในเบอร์เกอร์ก็ได้

ถั่วดำ เป็นแหล่งของโปรตีน รวมทั้งเส้นใย และแคลเซียม ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และคอเลสเตอรอลสูง สามารถนำไปทำได้หลากเมนู อาทิ อาหารคาวเป็นซุปถั่วดำ ไก่ผัดซอสถั่วดำ หรือในอาหารหวาน เช่น ชานมใส่ถั่วดำ ไอศกรีมราดซอสถั่วดำ ขนมไส้ถั่วดำ ถั่วดำปั่นเย็น ข้าวเหนียวถั่วดำ เป็นต้น

ลองหยิบวัตถุดิบเหล่านี้ไปประยุกต์กับเมนูที่เด็ก ๆ ทานได้ และคุ้นเคยกันดู เพื่อคุณค่าทางโภชนาการ และการเจริญเติบโตที่เหมาะสมตามวัย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
5สุดยอดอาหารเสริมพัฒนาการลูก
ที่มา เดลินิวส์

ช่วยด้วย…หนูโดนเพื่อนล้อ/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต่างก็ต้องผ่านการถูกล้อเลียน หรือเย้าแหย่มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งหากเป็นการเย้าแหย่เล่นด้วยความรักก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวผู้ถูกล้อมากนัก แต่หากเป็นการล้อเลียนที่ทำให้เกิดความอับอาย ถูกหัวเราะเยาะต่อหน้าเพื่อน ๆ ถูกตั้งฉายาใหม่ ๆ จากปมด้อย เช่น ยัยหน้าแว่น ยัยปากปลาทู ยัยหมูอ้วน ยัยไส้เดือนไอ้ติดอ่าง ไอ้หน้าสิว การล้อเลียนเช่นนี้อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด ความเสียใจ แก่ผู้ที่ถูกล้อเลียนเป็นอย่างมาก
เด็กที่ถูกล้อเลียนมาก ๆ จะทำให้เด็กรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน รู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย ไม่มีเพื่อน ไม่รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมถึงถูกเพื่อนล้อ รู้แต่เพียงว่าเสียใจและโกรธ บางครั้งเด็กกำลังนั่งดูทีวีอยู่ คุณพ่อคุณแม่บอกว่าให้ปิดทีวี เด็กอาจโกรธมากจนปาข้าวของแล้วบอกว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่รัก นั่นแสดงให้เห็นถึงอาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้คือ

1.นั่งลงคุยในระดับเดียวกับลูกและเริ่มค้นหาสาเหตุของสิ่งที่ผิดปกติที่ทำให้ลูกกังวลใจ บอกลูกว่าพ่อแม่ต้องการรู้ว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกไม่สบายใจ ลูกอาจไม่ยอมบอกและแสดงอารมณ์โกรธกลับมา แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องย้ำให้ลูกแน่ใจว่า คุณพ่อคุณแม่รักและต้องการช่วย โดยพยายามให้ลูกระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา

2.เมื่อลูกเริ่มเล่าให้ฟัง ต้องตั้งใจฟัง ไม่ขัดจังหวะ ไม่แนะนำอะไร ให้ฟังจนลูกพูดจนจบก่อน จับให้ได้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร กับใคร เมื่อลูกพูดจบแล้วเริ่มอธิบายก่อนและให้คำแนะนำ แสดงความเห็นอกเห็นใจ และต้องทำให้ลูกแน่ใจว่าเราได้ยินและรับรู้ในสิ่งที่ลูกพูดแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจพูดว่า พ่อแม่เข้าใจแล้วว่าการถูกเพื่อนล้อเลียนทำให้ลูกอายและเจ็บปวด

3.เล่าให้ลูกฟังถึงมีช่วงในวัยเด็กที่คุณพ่อคุณแม่เคยถูกเพื่อนล้อเช่นกัน เล่าให้ฟังว่ารู้สึกอย่างไร ให้ลูกรู้ว่าตัวคุณพ่อคุณแม่เองเคยมีประสบการณ์ สิ่งที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่จะต้องทำให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจความรู้สึกของเขาก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหา

4.ให้ตัวลูกเริ่มแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อน สิ่งนี้จะเป็นทักษะที่ดีในการแก้ปัญหาของลูกด้วยตัวเองในอนาคต อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกอีกด้วย

5.อย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร คุณพ่อคุณแม่ที่ชอบตีโพยตีพายเป็นเรื่องใหญ่โต จะทำให้ลูกทำตัวไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย

6.ย้ำให้ลูกรู้ว่า ลูกสามารถแก้ปัญหาได้

7.สนับสนุนและให้กำลังใจลูกที่จะเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ทำให้ลูกรู้สึกดี และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

8.คุณพ่อคุณแม่ลองกลับมาพิจารณาตัวเองดูว่า ทำตัวเป็นตัวอย่างให้ลูก หรือเคยล้อเลียนลูกอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่

9. หากเป็นการแกล้งที่รุนแรง ต้องปรึกษาผู้มีอำนาจรับผิดชอบ เช่นผู้ดูแลเด็ก คุณครูหรือครูใหญ่เป็นต้น

เด็ก ๆ ที่ชอบแกล้งหรือล้อเลียนเด็กอื่นมักจะเป็นเพราะ...

ต้องการเรียกร้องความสนใจ การล้อเลียนผู้อื่นทำให้ได้รับความสนใจถึงแม้ว่าจะเป็นความสนใจในทางลบก็ตาม แต่ลำหรับเด็กบางคนการได้รับความสนใจในทางลบก็ยังดีกว่าการไม่ได้รับความสนใจอะไรเลย

เลียนแบบ เด็กที่ชอบล้อเลียนผู้อื่นบ่อยครั้งที่เคยถูกล้อเลียนจากที่บ้าน จากพี่น้อง จากเพื่อนที่โรงเรียน จากเพื่อนบ้าน และมีประสบการณ์ที่เจ็บปวด มีความก้าวร้าวและมีผู้ปกครองที่ดุด่าและลงโทษรุนแรง

รู้สึกว่าตัวเองเก่งและมีอำนาจเหนือผู้อื่น เด็กที่ชอบแกล้งหรือล้อเลียนผู้อื่นมักรู้สึกว่าตัวเองเก่งที่สามารถมีอำนาจเหนือผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือทำให้ผู้ที่ผู้ล้อเสียใจ

ความต้องการในการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน ไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นเด็กบางคนล้อเลียนคนอื่น เพื่อให้เพื่อนยอมรับ ว่าแน่ ว่าเก่งและเป็นคนเด่นคนดัง

ขาดความเข้าใจ ขาดความรู้และการเห็นอกเห็นใจ บางครอบครัวไม่ได้อบรมลูกให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมและความแตกต่างของคน การดูถูกคนยากจน คนพิการ หรือเด็กพิเศษ จะเป็นการสร้างค่านิยมให้ลูกนับถือคนที่วัตถุเปลือกนอกและทำให้ลูกขาดทักษะของการเข้าใจตนเองและผู้อื่น อีกทั้งขาดความเข้าใจเรื่องความแตกต่างและความพิเศษของแต่ละบุคคล

อิทธิพลของเทคโนโลยีและสื่อมวลชน การดูทีวีหรือการเล่นเกม หรือคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ อาจทำให้เด็กเกิดการเลียนแบบ และเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดให้แก่เด็กว่า คนพิเศษที่สังคมยอมรับคือ คนที่สวย/หล่อ คนที่เรียนเก่ง คนที่รวย เท่านั้น เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่ควรสอนทักษะที่สำคัญเหล่านี้ให้แก่ลูกที่มีปัญหาถูกล้อเลียน

พูดกับตัวเอง ( Self Talk) โดย Meichenbaum เป็นวิธีการให้กำลังใจและพูดกับตัวเอง “ ฉันไม่ชอบที่เขาล้อ และฉันจะจัดการกับมันได้” ให้เด็กคิดว่าความคิดของตัวเองใหญ่กว่าของเพื่อนที่ล้อ การสร้างความคิดทางบวกให้ตัวเองเป็นการโต้ตอบที่ดีกว่าความคิดทางลบ

เพิกเฉย การร้องไห้หรือโกรธอาจทำให้คนที่ล้อสนุกและสะใจ ดังนั้นการใช้วิธีเพิกเฉยอาจเป็นเป็นวิธีที่ได้ผลที่ดีอีกวิธีหนึ่ง โดยให้เด็กเดินหนีไปและไม่สนใจเด็กที่มาล้อเลียน

เปลี่ยนแผน การเปลี่ยนแผนหรือความคิดของผู้ที่ล้อเลียน เช่นเด็กที่ดัดฟันอาจถูกล้อว่ายัยฟันเหล็ก ฟันแวมไพร์ อาจพูดว่าขอบคุณนะที่สังเกตเห็นฟันที่สวยของฉัน จะทำให้คนล้อแปลกใจที่ไม่สามารถทำตามแผนที่จะให้โกรธหรือโมโหสำเร็จได้

เห็นด้วยไปเลย Cohen และ Posey กล่าวว่าการเห็นด้วยกับความจริงที่ถูกล้อเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เช่นหากถูกล้อว่ายัยหน้าสิว อาจตอบกับไปว่า ใช่ฉันเป็นสิวแล้วเป็นไง? หรือยัยขี้แง อาจตอบว่าใช่ฉันร้องไห้เก่งแล้วไงล่ะ? การยอมรับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและไม่ต้องปกปิดอะไรอีก

ให้คนที่ล้อคิดว่าตัวเองชนะ เช่นหากถูกล้อเกี่ยวกับการทำงานช้า อาจบอกว่าใช่ซิเธอทำเร็วกว่านี่

คุณพ่อคุณแม่คงไม่สามารถปกป้องกับการที่ลูกถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งได้ตลอดเวลา แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถให้คำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกได้ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปนั้น การเข้าใจเด็กที่ถูกล้อเลียนและชอบล้อเลียนผู้อื่น จะช่วยทั้งตัวลูกและตัวคุณพ่อคุณแม่เองในการที่จะเผชิญและแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
ช่วยด้วย…หนูโดนเพื่อนล้อ/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เคล็ดลับอร่อย ทอดไก่ให้กรอบนอกนุ่มใน

เคล็ดลับอร่อย ทอดไก่ให้กรอบนอกนุ่มใน เริ่มต้นเราต้องนำเนื้อไก่ที่จะทำการทอดล้างแล้วนำมาผึ่งแดดไว้ จากนั้นตำกระเทียมพริกไทยเม็ดให้เข้ากันแล้วใส่เกลือลงไปนิดหน่อย นำไปหมักกับไก่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จากนั้นเรียงใส่จานนำไปนึ่ง แนะนำว่าเวลานำลงนึ่งต้องให้น้ำเดือดก่อน นึ่งจนไก่พอสุกแล้วนำออกจากลังปล่อยให้ไก่เย็นตัวลงพร้อมทั้งผึ่งให้แห้ง
ขั้นตอนต่อไปนำไก่คลุกกับแป้งสาลี (หรือจะใช้แป้งชุบทอด ที่ขายกันทั่วไปก็ได้) คลุกกับแป้งแห้งๆ จากนั้นชุบด้วยไข่ไก่ที่ตีเข้ากัน แล้วนำไปคลุกเกล็ดขนมปัง ต่อไปก็จัดการลงทอดในน้ำมันร้อนจัด ด้วยไฟปานกลาง พอเกล็ดขนมปังสุกเหลือง ค่อยช้อนขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน เท่านี้ก็จะได้ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในแล้ว

ถ้าไม่ชอบ แบบชุบเกล็ดขนมปังทอด หลังจากนึ่งเสร็จรอจนไก่เย็นตัวลงแล้ว นำไปชุบกับแป้งทอดกรอบ เคล็ดลับสำคัญ อยู่ที่เวลาผสมแป้งกับน้ำ ให้ใช้น้ำเย็น ผสมให้แป้งข้นพอชุบติด จุ่มไก่ลงทอดในน้ำมันร้อนจัดเช่นกัน ก็จะได้ไก่ทอดกรอบ นอกนุ่มในอีกแบบหนึ่ง

ง่ายๆแค่นี้อย่าลืมนำไปลองทำทานที่บ้านเพิ่มความอร่อยให้เมนูโปรดกันดู.
ที่มา เดลินิวส์

ชี้ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลังภัยพิบัติ'สัตว์น้ำใต้ทะเล'ตัวแปรสำคัญ!

จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความรุนแรงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ “สึนามิ” กลืนกินชีวิตและทรัพย์สินสูญหายไปจำนวนมาก สร้างความสะพรึงกลัวและเศร้าสลดไปทั่วโลก อีกทั้งยังเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถาโถมต่อด้วยเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเป็นระลอก ๆ ส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย

เหตุการณ์พิบัติภัยรุนแรงครั้งนี้แม้กระทั่งประเทศญี่ปุ่นเองซึ่งเป็นประเทศที่มีความรู้ความชำนาญด้านเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิก็ตามแต่ก็ยังหาสาเหตุได้ไม่ชัดเจน ส่งผลให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา ถึงสาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวทั้งทางวิชาการที่ว่าประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ใน วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยและมีภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง หรือแม้กระทั่งการนำเอาการตายของสัตว์น้ำจากทั่วโลกมาเป็นลางบอกเหตุก่อนเกิดพิบัติภัย ไม่ว่าจะเป็น ปลาวาฬเกยตื้นที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรือล่าสุดเกิดเหตุปลาซาร์ดีนนับล้านตัวลอยอืดในอ่าวคิง หาดเรดอนโด ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ดร.กิตติศักดิ์ หยกทองวัฒนา อาจารย์ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงสาเหตุการตายของสัตว์น้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลว่า จากเหตุการณ์ที่พบว่ามีปลาจำนวนมากลอยตายในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วโลกอยู่บ่อยครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ปริมาณออกซิเจนในน้ำทะเลบริเวณดังกล่าวมีค่าเหลือศูนย์ ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีรายงานข่าวถึงปรากฏการณ์ที่ปลาโลมาหรือปลาอื่น ๆ ลอยตายเป็นจำนวนมากโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน

แน่นอนว่าภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นกับโลกของเราส่งผลต่อสภาวะแวดล้อมในธรรมชาติอย่างมากและที่เป็นข่าวใหญ่ก็คือ การเกิดภาวะปะการังฟอกขาว ซึ่งเกิดจากการที่อุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นส่งผลให้สาหร่ายขนาดเล็กบางชนิดที่พึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกับปะการังไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และหากเกิดขึ้นนานวันเข้าก็จะทำให้ปะการังที่ต้องอาศัยอาหารจากสาหร่ายเหล่านั้นไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน โดยปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในปลายทางของห่วงโซ่หรือใยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ซึ่งอาจถึงขั้นสูญพันธุ์ได้ แต่การสูญพันธุ์นี้มักจะเกิดอย่างช้า ๆ และใช้เวลานานพอสมควร ไม่ได้เกิดการลอยตายพร้อมกันเป็นจำนวนมากอย่างที่เห็นในภาพ ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ล้วนมาจากฝีมือมนุษย์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

หากมองโดยภาพรวมแล้ว การที่จู่ ๆ สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำจะลอยตายเป็นแพได้นั้น มักมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การได้รับสารพิษและการขาดออกซิเจนอย่างฉับพลัน ซึ่งการได้รับสารพิษแยกได้เป็นสารพิษที่เกิดโดยธรรมชาติและสารพิษที่มนุษย์ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ สารพิษที่เกิดโดยธรรมชาติ เช่น “ปรากฏการณ์เรดไทด์” (red tide) หรือขี้ปลาวาฬ เกิดจากการบูมของสาหร่ายหรือแพลงก์ตอนพืชที่เรียกว่า “ไดโนแฟลเจลเลท” (dinoflagellate) บางชนิด ซึ่งแพลงก์ตอนประเภทนี้เมื่อเกิดการบูมจะทำให้น้ำบริเวณนั้นเป็นสีแดงและมันสามารถปล่อยสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรงออกมาทำให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นตายได้อย่างฉับพลัน ซึ่งในอ่าวไทยเองก็พบปรากฏการณ์ เรดไทด์นี้ได้เช่นกัน

ส่วนสารพิษอีกประเภทหนึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยเฉพาะการที่โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งที่ปราศจากความรับผิดชอบปล่อยของเสียลงสู่แหล่งน้ำ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของโลหะหนักหรือสารอินทรีย์และอนินทรีย์บางอย่างที่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตโดยตรง ล้วนทำให้เกิดการลอยตายของปลาหรือสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำได้ทั้งสิ้น

นอกจากนี้การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัย ’สึนามิ“ ที่เพิ่งเกิดไปที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นก็อาจก่อให้เกิดการรั่วไหลของสารพิษที่ปกติจะถูกจำกัดอยู่บนบกลงสู่แหล่งน้ำได้ไม่ว่าจะเป็นสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือโรงไฟฟ้าปรมาณู และอาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ปลาลอยเป็นแพอีกได้เช่นกัน เพราะโดยทั่วไปการที่ปลาจะลอยตายขึ้นมาเป็นแพไม่น่าจะถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าสำหรับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ แต่พฤติกรรมของปลาหรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปต่างหากที่หากเราสังเกตดี ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ แต่การตายของปลาจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นถ้าจะโยงให้เข้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติน่าจะเป็นผลสืบเนื่องหลังจากภัยพิบัติดังกล่าวมากกว่า แต่ไม่ใช่ทุกกรณี เช่น ภายหลังจากการเกิดภัยพิบัติ สึนามิแล้วคลื่นของน้ำได้มีการพัดพาเอาสารแปลกปลอมที่เป็นพิษต่อปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในท้องทะเลจากเดิมที่อาจจะถูกจำกัดอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมบนแผ่นดินลงไปปนเปื้อนในทะเล ซึ่งสารดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบโดยฉับพลันต่อชีวิตของปลาเป็นจำนวนมากได้

สำหรับสาเหตุอีกประการของการตายอย่างฉับพลันของปลาในแหล่งน้ำที่เกิดได้จากการขาดออกซิเจน คือปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในน้ำต้องการออกซิเจนในการหายใจเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นเมื่อแหล่งน้ำขาดออกซิเจนสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ การที่ปริมาณออกซิเจนในน้ำ (ค่า DO หรือ Dissolved Oxygen) นั้นจะลดลงอย่างรวดเร็วมักเกิดจากการบูมของแบคทีเรียในแหล่งน้ำนั้น ๆ ซึ่งเมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตก็จะใช้ออกซิเจนในน้ำ แต่เพราะแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้เร็วกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในแหล่งน้ำนั้นจึงทำให้ปริมาณออกซิเจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่ในสภาพขาดออกซิเจนไปโดยปริยายและตายในที่สุด

หากเราวิเคราะห์ลงไปอีกถึงปัจจัยที่ทำให้แบคทีเรียนั้นบูมได้ก็จะพบว่าต้นเหตุอาจจะมาจากน้ำมือมนุษย์อีกเช่นกัน เพราะการที่แบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีนั้นต้องอาศัยสารอินทรีย์ที่เป็นแหล่งคาร์บอนและไนโตรเจน โดยที่มาของสารอินทรีย์เหล่านี้อาจเกิดจากน้ำทิ้งที่ปราศจากการบำบัดของโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งโดยตรง หรืออาจเกิดภายหลังการบูมของสาหร่ายหรือตะไคร่น้ำบางชนิด โดยเมื่อบูมถึงขีดสุดประชากรสาหร่ายหรือตะไคร่น้ำก็จะตายไปและกลายเป็นแหล่งอาหารให้กับแบคทีเรีย

การบูมของตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายนั้นมักเกิดจากการที่มีสารอนินทรีย์ในแหล่งน้ำนั้น ๆ ในปริมาณมาก ซึ่งเปรียบได้กับการเติมปุ๋ยให้กับพืชขนาดเล็กเหล่านั้น โดยที่มาที่ไปของสารอนินทรีย์ในแหล่งน้ำดังกล่าวก็ไม่พ้นฝีมือมนุษย์อีกเช่นกัน อาจมาจากการปนเปื้อนของปุ๋ยเคมีจากการทำเกษตรกรรม การทิ้งน้ำซักล้างซึ่งเป็นแหล่งของสารฟอสเฟต หรือการปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมลงในแหล่งน้ำ นอกจากนี้การปนเปื้อนน้ำมันดิบที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุของเรือบรรทุกน้ำมันก็อาจก่อให้เกิดการปกคลุมผิวน้ำเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดภาวะการขาดออกซิเจนในน้ำได้เช่นกัน

ดังนั้นจะเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มนุษย์ได้ทำลงไปล้วนส่งผลไม่ทางตรงก็ทางอ้อมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ยิ่งประกอบกับภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาหลักของโลกแล้ว สิ่งแวดล้อมของเรากำลังอยู่ในจุดที่เปราะบางมาก อีกทั้งยังเกิดพิบัติภัยมาช่วยซ้ำเติมเร่งสารพิษให้สภาพแวดล้อมยิ่งแย่ลงไปอีก ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรจะเอาจริงเอาจังและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะแหล่งตามธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อช่วยกันบำรุงรักษาให้อยู่กับเราไปชั่วลูกชั่วหลาน.

.....................

พิษภัย 'สารกัมมันตรังสี' รั่วไหลลงทะเล

หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น กรณีที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดนี้ หากมีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมาแน่นอนว่าย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล แต่จะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับของปริมาณสารกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนลงไปในมหาสมุทร ถ้าเกิดขึ้นในปริมาณไม่มากนัก การตายของประชากรปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยฉับพลันก็อาจไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามีการปนเปื้อนรุนแรงก็สามารถทำให้เกิดการลอยตายของปลาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน อย่างในกรณีของประเทศญี่ปุ่น ถ้าภายหลังพบการลอยตายของปลาใกล้กับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ก็ถือเป็นการเตือนภัยได้อย่างดีว่ามีการปนเปื้อนในระดับที่รุนแรงพอสมควร อาจต้องเตือนภัยถึงเรื่องการบริโภคสัตว์ทะเล รวมถึงในเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ต้องรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน.

...................
ที่มา เดลินิวส์
ทีมวาไรตี้

รู้จัก 'ไม้ประดับดูดสารพิษ'!

ทางเลือกคนใช้ชีวิตในอาคาร

ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่หน้าโต๊ะทำงานมากกว่าที่บ้าน ที่อยู่อาศัยก็ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ใช้ชีวิตแข่งกับเวลา และวิถีชีวิตที่ต้องการความสะดวกสบาย จึงนิยมอาศัยอยู่ตามอาคารไม่ว่าจะเป็น แฟลต คอนโดมิเนียม หอพัก หรือไม่ก็อพาร์ตเมนต์...

ประเด็นที่เป็นปัญหาตามมาก็คือ การลืมให้ความสำคัญในเรื่องของสภาพแวดล้อม หรือสิ่งแปลกปลอมที่ปะปนมากับอากาศที่ไม่มีการถ่ายเท ไม่ว่าจะเป็นการสะสมของฝุ่นละออง และสิ่งสกปรก เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมทั้ง สารพิษที่ปล่อยออกมาจากข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยของร่างกาย ที่เกิดจากอากาศภายในอาคารมีคุณภาพไม่ดีพอ!!

ทั้งนี้ ทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถป้องกันได้ ก็คือ การปลูกต้นไม้ดูดสารพิษไว้ในอาคาร โดยต้นไม้กลุ่มนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษช่วยดูดซับสารพิษ เปรียบเสมือนเครื่องกรองอากาศจากธรรมชาติชั้นเยี่ยม ที่สามารถตั้งวางไว้ภายในอาคารได้ โดยที่ไม่แย่งอากาศหายใจของคนด้วย..??

ผศ.ดร.พัชรียา บุญกอแก้ว อาจารย์ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความรู้ว่า ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าต้นไม้มีคุณประโยชน์มากมายด้วยกัน นอกจากในด้านปัจจัยสี่แล้ว ต้นไม้ยังให้ความร่มรื่น ทั้งสีเขียวที่ดูแล้วสบายตา หรือจะเป็นกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับที่มีสีสันของดอกและใบที่สดใส

นอกจากนี้ ยังสามารถนำต้นไม้มาใช้ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมได้ด้วย อาทิ การนำมาใช้เพื่อบดบังสายตาภายในบ้าน อีกทั้ง ต้นไม้ยังช่วยกันฝุ่นละออง หรือบางครั้งก็สามารถนำต้นไม้มาช่วยในเรื่องของการกรองเสียง เพื่อลดเสียงที่ดังมากจนเกินไปได้

ประโยชน์ที่สำคัญของต้นไม้ที่คนเรามักจะมองข้ามกันไป นั่นคือ ต้นไม้ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศ การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชนี้ เป็นการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในก๊าซที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือ ภาวะโลกร้อน ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน ดังนั้น ทำให้มองได้ว่านี่เป็นคุณสมบัติอีกคุณสมบัติหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของต้นไม้ ซึ่งช่วยลดมลพิษได้

“การนำต้นไม้มาปลูกในอาคาร หรือวางประดับในห้องทำงาน สำนักงาน ที่มีสภาพแสงน้อยนั้น สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึง คือ การเลือกชนิดพืช ควรเป็นพืชที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนทานต่อสภาพแสงน้อย หรือ สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพภายใต้แสงจากหลอดไฟ เช่น พืชกลุ่มไม้ประดับ จากงานวิจัย พบว่า มีความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี เมื่ออยู่ในสภาพแสงน้อย แต่พืชกลุ่มไม้ดอกส่วนใหญ่ มีประสิทธิภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี เมื่อปลูกในสภาพ แสงแดดจัด จึงไม่ควรนำมาปลูกเลี้ยงภายในอาคาร”

ผศ.ดร.พัชรียา กล่าวต่อว่า พืชในกลุ่มไม้ประดับมีความหลากหลายแตกต่างกันทั้งในเรื่องชนิดพันธุ์ ขนาดทรงต้น สีสัน รูปร่างและขนาดของใบ จากการทำวิจัยโดยการนำต้น
อโกลนีม่า หรือ แก้วกาญจนา ที่ใบมีสีและลวดลายแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพู หรือ สีเขียวด่างขาว วางประดับภายในอาคารที่มีแสงน้อยมาก พบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ที่นำเข้าไปไว้ในอาคารต้นไม้จะเกิดสภาวะเครียด โดยจะมีประสิทธิภาพการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง เพราะอยู่ในสภาพที่มีแสงจำกัด

“แต่หลังจากนั้น ต้นไม้จะเริ่มมีการปรับตัว โดยในสัปดาห์ที่ 4-8 ต้นไม้จะมีความทนทานต่อสภาพแสงน้อย และสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าในช่วง 2 สัปดาห์แรก จึงจะเห็นได้ว่าไม่ว่าต้นไม้นั้นจะมีใบสีเขียว แดง ชมพู หรือ ด่างขาว ก็มีความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เช่นกัน เพียงแต่ใบสีเขียวจะมีประสิทธิภาพการดูดซับได้สูงกว่าใบสีอื่น ๆ”

สำหรับพืชที่จะช่วยกำจัดสารพิษในอาคารนั้น มีงานวิจัยของ ดร.บี.ซี. วูฟเวอร์ตัน (Dr. B.C. Wolverton) ซึ่งเป็นนักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยอวกาศนาซา สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยมาเป็นเวลากว่า 25 ปี จนค้นพบความสามารถ และประสิทธิภาพของไม้ประดับในการกำจัดสารพิษหรือมลพิษในอากาศได้ ไม่ว่าจะเป็น เบนซิน ฟอร์มาดีไฮด์ แอมโมเนีย ไซลีน ทูลีน รวมทั้งไอเสียที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งต้นไม้ที่ ดร.บี.ซี. วูฟเวอร์ตันแนะนำนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพืชในเขตร้อนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกกันโดยทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ถึงคุณสมบัติในการดูดสารพิษของไม้ประดับเหล่านี้

โดยในกลุ่มไม้ประดับที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารได้ดี จากการวิจัย พบว่า ช่วยฟอกอากาศได้ จะเป็น ว่านห่างจระเข้ เป็นต้นไม้ที่มีลำต้นไม่สูงมากนัก ใบมีลักษณะอวบน้ำ สีเขียว โคนใบจะมีขนาดใหญ่และจะเล็กเรียวขึ้นไปยังปลายใบ ขอบใบจะมีลักษณะหยักคล้ายกับหนาม เมื่อหักใบดูจะมีลักษณะเป็นวุ้นเมือกหางจระเข้ สาวน้อยประแป้ง มีใบที่ใหญ่ มีทั้งสีเขียวแก่และอ่อน สีเหลืองอ่อน มีลายแต้มสีขาวหรือเหลืองอ่อนบริเวณใบ จึงได้ชื่อว่า สาวน้อยประแป้ง

ยังมี พลูด่าง ซึ่งเป็นไม้เลื้อย สามารถปลูกได้ทั้งในดินและในน้ำ ชอบแสงสว่าง ถ้านำไปปลูกในออฟฟิศก็สามารถใช้แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์แทนได้ ที่นิยมคือนำมาใส่แจกันหรือแขวนเป็นระย้า ยางอินเดีย ลักษณะใบจะหนาปลายแหลมสีเขียวเข้มเป็นมัน ถ้าเกิดมีบาดแผลขึ้นไม่ว่าส่วนใดของลำต้นจะมีน้ำยางสีขาวข้นไหลออกมาทันที

ไทรใบใหญ่ หากปลูกในอาคารให้วางในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึงจะเติบโตได้ดี มรกตแดง เป็นพืชไม้เลื้อย มีใบที่ค่อนข้างใหญ่สีเขียวอมแดงเป็นมัน กวักมรกต แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว สามารถอยู่ได้ในที่แสงน้อย ลักษณะใบเป็นมัน ขยายพันธุ์โดยการแตกกอและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตีนตุ๊กแกฝรั่ง หรือที่รู้จักกันว่า ต้นไอวี่ สามารถปรับตัวให้อยู่ในที่มีแสงรำไร ฟิโลใบหัวใจ เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยเถาเล็ก มีลักษณะเด่นที่ใบรูปหัวใจสีเขียวสวยงาม และ เดหลี ใบมีสีเขียวเข้ม มันเป็นเงาวาว ดอกจะเป็นกาบหุ้มช่อดอกสีขาวมีลักษณะคล้ายดอกหน้าวัว

ส่วนไม้ประดับที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสารพิษ ช่วยดูดซับสารพิษ 4 ชนิด ซึ่งได้แก่ ฟอร์มาดีไฮด์ ไตรคลอโร-เอทธิลีน เบนซีน และคาร์บอนมอนอกไซด์ ในอาคารได้ดี ประกอบไปด้วยไม้ประดับ 11 ชนิดด้วยกัน คือ ปาล์มไผ่ เป็นปาล์มที่มีขนาดเล็กเจริญเติบโตช้า ใบมีลักษณะอ่อนช้อย สามารถอยู่ในที่แสงน้อยได้เป็นเวลานาน ๆ เขียวหมื่นปี เป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงาม สีเขียวตลอดทั้งปี สามารถเจริญเติบโตได้แม้อยู่ในที่แสงน้อย มีความทนทานต่อสภาพที่มีความชื้นต่ำ
ได้ดี

นอกจากนี้ ยังมี ตีนตุ๊กแกฝรั่ง และเยอร์บีร่า เป็นไม้ประดับที่คงทนและอยู่ได้นาน ให้ดอกที่มีสีสันสดใส ไม่ว่าจะเป็น สีแดง ส้ม เหลือง ชมพู ขาว รวมถึง วาสนา จันผาขอบแดง อีกทั้งยังมี วาสนาอธิษฐาน เป็นไม้คงทนอยู่ได้แม้ในที่มีแสงสว่างน้อย ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวเรียวยาวปลายแหลม ออกดอกเป็นช่อสีเหลือง ลิ้นมังกร สามารถอยู่ได้นานเป็นเดือนโดยที่ไม่ต้องรดน้ำ เป็นไม้โตช้า

ยังมี เบญจมาศ เป็นไม้ดอกที่มีรูปทรงสวยงาม สีสันสดใส ปลูกเลี้ยงง่าย และมีหลายพันธุ์ให้เลือก ตลอดจนเป็นไม้ดอกที่สามารถจะกำหนดเวลาบานของดอกได้อีกด้วย เดหลี เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย ที่คายความชื้น และ วาสนาราชินี ใบเป็นใบเดี่ยวเรียวยาวปลายแหลมที่แตกออกจากลำต้น ส่วนยอดเรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นวงกลม ออกดอกเป็นช่อมีทั้งสีขาวหรือเหลืองอ่อน

ผศ.ดร.พัชรียา กล่าวถึงคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชให้ฟังว่า พืชแต่ละชนิดมีความสามารถในการดูดซับก๊าซภายในอาคารได้แตกต่างกัน หรือ มีรูปแบบการสังเคราะห์แสงที่ต่างกัน โดยแบ่งพืชได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ พืชซีสาม (C3 plant) พืชซีสี่ (C4plant) และพืชแคม (CAM plant)

มีหลักการพิจารณา คือ พืชทั่ว ๆ ไปที่เราเห็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ผัก ส่วนใหญ่จะเป็นพืชซีสาม ส่วนพืชซีสี่ ส่วนใหญ่เป็นพืชไร่ เช่น อ้อย ข้าวโพด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะมีการเปิดปากใบในช่วงกลางวัน เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาจากการ
กระบวนการสังเคราะห์แสง ส่วนในช่วงกลางคืนปากใบจะหรี่ลง พืชจะมีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการหายใจ

นอกจากไม้ประดับที่ ดร.บี.ซี. วูฟเวอร์ตันได้กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีไม้ประดับอีกหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอาคารได้ดี สังเกตได้จากต้นไม้นั้นจะมีการเจริญเติบโตดีในสภาพแสงน้อย

แต่พืชอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า แคม พืชกลุ่มนี้จะเป็นพืชที่ทนแล้ง ขึ้นตามทะเลทราย มีการปรับตัวเพื่อลดการคายน้ำหรือการสูญเสียน้ำออกจากต้น โดยการปิดปากใบเวลากลางวัน และเปิดปากใบเวลากลางคืน เพื่อจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปเก็บสะสมไว้ เมื่อรุ่งเช้าเริ่มมีแสง พืชจะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เก็บไว้มาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงต่อไป พืชในกลุ่มนี้ เช่น กระบองเพชร กวักมรกต ลิ้นมังกร สับปะรดสี ว่านหางจระเข้ รวมทั้งกล้วยไม้ที่มีใบหนาบางชนิด เช่น สกุลหวาย แวนด้า ช้าง ม็อคคาร่า ฟาแลนน็อปซิส เป็นต้น

ผศ.ดร.พัชรียา พูดถึงความปลอดภัยว่า ด้วยคุณสมบัติของพืชแคม ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืนได้ดี เราจึงสามารถนำต้นไม้กลุ่มนี้มาปลูกภายในอาคาร เช่น ภายในห้องนอน หรือ พื้นที่ที่มีการใช้งานเวลากลางคืน แต่เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงต้นไม้ที่มีหนาม เช่นกระบองเพชร มาวางประดับ

อย่างไรก็ตาม ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีประโยชน์ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ อย่างน้อยคนละต้น เพื่อช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อม และช่วยกันอนุรักษ์ต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยสร้างความสมดุลของธรรมชาติได้.

@@@@@

การดูแลรักษาไม้ประดับภายในอาคาร

1. แสง ควรเลือกวางบริเวณที่ได้รับแสงจากทางหน้าต่างหรือประตู เพื่อยืดอายุการวางประดับ หรืออย่างน้อยควรอยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงจากหลอดไฟ ไม่ควรวางต้นไม้ใกล้หลอดไฟมากเกินไป เพราะใบอาจได้รับความเสียหายได้ ในเรื่องของแสง สังเกตได้จากอาการของต้นไม้ ถ้าแสงไม่เพียงพอ ต้นจะยืดยาว ใบมีขนาดเล็กลง ใบล่างเหลืองร่วง เป็นต้น

2. น้ำ ไม่ควรให้น้ำบ่อยเหมือนกับต้นไม้ที่ปลูกนอกอาคาร เพราะพืชจะมีการสูญเสียน้ำที่ค่อนข้างน้อยกว่าการปลูกภายนอกอาคาร การปลูกจึงต้องใช้การสังเกต ไม่ให้วัสดุปลูกเปียกหรือแห้งจนเกินไป อาจให้ประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง ขึ้นกับชนิดของพืช หรือใช้นิ้วสัมผัสที่วัสดุปลูกเพื่อตรวจดูความชื้น หลักการ คือ ให้วัสดุมีความชื้นแต่ไม่แฉะ เพราะอาจจะทำให้รากเน่าได้ ในกรณีที่ไม่อยู่บ้าน หรือไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน อาจจะหล่อน้ำไว้ในจานรอง ก็จะช่วยให้พืชได้รับน้ำอย่างต่อเนื่อง

3. ปุ๋ย โดยส่วนใหญ่ต้นไม้ที่วางประดับหรือปลูกภายในอาคาร จะเจริญเติบโตช้า เพราะต้นไม้มีการสังเคราะห์แสงหรือสร้างอาหารได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรให้ปุ๋ยในปริมาณที่น้อยกว่าสภาพที่ปลูกภายนอกอาคาร โดยอาจให้ปุ๋ยทางใบ หรือปุ๋ยเม็ดละลายช้า ในปริมาณที่ขึ้นกับชนิดพืชและขนาดกระถางที่ใช้ปลูก เช่น ต้นไม้ปลูกในกระถางขนาด 6 นิ้ว อาจใส่ปุ๋ยเม็ดละลายช้าประมาณครึ่งช้อนชา โดยหยอดหลุมหรือโรยรอบ ๆ ต้นไม้ก็ได้

4. วัสดุปลูก วัสดุปลูกที่เหมาะสมกับไม้ประดับในอาคารควรยึดหลักที่ว่าต้องโปร่ง ระบายน้ำได้ดี มีน้ำหนักเบา อาจใช้กาบมะพร้าวสับมาเป็นส่วนผสมของวัสดุปลูก เพื่อช่วยในเรื่องของการระบายน้ำ และดูดซับความชื้น ไม่ควรใช้ดินเหนียว เพราะมีน้ำหนักมากและระบายน้ำไม่ดี สิ่งที่ตามมา คือ พืชดูดน้ำไปใช้ได้ยาก ทำให้รากเจริญเติบโตได้ไม่ดี เมื่อรากเติบโตได้ไม่ดี ส่วนของต้นก็จะเจริญเติบโตไม่ดีตามไปด้วย
รู้จัก 'ไม้ประดับดูดสารพิษ'!
ที่มา เดลินิวส์

กัดดินสอแก้ปวดหัว?

มีผู้อ่านส่งคำถามว่า มีบุตรกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลแต่มีมักจะชอบหยิบด้ามดินสอเข้าปาก อมไว้เฉยๆ บ้าง หรือบางทีก็กัด ผู้อ่านสงสัยว่า เด็กที่มีพฤติกรรมเช่นนี้แสดงว่ากำลังเครียดใช่หรือไม่?

ประเด็นนี้สามารถใช้คำอธิบายจากนายแพทย์เฟรด เชฟเทล ผู้อำนวยการบริหารศูนย์บำบัดอาการปวดศีรษะในสแตมฟอร์ด รัฐคอนเนคติคัท สหรัฐ บอกว่า แม้ในขณะนี้ยังเป็นที่แน่ชัดว่าพฤติกรรมการกัดดินสอเกิดจากความเครียดจริงหรือไม่

แต่การศึกษาเรื่องนี้ทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆ คือ การหยิบเอาดินสอเข้าปาก วางไว้ระหว่างฟันบนกับฟันล่าง โดยไม่ออกแรงกัด สามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วงขากรรไกรที่วางตัวยาวไปถึงขมับ ซึ่งเป็นบริเวณที่ทำให้รู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยๆ ให้เกิดการผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วงดังกล่าว ส่งผลให้อาการปวดลดลงได้ แต่ถ้าปวดหัวเพราะไมเกรนนั้น วิธีนี้ไม่สามารถช่วยได้

หลังจากทราบกันไปแล้ว ผู้ใหญ่วัยทำงานยามเครียดจนปวดหัวจะคว้าดินสอเข้าปากไปเป็นตัวขั้นฟันบน-ล่าง เพื่อคลายกล้ามเนื้อเห็นจะดูเพี้ยนๆ ไป โดยคุณเชฟเทลแนะนำให้ประยุกต์วิธีการนี้โดยไม่ต้องพึ่งดินสอ หากปวดหัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็อย่ากัดฟัน อย่าให้ฟันบนและล่างสัมผัสหรือกระทบกันนั่นเอง

สำหรับผู้อ่านที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ สามารถส่งคำถามของท่านเข้ามาได้ที่ takecareDD@gmail.com แล้วเดลินิวส์ออนไลน์จะอาสาไปสอบถามคุณหมอผู้เชี่ยวชาญมาช่วยอธิบายให้ทุกวันศุกร์.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

กินอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน ทำให้คนส่วนใหญ่มีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ไม่เอื้ออำนวยต่อการเลือก เตรียมและประกอบอาหารด้วยตัวเอง บ่อยครั้งที่ต้องกินอาหารนอกบ้าน ได้รับพลังงานจากอาหารค่อนข้างสูง ประกอบกับการออกกำลังกายที่ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาโภชนาการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ โรคอ้วนและอ้วนลงพุง เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังที่พบบ่อยคือ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต

อาหารจานเดียว ขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาหารดังกล่าวมีหลากหลาย ทั้งที่ให้พลังงานต่ำ ปานกลาง และสูง การกินอย่างเหมาะสมจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันและควบคุมปัญหาสุขภาพดังกล่าว

อาหารจานเดียวควรประกอบด้วยสารอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วนในหนึ่งจาน โดยมีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50 ไขมันร้อยละ 30 และโปรตีนร้อยละ 20 ของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี โปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี ในขณะที่ไขมัน 1 กรัมให้พลังงานสูงถึง 9 แคลอรี ซึ่งพลังงานที่ท่านควรได้รับในแต่ละวันคิดจากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมคูณด้วย 30 หากท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม พลังงานที่ท่านควรได้รับคือ 50 คูณ 30 เท่ากับ 1,500 แคลอรี

การกินอาหารชนิดเดียวกัน อาจให้พลังงานแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านว่าเน้นส่วนประกอบใด มีวิธีการปรุงอย่างไร หากเป็นการผัดที่ใส่น้ำมันมาก ก็จะได้รับพลังงานจากไขมันมาก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับตัวท่านเองด้วย การเติมเครื่องปรุงของท่านยิ่งมาก ก็จะทำให้ท่านได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นอาหารจานเดียวหากเลือกอย่างเหมาะสม นอกจากจะให้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและสะดวกในการบริโภคอีกด้วย

ขนมขบเคี้ยว เป็นอาหารกินเล่นระหว่างมื้ออาหารหลัก การกินขนมขบเคี้ยวจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรจำกัดปริมาณ โดยเฉพาะกลุ่มที่ประกอบไปด้วย แป้ง น้ำตาล เกลือ และไขมัน ส่วนกลุ่มที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ ท่านสามารถเลือกกินได้แต่ต้องระมัดระวังเรื่องไขมัน คอเลสเตอรอล และโซเดียม ดังนั้นในการเลือกซื้อหรือกินขนมขบเคี้ยว ควรอ่านฉลากโภชนาการ โดยท่านสามารถเปรียบเทียบข้อมูลบนฉลากโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพลังงาน ไขมัน คอเลสเตอรอล น้ำตาลและโซเดียม

สำหรับเครื่องดื่มก็มีหลายประเภท เช่น นม การพิจารณาว่าจะเลือกนมชนิดไหน ควรดูที่ส่วนประกอบของนมเป็นหลักคือ โปรตีน แคลเซียม ไขมันจากนม ส่วนน้ำตาลที่เติมลงไปในนมปรุงแต่งและนมเปรี้ยว ควรระมัดระวังในผู้ที่อ้วนและน้ำหนักเกิน และท่านที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรดื่มนมพร่องไขมัน

เครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ อันที่จริงคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้สดมีมากกว่า แต่หากต้องเลือกน้ำผลไม้ สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือเปอร์เซ็นต์ของน้ำผลไม้ หากเป็น 100% จะดีที่สุด สำหรับวิตามินและแร่ธาตุ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ำผลไม้ ยิ่งความเข้มข้นมาก เช่น น้ำส้มคั้น 100% จะให้ประโยชน์มาก สิ่งที่ควรคำนึงถึงสำหรับน้ำผลไม้สำเร็จรูปคือน้ำตาลที่เติมลงไป และโซเดียมที่มีอยู่มากในน้ำผลไม้บางชนิด หากบริโภคมากเกินไปอาจก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้

โดยสรุป ข้อแนะนำในการบริโภคอาหาร มีดังนี้

1. ทานอาหารให้หลากหลาย หากมีอาหารประเภทปลา เช่น ปลาทู ปลาดุก ปลาสวาย ซึ่งมีโอเมก้า-3 ช่วยปกป้องสมอง อีกทั้งผักผลไม้สดควรทานเป็นประจำ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงเช่น หมูสับ กระดูกหมู หนังหมู เป็นต้น ควรทานอาหารที่ใส่กะทิ หรือปรุงโดยวิธีการผัดหรือทอดในปริมาณที่จำกัด เพราะมีปริมาณไขมันสูงมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอด ปาท่องโก๋ โดนัท และต้องจำกัดขนมหวานจัดและอาหารประเภทแป้ง ซึ่งมีผลให้ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

2. การทานอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายไม่หิวมากในช่วงบ่ายแล้ว ยังควบคุมปริมาณอาหารในมื้อเย็นให้ทานน้อยลงได้

3. อาหารมื้อเย็น ควรทานให้ห่างจากเวลาเข้านอนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เช่น หากเข้านอนเวลาสามทุ่ม ควรทานอาหารมื้อเย็นไม่เกินหกโมงเย็น เนื่องจากขณะหลับ ร่างกายพักผ่อน การย่อยอาหารมีน้อยมาก ทำให้เกิดการสะสมไขมันหน้าท้องมากขึ้น

4. เลือกประเภทของอาหารที่ให้พลังงานเหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่โดยทั่วไปจะให้พลังงานสูงกว่าเส้นเล็ก เส้นหมี่หรือวุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวแห้งให้พลังงานสูงกว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำ เนื้อหมูและเนื้อวัวให้พลังงานสูงกว่าเนื้อไก่และปลา

5. การทานอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจ ควรเลือกที่มีปริมาณแป้งและไขมันแต่พอควร

6. ชิมอาหารก่อนปรุงรสทุกครั้ง ไม่ติดอาหารรสจัด

7. ดื่มน้ำให้พอเพียง อย่าลืมว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล จะทำให้ท่านได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่ม เช่นกาแฟบางชนิด ให้พลังงานสูงใกล้เคียงกับอาหารหนึ่งจานที่ท่านทาน

ข้อแนะนำในการบริโภคอาหารดังกล่าวนี้ หากปฏิบัติร่วมกับการออกกำลังกาย จะช่วยให้ท่านมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี.

รศ.ดร.นพวรรณ เปียซื่อ
ที่มา เดลินิวส์

6 วิธีหนีสิว

สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ใครจะอยากให้มีเม็ดหนองอักเสบอยู่บนใบหน้า ลอง 6 วิธีเพื่อหลีกไกลสิวแบบไม่ทำร้ายผิวที่ทำได้เองที่บ้าน

สิวเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติทางฮอร์โมน รูขุมขนอุดตันและการติดเชื้อ ซึ่งแต่ละสาเหตุก็ต้องใช้วิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน

อาจแก้ปัญหาด้วยการ“สครับ” เนื่องจากการสครับผิวหน้าเป็นประจำจะช่วยให้สภาพผิวดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ต้องดูด้วยว่าผิวของตัวเองเป็นแบบไหน หากเป็นผิวบอบบางแพ้ง่ายและเป็นสิวง่ายก็ควรจะใช้สครับที่อ่อนโยนต่อผิวและสครับเบาๆ ไม่เกินสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าจะสภาพผิวแบบใดก็ไม่ควรจะเริ่มต้นสครับผิวหน้าแรงๆ และต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำร้ายผิว เพื่อป้องกันการระคายเคือง เพราะเป้าหมายของการสครับผิวคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอยู่ส่วนบนสุดของผิวและขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนเท่านั้น

หรือลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเรตินอยด์ หรือสารกลุ่มกรดวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดีและช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย โดยใช้เป็นประจำทุกวัน แต่มีข้อควรระวังคือผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะมีความเข้มข้นและรุนแรงต่อผิว จึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกรก่อนใช้

ส่วนคนที่ผิวแห้งไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้าในตอนเช้า ใช้เพียงน้ำสะอาดก็เพียงพอ หากตอนเย็นล้างหน้าสะอาดแล้วอยู่แต่บ้านโดยไม่ได้ออกไปสัมผัสกับฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ไหน ยกเว้นรู้สึกว่าหน้ามัน เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไปทำให้ผิวหนังแห้งตึง ก่อให้เกิดสิวได้

ข้อสำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดเมื่อออกนอกบ้าน เพราะแสงอาทิตย์จะทำให้ผิวแห้ง และร่างกายก็จะชดเชยโดยการผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้ผิวมัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว

สิวบางชนิดอาจเกิดจากฮอร์โมนที่ผิดปกติ จึงรักษาได้ด้วยการทานยาคุมกำเนิด แต่ต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพราะหากวิธีรักษาไม่ตรงกับสาเหตุของโรค นอกจากจะไม่หายจากการเป็นสิวแล้วยังไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

สำหรับสาวๆ ที่แต่งหน้าเป็นประจำ หรือผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะและฝุ่นควันในอากาศ ให้ใช้ฟองน้ำสำหรับล้างหน้า เพราะจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกต่างๆ ทำให้ผิวหน้าสะอาด

ที่ลืมไม่ได้เลยคือต้องออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และทานน้ำมากๆ รักษาความสะอาดใบหน้าอยู่เสมอ เพราะถึงจะมองไม่เห็นแต่แบคทีเรียมีอยู่ทุกที่และสามารถทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดสิวได้ทุกเมื่อ

dnshopaholic@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

สูตรเด็ด น้ำผักผลไม้บำรุงสายตา

'กินดี' สัปดาห์นี้ต่อเนื่องเรื่องดวงตา ด้วยน้ำดื่มสูตรที่ช่วยบำรุงสายตา จากผักและผลไม้ที่หาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง โดยสูตรนี้เลือกใช้ ผักและผลไม้ 4 ชนิด อย่าง แครอต แคนตาลูป หัวไช้เท้า และผักกาดหอม ซึ่งคุณค่าของผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยเสริมเติมเต็มความแข็งแรงให้ดวงตา

อย่าง 'แครอต' อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน หากสกัดเป็นน้ำยังจะมีซัลเฟอร์ และคลอรีน ล้วนแล้วแต่ดีต่อสายตา รวมกับคุณค่าของ 'แคนตาลูป' ที่เปี่ยมไปด้วยกรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกำมะถัน พร้อม 'หัวไช้เท้า' ซึ่มีวิตามินเอ แคลเซียม ไนอาซิน ช่วยล้างพิษได้ดี แถมท้ายด้วย 'ผักกาดหอม' มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง

ก่อนลงมือทำ เตรียมผักและผลไม้ตามส่วนต่อไปนี้..

หัวไช้เท้า ครึ่งถ้วย
ผักกาดหอม 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
แคนตาลูป 2 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ ให้หั่นหัวไช้เท้าและผักกาดหอมเป็นชิ้นหยาบๆ ส่วนแครอตให้ขูดออกเป็นเส้นเล็กๆ ขณะที่แคนตาลูปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ได้.

takecareDD@gmail.com
ที่มาทีมเดลินิวส์ออนไลน์

ประโยชณ์ของลูกพลัมและองุ่นม่วง ล้างพิษต้านมะเร็ง

ไหนๆ สัปดาห์นี้ก็เน้นหนักนำเสนอเรื่องของน้ำที่ดื่มกินเข้าไป 'มุมสุขภาพ-กินดี' ขอส่งท้ายด้วย น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษให้ร่างกาย และต้านโรคมะเร็ง โดยอาศัยสรรพคุณจาก 'ลูกพลัม และ องุ่น' ที่ธรรมชาติมอบให้เป็นตัวช่วยลดพิษภัยให้กับสุขภาพ

ลูกพลัม หรือบางคนเรียก ลูกไหน หากนำไปตากแห้ง ก็จะเปลี่ยนชื่อเรียกไปเป็น ลูกพรุน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ทำให้การสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันต้านแบคทีเรีย ทั้งยังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง เสริมระบบขับถ่าย

สำหรับ องุ่น เป็นตัวช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญ ช่วยล้างพิษ คุมน้ำหนัก เพราะมีกรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก ฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก รวมทั้งวิตามินบี 1 บี 2 และซี นั่นเอง

ส่วนผสม ประกอบด้วย...

ลูกพลัม 1 ถ้วย
องุ่นม่วง 1 ถ้วย


หลังจากล้างทำความสะอาดผลไม้ทั้งสองชนิดเรียบร้อยแล้ว ให้ผ่าครึ่งองุ่นโดยไม่ต้องคว้านเมล็ดออก ส่วนลูกพลัมให้หั่นเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ไปสกัดพร้อมกันเพื่อเอาเฉพาะน้ำ ก่อนดื่มสามารถเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นชื่นใจ ซึ่งควรดื่มทันทีหลังสกัดน้ำเสร็จใหม่ๆ.

takecareDD@gmail.com
ที่มาทีมเดลินิวส์ออนไลน์

10 ของใช้ใกล้ตัว ให้ระวังน่ากลัวติดโรค

สุขภาพที่เจ็บป่วยอย่างไม่รู้สาเหตุ แท้ที่จริงไม่ต้องคิดหาคำตอบให้ยาก เพราะต้นตอกลับอยู่ที่ของใช้ใกล้ตัว ที่ผู้ใช้ขาดการรักษาความสะอาด

ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพต้องลองอ่าน 10 ของใช้ติดตัว น่ากลัวติดโรค โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า เกิดเป็นคนแม้ไม่พ้นเชื้อแต่ก็พยายามช่วยลดมันลงได้แค่เพียงไม่มองข้าม “ของติดตัว” และ “ของใกล้ตัว” ที่น่ากลัวได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าดังต่อไปนี้ครับ

เริ่มจาก "คอนแทคเลนส์" ติดตัวติดที่ตา ขออย่าใส่นอนข้ามคืนหรือแม้เป็นชนิดที่ใส่นอนได้ก็ไม่ควรอยู่ดีเพราะกระจกลูกตามีอาหารกินอยู่ทางเดียวคืออากาศ ด้วยมันปราศจากเส้นเลือดเลี้ยงจึงเป็นของที่ควรเปิดโล่งให้รับลมจะดีกว่าครับ

ต่อด้วย "หมวกกันน็อค" กับที่คาดผม ของติดศีรษะที่นำสิวมาให้ได้ โดยเฉพาะในหมวกกันน็อค ส่วนที่คาดผมหรือที่รัดผมนั้นจะทำให้ผมร่วงง่ายกลายเป็นคนผมบางไปโดยไม่รู้ตัว ขอให้ใช้หมวกกันน็อคตากแดดบ้าง ส่วนที่รัดผมขอพักไว้เวลาวันหยุดบ้างก็ได้ครับ

รวมถึง "เหล็กดัดฟัน-ฟันปลอม" ของที่ติดอยู่ในช่องปากเช่นนี้ดึงเข้าดึงออกแต่ละทีก็เหมือนเติมเชื้อใส่เข้าไป เป็นของที่มีซอกมุม ทำความสะอาดยาก หากไม่แน่ใจเสียแล้วก็จะทำให้เชื้อสะสมอยู่ที่เหงือกกลายเป็นโรคคลาสสิกอย่างรำมะนาดหรือปริทนต์ได้

"สร้อยคอ สร้อยแขน" ของที่แสนใกล้ตัวและราคาแพงเช่นนี้ไม่ได้การันตีความไม่ป่วย ด้วยสร้อยที่เป็นโลหะจำพวก “นิเกิล” และ “โรเดียม” มีโอกาสกระตุ้นภูมิได้ในผู้ที่ไวต่อมันกลายเป็นผื่นแดงมีอาการคัน ส่วนในท่านที่ใส่สร้อยที่เป็นเชือกหรือวัสดุธรรมชาติก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้ดีตามเส้นใยที่ว่านั้นต้องระวังเชื้อรากันด้วย

มองข้ามไม่ได้ สำหรับ "กระเป๋าถือ" ไม่ว่าจะสะพายไขว้หน้าราคาเรือนแสนหรือกระเป๋าสตางค์ใบจ้อยกะร่อยกะหริบก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้พอกัน อย่าลืมว่ามันเป็นส่วนที่ต้องออกไปท่องโลกกว้างพร้อมกับตัวท่านทุกวัน แต่กลับไม่ค่อยได้อาบน้ำท่าทำความสะอาดเหมือนคน เพราะไม่อย่างนั้นหนังอาจเสื่อมเร็ว ดังนั้นควรระวังเรื่องความชื้นและกระเป๋าที่มีซอกหลืบเยอะให้ดี

คนที่ใช้ "มืออนามัย" แม้จะใส่เพื่อความสะอาดแต่ก็อาจป่วยได้โดยเฉพาะถุงมือยางที่เรียกว่า “ลาเท็กซ์” ทั้งในบุคคลากรแพทย์หรืออาชีพที่ต้องใส่ถุงมือทำงาน จะมีอาการ “แพ้” ได้กลายเป็นตุ่มใสบ้างแดงบ้างแถมคันคะเยอ หรือเผลอๆเหงื่อออกก็ได้เชื้อราแถมตามง่ามนิ้ว พอถึงเวลาถอดถุงมือออกมาดูพุพองน่าสยองไป

หรือแม้แต่ "นาฬิกาข้อมือ" ถือเป็นของติดตัวใส่กันตลอดทั้งในยามทำงาน,ออกกำลังกายหรือแม้ในเวลาอาบน้ำ ทำให้ซอกนาฬิกาเป็นบ้านอันผาสุกของเชื้อโรคได้ จึงอยากขอให้พักข้อมือบ้าง โดยการถอดนาฬิกาในเวลานอนและอาบน้ำเพราะนั่นคือช่วงที่เชื้อจะสะสมได้มากที่สุด รวมถึงแหวน,สร้อยและเครื่องประดับติดตัวอื่นด้วยนะครับ จะได้ทำให้เวลานอนคือเวลาพักผ่อนปลอดพันธนาการที่แท้จริง

ของติดผิวที่สำคัญ อย่าง "ชั้นในและกางเกงเข้ารูป" รัดจนหน้าตูบแถมยังทำให้เจ็บป่วยจากโรคอย่างกรดไหลย้อนในกรณีใส่เสื้อรัด หรือกดเส้นประสาทจนหน้าขาชาอย่างกรณีใส่กางเกงขาเดฟรัดติ้วแล้วยังมีกระเป๋าสตางค์กดอีก ส่วนในกรณีที่ร้อนจัดมีเหงื่อออก เครื่องรัดกายที่แน่นตัวเช่นนี้จะเรียกทั้งเชื้อราผิวหนังแล้วยังตกขาวในสาวๆได้อีกด้วย

ไม่ติดอันดับคงไม่ได้ สำหรับ "รองเท้า" เป็นแหล่งรวมดาวเชื้อโรคอย่างแท้จริงเพราะไปวิ่งไปเดินมาร้อยเอ็ดย่านน้ำแล้วพอถึงเวลากลับมาบ้านเหนื่อยก็ถอดทิ้งไว้เฉยๆรวมกันอยู่บนชั้นวาง หรืออย่างชีวิตชาวคอนโดฯที่ต้องใช้ที่ร่วมกันอย่างประหยัดก็ทำให้ชั้นวางเกือกแออัดราวกับมหกรรมย่อมๆซึ่งทำให้ชั้นวางรองเท้ากลายเป็นสวนสัตว์รวมเชื้อไปอย่างน่าตกใจ

สุดท้าย "อะไหล่กายเทียม" เช่น ข้อเข่าเทียม,ข้อสะโพกเทียม หรือหลอดลวดที่ไปถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ ล้วนแต่เป็นของที่มีอายุ แม้จะดูแลดีแค่ไหนก็ต้องมีวันเสื่อม ซึ่งอนัตตาแห่งอะไหล่มนุษย์เหล่านี้สั้นกว่าอวัยวะที่เป็นของออริจินัลดั้งเดิมอยู่มาก ด้วยว่าร่างกายจะสร้าง “ธาตุต้านของเทียม(Antibody)” ขึ้นมาทำให้เกิดปฏิกิริยาเสื่อมและเจ็บป่วยได้มากกว่าอวัยวะแท้ๆ

นอกจากนั้นยังมีของใกล้ตัวที่ใช้เฉพาะกิจอีกเช่น แว่นตา,ยาดมและผ้าเช็ดหน้าที่พาเชื้อโรคเช่นตาเจ็บ,ตาแดงและโรคหวัดมาได้ จะเห็นว่าของติดตัวและใกล้ตัวที่ว่ามานี้ถ้าใช้ดีมันก็จะเป็นส่วนส่งเสริมเราแต่ถ้าเผลอไปเมื่อไรมันก็อาจกลายเป็นพันธนาการแห่งชีวิตและเป็นพิษต่อตัวเราได้ ไม่เกี่ยวว่าเป็นของแพงของถูกแต่อย่างใดเลยครับ

@@@

ของใช้แต่ละชิ้น หากอยากให้อยู่กับเราไปนานๆ ไม่ชำรุดเสียหายง่ายๆ นอกจากจะใช้อย่างถนอมแล้ว การใส่ใจเรื่องความสะอาดก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืดอายุทั้งของที่ถูกใช้และคนที่ใช้ของเหล่านั้นด้วย.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

วิธีง่ายๆ...ปราบอารมณ์ร้ายของลูก

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงมีปัญหาหนักใจไม่น้อยที่ลูกของเรามักเป็นคนอารมณ์ร้าย ขี้โมโห ขี้โกรธ บางคนอาการหนักถึงขนาดชอบใช้กำลังระบายอารมณ์ไม่ว่าจะกับคน สัตว์หรือสิ่งของ ต่างโดนระเบิดลงกันถ้วนหน้า ในความเป็นจริงนั้นการมีอารมณ์ร้าย เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์ฉุนเฉียว เป็นสิ่งที่มนุษย์เราทุกคนมีอยู่ในตัวเองตามธรรมชาติ แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถควบคุมมันได้มากน้อยแค่ไหน และอยู่ที่ว่าอารมณ์ร้ายของเราก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเราเองหรือคนอื่นๆหรือไม่ เพราะหากใครที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ส่วนร้ายของตัวเองได้มากพอ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น การไม่เป็นที่รัก ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย บางอาจคนถูกต่อต้านจนไม่สามารถเรียนหรือทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ก็มี ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงอย่าได้นิ่งนอนใจหากลูกมีพฤติกรรมหรือมีอารมณ์ร้ายบ่อย ๆ จนน่ากลัวว่าจะติดเป็นนิสัย ต้องเร่งรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน

อย่างไรก็ตามการจะแก้ไขปัญหาใดได้อย่างถูกต้องคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ถึงสาเหตุของอารมณ์ร้าย ๆ ของลูกเสียก่อนว่าเกิดเพราะสาเหตุใด ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ อาจเกิดได้จาก

1. ครอบครัว อาจเกิดจากตัวคุณพ่อคุณแม่หรือคนในครอบครัวของลูกเองที่เป็นคนอารมณ์ร้าย ซึ่งเด็กสามารถซึมซับพฤติกรรมหรืออารมณ์ร้าย ๆ เหล่านี้ได้ง่าย ไม่แปลกที่บางครั้งเราอาจเคยเห็นว่าทำไมคนบ้านนี้ขี้วีน ขี้โมโหหรือขี้โวยวายทั้งบ้าน เพราะครอบครัวมักมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนได้มากที่สุดนั่นเอง ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในกรณีนี้คือ ผู้ใหญ่ในครอบครัวต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอารมณ์ของตนเองให้ได้ก่อน แล้วเด็ก ๆ เขาจะเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมตามได้เอง

2. สิ่งแวดล้อม เช่น การเลียนแบบพฤติกรรมจากตัวละครในทีวี การเล่นเกมหรือการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง การแก้ปัญหาในกรณีนี้คือ พยายามคัดกรองสื่อที่เหมาะสมและมีคุณค่าให้กับลูก

3. ตัวของเด็กเอง เด็กบางคนเมื่อถูกขัดใจมักจะแสดงอาการร้าย ๆ ออกมา เช่น อยากไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนแต่ถูกคุณพ่อคุณแม่ห้ามไม่ให้ไป หรืออยากแชทอยากคุยโทรศัพท์นาน ๆ ก็ถูกห้ามไม่ให้ทำ หรืออยากได้ของเล่นชิ้นนั้นแต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ซื้อให้ก็กรีดร้องชักดิ้นชักงอจนน่าตกใจ การแก้ปัญหาในกรณีนี้คือ อย่าตามใจลูกมากเกินไปและอย่าไปปิดกั้นจนลูกรู้สึกอึดอัด ให้เขาได้ทำอะไรตามสมัยบ้างแต่ให้อยู่ภายในขอบเขตและความพอดี เช่น คุยหากลูกอยากแชทก็แชทได้ แต่ต้องอยู่ในที่เปิดเผยและไม่ใช้เวลานานจนไร้สาระ

4. ความเจ็บป่วย เด็กบางคนอารมณ์ร้ายเพราะเจ็บป่วย ซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับคนป่วยทุกคนที่มักจะมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่เสมอ ยิ่งถ้าเป็นเด็กยิ่งน่าเห็นใจมาก เด็กบางคนน่าสงสารยิ่งกว่าเพราะอาจมีอารมณ์ร้ายโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เช่น บางคนอาจเจ็บป่วยในร่างกายมากแต่เขาไม่สามารถบอกเราได้ว่าเขาเป็นอะไรหรือเจ็บตรงไหน เขาก็จะรู้สึกอึดอัดจึงต้องระบายออกมาเป็นการแสดงออกที่ฉุนเฉียว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องค่อย ๆ สังเกตดูลูก โดยอาจถามลูกว่าไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ปวดหัวมั๊ยหรือปวดท้อง ปวดฟัน เจ็บที่นั่นมั๊ย เจ็บที่นี่มั๊ย ถ้าเขาไม่สบายจริง ๆ เขาก็จะค่อย ๆ ยอมรับออกมาเอง เราก็จะทราบสาเหตุและช่วยแก้ปัญหาให้ลูกได้

สำหรับลูกที่ยังเล็กมากอาจต้องใช้วิธีที่ง่าย ๆ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขา ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้

1. เมื่อลูกเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการอาละวาด ด่าว่า ตะโกนใส่ ร้องไห้แบบบ้าคลั่งโดนไม่มีเหตุผล ทำร้ายหรือทำหน้าตาบึ้งตึง ปลีกตัวออกห่างไม่ให้ใครเข้าใกล้ คุณพ่อคุณแม่ต้องถามถึงสาเหตุและรับฟังปัญหาของลูกว่าทำไมเขาจึงต้องอาละวาด หรือโกรธหรือทำร้ายคนอื่นแบบนี้ เด็กบางคนอาจไม่อยากพูดกับเราตรงๆหรือไม่สบอารมณ์ที่จะพูดกับเรา เราอาจต้องใช้เทคนิคช่วยเล็กน้อย เช่น แปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนที่ลูกชอบทำเหมือนกับว่าตัวการ์ตูนนั้นเป็นคนถามเขา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและให้ลูกอารมณ์ดีขึ้น

2. เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็ค่อย ๆ แก้ไข โดยอาจใช้วิธีคือ

- สอนให้ลูกฝึกควบคุมอารมณ์ของตนเอง ซึ่งการสอนให้ควบคุมอารมณ์ที่ได้ผลที่สุดคือการสอนโดยผ่านกิจกรรมปกติ เช่น เวลาเล่นกับเพื่อนต้องควบคุมอารมณ์ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ไม่ว่าจะวิ่งชนกันล้ม ไม่ว่าเพื่อนจะหยิบของเราไปเล่น ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ เมื่อควบคุมตัวเองได้ ไม่ว่าจะเกิดอารมณ์อะไรก็จะสามารถควบคุมมันได้ทั้งหมด

- พูดให้กำลังใจด้วยถ้อยคำดีๆ เช่น “ยิ้มหน่อยสิลูก” “สูดหายใจยาวๆสิคะ”

- ให้ลูกได้ใช้ร่างกาย เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย เช่น ให้กระโดดตบ ปั้นดินน้ำมัน ระบายสี วาดรูป

- คุณพ่อคุณแม่บางคนใช้วิธีกักบริเวณ บางคนใช้วิธีตีเพื่อให้ลูกสงบหรือหยุด ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีนี้มีผลทำให้ลูกสงบแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ใช้ไม่ได้ผลอย่างแท้จริงและอาจก่อให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้อีก เพราะลูกอาจเก็บกดมากขึ้นหรือโกรธแค้นมากขึ้น

การปราบลูกที่อารมณ์ร้าย คุณพ่อคุณแม่ควรใช้วิธีที่มีผลในทางบวกมากกว่าจะใช้อารมณ์ร้ายตอบกลับไป ซึ่งแม้คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้ความอดทนมากกว่าแต่ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกได้เป็นผลดีกว่า และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระมัดระวังคือ อย่าสร้างนิสัยผิดๆให้ลูก เช่น เมื่อลูกโกรธหรือไม่พอใจใครมา คุณพ่อคุณแม่กลับบอกว่า “ไหนบอกมาซิว่าใครทำ เดี๋ยวพ่อจะไปจัดการคนนั้นให้” วิธีเช่นนี้อาจทำให้ลูกคุณพอใจ แต่จะสร้างความเสียหายตามมาเพราะนั่นจะสร้างความคิดให้ลูกเข้าใจว่าเขาทำถูกต้องแล้ว ทางที่ถูกต้องคือคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกว่าไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรต้องใจเย็นก่อน และทุก ๆ อย่างก็จะดีเอง สำหรับเด็ก ๆ แล้วเขาฉลาดพอที่จะเรียนรู้และปรับตัวเองตามพ่อแม่ได้

ดังนั้น หากอยากให้ลูกใจเย็น ไม่อารมณ์ร้ายคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องหัดเป็นคนใจเย็นเช่นกัน
วิธีง่ายๆ...ปราบอารมณ์ร้ายของลูก/ดร.แพง ชินพงศ์
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์