เซ็กซ์วัยมัธยม...เสี่ยง เปิดใจให้ความรู้ก่อนสาย

ไม่นานมานี้ มี ข่าวเด็กชั้นประถมส่งเอสเอ็มเอสขอมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนหญิง สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ใหญ่ในสังคม พร้อมสะท้อนปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับเยาวชนที่สั่งสมมานานให้หลายคนได้เห็นชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ ความรู้เรื่องเพศในสังคมไทยยังถูกจำกัดวงแคบ ๆ ตรงข้ามกับปัญหาที่แผ่วงกว้าง และมีแนวโน้มว่าเด็กเริ่มมีเพศสัมพันธ์อายุต่ำลงด้วยเช่นกัน



สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือเด็กในวัยมัธยมถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเพศ และมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเด็กวัยอื่น โอ (นามสมมุติ) เพิ่งจบการศึกษามัธยมปลายเล่าถึงประสบการณ์ว่า เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในเด็กมัธยมเป็นเรื่องธรรมดา และเปิดเผยมากขึ้นอย่างเพื่อนได้นอนกับผู้หญิงคนโน้นคนนี้ก็มาเล่าอวดกัน คนที่ยังไม่เคยจึงอยากลองบ้าง เช่นเดียวกับพวกผู้หญิงที่คุยเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในชั้นเรียนอย่างเปิดเผยมากขึ้น

ตนเริ่มมีเพศสัมพันธ์กับรุ่นน้องผู้หญิงตั้งแต่ ม.4 เริ่มจากการโทรฯคุยกันเพียง 2 อาทิตย์ แรก ๆ คุยเรื่องทั่วไปจนเริ่มมาคุยกันถึงการมีเพศสัมพันธ์ ในที่สุดก็เอ่ยปากขอผู้หญิงตรง ๆ เธอยินยอมและนัดกันไปที่บ้านผู้หญิงช่วงที่ครอบครัวไม่อยู่ เพราะถ้าเช่าโรงแรมเงินไม่เพียงพอ โดยส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะนัดแฟนไปมีอะไรกันที่บ้านในช่วงที่ไม่มีใครอยู่เช่นกัน

ตอนนั้นนัดกันไปหลังเลิกเรียน พอดีโรงเรียนมีกิจกรรมเลยปล่อยนักเรียนกลับบ้านก่อน การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวครอบครัวฝ่ายหญิงจะกลับมาบ้าน และสวมถุงยางป้องกันเป็นอย่างดี การซื้อถุงยางมาใส่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนที่เคยใช้มาก่อน ซึ่งที่ผ่านมาครูได้สอนในชั้นเรียนบ้างแต่ยังไม่เห็นภาพเท่าที่ควร

ก่อนหน้านั้นเคยซื้อถุงยางที่ร้านสะดวกซื้อมาลองสวมใส่ก่อน และไปซื้อมาอีกกล่องเพื่อมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนี้ โดยถุงยางที่เหลือแบ่งให้เพื่อน ๆ ใช้กับแฟน แต่เพื่อนพอใช้แล้วแฟนบอกว่าไม่สนุกเลยไม่ใช้อีก เพื่อนหลายคนรู้ว่าการป้องกันต้องสวมถุงยางแต่ไม่ทำ ตนมองว่าถ้าพลาดไปเท่ากับอนาคตดับวูบเลย หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นแล้วก็เลิกกันและไม่ติดต่ออีก

“ถ้าอนาคตครูไม่ให้พกโทรศัพท์มือถือมาโรงเรียน ยิ่งทำให้เด็กเหล่านี้ต้องนัดเจอ และจะพากันไปมีเพศสัมพันธ์ง่ายขึ้น ยิ่งในหมู่เพื่อนที่เป็นพวกรักร่วมเพศอย่างผู้ชายสามารถไปมีอะไรกันในห้องน้ำโรงเรียนเลยก็มี โรงเรียนยังละเลยเพศที่สามที่ยังไม่มีการอบรมเรื่องเพศสัมพันธ์ให้อย่างจริงจัง และนับวันเพศที่สามมีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนรู้การมีอะไรจากเพื่อนซึ่งเคยมีมาแล้วอีกที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการป้องกันที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากในแบบเรียนเองก็ยังไม่มีให้ครูสอน”

อีกด้านหนึ่งจากการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนั้นครอบครัวซึ่งค่อนข้างหัวโบราณได้รู้ถึงพฤติกรรมของตน ตอนแรกแม่รับไม่ได้โดยต่อว่าอย่างหนัก สุดท้ายตนเองก็ยอมรับว่าผิดและอยากลองเอง จึงพยายามปรับปรุงความประพฤติจนสามารถจบมัธยมปลายได้

ถ้ามองกันดูจริง ๆ เรื่องเพศเป็นสิ่งที่อยากลองมาตั้งแต่อยู่ ม.3 เพราะเป็นเรื่องแปลกใหม่และอยากลอง ครอบครัวเองมีส่วนอย่างมากในการสอนลูกซึ่งถ้าวันนี้แม่ไม่ยอมรับฟังอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ อนาคตเด็กที่มีเพศสัมพันธ์จะมีอายุน้อยมากขึ้นอย่างตอนนี้ต่ำสุดอยู่ที่ ป.5 หรือ ป.6 เนื่องจากสภาพร่างกายโตเร็วและมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศด้วย

พญ.อังคณา อัญญมณี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ มองว่า ครอบครัวควรเปลี่ยนทัศนคติก่อนให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จำเป็นต้องให้ความรู้กับลูกเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ลูกเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องนี้ หากไม่บอกในสิ่งที่ลูกสงสัย ลูกคงหาคำตอบด้วยตัวเองจากเพื่อนและสื่อต่าง ๆ ซึ่งอาจยิ่งเร้าอารมณ์และเกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยอาจเริ่มพูดคุยได้ตั้งแต่ลูกอายุ 10-12 ขวบ

ขณะเดียวกันพูดคุยเรื่องเพศกับลูกอย่างง่าย ๆ โดยเริ่มจากอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก ลูกจึงไม่ควรอยู่กับเพื่อนต่างเพศตามลำพัง เพราะอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจมีปัญหาตามมาให้ลูกแก้อีกมากมาย เช่น การติดเชื้อ การตั้งครรภ์ การพลาดโอกาสในการเรียน

พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกซักถามสิ่งที่สงสัย และอธิบายในส่วนนั้น เช่น ทางออกที่เหมาะสมเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ ลูกอาจเล่นกีฬาหรือมีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียดในเรื่องที่ลึกเกินไป เช่น เทคนิคการมีเพศสัมพันธ์

สร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เพราะเมื่อลูกรู้สึกว่าตนเป็นที่รักและยอมรับของพ่อแม่แล้วเขาก็จะเห็นคุณค่าของตนเองและดูแลรักษาตนเอง โดยไม่ต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับใครเพื่อแลกกับการได้รับความรักและการยอมรับจากคน ๆ นั้น

ในกรณีที่เด็กตั้งท้องหรือพลาดไปแล้วไม่ควรซ้ำเติม ไม่ย้ำว่าลูกผิดหรือลูกไม่ดี เพราะเด็กคงรู้สึกอยู่แล้วไม่มากก็น้อย สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ จัดการกับความผิดหวังและอารมณ์ของตนเอง

จากนั้นจึงเข้ามาอยู่เคียงข้างลูกในการเผชิญปัญหา ไม่ใช่เข้าไปแก้ปัญหาให้ลูก โดยให้ลูกหัดรับผิดชอบด้วยตนเองในสิ่งที่ทำลงไป ให้ลูกลองคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยพ่อแม่เป็นผู้ช่วยเสนอความเห็นและสนับสนุนบางสิ่งตามสมควร

ในเด็กที่รักร่วมเพศพบได้บ่อยในวัยรุ่นตอนต้น เนื่องจากเป็นวัยที่มีความสนใจทางเพศและมีการแสดงออกของบทบาททางเพศมากขึ้น หากพบว่าลูกมีลักษณะที่น่าสงสัยว่าอาจมีภาวะดังกล่าว พ่อแม่ควรเปิดใจและคุยกับลูกด้วยท่าทีที่อยากเข้าใจเพื่อจะช่วยให้ลูกใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ซักถามด้วยท่าทีรังเกียจ ตำหนิหรือคอยจับผิด หากลูกยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะเป็นหรือไม่ พ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกับลูกควรให้เวลาใกล้ชิดและชวนลูกทำกิจกรรมตามเพศของลูก เพื่อให้รู้สึกพอใจและมั่นใจในเพศที่ตนเองเป็นมากขึ้น หากลูกรู้สึกว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เปลี่ยนใจและเปลี่ยนความคิดไม่ได้ พ่อแม่คงต้องเข้าใจและยอมรับ เพราะไม่มีวิธีใดที่รักษาให้หายได้ ทำได้เพียงคุยกับลูกถึงขอบเขตการแสดงออกที่ไม่มากเกินไป โดยลูกยังคงมีความสุขและมีความรับผิดชอบในสิ่งต่าง ๆ ได้ดี

เรื่องเพศเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนในสังคมไทย แต่ไม่ควรละเลยเพราะผลพวงที่ตามมานอกจากจะกระทบต่อสังคมโดยรวมแล้วยังส่งผลต่อสถาบันครอบครัวที่ง่อนแง่นอีกด้วย.

เทคนิคครู...สอนเรื่องเพศ

ครูควรสอนเรื่องเพศด้วยท่าทีเปิดใจรับฟังได้ทุกเรื่องที่เด็กพูดไม่ว่าจะทะลึ่งหรือน่าอายเพื่อจะเข้าถึงเด็กนักเรียนได้มากที่สุด เพราะหากครูสอนแค่เชิงวิชาการ อาจล้าหลังกว่าความรู้ที่เด็กมีหลายเท่า เด็กก็คงไม่ได้ประโยชน์มากนัก ครูอาจให้เด็ก ๆ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้โดยใช้ประสบการณ์ของเด็กเองหรือที่ได้รับรู้จากคนรอบข้าง โดยมีครูคอยเสริมมุมมองที่เด็กอาจมองไม่เห็น เช่น ผลดีผลเสียของพฤติกรรมที่เด็กต้องการทำ ทางเลือกอื่น ๆ ที่สามารถทำแล้วได้ผลที่ดีกว่า กระบวนการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้เด็กรู้สึกมีอิสระ แสดงตัวตนได้เต็มที่ ขณะเดียวกันเด็กก็จะเรียนรู้ได้ว่า อะไรคือขอบเขตที่เหมาะสมในเรื่องเพศ.

ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์