วิธีหาเงินบนโลกไอที (42) : ว่าด้วยเรื่อง"การตลาดข้างถนน"

วิธีหาเงินบนโลกไอที (42) : ว่าด้วยเรื่อง"การตลาดข้างถนน" อย่าปล่อยให้สูตรการตลาดสำเร็จรูปครอบงำกิจการออนไลน์ของคุณจนมันเติบโตผิดรูปผิดร่าง ขอให้บทเรียนจากการตลาดข้างถนน ที่ @goople นักเขียน วิทยากร และผู้บริหารบริษัทที่มีชั่วโมงบินสูงในวงการการตลาดออนไลน์ ได้จุดประกายไว้นี้ เป็นแรงผลักดันให้คุณทำความเข้าใจกับกิจการของตัวเอง แล้วลงมือปรับปรุงให้บริษัทประสบความสำเร็จเหมือนธุรกิจน้อยใหญ่ที่รายล้อมตัวคุณในชีวิตประจำวัน ***เรียนรู้การทำเงินจากการตลาดข้างถนน
โดย ปภาดา อมรนุรัตน์กุล - @goople

ในยุคของการใช้สื่อออนไลน์กันอย่างมากมาย วันๆ เราต้องมาคิดว่า เราจะการตลาดแบบไหนถึงจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของเราดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลักการตลาดอย่าง 4P ที่นักการตลาดเรียนรู้กันดี ได้แก่ Price Place Product และ Promotion ซึ่งถ้าถามนักการตลาดส่วนใหญ่แล้ว 4P นี้ แทบจะนำมาเรียนรู้และใช้งานกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วๆ ไปนั้น คงจะไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือการหลักการตลาด อะไรคือ 4p, Brand Loyalty, Blue Ocean, และอีกหลายสูตรที่คิดค้นให้กับการวางแผนการตลาดขึ้นมาเพื่อให้ถูกใจกับลูกค้าและก่อให้เกิดกำไรสูงสุด

แน่นอนว่า สูงสุดสู่สามัญ บางครั้งเราควรคิดและทำอะไรง่ายๆ กันดูบ้าง เพราะอาจจะดีกว่า หากคุณลองสลัดสูตรต่างๆ ทางการตลาดออกไป แล้วแวะไปหาการตลาดข้างถนนแทน

อย่างวันก่อนนี้ ดิฉันแวะไปกินข้าวในร้านข้าวแถว office มา พบวิธีการทำตลาดแบบง่ายๆ แต่ได้ผลดี คือ ที่ร้านขายอาหารตามสั่งนั้น ขึ้นป้ายไว้ตัวใหญ่ ว่า “กำลังจะย้ายร้าน ขอตอบแทนลูกค้าทุกคนด้วย ราคายำ 15 บาท” แล้วก็มีป้ายชื่อ ยำต่างๆ ติดบริเวณด้านล่าง ยำปลาหมึก ยำมาม่า ยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร ยำหมูยอ ฯลฯ

หากมองผิวเผินเราก็จะพบว่า เป็นการขายอาหารแบบปกติ และมีการอ้างอิงการใช้ P ตัวที่ 4 คือ Promotion ที่สร้างแคมเปญดึงดูดลูกค้าให้มารับประทานกัน แต่หากมาวิเคราะห์กันให้ชัดๆ เราจะเห็นได้ว่า ทางร้านค้านั้น ได้ศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยหลักการง่ายๆ คือ ลูกค้าที่เข้าไปรับประทานอาหารนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นชาวบ้านแถวนั้น หรือคนเดินผ่านทาง และพฤติกรรมการกินคือ สั่งข้าวคนละจาน เพื่อรีบกิน รีบไป แต่เมื่อเห็นป้ายลดราคายำต่างๆ ของทางร้าน ปรากฏว่าแทบทุกโต๊ะ จะสั่งยำขึ้นมาทานเล่น หรือกินคู่กับอาหารจานหลักที่สั่งไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสั่ง

ลูกค้าหลายคนสั่งมาชิมๆ ไปอย่างนั้น และถ้าไม่มีป้ายลดราคายำนี้ ทุกคนจะกินข้าวจานเดียวกลับออกไป แต่เมื่อทุกคนเห็นป้ายลดราคายำ ทุกคนสั่งมากินเล่น โดยไม่นึกเสียดายเงิน เพราะเห็นว่า ราคาไม่แพง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “ยำ” เป็นอาหารทานเล่น ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่จำเป็นต้องสั่ง แต่เมื่อมีการลดราคาแบบนี้ แน่นอนว่า ทุกคน ทุกโต๊ะ สั่งมาทานกันทั้งนั้น ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จากหลักการง่ายๆ ข้างต้น สรุปออกมาเป็นข้อๆ ที่คนทำธุรกิจจำเป็นต้องรู้ มีดังนี้

1. สำรวจตัวเอง

สำรวจตัวเอง อันนี้ ต้องเข้าใจในตัวของเรา ร้านของเราอย่างชัดเจน เช่น ร้านเราขายอาหารตามสั่ง อะไรที่จุดเด่น จุดด้อยของร้านเรา ถ้าเราขายหมูทอดได้อย่างโดดเด่น เราก็สร้าง brand ไปเลยว่า ถ้าคิดถึงหมูทอด ก็ต้องมีหมูทอดร้านเรา อย่างเช่น หมูทอดร้านเจ้จง ที่ตอนนี้ ขายดีเป็นเทน้ำ เทท่าไปแล้ว นั่นเป็นเพราะเขารู้จักสำรวจตัวเอง รู้ว่า อาหารขึ้นชื่อของร้านคืออะไร และจะทำการตลาดกับจุดเด่นของเราได้อย่างไร เป็นต้น

2. กลุ่มเป้าหมายของเรา หรือลูกค้า (Target group)

จากตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนี้ ว่าเป็นร้านอาหารตามสั่ง ก็สามารถเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้บริโภคได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นคนสั่งข้าวจานเดียว โดยส่วนใหญ่มาทานคนเดียวหรือ 2 คนเท่านั้น เป็นต้น

3. การติดตามผล (Tracking)

จากตัวอย่างที่ยกมานี้ ร้านค้านี้ มีการทำติดตามผล ด้วยการติดตามผลว่า ยำอะไรขายดีที่สุด และอาจจะนำยำที่ขายดีที่สุดมาจัดโปรโมชั่นหรือการตลาดพิเศษเพิ่มเติมในอนาคตต่อไปได้

เพราะนอกจากนี้ ถ้าวิเคราะห์กันดีๆ จะพบว่า สินค้าเหลือใช้ หรือสินค้าส่วนเกินนี้เองที่จะเป็นตัวที่ทำตลาดได้มากที่สุด การสั่งอาหารมักจะเป็นกระเพราไก่ไข่ดาว เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อที่ทุกร้านต้องสั่งอยู่แล้ว เราก็สามารถทำการตลาดกับการขายข้าวกระเพรา+ไข่ดาว ได้เพิ่ม อาจจะเป็นเมนูคอมโบเซ็ต เช่น สั่ง กระเพราะ+ไข่ดาว เพิ่ม 10 บาท ได้น้ำแกงเล็ก 1 ถ้วย เป็นต้น

การตลาดข้างถนนอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มีพ่อค้าคนหนึ่งเป็นช่างปั้นพระพิฆเณศ แต่เป็นพระพิฆเณศปางใหม่ ถ้าเอามาตั้งขายตามปกติ แน่นอนว่า ขายไม่ได้แน่นอน เขาเลยคิดวิธีการตลาดโดยใช้หลักการง่ายๆคือ ให้มีการเปิดประมูลซื้อรูปปั้นพระพิฆเณศนี้ ที่ย่านแหล่งชุมชนนั่นก็คือ รัชดาฯ นี่เอง

การเปิดการขายแบบประมูล แบบนี้ ทำให้มีคนสนใจมากมาย แล้วก็ขายสินค้าได้ราคาดี มีคนสั่งจอง แทบจะทำกันไม่ทันเลยทีเดียว เพียงแต่การตลาดแบบนี้ ต้องอาศัยความกล้ามากหน่อย แต่ผลที่รับก็คุ้มค่า คุ้มกับที่สิ่งที่ได้ลงทุนลงแรงไปกันเลยทีเดียว

นี่เป็นตัวอย่างการทำตลาดแบบไม่ต้องอาศัยหลักการและทฤษฎีอะไรมาก แค่สร้างโอกาสให้กับตัวเอง หาจุดเด่น จุดด้อยของตัวเราเอง จับมาทำการตลาด รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

อย่าลืมนะคะว่า บางทีการตลาดแบบง่ายๆ ก็อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด…
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์