มาฝึกให้ลูกมี "ทักษะนิสัยแห่งปัญญา" อ่านทางนี้

มาฝึกให้ลูกมี "ทักษะนิสัยแห่งปัญญา" อ่านทางนี้ ความปรารถนาของพ่อแม่ทุกคน อยากเห็นลูกมีนิสัยน่ารัก น่าเอ็นดู เป็นที่รักของผู้อื่น แต่การจะสร้างให้ลูกเป็นดั่งหวังนั้น ถือเป็นงานหนักที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ และเข้าใจแนวทางที่ถูกต้องด้วย

สุดสัปดาห์นี้ ทีมงาน Life and Family มีเทคนิคทักษะแม็กก้าสกิลล์ (Mega Skills) ของดร.โดโรธี ริช ซึ่งเป็นโปรแกรมการฝึกทักษะนิสัยให้เด็ก ที่ทางรศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร ในฐานะผู้พัฒนาระบบการสอนแบบแม็กก้าสกิลล์ นำมาแปล และบอกกับทีมงานว่า เป็นทักษะนิสัยคู่ชีวิตที่หากพ่อแม่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ลูกแล้ว จะช่วยผลักดันให้เด็กมีความสนใจเรียนรู้ อยู่กับตัวเอง และคนอื่นได้ดี ตลอดจนเข้าใจบริบทหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งประกอบด้วย 12 ทักษะที่พ่อแม่ฝึกให้ลูกก่อนวัยเรียนง่ายๆ ได้ดังนี้

ทักษะความมั่นใจในตัวเอง

เป็นทักษะแรกที่ รศ.ดร.สายฤดี ให้แนวทางว่า พ่อแม่ต้องพยายามสร้างลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง และมีความรู้สึกว่า เขาทำได้ เพื่อให้ลูกได้ลิ้มรสความสำเร็จด้วยตัวเอง โดยให้ลูกลองทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตัวเขาเอง เช่น เข้าครัวช่วยแม่ทำอาหาร ไม่ว่าจะตอกไข่ หั่นผัก หรือให้ลูกมีส่วนร่วมในการปรุงอาหาร พร้อมกับให้คำถามปลายเปิดแก่ลูกอยู่ตลอด เช่น "ถ้าเราเติมสิ่งนี้เข้าไป จะทำให้อาหารอร่อยขึ้นไหมจ้ะ"

ทักษะแรงจูงใจ

เด็กๆ เกิดมาพร้อมกับแรงจูงใจที่กระหายใคร่เรียนรู้ และพยายามที่จะเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเขา หากพ่อแม่ร่วมแบ่งปันความรู้สึกตื่นเต้นเวลาที่ลูกค้นพบ หรือได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะยิ่งทำให้ลูกเกิดแรงจูงใจมากขึ้น เช่น อาจจะหาแว่นขยายให้ลูกสัก 1 อัน แล้วพกพากันออกไปส่องดูใบไม้ แมลง นอกบ้าน หรือสวนสาธารณะ เมื่อเด็กเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่เขามองเห็นผ่านแว่นขยายมีความน่าสนใจต่างจากการมองด้วยตาเปล่า เด็กก็จะ "โอ้โห ทำไมแมลงตัวนี้มันตาโตจังเลย" แต่ทั้งนี้พ่อแม่ต้องระวังความปลอดภัยของลูกน้อยด้วย

ทักษะความพยายามทุ่มเท

เป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กจะต้องมีความพร้อมที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างทุ่มเท ตั้งใจ โดยพ่อแม่อาจจะให้ลูกวาดภาพ และเล่นกับลูกด้วยการบอกให้เติมส่วนนี้นิด ส่วนนี้หน่อย เพื่อให้ลูกคิดต่อไปอีกว่า หูของคนควรจะใส่อะไรดี หรือชี้ให้ลูกเห็นความพยายามของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจขายของ และบริการของพ่อค้าแม่ค้า เพื่อให้ลูกเห็นตัวอย่างของความพยายามทุ่มเท

ทักษะความรับผิดชอบ

ความรับผิดชอบ ถือเป็นทักษะหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งเด็กต้องมีติดตัว เพื่อที่จะดูแลตัวเองเป็น แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดี เริ่มจากฝึกให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย และความรับผิดชอบของตัวเองก่อน เช่น เรียนรู้เรื่องผ้า การแยกเสื้อผ้า ระหว่างผ้าสีกับผ้าขาว หรือเตรียมชุดของตัวเองที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้ รวมไปถึงความรับผิดชอบงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

ทักษะความพร้อมในการเริ่มลงมือกระทำ

เด็กก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่ มีความคิดริเริ่มอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถ้าพ่อแม่ชมเชยความคิดนั้นของลูก ลูกก็จะเรียนรู้ทักษะคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ และลงมือทำให้ความคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งหากไม่สนใจ เด็กก็จะติดนิสัย "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวค่อยทำ"

สำหรับวิธีฝึกทักษะนี้ให้เจ้าตัวเล็ก พ่อแม่อาจหานาฬิกา หรือวิทยุเก่าๆ ที่เสียเกินแก้ แล้วถามลูกว่า อยากช่วยถอดเจ้าเครื่องนี้ออกมาดูข้างในกันไหม จากนั้นก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ เตรียมอุปกรณ์สำหรับรื้อดูเครื่อง เช่น ไขควง หรือไฟฉาย และปล่อยให้ลูกเป็นคนถอดรื้อเอง โดยที่พ่อแม่คอยให้กำลังใจ และแนะนำอยู่ใกล้ๆ
ทักษะความพากเพียร

พ่อแม่หลายคน คงเคยเจอปัญหาที่ลูกทำงานยังไม่เสร็จดี แต่ก็บอกว่าเสร็จแล้ว ซึ่งพ่อแม่ช่วยให้ลูกเรียนรู้หลักการทำงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยตัวเขาเองได้ เช่น เมื่อขอให้ลูกช่วยทำงานที่บ้าน ต้องดูให้แน่ใจว่าลูกได้ทำงานนั้นสำเร็จเรียบร้อยหรือไม่ สมมติว่า บอกให้ลูกช่วยเก็บโต๊ะอาหารมื้อเย็น ดูว่าลูกได้เก็บจานชาม แก้วน้ำ ถ้วยน้ำจิ้ม และทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไว้ในครัวครบถ้วนหรือไม่ ถ้ายังเก็บไม่เรียบร้อย พ่อแม่ควรพูดกับลูกดีๆ ไม่แสดงอารมณ์โกรธ เช่น "ลูกยังเก็บไม่ค่อยเสร็จดีเลยนะจ้ะ ยังมีของที่ลูกลืมเก็บอีกบนโต๊ะ ถ้าลูกเก็บหมดเมื่อไร ก็ไปเล่นได้จ้ะ"

"ถ้าเด็กได้พยายามทำสิ่งที่ตัวเองเริ่มให้เสร็จ จะค่อยๆ ฝึกเด็กให้ชนะในทุกๆ ปัญหา ยิ่งสมัยนี้ อะไรก็ต้องเร็ว ง่าย สะดวก สำเร็จรูปไปหมด ดังนั้นคนที่มีความเพียรจะเป็นที่ต้องการมากกว่าคนอื่น" รศ.ดร.สายฤดีกล่าว

ทักษะความใส่ใจ และเอื้ออาทรต่อผู้อื่น

เป็นทักษะที่ให้เด็กรู้จักแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น เพราะเด็กต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคม ถ้าเด็กไม่สนใจ หรือไม่แคร์ใครเลย เด็กก็จะอยู่อย่างเป็นทุกข์ ดังนั้นพ่อแม่ต้องทำให้แต่ละวันจบลงด้วยคำพูดดีๆ ต่อกัน โดยทำให้เป็นกิจกรรมประจำของครอบครัวเลยยิ่งดี ซึ่งคุณอาจพูดกับลูกว่า "แม่ชอบที่ลูกช่วยน้องหารองเท้าที่หายไปจนเจอ" หรือ "แม่เห็นนะว่า เวลาพ่อแม่บอกให้ลูกเข้านอน แค่ครั้งเดียวลูกก็เข้านอนเลยทันที" เมื่อเคยชินกับคำพูดดีๆ ของพ่อแม่ ต่อไปลูกก็อาจจะบอกพี่หรือน้องของเขาเองว่า "พี่ชอบเวลาที่น้องแบ่งคุกกี้ให้พี่"

"ถ้าเด็กรู้สึกว่าแคร์ใคร หรือทำให้ใครยิ้มได้ เช่น ช่วยเพื่อนทำงานจนเสร็จ พาเพื่อนที่กลัวความมืดไปเข้าห้องน้ำ หรือวันเกิดใคร เขาได้ทำสิ่งที่พิเศษไปมอบให้ ดังนั้นทุกคนก็จะให้รอยยิ้มกับเขา ทุกคนจะบอกเขาว่า เขาน่ารัก ดังนั้นเด็กแบบนี้จะไปที่ไหนก็ได้ เพราะเขามีความรู้สึกว่า ทุกที่ที่เขาไป เขาได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคน ทำให้ทุกประตูที่เคยปิด ค่อยๆ เปิดออก"

ทักษะความสามารถในการทำงานเป็นกลุ่ม

ยุคสมัยนี้ การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญมาก เพราะเราไม่ได้ทำงานกับคนไทยเท่านั้น แต่ต้องร่วมงานกับต่างชาติมากขึ้น หากไม่ปลูกฝังทักษะด้านนี้ให้กับลูกตั้งแต่เล็ก เด็กจะทำงานเป็นทีมเวิร์คไม่เป็น นำไปสู่ปัญหาการทำงานคนเดียว เหนื่อยคนเดียว หรือไม่ก็เอาเปรียบ และไม่ช่วยคนอื่นไปเลย ดังนั้นหากมีอะไรให้เด็กทำ ควรให้เด็กได้ช่วย เช่น ทำงานบ้าน คนหนึ่งอาจกวาดบ้าน หรือดูดฝุ่น ในขณะที่อีกคนเช็ดถูตามโต๊ะตามชั้น เมื่อสองคน หรือหลายคนช่วยกันทำ เปรียบได้กับขนม ผลที่ออกมา ย่อมอร่อย และสนุกกว่าแน่นอน

ทักษะการมีสามัญสำนึก

ทักษะนี้ ดร.สายฤดี บอกว่า มีความสำคัญกับเด็กมาก เพราะทำให้เด็กเข้ากับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา เนื่องจากเด็กรู้จักเกรงใจคนอื่น รู้ว่าสิ่งไหนควรทำ หรือไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หรือการปฏิบัติตัวต่อสถานที่ต่างๆ ซึ่งพ่อแม่สอนได้ ด้วยการฝึกให้ลูกเป็นเด็กช่างสังเกต เริ่มจากกิจกรรมพัฒนาทักษะการสังเกตให้ลูก นำวัตถุหลายๆ ชิ้นมาวางบนโต๊ะ บอกให้ลูกตั้งใจดูให้ดี จากนั้นให้ลูกปิดตา และคุณก็เอาของบนโต๊ะออกหนึ่ง หรือสองชิ้น บอกลูกว่า "ลืมตาได้แล้วค่ะ บอกแม่หน่อยว่ามีอะไรหายไปบ้าง"

ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

แนวทางของทักษะนี้ เป็นการนำความรู้ที่มีอยู่เดิม มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยปกติเด็กก่อนวัยเรียนเป็นนักแก้ปัญหาที่เก่ง พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งพ่อแม่สามารถให้กำลังใจ และสนับทักษะในการแก้ปัญหาของลูกได้ เช่น ก่อนที่จะก้าวเข้าไปแก้ปัญหาใดๆ ก็ตาม พ่อแม่อาจถามลูกว่า "ลูกคิดว่าอย่างไร" และถ้าหากแนวทางแก้ปัญหาแรกของลูกไม่สำเร็จ พ่อแม่อาจพูดว่า "เอ้ มีทาง (วิธี) อย่างอื่นอีกมั้ยน้า" เพื่อให้ลูกได้รู้จักคิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง

ทักษะการมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน

เป็นทักษะที่สำคัญ เพราะถ้าหากเด็กไม่มีพื้นฐานในเรื่องจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายในการทำงาน ไม่มีแนวทางในชีวิต เด็กอาจเสียเวลาไปกับการค้นหาตัวเอง หรือจัดลำดับความคิดได้ไม่ดี ดังนั้นพ่อแม่ต้องเป็นตัวนำเพื่อให้ลูกรู้จักการตั้งเป้าหมายของตัวเอง เช่น ใน 1 วัน บอกลูกทำความดีอะไรก็ได้ให้พ่อแม่ 4 อย่าง เป็นต้น

"สมัยนี้พ่อแม่ไม่ได้ฝึกให้ลูกมีเป้าหมาย เพราะเรามีความรู้สึกว่า ให้เด็กหาเอาเองละกัน บวกกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีทั้งมือถือรุ่นใหม่ อินเทอร์เน็ต สินค้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกแทบจะใช้เวลาหมดไปกับสิ่งต่างๆ จนแทบไม่มีเวลาตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเลย ถ้ามี ก็มีแต่เป้าหมายในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้พัฒนาตัวเอง"

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.สายฤดี ได้เพิ่มอีกหนึ่งทักษะฝากไว้ให้กับพ่อแม่คือ การนับถือ และเคารพในตัวเอง เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเด็กที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่รายล้อมไปด้วยความเสี่ยงต่างๆ ดังนั้นพ่อแม่ต้องให้ลูกรู้จักยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ด้วยการชี้ให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร นอกจากนี้ ต้องสอนให้ลูกรู้จักเคารพต้นไม้ หรือเคารพชีวิตสัตว์ ด้วยการไม่รังแกหรือทำร้ายให้สัตว์ต้องเจ็บเพื่อความสนุก หรือความสะใจ

ทั้งหมดนี้ ทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นตัวช่วยให้พ่อแม่ทุกบ้านมีความมั่นใจมากขึ้นในการฝึกลูกให้มีพลัง และแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีทิศทาง เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะนิสัยแห่งปัญญาในการพัฒนาตัวเอง และอยู่กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์