2 คุณแม่ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้านลูก" ไม่ยากอย่างที่คิด

2 คุณแม่ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้านลูก" ไม่ยากอย่างที่คิด ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อรั้วโรงเรียนเปิด ภาพชินตาหลังเลิกเรียนของเด็กๆในเมืองส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นการรวมกลุ่มเข้าเรียนที่สถาบันสอนเสริมต่างๆ เนื่องจากพ่อแม่หลายคนได้ให้เหตุผลว่า "ไม่มีเวลาสอนการบ้านลูก" ในขณะที่อีกกลุ่มบอกว่า "ครั้นจะสอนเองที่บ้าน ลูกก็ดันมีเงื่อนไข ต่อรอง ชักช้า ไม่ได้ ดั่งใจ อารมณ์เสีย" ดังนั้นปัญหาจึงตกไปอยู่กับครูที่โรงเรียน และสถาบันสอนเสริมแทน

แต่สำหรับ 2 คุณแม่ที่ทีมงาน Life and Family นำมาเปิดประสบการณ์ในวันนี้ พวกเธอกลับสวนกระแส และเลือกสอนการบ้านให้ลูกเองที่บ้าน ถึงแม้จะมีปัญหาบ้างในช่วงแรกก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี

ฟังเสียงได้จากบ้านแรก "เปล่งสุรีย์ จิตต์เทอดไทย" อายุ 47 ปี คุณแม่ของลูกวัย 13 ปี และ 9 ขวบ บอกว่า ลูกเลือกที่จะไม่เรียนพิเศษ เพราะเหนื่อยจากการเรียนในห้องเรียน ทำให้เธอกับสามีตัดสินใจรับหน้าที่เป็นครูสอนการบ้านให้ลูกเอง ถือเป็นการใกล้ชิด และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก ที่สำคัญ สามารถประเมินความเข้าใจในรายวิชาต่างๆ ของลูก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้ตรงจุดอีกด้วย

"การให้ลูกเรียนกับเราที่บ้าน เราพ่อแม่ลูกได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมทั้งรู้จุดอ่อนของลูก และช่วยส่งเสริมได้อย่างถูกทาง เพราะครูที่โรงเรียน 1 คนต่อเด็ก จำนวนมาก บางครั้งเข้าไม่ถึงเด็กทุกคน ดังนั้นพ่อแม่คือครูที่บ้าน คอยผู้ช่วยของครูอีกทีหนึ่ง" คุณแม่แอร์เผย

ช่วงเวลาการสอน เธอกับสามีจะใช้เวลาหลังกลับจากทำงานทุกวันจันทร์-ศุกร์ ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยเธอจะสอนวิชาภาษาไทย และสังคมศึกษา ขณะที่สามีจะสอนภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ โดยเธอยอมรับว่า การสอนในช่วงแรก ลูกมักชอบสร้างเงื่อนไข ไม่ตั้งใจ อิดออด ทำให้ต้องตั้งกฎเหล็ก เช่น "ถ้าไม่ให้ความร่วมมือลูกก็จะเสร็จช้า และได้พักช้า"

"การสอนให้ได้ผล บรรยากาศการเรียนในบ้านต้องดี มีกฎกติกาชัดเจน เริ่มตั้งแต่ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ จากนั้นปรับอารมณ์ของเราให้สบาย ไม่หงุดหงิด และค่อยๆ ทำการสอน มีคำชมเป็นกำลังใจให้ลูก ถ้าทำผิด หรือทำไม่ได้ พยายามไม่ดุ หรือตำหนิลูก แต่ควรให้ลูกค่อยๆ แก้ไข" คุณแม่แอร์กล่าว

นอกจากนี้ เธอจะสอนโดยอิงกับบทเรียน และยกตัวอย่างจากสิ่งรอบตัวลูก เช่น เรียนคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ก็จะเอาสิ่งที่ลูกชอบมาเรียนด้วยกัน ลูกก็จะสนุก และเรียนอย่างมีความสุข รวมไปถึงการจะเรียกลูกมาทำการบ้านกับพ่อแม่ เธอจะมีเวลาให้ลูกเตรียมตัวก่อน จะไม่ใช่เรียกในทันที เช่น "แม่ให้ เวลาอีก 10 นาทีนะคะ แล้วเรามาทำการบ้านกัน" วิธีนี้ทำให้ลูกมีเวลาเตรียมพร้อมทั้งกาย และใจ ไม่ถูกเร่ง หรือกดดัน
อย่างไรก็ตาม เธอกับสามีไม่ได้สอนลูกเรียนในบ้านเพียงอย่างเดียว แต่วันหยุดเสาร์ หรืออาทิตย์ จะพาลูกไปเรียนรู้นอกบ้านด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์ หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ โดยจะสอดแทรกความรู้รอบตัวอยู่ตลอด

"ครอบครัวที่ไม่มีเวลาสอนลูก ควรสร้างความเข้าใจกับลูกว่า เพราะเหตุใดถึงสอนไม่ได้ ถ้าสอนไม่ได้จริงๆ ควรฝึกให้ลูกมีวินัย และความรับผิด ชอบต่อการเรียน โดยเฉพาะการเรียนในห้องเรียน ชี้ให้ลูกเห็นว่า ถ้าตั้งใจเรียน และกลับมาทบทวนที่บ้านอีกที การเรียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป" คุณแม่แอร์ฝาก

หันมาฟังเสียงของ "จารุวรรณ ลอยพิพันธ์" แม่บ้านวัย 37 ปี คุณแม่ "น้องมันแกว" อายุ 10 ขวบ อยู่ชั้นป.5 โรงเรียนอนุบาลสุธีธร จ.นครปฐม ที่เลือกสอนการบ้านให้ลูกแทนการเรียนเสริม บอกว่า วัยนี้เป็นวัยที่ต้องการความสนุก และไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร เธอจึงสอนการบ้านลูกที่บ้าน เพราะลูกเป็นคนเลือกเอง โดยจะสอนการบ้านทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน ส่วนวันเสาร์จะขอลูกแค่วันละครึ่งชั่วโมง โดยนำบทเรียนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สรุป และทำแบบฝึกหัดทบทวนด้วยกันอีกที จากนั้นจะปล่อยให้เป็นเวลาพักผ่อนของลูก

"แม่ให้เขาเลือก และเขาก็เลือกที่จะเรียนกับแม่ เมื่อลูกเลือกแล้ว แม่ก็ตั้งใจ และเต็มที่กับสิ่งที่ลูกเลือก ซึ่งแม่ถือว่าเป็นการช่วยครูที่โรงเรียนไปด้วย เพราะครู 1 ต่อ เด็ก 50 อาจเข้าไม่ถึง แต่ถ้า 1 ต่อ 1 แม่กับลูก ช่วยเสริมได้มากกว่า เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ และได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะเวลาระหว่างแม่ กับลูกหายไปกับที่โรงเรียนเยอะมาก ดังนั้นทำการบ้านกับลูก ช่วยให้เราได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น สามารถรับรู้ความเข้าใจของลูกในแต่ละรายวิชาได้มากขึ้นด้วย" คุณแม่จารุวรรณกล่าว
สำหรับเทคนิคการสอน เธอจะนั่งสอนกับลูกตัวต่อตัวในห้องที่เงียบ ปิดโทรทัศน์ และอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่าง ระหว่างที่ทำการสอน จะค่อยๆ สอนลูกไปทีละข้อ หรือทีละเรื่อง ถ้าเกิดอารมณ์หงุดหงิดระหว่างการสอนจะพักไปทำกิจกรรมอื่นแทน จากนั้นค่อยกลับมาทำกันต่อ โดยดึงจากสิ่งรอบตัวลูกมาเรียนด้วยกัน และใช้อุปกรณ์จริงที่นอกเหนือจากภาพในหนังสือสร้างความสนุกในการทำการบ้าน

ถึงตอนนี้ หลายโรงเรียนได้เปิดเทอมกันแล้ว คุณแม่ท่านนี้ ได้ฝากว่า พ่อแม่มีความสามารถที่จะสอนลูกได้ทุกคน เพียงให้เวลา แต่ถ้าบ้านไหนที่ ไม่มีเวลาจริงๆ ควรให้ความสำคัญกับการบ้านของลูกหลังกลับจากโรงเรียน เช่น ถาม หรือพูดคุยเรื่องเรียนกับลูกบ้าง ลูกได้อะไร และเจอปัญหาในการเรียนจากที่โรงเรียนหรือไม่

นอกจากนี้ พ่อแม่กับครู ควรจับมือพูดคุยกัน ไม่ใช่มีหน้าที่ไปรับส่งลูกที่โรงเรียน หรือปล่อยให้การเรียนของลูกเป็นหน้าที่ของคุณครู หรือให้ลูกเรียนจนลืมที่จะเล่น เพราะถึงอย่างไร เด็กก็คือเด็ก ถ้าเด็กไม่เป็นเด็ก บางสิ่งคือความสุขอาจหายไป ซึ่งเมื่อโตขึ้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับมาได้อีก

*** ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้าน" ให้ได้ผล

- ตั้งกติกาการสอน กำหนดเวลาทำการบ้านของลูกให้ชัดเจน และควรบอกให้ลูกทราบด้วยว่า จะเริ่มสอนเมื่อไร ถึงเมื่อไร มีช่วงพักกี่นาที เพื่อให้ ลูกเข้าใจ และรู้กำหนดเวลาที่แน่นอน

- ไม่เรียกลูกในทันที เมื่อใกล้ถึงเวลาเรียน ไม่ควรเรียกลูกมาทำการบ้านในทันที แต่ควรให้เวลาลูกได้เตรียมตัวสัก 10 นาที เช่น "ลูกจ๋า แม่ให้เวลา เตรียมตัวอีก 10 นาทีนะคะ จัดแจงอุปกรณ์ และสมุดการบ้านให้พร้อม แล้วเรามาสนุกด้วยกัน"

- ออกแบบการสอนให้สนุก พ่อแม่ย่อมรู้ดีกว่าใคร ว่าลูกสนใจอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นในวิชาที่เข้าใจยาก อย่างคณิตศาสตร์ สิ่งที่ลูกสนใจควรนำมา เรียนคู่กับลูกด้วย เช่น ลูกชอบโดเรมอน ก็เอาโดเรมอนมาแก้โจทย์

- ชมเชยทุกครั้งที่ลูกทำสำเร็จ คำชมเป็นยาใจดีที่ดี เช่น "เก่งมากจ้ะ มาให้แม่หอมหนึ่งที" พยายามเลี่ยงการตี แต่ควรเข้าใจ และลองนึกย้อนกลับ ไปสมัยที่คุณยังเป็นเด็ก แล้วจะเข้าใจดีว่า เด็กต้องการ และอยากได้อะไรในตอนนี้

- มีพักช่วงระหว่างเรียน ไม่ควรใช้เวลาในการสอนนานเกินไป 1 วัน ต่อ 1 หัวเรื่องเท่านั้น และควรมีการพักให้เด็กได้ผ่อนคลายบ้าง นั่นจะช่วยให้ เด็กเรียนอย่างมีความสุข และไม่กดดัน

- อารมณ์เสียให้หยุดสอน และเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นๆ กับลูกแทน เช่น เล่นเกม วาดภาพระบายสี เมื่ออารมณ์ดีทั้งสองฝ่าย บอกให้ลูก เตรียมพร้อมเพื่อกลับมาทำการบ้านต่อให้เสร็จ ถ้าไม่ได้ผลบอกให้ลูกเลือกว่า จะทำการบ้าน หรือจะถูกครูทำโทษพรุ่งนี้ หรือถ้าเสร็จเร็วก็ได้เล่นเร็ว

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์