มารู้จักกับ "ความสุข" (ตัวจริง) แล้วชีวิตจะเต็มยิ้ม (จริงๆ นะ)
["ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม"]มีมากมายของความเป็นคนในสังคมนี้ ที่ประสบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชีวิตด้านใดด้านหนึ่ง ทั้งด้านการงาน และครอบครัว แต่บางคนกลับเป็นคนที่ไม่มีความสุขในชีวิตเลย เพราะเหตุใดหรือ และอะไรล่ะ คือความสุขของมนุษย์ในสังคมนี้
สุดสัปดาห์นี้ทีมงาน Life and Family มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก "ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม" นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาให้กับศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เกี่ยวกับความสุขของมนุษย์ ลองมาพิจารณากันดูนะครับว่า คุณ และคนในครอบครัวของคุณ มีมากกว่าครึ่งในจำนวนข้อเหล่านี้หรือไม่ เรียงตามลำดับความสุขของมนุษย์ดังนี้
1. ความรู้สึกสดสดกับชีวิตในปัจจุบัน
เพราะความจริงในชีวิต คือ สิ่งที่พบเห็นอยู่ ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่ตรงนี้ มันเปลี่ยนแปลงไปเสมอ มันเป็นเช่นนี้เอง อดีตกับอนาคตเป็นสิ่งปรุงแต่ง กลายเป็นความทุกข์ และสุขที่ไม่ใช่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงได้แทบทุกเรื่อง ความสุขจึงต้องเริ่มจากความรู้สึกสดสดในชีวิตประจำวัน ถ้าเกิดความรู้สึกทุกข์จริงๆ ในขณะนี้ ที่ตรงนี้ และในวันนี้ ก็พึงระลึกไว้เสมอว่า วันนี้ทั้งวัน ถึงยังไงๆ มันก็ต้องผ่านพ้นไป ถ้าวันนี้ประสบสุข ก็จงดื่มด่ำกับความรู้สึกสดสดในปัจจุบันอย่างเต็มที่ แล้วอนาคตก็จะสุขเอง เพราะอดีตมันสุข
อย่างไรก็ดี ขอเวลาสักครึ่งชั่วโมงเช้าในการมองเห็นสิ่งที่ตาเห็นในขณะนั้น อย่าปล่อยให้จิต และใจต้องแยกออกจากกัน โดยกังวลต่ออนาคตที่เกิดขึ้น ถ้าทำได้จะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มาก
2. รักตัวเองเป็น ดูแลสุขภาพตัวเองได้
อารมณ์รัก เป็นพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต้องเริ่มรู้จักรักตัวเองให้เป็นก่อน คือ ดูแลสุขภาพของตนเองได้ นั่นจึงจะเกิดพลังสะท้อนกลับให้คนอื่นรักเราเป็น ดูแลสุขภาพตัวเราได้ เพราะถ้าปราศจากความมีสุขภาพดีแล้ว ความสุขในชีวิตก็แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
3. มีอารมณ์รัก รู้จักผูกพันกับผู้ที่เรารัก และสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่
ความเป็น ความมีในชีวิต คือ อินทรีย์ของเรา (กาย และใจ) รวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนั้นถ้าไม่ได้อยู่ และสัมผัสกับคนที่เรารัก แม้ในยามจะหลับ และตื่นขึ้นมา ชีวิตจะแยกออกจากชีวิตผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ส่งผลให้ใจแตกเป็นเสี่ยงได้ทันที ก่อเกิดของความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา เศร้าซึม ซึมเศร้า เบื่อหน่ายชีวิตตนเองกันได้เลย4. พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และยินดีในสิ่งที่ตัวเองเป็น
สุนทรียะในอารมณ์เกิดขึ้นเพราะความรู้สึก "พอใจ" และ "ยินดี" เมื่อคู่กับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น จึงเป็นความพอดี ไม่ต้องคอยดิ้นรน แสวงหาอะไรต่อมิอะไรที่ไม่รู้จักหยุด จนอัตลักษณ์ หรือความเป็นตัวเองเลือนลางไป จึงขาดเป้าหมายในชีวิตนี้ว่า ต้องการอะไรอย่างแท้จริงจากชีวิตนี้ ทุกข์ก็จะเกิด
5. ทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ
มีอะไรให้ทำในชีวิตประจำวันก็เป็นความสุขแล้ว ยิ่งเกิดตระหนักรู้ว่า เราชอบที่จะทำอะไร มีความถนัดด้านไหนเป็นพิเศษในด้านใด ก็จะเป็นแรงบันดาลใจ สนุกกับการทำงาน โดยไม่ต้องคอยคิดแต่เรื่องเงินทอง ตำแหน่ง ยศศักดิ์ หรืออำนาจที่จะได้รับ ซึ่งเป็นเพียงแค่แรงจูงใจเท่านั้น ชีวิตก็จะสุขอย่างต่อเนื่อง (work as if you don't need the money and any position)
6. ความมีน้ำใจ ให้สิ่งซึ่งผู้อื่นปราถนาได้
ไม่มีสุขใดในชีวิต อิสระในจิตอารมณ์ เท่ากับการรู้จัก "ให้" ให้ผู้อื่นได้ประสบกับสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝัน (give the dream they can catch) หรือสิ่งซึ่งเขาปรารถนาที่สุด (Life desire) รวมทั้งการรู้จักให้อภัย ทั้งคนในบ้าน และนอกบ้าน โดยให้อภัยสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเราเอง และของผู้อื่นที่เคยทำกับเรา ให้มันแล้วก็แล้วๆ กันไปเถอะ
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
7. ความสัมพันธ์ ผูกพันกับครอบครัว
ปีติยินดีที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่ง คือ การมีลูก และเกิดความรู้สึก ความเข้าใจที่ดีต่อกัน และการพึ่งพาอาศัยกับคนที่เรารัก ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความอบอุ่น ความปลอดภัย และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้เราโอบกอดกับคนที่เรารักกันได้อย่างแนบแน่น
8. ความมีสัมพันธภาพที่ดีต่อญาติสนิทมิตรสหาย
เป็นการเกิดอารมณ์ร่วม ที่เป็นบันไดก้าวไปสู่อารมณ์หนักแน่น มั่นคง อารมณ์ดี เสริมสร้างบุคลิกภาพให้เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ ให้สามารถปลอบใจกันได้ในยามทุกข์ ให้กำลังใจได้ในยามขาด และสะท้อนกลับกันได้ในยามลังเล จึงร่วมการหัวเราะให้แก่กัน และกันได้อย่างเต็มปากเต็มเสียง
9. คิดแง่ดี มองโลกในด้านบวก
ความจริงของชีวิต 90% มาจากความคิดเชื่อ หรือจินตภาพที่ประสบผ่าน ไหนๆ ชีวิตก็เป็นมายา มีแต่จะปรุงชีวิตให้เกิดอรรถรสใด แต่งชีวิตให้มันมีสีสันใด ก็ให้รู้จักคิด และมองทุกสิ่งอย่างที่เคยเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราไปในด้านดี ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดี สุขภาพดี จึงจะเป็นสุขภาวะชีวิต และอย่างนี้ ยังจะปล่อยให้ความคิดคอยกระโดดไปยังอนาคตที่มีแต่เรื่องร้ายๆ หรือหมกมุ่นแต่เหตุการณ์ที่เลวร้าย สะเทือนใจในอดีต ที่รังแต่จะสั่งสมแต่ความเสื่อมถอนทางกาย ความเศร้าซึมทางจิต และความวิตกกังวลกลัวทางสังคม เป็นทุกภาวะของชีวิตกันไปทำไมอีก?
10. มีความหวังอยู่เสมอ
ความหวังเป็นพลังชีวิตที่ทำให้คนเรา สามารถผ่านข้ามอุปสรรคนานาชนิดไปได้ อย่างน้อยๆ ก็มี 7 ความหวังนี้ คือ หนึ่ง มีสักคนที่เราจักรัก และเรารักจริง สอง มีสักอย่างที่เราสามารถทำได้ สาม มีสักสิ่งที่เราอยากได้ สี่ มีสักที่หนึ่งที่เราอยากไป ห้า มีสักครั้งที่เราจะรู้สึกดี มีคนเข้าใจ หก มีสักแห่งที่เราอยากไปอยู่ และเจ็ด มีสักวันที่เราจะต้องมีความสุข
11. การได้ช่วยสร้างสรรค์สังคม หรือบรรยากาศแวดล้อมที่เราอยู่ให้เกิดสันติสุข สนุก สะอาด สงบ สง่า และสดสวย
ซึ่งจะส่งผลกลับให้ชีวิตเรามีจิตวิญญาณที่ดีสูงส่ง รวมทั้งการได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ หรือสังคมที่เราใฝ่ฝันว่าจะมีบรรยากาศเช่นนี้กันได้ เช่น การใช้ชีวิตท้าทาย เสี่ยง และน่าตื่นเต้น
12. เกิดความตระหนักรู้ หรือความเข้าใจ
สิ่งที่เราสงสัย หรือถามหามานาน เพราะความสุขของชีวิต ประกอบด้วยความรู้สึกอิสระ ตื่นเต้นเพลินใจ มีสุขภาพดี มีแรงบันดาลใจ ความมีความเข้าใจในตัวเอง เพราะรู้อะไรในโลกนี้ ไม่เท่ากับรู้ใจตัวเอง
ที่มา http://www.mgronline.com/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000055772
อ่านละครเรื่อง นาคี
-
อ่านละครเรื่อง นาคี (ตอนล่าสุดคลิก) อ่านละครเรื่อง นาคี ละครเรื่อง นาคี
บทประพันธ์โดย ตรี อภิรุม ละครเรื่อง นาคี บทโทรทัศน์โดย สรรัตน์
จิรบวรวิสุทธิ์ ละครเ...