ถึงเวลาแล้ว…เด็กไทยทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น

สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยคือ ‘การจมน้ำ’ เป็นข่าวที่ได้ยินมาโดยตลอดเมื่อมีการรวบรวมสถิติการเสียชีวิตของเด็ก และมักพบว่า รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการโครงการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ต้องออกมาพูดเตือนเรื่องประเด็นการจมน้ำ ซึ่งยังเป็นประเด็นใหญ่ในบ้านเราเหมือนเดิม
แม้จะเตือนทุกปี แต่เราก็ยังพบตัวเลขนี้อยู่ร่ำไป หรือเป็นเพราะเราไม่เคยตระหนักเรื่องนี้อย่างจริงจัง..!!

กลุ่มเด็กเล็กไม่เกิน 5 ปี มักเกิดจากการจมน้ำในบ้าน เช่น ถังน้ำ กาละมัง บ่อ อ่างเลี้ยงปลา แม้กระทั่งโถชักโครก เช่น กรณีที่เด็กอายุ 11 เดือนจมน้ำเสียชีวิตในถังน้ำ โดยที่คุณยายกำลังถูบ้าน หันไปอีกทีหลานหัวทิ่มอยู่ในถังน้ำแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพลัดตกน้ำโดยที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น

ในขณะที่การเสียชีวิตในกลุ่มเด็กอายุ 6-10 ปี มีลักษณะที่แตกต่างออกไป เพราะเด็กวัยนี้สามารถออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้านได้แล้ว บางทีตามเพื่อนไปเล่นน้ำ หรือเล่นนอกบ้านแล้วพลัดตกน้ำก็มีบ่อยๆ

ส่วนกลุ่มเด็กที่อายุเพิ่มมากขึ้น ก็ยังมีโอกาสเสียชีวิตจากการจมนน้ำ แม้จะมีตัวเลขลดลงก็ตาม

ประเด็นเรื่องการป้องกันจึงเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักอย่างจริงจัง และเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เป็นประเด็นสำหรับคนเป็นพ่อแม่อย่างเดียว

บ้าน

เริ่มจากพ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถลงมือทำได้เลย คือ การสอนให้ลูกว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เด็ก เพราะการว่ายน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุด สามารถทำได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล

ประเด็นต่อมาคือการสร้างสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ไม่ให้มีแหล่งน้ำที่มีโอกาสทำให้เกิดภัยกับเจ้าตัวเล็กได้ เช่น ไม่ทิ้งน้ำในกาละมัง คว่ำถังน้ำให้เรียบร้อย ที่สำคัญถ้าเป็นเด็กเล็กต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลา ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพัง

โรงเรียน

ส่วนใหญ่โรงเรียนมักจะมีสระว่ายน้ำอยู่แล้ว แต่สระว่ายน้ำมักจะถูกใช้สำหรับการแข่งขัน หรือกิจกรรมของโรงเรียนมากกว่าที่จะใช้เพื่อการส่งเสริมทักษะเรื่องว่ายน้ำของเด็กนักเรียนทุกคน โดยเฉพาะเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยให้เด็กเล่นน้ำมากกว่าการสอนเพื่อให้เด็กว่ายน้ำเป็น

นอกจากนี้ คุณครูว่ายน้ำของโรงเรียนควรจะมีการสอนทักษะในเรื่องความปลอดภัยจากการเล่นน้ำด้วย

ชุมชน

ในส่วนของชุมชนควรเป็นหูเป็นตาในเรื่องของสภาพแวดล้อม มีการดูแลแหล่งน้ำในบริเวณใกล้เคียง อาจมีการกั้นอาณาเขต หรือมีการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าบริเวณไหนไม่ควรให้เด็กเข้าไปใกล้

สิ่งสำคัญถ้าเป็นไปได้ควรมีการอบรมเรื่องความปลอดภัยในชุมชนด้วย เช่นเมื่อเกิดเหตุใดเหตุหนึ่งขึ้นมา ผู้คนในชุมชนสามารถที่จะแก้ปัญหาได้ในเบื้องต้น เช่น เมื่อพบเห็นเด็กจมน้ำอย่างน้อยสามารถที่จะรู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือผู้จมน้ำได้อย่างทันท่วงที เพราะเด็กจมน้ำ มีเวลาเพียง 4 นาที เท่านั้น ที่ผู้ช่วยเหลือจะต้องช่วยเหลือก่อนส่งถึงมือแพทย์

ภาครัฐ

นโยบายภาครัฐควรมีการกำหนดที่ชัดเจนว่าให้เด็กไทยว่ายน้ำเป็นทุกคน คุณหมออดิศักดิ์ให้คำแนะนำว่า ควรให้เด็กไทยทุกคนสามารถว่ายน้ำได้เมื่ออายุ 7 ปี ซึ่งหากภาครัฐตระหนักและมองว่าประเด็นนี้มีความสำคัญต่อคนในชาติ เพราะสามารถปกป้องทรัพยากรมนุษย์เด็กและเยาวชนไทยไม่ให้ต้องเสียชีวิตเพราะเหตุจมน้ำจำนวนมากอย่างนี้อีกต่อไป

แต่ก็นั่นแหละ นอกจากประเด็นการให้ความสำคัญแล้ว การให้ความรู้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

ยกตัวอย่าง เมื่อเด็กว่ายน้ำเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเสียชีวิต เรื่องการมีทักษะความปลอดภัยเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยเด็กควรรู้ว่าเมื่อประสบเหตุกับตัวเอง ควรจะต้องทำอย่างไร เช่น เมื่อเกิดเหตุจมน้ำ ต้องพยายามดันตัวเองโผล่ขึ้นมาเพื่อคว้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งใกล้ตัว หรือโผล่ให้มีคนเห็น หรือแม้แต่ถ้าอยู่ใกล้ตลิ่งก็สามารถกระโจนดันตัวเองเข้าฝั่งให้ได้

รวมไปถึงผู้ที่ว่ายน้ำเป็นแล้วไปช่วยเหลือผู้จมน้ำ ก็ต้องรู้จักทักษะที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้ว อาจเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่เข้าไปช่วยเหลืออีกต่างหาก

ที่ผ่านมาเรื่องเด็กไทยว่ายน้ำไม่เป็น กลายเป็นปัญหาใหญ่ในบ้านเราที่ทุกฝ่ายยังไม่ตระหนักถึงภัยร้ายใกล้ตัวอย่างจริงจัง

อย่าลืมว่า นอกจากภัยแหล่งน้ำใกล้ตัวที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ตอนนี้เรายังมีภัยจากอุทกภัยที่นับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

ถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่เด็กไทยทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น

ถึงเวลาแล้ว…เด็กไทยทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“รูปแบบการเล่น” สร้างทักษะชีวิตให้ลูกได้

“เด็กกับของเล่นเป็นของคู่กัน”

“การเล่นคืองานของเด็ก”

ประโยคในท่วงทำนองนี้มักได้ยินเสมอมาตั้งแต่เด็ก

ที่จริงแล้วเรื่องของเล่น หรือการเล่นเ เป็นเรื่องสำคัญของเด็กที่คนเป็นพ่อแม่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะรูปแบบการเล่นของลูก ส่งผลต่อการเติบโตของลูกทั้งชีวิตได้เลยทีเดียว

ประโยชน์จากการเล่นเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นก็จริง แต่รู้หรือไม่ว่า “รูปแบบการเล่น” ของลูกก็บอกนิสัย และมีส่วนต่อการหล่อหลอมให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหนอีกด้วย

ก่อนอื่นเริ่มจากพ่อแม่ ผู้ปกครองต้องมีความรู้พื้นฐานเรื่องพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัยว่าเป็นอย่างไร แล้วควรจะส่งเสริมพัฒนาการอย่างไร ซึ่งปัจจุบันก็มีข้อมูลความรู้มากมายในเรื่องนี้

แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงนอกเหนือจากความรู้เรื่องการเล่นกับพัฒนาการตามวัยแล้ว ควรจะเน้นถึงเรื่องการส่งเสริมทักษะชีวิตของลูกผ่านการเล่นด้วย

เริ่มจากเมื่อเด็กเริ่มเลือกของเล่นตามความสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 3 ขวบ วัยนี้เริ่มเข้าใจเรื่องเพศว่าใครเป็นเพศชายและใครเป็นเพศหญิง แต่ยังไม่ถึงกับแบ่งแยกเพศชัดเจน เพียงแต่รูปแบบการเล่นเริ่มสนใจตามลักษณะของเพศ โดยธรรมชาติเด็กผู้ชายจะชอบเล่นของเล่นจำพวกเครื่องมือช่าง รถยนต์ หรือหุ่นยนต์ ส่วนเด็กผู้หญิง ก็จะเลือกของเล่นตุ๊กตา หม้อข้าวหม้อแกง ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อลูกไปเลือกเล่นของเล่นของเพศตรงข้าม แล้วจะหมายความว่าลูกอาจจะสับสนเรื่องเพศ ในความเป็นจริงเด็กก็สามารถเล่นของเล่นร่วมกันได้อยู่แล้วไม่ว่าของเล่นนั้นจะเป็นอย่างไร เพียงแต่รูปแบบการเล่น หรือลักษณะการเล่นจะสะท้อน และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กด้วย

ที่สำคัญคนเป็นพ่อแม่ควรจะมีส่วนต่อการเล่นของลูก ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม เพราะลูกจะได้รับสิ่งที่นอกเหนือจากความสนุกสนานด้วย ไมว่าจะเป็นความรัก ความอบอุ่น และความมั่นคงทางจิตใจ

ของเล่นที่สำคัญที่สุดคือได้เล่นกับพ่อแม่ ค่านิยมที่เข้าใจว่า การเล่นเป็นเรื่องของเด็กเท่านั้น เป็นเรื่องที่ผิด เพราะผู้ใหญ่ก็สามารถเล่นได้ และการเล่นของผู้ใหญ่จะไปช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้กับลูกต่อไปได้ด้วย เพราะขณะที่กำลังเล่นกัน พ่อแม่สามารถสอดแทรกเรื่องราวดีๆ ที่ต้องการปลูกฝังให้กับลูกได้มากมาย

ยกตัวอย่าง เมื่อคุณเล่นแต่งตัวให้ตุ๊กตากับลูกสาว ก็สามารถสอนลูกในเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสม ถ้าไปวัดเราควรจะแต่งตัวอย่างไร ถ้าไปเที่ยวชายทะเลควรจะแต่งตัวอย่างไร และการแต่งตัวที่เหมาะสมกับวัยควรแต่งตัวอย่างไร ทำไมต้องคำนึงถึงกาลเทศะ โดยเราสามารถสอดแทรกเรื่องการแต่งกายแบบไหนที่ไม่เหมาะสมได้อีกด้วย

หรือการเล่นตุ๊กตาก็สามารถสร้างบทบาทสมมติเพื่อให้ลูกได้ใช้จินตนาการในการสร้างเรื่อง โดยมีพ่อแม่ หรือใครในครอบครัวเป็นผู้เล่นร่วม และเดินเรื่องตามใจชอบ โดยพ่อแม่ต้องพยายามสมมติสถานการณ์เพื่อให้ลูกคิด หรือแก้ปัญหาระหว่างเรื่องราวด้วย

ถ้าเป็นลูกชาย อาจเป็นการเล่นเครื่องมือช่าง ก็สามารถสอดแทรกเรื่องของจริงไปด้วย เช่น ถ้ามีข้าวของเสียหายที่สามารถซ่อมแซมเองภายในบ้านก็สามารถทำเองได้ อาจจะทำให้เห็นจากสถานการณ์จริงก็ได้ โดยสอดแทรกเรื่องความปลอดภัยเข้าไปด้วย เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ ก็ต้องปิดสวิทต์ไฟให้เรียบร้อยก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้

หรือแม้แต่การเล่นที่ต้องสร้างสรรค์ หรือประดิษฐ์เป็นงานศิลปะ ก็เป็นการส่งเสริมเรื่องจินตนาการให้กับลูกได้เป็นอย่างดี กระตุ้นให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์

รวมไปถึงของเล่นที่มีทั้งปลายปิดและปลายเปิด แบบปลายปิดก็คือ ของเล่นที่มีคำตอบเพียงคำตอบเดียว เช่น โดมิโน หรือจิกซอว์ ส่วนของเล่นแบบปลายเปิดก็คือแบบที่ใช้จินตนาการของตนเอง เช่น การต่อบล็อกเป็นรูปต่างๆ ตามความต้องการของเด็ก

ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กอัจฉริยภาพ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เคยกล่าวไว้ว่า เด็กจะเล่นตามความถนัด และเด็กจะเล่นจากการถูกกระตุ้นโดยสิ่งแวดล้อม นั่นทำให้เราสามารถมองเห็นและวัดแววอัจฉริยะของลูกได้โดยดูจากของที่เขาเล่นและสนใจนั่นเอง แต่เสียดายที่เด็กสมัยนี้ถูกปล่อยให้เล่นไปตามเรื่องตามราว โดยพ่อแม่ไม่ได้สังเกตแววความสนใจของลูก ทั้งที่ช่วงอายุ 0-8 ขวบนั้น ถือเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดในการพัฒนาการ

“พ่อแม่จะเลือกสร้างกระต๊อบหรือสร้างคฤหาสน์ก็อยู่ที่ช่วงนี้ ถ้าพ่อแม่ต้องการสร้างลูกให้โตไปแบบกระต๊อบ ก็ไม่ต้องใส่ใจ ให้ลูกเล่นเองก็ไม่ต้องส่งเสริมพัฒนาการอะไรมาก”

ฉะนั้น เราไม่ควรปล่อยช่วงเวลาทองของลูกให้ผ่านเลยไป โดยที่พ่อแม่ไม่ได้มีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อย และไม่ได้กำหนดรูปแบบในการเล่นให้กับลูก

แท้จริงแล้วเรื่องราวอื่นๆ ที่ต้องการสอดแทรกและปลูกฝัง ทั้งในเรื่องวิถีชีวิต พฤติกรรม รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิตอื่นๆ ก็สามารถส่งเสริมทักษะการเล่นให้กลายเป็นทักษะชีวิตที่ดีในอนาคตได้ด้วย

เห็นไหมคะ…เรื่องเล่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เรื่องเล่นจะกลายเป็นการสร้างทักษะชีวิตให้ลูกได้อย่างน่าทึ่ง
“รูปแบบการเล่น” สร้างทักษะชีวิตให้ลูกได้/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

พ้นวัย 18 ยังสูงได้อีกหลายซ.ม.

เราทราบกันดีว่า หลังผ่านอายุ 18 ปีไปแล้ว ส่วนสูงจะไม่เพิ่มขึ้นอีก หรือที่เรียกว่า หยุดสูง ซึ่งเมื่อผ่านช่วงเวลานั้นไปแล้ว ส่วนสูงที่ปรากฏเหมือนเป็นเครื่องตัดสินลักษณะของแต่ละคนว่า เป็นคนเตี้ย ความสูงสมส่วน หรือสูงชะลูด

สำหรับคนที่ลงเอยอยู่กับตัวเลขส่วนสูงประมาณ 150-155 เซนติเมตร คงรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนรูปร่างสูง โดยเจ้าของส่วนสูง 150 ซ.ม.ต้น ๆ หลายคนบ่นอยากสูงกว่านี้อีก แต่จะเป็นไปได้หรือ ถ้าอายุเลยวัย 18 ปีแล้ว?..คำตอบ คือ ยังสูงขึ้นอีกได้

กลไกความสูงของคนเราเกี่ยวข้องกับ ‘โกรท ฮอร์โมน’ (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต จะมีมากในช่วงวัยเจริญเติบโต ส่งผลให้อีพิไฟเชียล เพลท (Epiphyseal plate) หรือเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อกระดูกนั้นขยายขึ้น ทำให้คนเราสูงขึ้นนั่นเอง แต่เมื่อล่วงเลยพ้นอายุ 18 ปี โกรท ฮอร์โมน ลดต่ำลง ส่งผลให้อีพิไฟเชียล เพลท ปิด ไม่ยืดขยาย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หยุดสูงนั่นเอง

นอกจากวัยแล้ว ความเครียด ละเลยการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการไม่เหมาะสม และการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่ดีพอ ยังส่งผลกระทบให้โกรท ฮอร์โมน ยิ่งลดต่ำลง ดังนั้น หากยังอยากสูงขึ้นอีกต้องเลี่ยงพฤติกรรมลดโกรท ฮอร์โมน โดยสามารถใช้ตัวช่วยที่กำลังนิยมอยู่ในญี่ปุ่น อย่าง วิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มความสูง ที่มีการเล่าอ้างกันมาว่า ทำให้สูงขึ้นได้อีก 2-10 ซ.ม. ภายในไม่กี่เดือน โดยความสูงที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ถาวร ไม่หดหายหลังเลิกวิตามินดังกล่าว
ที่มา เดลินิวส์

หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน

ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หายใจเข้าและออกไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท้องจะป่องเมื่อหายใจเข้า และท้องแฟบตอนหายใจออก ก็ดันเป็นในทางตรงกันข้าม ร้ายกว่านั้นคือ หายใจตื้น ๆ หน้าท้องไม่ขยับสักนิด

การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ

เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.

takecareDD@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

รักษาสิวด้วยการดื่มน้ำ

ทำไมการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจึงช่วยกำจัดสิวได้
การ ดื่มน้ำสะอาดนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์ในการทำความสะอาดผิวและ สุขภาพโดยรวม เนื่องจากน้ำเป็นตัวลำเลียงสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย และมีความเกี่ยวเนื่องในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้

ควรดื่มน้ำวันละกี่แก้ว? คำตอบคืออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันเพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดีร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็น น้ำถึง 70% และมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของร่างกายแทบจะทุกส่วน รวมถึงระบบย่อยอาหาร, การดูดซึม, ระบบไหลเวียนของเลือด และการขับถ่ายน้ำยังทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้สารพิษก่อตัวขึ้นอันเป็นเหตุให้เกิดสิว จึงควรดื่มน้ำเพื่อให้น้ำกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ไตซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำในกระบวน การดังกล่าว ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะเป็นการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังได้ด้วย จึงทำให้รูขุมขนสะอาดและป้องกันการเกิดสิวได้

ไตของเราก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติหากได้รับน้ำไม่เพียงพอในการขับสาร พิษออกจากร่างกาย และเมื่อทำงานไม่เต็มที่ก็จะมีบางส่วนที่จะถูกเก็บไปไว้ที่ตับ
หน้าที่ ของตับก็คือการเผาผลาญไขมันเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าตับต้องรับหน้าที่จากไตเพิ่มด้วย ก็จะทำให้ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เมื่อตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ก็มีผลทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากตับไม่สามารถหยุดการทำงานและขจัดฮอร์โมนส่วนเกินจากร่างกายได้

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับน้ำ
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่ สำคัญในการลดน้ำหนักและทำให้ไม่ค่อยหิว ทั้งยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ด้วย การศึกษาพบว่าเมื่อดื่มน้ำปริมาณน้อยลงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากขึ้นก็จะช่วยลดไขมันสะสมได้ การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะช่วยกำจัดน้ำเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายได้ ซึ่งการคั่งค้างของน้ำเสียในร่างกายได้แก่โซเดียม น้ำสะอาดจะช่วยขจัดโซเดียมออกจากร่างกายได้
น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้อง ผูก เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไป ร่างกายก็จะดึงน้ำจากส่วนอื่น ๆ ภายในระบบของร่างกายมาใช้แทน ระบบลำไส้เป็นส่วนแรกที่ร่างกายจะดึงเอาน้ำออกมาใช้ทดแทนเพื่อไหลเวียนใน ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ท้องผูก แต่หากดื่มน้ำสะอาดเพียงพอลำไส้ก็จะทำหน้าที่ตามปกติได้ดังเดิม
ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงจำเป็นสำหรับผิว เพื่อผิวที่สะอาดสดใสมีสุขภาพดี
รักษาสิวด้วยการดื่มน้ำ
ที่มา blog.mthai.com

สุยอดผลไม้ 'โกจิเบอร์รี่'

คุณค่าสารอาหารมากที่สุดในโลก

ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา ผลไม้ชื่อ “โกจิเบอร์รี่” หรือ Chinese Wolfberry เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายขึ้น เมื่อถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเสริม และเครื่องดื่มประเภทฟังก์ชั่นนอล ดริ๊งค์ หลายประเภท ทำให้สงสัยว่าโกจิเบอร์รี่คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และทำไมจึงกลายเป็นผลไม้ยอดฮิตที่นำมาบริโภคกันทั่วโลก วันนี้ขอนำเรื่องราวของโกจิเบอร์รี่ ราชินีแห่งเทือกเขาหิมาลัยมาแนะนำให้รู้จักกัน

“โกจิเบอร์รี่” ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย ถูกค้นพบเมื่อกว่า 4,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยนักสมุนไพรชาว หิมาลายัน ต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบตและอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ ดร.เอิร์น เมนเดลล์ พบว่า ผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารแอนติออกซิแดนท์ ที่สามารถขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ในปริมาณมากถึง 25,300 โอ แรค ขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ลูกพรุน มีสารแอนติออกซิแดนท์จำนวน 5,700 โอแรค ผลโกจิเบอร์รี่แต่ละลูกยังประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท และมีวิตามินซีสูงมากกว่าผลส้ม

สารต้านอนุมูลอิสระ มีความมหัศจรรย์ในการขับของเสียที่ร่างกายได้รับจากกระบวนการที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาชีวเคมี ทั้ง ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ สิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แก่ก่อนวัยอันควร อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง และ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

ผลการศึกษาของ ดร.เอิร์น ยังพบว่าการบริโภคโกจิเบอร์รี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันอย่างเป็นธรรมชาติ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างดีที่สุด ต้องการความสมดุลและสารอาหารที่มาจากธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้สามารถหาได้จากโกจิเบอร์รี่ ขณะที่ ดร.เจมส์ ดุ๊ก นักชาติพันธุ์วิทยา กล่าวว่า โกจิเบอร์รี่ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาสมดุล ของภูมิคุ้มกัน ช่วยในการสร้างการทำงานที่แข็งแรงและเป็นปกติ และยังมีสารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยส่งเสริมและรักษาการทำงานของระบบเซลล์เม็ดเลือดขาว รวมไปถึงทีเซลล์, ไซโทโทซิค ทีเวลล์, เอ็นเค เซลล์ เป็นต้น โกจิเบอร์รี่จึงถูกนำไปค้นคว้าและพัฒนาในหลากรูปแบบทั้งอาหารเสริม เครื่องดื่ม ส่วนผสมในอาหาร และเครื่องสำอาง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว

อีกหนึ่งความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่เชื่อว่าในอนาคต อันใกล้คนไทยจะรู้จักและได้มีโอกาสสัมผัสอย่างใกล้ชิด กับ “ลูกกุหลาบ” (Rose Hips) เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โดยในผลสดมีปริมาณวิตามินซี 1,700-2,000 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งมากกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ลดภาวะกดดันที่ก่อให้เกิดการออกซิเดชัน เป็นตัวร่วมในการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการสังเคราะห์สารต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกาย และเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างคอลลาเจน โดยใช้วิตามินซีเป็นโคแฟคเตอร์ โกจิเบอร์รี่ และลูกกุหลาบถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องดื่มหลายประเภท ซึ่งในอนาคตอันใกล้บ้านเราคงได้ สัมผัสและลิ้มลองกับความมหัศจรรย์ของผลไม้ทั้งสองชนิด ที่จะให้มากกว่าความสดชื่นอย่างแท้จริง.
สุยอดผลไม้ 'โกจิเบอร์รี่'
ที่มา เดลินิวส์

แวะกินราเมงที่'กิงโนะ ดนบุริ'

อยากทาน ราเมง หรือบะหมี่น้ำแบบญี่ปุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ขอออกอารมณ์แบบญี่ปุ่นแบบน้ำซุปเริ่ด เส้นนุ่ม เครื่องครบ ถูกปากถูกใจ เรื่องราคาถ้าสมเหตุสมผล แม่พลอยว่า นักชิมส่วนใหญ่คงไม่มีเกี่ยงเงื่อนไขประการหลังแต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนั้นขอแนะนำไปสัมผัสรสชาติราเมงพร้อมสรรพด้วย อุด้ง ข้าวหน้าต่าง ๆ รวมถึงข้าวหน้าแกงกะหรี่ที่ ร้านกิงโนะ ดนบุริ ราเมง (Kinno Donburi) ชั้น 2 โครงการนิออนมาชิ สุขุมวิท 26 อยู่ระหว่างเค-วิลเลจและฟันนาเรี่ยม

ก่อนชิมเมนู ราเมง มีของทานเล่นอย่างเกี๊ยวซ่า มีทั้งแบบเกี๊ยวซ่ารสดั้งเดิม เกี๊ยวซ่าไส้เป็ดย่าง เกี๊ยวซ่าไส้หูฉลาม แต่ที่สั่งทานลองทานดูแล้วรู้สึกชอบคือ เกี๊ยวซ่าเบคอนผักโขมอบชีส คล้ายกับผักโขมอบชีสรสละมุนผักโขมนุ่มหอมมันเนย แต่นี่เพิ่มความนุ่มเนียนลิ้นด้วยแป้งเกี๊ยวซ่าแสนนุ่ม ทานกับน้ำจิ้มโชยุเข้ากันได้ดี

สลัดเต้าหู้ญี่ปุ่น น้ำสลัดมิโซะงา ลิ้มรสแล้วรู้สึกถึงเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเต็มไปด้วยเต้าหู้นุ่มนิ่มออกเย็น ๆ เคล้ารสชาติกับน้ำสลัดมิโซะงาที่หอมมัน ถั่วงอกลวกสดกรอบเพิ่มอรรถรสการเคี้ยวสลับเต้าหู้นิ่มมาเจอถั่วงอกกรอบ

ถึงเวลาของ ราเมง เมนูเด็ดเด่นร้านนี้ ขอชูเมนูเด่นต่างจากที่อื่น ๆ และเป็นที่ชื่นชอบของนักชิมส่วนใหญ่ นั่นคือ ราเมงหูฉลาม ออกหรูหรานิดหน่อยตั้งแต่ชามที่ใส่ ไล่มาตั้งแต่แผ่นทองคำ หูฉลาม ต้นหอมซอย และ เส้นราเมง เหนียวนุ่ม น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม เพราะใช้กระดูกหมู เคี่ยวจนเป็นน้ำซุปนานถึง 12 ชั่วโมง

ชาชู ราเมง มีสีสันของไข่ต้มยางมะตูม ผัก หน่อไม้ เส้นราเมง และ หมูสามชั้นสไลด์เอามันออก เส้นราเมงนุ่ม เคี้ยวรวมกับไข่ต้มยางมะตูม หมูออกมันและหน่อไม้กรุบในปาก ซดรวมกับน้ำซุป รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ไม่หนักไปรสชาติดูสมดุลกันมาก แถมครบเครื่องทั้งผัก หมู และไข่ ถ้าไม่ชอบหมู มี แกะชาชู ราเมง มาสำรองความอร่อย ส่วน อุด้งกิมจิ น้ำซุปสีแดง รสชาติเข้มข้น ถูกใจคนชอบทานกิมจิกับเส้นอุด้ง รสชาติน้ำซุปออกเปรี้ยว ออกเผ็ดนิด ๆ เส้น อุด้งหนึบในปาก

ข้าวหน้าเทอริยากิตับห่าน สุดจะเก๋ถูกปาก หากว่าชอบทานตับห่านเป็นชีวิตจิตใจ ต้องลอง อย่ามองข้าม ข้าวญี่ปุ่นเมล็ดกลม ๆ มีตับห่านชิ้นใหญ่กับชิ้นขนาดพอดีสองชิ้นโปะบนหน้า รสชาติหวานเข้าเนื้อตับนุ่มเนียนลิ้น ทานกับข้าวญี่ปุ่นอร่อยลงตัว

เมนูข้าวหน้าแกงกะหรี่ขอเลือกชิม ข้าวหน้าแกงกะหรี่แซลมอนชีสทอด เนื้อปลาแซลมอนชุบแป้งบวกเกล็ดขนมปังทอด กรอบนอก นุ่มใน หอมเนยทานคู่กับน้ำราดที่มีเครื่องเทศแกงกะหรี่และข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ รสชาติเข้ากันได้ดี หอมเครื่องแกงกะหรี่ขึ้นจมูกนิด ๆ ไม่ฉุนจัด สรุปว่ารสดี ทานได้เต็มคำ

ชอบทาน ราเมง ข้าวหน้าแกงกะหรี่ ลองแวะเวียนไปลิ้มรสกันดู ที่ กิงโนะ ดนบุริ ในโครงการนิออนมาชิ สุขุมวิท 26 เปิดบริการวัน จันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลา 11.00-14.30 น. และ 17.30-22.30 น. เสาร์-อาทิตย์ 11.00-22.30 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2258-2897.

เรื่อง/ภาพ แม่พลอย
ที่มา เดลินิวส์

เพลินพิศลิ้มรสอิตาเลียน พิซซ่า บายแอ๊ปเปอร์ติโต

ถ้าชอบทานอิตาเลียน พิซซ่า แม่พลอยขอชวนไปชิม พิซซ่าอิตาเลียน ที่มุมเล็ก ๆ ของร้านอิตาเลียน พิซซ่า บาย แอ๊ปเปอร์ติโต ในตลาดนัดลุงเพิ่ม หลังการบินไทย ย่านถนนวิภาวดี ดูสักครา

บรรยากาศร้านไม่เก๋ไม่ไฉไลด้วยของตกแต่ง แต่มีสีสันวิธีการทำพิซซ่า ของเชฟเอ็มที่พาเพลินตา เพลินอารมณ์ ตั้งแต่นวดก้อนแป้งพิซซ่าสีขาวนวลตา ให้แบนกลมแล้วจับโยนขึ้นไปหมุนกลางอากาศให้แป้งยืดตัว กลมและบางลง เสร็จแล้วละเลงสีสันแป้งพิซซ่าด้วยซอสมะเขือเทศปรุงเองพร้อมเนยบนแผ่นแป้ง แล้วนำเข้าเตาอบพิซซ่าโดยเฉพาะประมาณ 8-10 นาที ได้สัมผัสรสชาติพิซซ่าอิตาเลียนที่สมบูรณ์แบบแล้ว

พิซซ่า อิตาเลียน ที่นี่มีประมาณ 15 หน้า เลือกสรรได้ตามใจชอบ แต่ที่เลือกมาแนะนำเริ่มที่ พิซซ่ามาการิทต้า พิซซ่าหน้านี้ เด่นโดนลิ้นด้วยการใช้มอซซารีลลา ชีส หรือชีสที่ทำพิซซ่าโดยเฉพาะเยอะและมากกว่าพิซซ่าทุกหน้า แล้วโรยหน้าด้วยสวีท บาซิล เวลายกชิ้นแป้งพิซซ่ามาทานตอนร้อน ๆ แบบชิ้นต่อชิ้น สายตาสัมผัสภาพชีส เหนียวยืดขึ้นมาเป็นเส้นเลย กลิ่นหอมของชีส ชัดเจนมาแต่ไกล พิซซ่ามาการิทต้ามีความ กลมกล่อมของมอซซารีลลา ชีส และซอสมะเขือเทศกัดทานหน้าพิซซ่าที่นุ่มหอมทะลุไปถึงเนื้อแป้งพิซซ่าที่ บางกรอบรสชาติเข้าที

พิซซ่าพามาแฮม มีผักร็อกเก็ตตกแต่งโรยหน้ามาเคียงคู่กับพามาแฮม ความชอบผักร็อกเก็ตเป็นการส่วนตัว แม่พลอยลองลิ้มแบบทานร็อกเก็ตคู่กับพามาแฮมไปด้วย ความเค็มนิด ๆ ของพามาแฮม ถูกตัดลงได้ด้วยความมันและรส ซ่าน ๆ นิด ๆ ของร็อกเก็ตได้แบบลงตัวเหมาะเหม็ง

พิซซ่าหน้าแซลมอนรมควัน หรือพิซซ่า สโมค แซลมอน ถูกใจคนชอบทานปลาแซลมอนเป็นพิเศษทั้งที่ในแป้งพิซซ่ามีมอซซารีลลา ชีส และซอสมะเขือเทศเป็นส่วนผสมหลัก เปลี่ยนแค่หน้ามาเป็นแซลมอนรมควันแล้วโรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ต แม่พลอยบอกตามตรงว่าชอบเป็นความรู้สึกส่วนตัวจริง ๆ เพราะมีทั้งกลิ่นหอมของเนื้อแซลมอนรมควัน กลิ่นหอมชีส ซอสมะเขือเทศที่กลมกล่อมลงตัว แป้งบางกรอบและหน้าพิซซ่าที่เป็นปลาแซลมอนรมควันถูกใจ เผลอใจทานจนแทบไม่เหลือเผื่อใคร

พิซซ่าฮาวายเอียน อาจคุ้นลิ้นเพราะพิซซ่าหน้านี้คุ้นลิ้นและคุ้นชินในการสั่งตามออร์เดอร์ ตามความถูกใจของนักทานพิซซ่าหลายคน มีสับปะรดชิ้นหั่นชิ้นเล็กและแฮม ผสมเป็นหน้าตาที่มีสีสันเด่นชัด ทานแล้วไม่มีเลี่ยน อร่อยเบาไม่หนักท้อง ถ้าไม่ชอบเนื้อสัตว์ แนะนำ พิซซ่าหน้าผัก มีพริกแดง พริกเขียว หัวหอมใส่มาครบครัน รสชาติดีไม่แพ้พิซซ่าหน้าอื่น ๆ

มิติรสชาติของพิซซ่า อิตาเลียน บาย แอ๊ปเปอร์ติโต แม่พลอยสามารถบอกได้เพียงมิติของตัวหนังสือและภาพเท่านั้น มิติแห่งการสัมผัสรส แน่นอนว่านักชิมต้องลงไปสัมผัสเองที่ร้านซึ่งเปิดบริการตั้งแต่วัน จันทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์ ตอนนี้ในช่วงวันเสาร์ หน้าร้านจะปิดเนื่องจากติดเทศกาลงานเลี้ยง สนใจลองสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-7086-4666.
ที่มา เดลินิวส์

เคร็ด(ไม่)ลับเผยวิธีคิดแบบคนเก่ง

‘คนเก่ง’ เขามีวิธีคิดกันอย่างไร วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีมาบอก

- คิดในแง่บวกและศรัทธาในตัวเอง เพราะการมองโลกในแง่ดีและทำทุกอย่างเต็มกำลัง ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน มีชีวิตชีวา กระตือรือร้น จะทำให้คุณพร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาได้ ที่สำคัญต้องมั่นใจในตัวเอง

- เรียนรู้จากความผิดพลาด เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง แล้วหันมาทบทวนว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไปบ้าง เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

- ตามล่าฝัน ตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัวที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เพื่อเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คุณสานฝันสู่ความจริง

- ค้นหาบุคคลต้นแบบ เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตามแนวคิด วิธีการทำงาน นำจุดเด่นในตัวเขา มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวสู่ความสำเร็จ

คุณเองก็ 'เก่ง' ได้ ลองดู

เคร็ด(ไม่)ลับเผยวิธีคิดแบบคนเก่ง
ที่มา เดลินิวส์

อร่อยเข้มข้น 'หลนปูทะเล' หอมผักโขมอบชีสรสกลมกล่อม

เมื่อครั้งที่ผมและคุณพ่อจะไปถ่ายทำรายการเพื่อออกอากาศในรายการปลากริมไข่เต่า เราแวะไปกินข้าวกันก่อนที่จะไปถ่ายทำ ซึ่งก่อนที่จะไปกินข้าวกันนั้นก็มีอะไรรองท้องกันไปบ้างแล้ว สนุกสนานดีครับ ได้พูดคุยกันอย่างสำราญกับคุณพ่อ

วันนั้นผมได้ถามเลขาฯ ของคุณพ่อซึ่งเป็นน้องผม ทำงานมาเป็นเวลา 30 กว่าปีแล้วครับ ว่าเราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี เขาตอบผมกลับมาว่าไปแถวมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ จะมีร้านหนึ่งชื่อว่า ร้านนนทรี เรสเตอรองต์ หาง่าย ไม่ยุ่งยากเลยครับ

เมื่อไปถึง ถามไปถามมา ปรากฏว่า ร้านนี้เป็นของ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ศิษย์เก่าวชิราวุธทั้งหมดเลยครับ ซึ่งผมเองไม่ใช่ศิษย์เก่าวชิราวุธนะครับ แต่น้องชายและเพื่อน ๆ ของผมหลายคนเป็นศิษย์เก่าวชิราวุธกัน ทำให้ผมรู้สึกมีความผูกพันและคุ้นเคยกันพอสมควร

พี่เจ้าของร้าน ซึ่งความจริงแล้วเขามีอาชีพเป็นทนาย แต่ที่มาเปิดกิจการร้านอาหารเป็นเพราะว่าชอบร้อง เพลง โดยที่ร้านมีนักร้องที่มีชื่อเสียงรุ่นหลังคุณพ่อผม ซึ่งอายุประมาณ 50 ปี เป็นรุ่นเก่า ๆ นะครับ จะสลับหมุนเวียนกันมาร้องเพลงที่ร้านตลอดครับ

ที่ร้านนี้ บรรยากาศดีครับ มีเฉลียงที่นั่งข้างนอกได้ และมีร่มไม้ทำให้ร่มรื่นครับ โดยรอบ ๆ ร้านสะอาด พนักงานก็บริการดีครับ คุณพ่อยังไม่หิวเท่าไหร่แต่ก็อยากทานเพราะเคยมาที่นี่แล้วรู้ว่ารสชาติอาหารของที่นี่อร่อย คุณพ่อ จึงสั่ง ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ รสชาติดีครับ น้ำพริกอร่อยได้ครบรส ทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน ส่วนผมสั่งต้มยำปลาคัง

เผอิญเพื่อนของพี่เจ้าของร้านเขาทำ พะแนงเนื้อ มาให้กิน ต้องบอกว่าพวกพี่เขา เก่งจริง ๆ ครับ ทำกับข้าวได้อร่อย ตอนแรกผมคิดว่าที่ร้านนี้เป็นคนทำ ที่ไหนได้ ไม่ได้ทำมาจากร้านนี้ คงต้องถามพี่เขานะครับว่าจะทำมาให้กินอีกเมื่อไหร่

สำหรับ ต้มยำปลาคัง เนื้อปลาสด อร่อย และแซบมากครับ แม้น้ำจะใสแต่รสชาติ ดีใช้ได้เลยครับ กลมกล่อม และมีความหวานตามธรรมชาติของเนื้อปลา จากนั้น ผมบอกว่าลองชิมอาหารฝรั่งดูบ้าง เลยสั่ง ผักโขมอบชีส มากินดูครับ เมื่อได้ชิมแล้ว อร่อยครับ แถมยังมีเบคอนชิ้นใหญ่ด้วย

ต่อมาเป็น แกงส้มครับ ผมต้องเรียนให้เพื่อน ๆ ทราบว่าแกงส้มของที่ร้านนี้อร่อยและรสชาติไม่หวานครับ เพราะคนกรุงเทพฯ ชอบทำแกงส้มรสชาติหวาน ทำให้คนไทยติดกินอาหารที่มีรสชาติหวานนำไปเลย การกินแกงส้มให้ได้รสชาติอร่อยมากขึ้น ต้องกินกับ ไข่เจียว ครับ

ผมถามไปว่ามีอะไรกินกับผักไหมครับ พี่เขาบอกว่าหมึกแดงลอง หลนปูทะเลของพี่ดูไหม ผมเข้าใจว่าจะต้องเป็นน้ำมาเลย แต่ที่ไหนได้มาเป็นตัวปูเลยครับ มีกระดองปูมาด้วย เป็นหลนที่ข้นมาก มีเนื้อปู เนื้อกุ้ง อยู่ในกระดองปู ผมกินกับขมิ้นขาวและเหยาะน้ำปลาเล็กน้อยคลุกกับข้าว อร่อยอย่าบอกใครเลยครับ

พี่เจ้าของร้านถามผมอีกว่า หมึกแดงชอบทานอาหารอิสลามไหม จำพวกโรตีมะตะบะชอบหรือไม่ ผมตอบไปว่ากินได้ครับ ไม่นานนักก็มีมะตะบะมาให้ผม ชิ้นใหญ่มากครับ หั่นแบ่งออกมาได้ 6 ชิ้น ซึ่งทอดมาได้หอม เหลือง น่ากินมากครับ ไส้ของเขาหอมมากครับ กินกับอาจาด น้ำใส ๆ ไม่ใช่น้ำเหนียว ๆ นะครับ แล้วก็ไม่เปรี้ยวจัดจนเกินไป ผมกินไป 3 ชิ้นครับ คงไม่ต้องบอกหรือบรรยายอะไรกันมากนะครับ ว่าอร่อยแค่ไหน เพราะผมกินคนเดียวไปครึ่งแผ่นเลยครับ

กินข้าวกันไปเพลิน ๆ ข้าวและน้ำแกงส้มยังเหลือ แต่คนที่สตูดิโอโทรศัพท์มา บอกว่าคุณศรรามมาแล้วก็เลยบอกพ่อว่าต้องไปแล้ว ไว้วันหน้าเรามาใหม่ ช่วงเย็น ๆ มานั่งกินและฟังเพลงกัน

ที่นี่เขามีจัดบุฟเฟ่ต์ งานเลี้ยง งานแต่งงาน ซึ่ง มีอาหารทั้งไทย จีน และ อิสลามครับ มีให้เลือกทุกอย่าง ผมไม่ทราบว่าครัวเขาทำได้อย่างไร แต่ที่กินมาผมก็ยอมรับว่าอร่อยครับ.
ที่มา เดลินิวส์

อร่อย 'ฉูฉี่ปลาหมอ' รสจัดจ้าน หอมชวนทานบะหมี่เกี๊ยวน้ำฮ่องกง

สัปดาห์นี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปชิมอาหารพร้อม ๆ กันทีเดียว 2 ร้านเลยนะครับ ร้านหนึ่งอยู่กลางใจเมืองส่วนอีกร้านอยู่เลยรังสิตคลอง 5 ไปเล็กน้อยครับ ชื่อว่าร้าน ครัวคนคลอง เมื่อผมเห็นร้าน ผมคิดในใจว่า พาผมมากินอะไร ร้านก็เป็นร้านเล็ก ๆ ด้านนอกมีที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ่อปลา เป็นศาลาเล็ก ๆ ให้นั่ง 2-3 โต๊ะ ส่วนด้านหน้าติดกับถนน ภายในร้านอาหารมีทีวีและมีที่นั่งอยู่ 2-3 โต๊ะ นั่งได้ไม่เกิน 20-30 คนเท่านั้น ไม่รู้เลยว่ารสชาติของอาหารจะอร่อยหรือไม่ แต่คนที่พาผมไปบอกว่า รับรองอาหารอร่อยแน่

เมื่อไปถึง ระหว่างรออาหาร ผมก็นั่งคุยกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางพลังงานปรมาณูเพื่อสันติและเป็นนักวิชาการถนอมอาหารซึ่งไปด้วยกัน นั่งคุยกันไป คุยกันมา ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ สิ่งแรกที่มาใส่จานง่าย ๆ ไม่ได้แต่งให้สวยอะไร นั่นคือ ฉู่ฉี่ปลาหมอ เห็นปลาหมอแล้ว ทำให้นึกถึงสมัยก่อน ปลาหมอตัวใหญ่กว่าฝ่ามือผมอีกนะครับ แต่เดี๋ยวนี้เล็กกว่าฝ่ามือผมอีก แต่อาหารจานนี้มีกลิ่นหอมมาก และที่อร่อย ที่สุด คือ เครื่องแกงที่เขา ทำเอง รสชาติกลมกล่อมมาก ถ้าใครไม่ชอบเผ็ดก็อย่าไปทานนะครับ เพราะรสชาติจัดจ้าน มากครับ

จานต่อมาเป็น กบทอดกรอบ มีหนังติดมาด้วย ทอดมาทั้งตัวเลยครับ ผมชอบมาก เขาคลุกเคล้าด้วยรากผักชี กระเทียมพริกไทย ซอสปรุงรสและเกลือหรืออาจจะใส่น้ำตาลปี๊บด้วยเล็กน้อย อร่อยครับ

หลังจากนั้นมี เนื้อกวางผัดเผ็ด ซึ่งผัดได้ไม่มีน้ำขลุกขลิกเลยครับ แต่ต้องขอตินิดเดียวว่า ความเค็มยังไม่พอ คงเป็นเพราะว่าผมกับคุณพ่อชอบกินเค็มกันพอสมควร อาหารจานนี้ถ้าได้กินเปล่า ๆ จะเผ็ดมากเลยครับ แต่ของกินที่ไม่เผ็ดก็มีนะครับ เป็น ซูเปอร์หมูตุ๋น มาในหม้อเลยครับ ไม่เผ็ดแต่เปรี้ยวจัดจ้านมากครับ

อีกจานหนึ่งเป็น กุ้งผัดน้ำพริกเผา จานนี้ก็ไม่เผ็ดจนเกินไปนักเพราะมีความหวานของน้ำพริกเผา จริง ๆ แล้วผมไม่อยากให้รสชาติหวานขนาดนี้ แต่ด้วยกับข้าวจานอื่น ๆ ที่รสชาติเผ็ดจัดจ้านมาก เลยทำให้ กุ้งผัดน้ำพริกเผาหวานกำลังพอดี และอยากบอกว่าที่ร้านผัดกุ้งได้ดีมาก เขาเอากุ้งไปลวกก่อน เสร็จแล้วก็ผัดเครื่องแล้วเอากุ้งลงไปรวน แล้วก็เอาขึ้นมาครับ

ส่วน ต้มยำไก่บ้าน น้ำใส ๆ แต่รสชาติดีเหลือเกินและมี ลาบลอยคนคลอง เขาทำแบบแปลก ๆ เหมือนไส้กรอกอีสานมากแต่อร่อยครับ ไส้ข้างในทำเหมือนลาบแล้วเอาลงไปทอด ยังมี ลาบเป็ด ทำแบบแห้ง ๆ ใส่ข้าวคั่วมากหน่อยทำให้หอม รสชาติเข้มข้นดีครับ สมกับเป็นลาบของชาวอีสาน

มี ปลากะพงทอดน้ำปลา ด้วยครับ อร่อยเหมือนกันครับ เขามีน้ำยำสำหรับปลากะพงทอดน้ำปลามาให้ด้วยเป็นมะม่วงซอยมีหอมกับพริก ตามมาด้วย หมูแดดเดียว ที่เขาให้มาเคี้ยวเล่นครับ อร่อยดี

ส่วนร้านที่ 2 กลับไปในเมืองกัน ผมได้ไปชิมอาหารที่ร้านนี้เพราะคนที่ชวนผมบอก ว่า เป็นร้านอาหารเหมือนที่ฮ่องกง อยู่ที่สุขุมวิทซอย 26 ซึ่งจะมีศูนย์การค้าที่เรียกว่า เค-วิลเลจ ร้านจะตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้า มีชื่อร้านว่า คิงพาเลซ คอนจี แอนด์ นูเดิลบาร์ ที่นี่เสิร์ฟอาหารฮ่องกงจริง ๆ ครับ อาหารฮ่องกง คือ อาหารที่คนฮ่องกงกินกันเป็นประจำทุกวัน ก็จะมีพวก ห่านย่าง ไก่ซีอิ๊ว หมูสามชั้นกรอบ หมูแดง และเนื้อตุ๋น ผมบอกว่าใครที่มาร้านนี้แล้วไม่สั่งเมนูที่ผมกล่าวถึงจะเสียใจนะครับ

มาที่นี่ต้องมาชิม หมูสามชั้นกรอบ อร่อยเหมือน ที่ฮ่องกงยังไงยังงั้นเลยครับ ส่วน หมูแดงฮ่องกง ผมชอบตรงหมูแดงที่เป็นขอบไหม้ ๆ ที่เหนียว ๆ ซึ่งมีรสหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อยครับ ส่วน ห่านย่าง ต้องเรียนตามตรงว่าห่านของประเทศไทยไม่เหมือนที่ฮ่องกง เพราะของเขาเป็นอีกพันธุ์หนึ่ง แต่รสชาติใช้ได้ครับ

ต่อไปผมได้กิน เนื้อและเอ็นเนื้อตุ๋น และ ไก่ซีอิ๊ว สำหรับไก่ซีอิ๊วของเขานั้นนุ่ม หอม ชวนกินมากครับ สรุปแล้วอร่อยทั้งคู่ครับ มีก๋วยเตี๋ยวหลอด 2 ชนิด แต่ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ผมกิน คือ ก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋

นอกจากนี้ยังมี บะหมี่เกี๊ยวน้ำฮ่องกง และมี เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วเนื้อ อร่อยครับ แต่ต้องกินแบบฮ่องกงนะครับ คือ ใช้น้ำมันพริกผัดครับ ทั้งเกี๊ยว บะหมี่และเส้นหมี่ของเขาทำได้ดีมากครับ เหนียว นุ่ม แบบเมืองจีนเลยครับ เส้นจะเล็ก ๆ

ยังมี คะน้าฮ่องกงน้ำมันหอย จานนี้อร่อยมาก ส่วนผมชอบมากที่สุด คือ โจ๊กเนื้อ ครับ เพราะเนื้อนุ่มมากเหมือนละลายในปากเลยครับ ส่วน โจ๊กไข่เยี่ยวม้ากับตับ เขาลวกตับได้หวาน กรอบไม่แข็งเลยครับ ส่วนของหวานเป็น วุ้นนมสดกับซอสมะม่วงไทย ใช้ได้ครับ ใครมีเวลาลองแวะไปชิมกันดูนะครับ อร่อยทั้ง 2 ร้านเลยครับ.

@@@@

เข้าครัวกับหมึกแดง 'เค้กผลไม้'

เครื่องปรุง
-อินทผลัมไร้เม็ด 1 ถ้วยตวง
-วอลนัท 1 ถ้วยตวง
-เชอรี่ในน้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง
-แป้งสาลีบัควีท(ทำหน้าเค้ก) 1/4 ถ้วยตวง
-ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง
-น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทรายแดง 1/3 ถ้วยตวง
-เนยจืดนุ่มแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ
-วิปปิ้งครีม 1/4 ถ้วยตวง
-กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
-ผิวส้มขูด 1 ช้อนชา
-แป้งสาลีบัควีท 3/4 ถ้วยตวง
-ผงฟู 2 ช้อนชา
-ไข่ขาว 3 ฟอง

วิธีทำ
1. เปิดเตาอบให้ร้อนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
2. นำแม่พิมพ์มาทาเนยด้านในให้ทั่ว แล้วโรยด้วยแป้งสาลีบัควีทให้ทั่ว แล้วเคาะส่วนที่เหลือออก พักแม่พิมพ์ไว้
3. ในชามผสมใหญ่ ผสมอินทผลัม วอลนัท เชอรี่ในน้ำเชื่อม และแป้งสาลี บัควีทเข้าด้วยกัน พักไว้
4. ในชามผสมอีกใบ ใส่ไข่แดง น้ำตาลทราย ตีให้เข้ากันจนกระทั่งเป็นครีมสีเหลืองอ่อน จากนั้นเติมเนยจืดนุ่มแล้ว วิปปิ้งครีม กลิ่นวานิลลา ผิวส้มขูด ผสมให้เข้ากัน
5. ผสมแป้งสาลีบัควีทกับผงฟูที่ร่อนแล้วเข้าด้วยกัน แล้วนำไปผสมกับส่วนผสม (ในข้อ 4)
6. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟู แล้วตักแค่ 1/4 ของจำนวนทั้งหมดลงไป ผสมกับส่วนผสมใน ข้อ 5 แล้วค่อยใส่ไข่ขาวที่เหลือลงไปผสม ทีละ 1/4 ของปริมาณของไข่ขาวทั้งหมด จนกระทั่งหมด
7. นำส่วนผสมที่มีไข่ขาวแล้ว ลงไปผสมกับชามผลไม้ที่เตรียมไว้ ใส่น้ำตาลทรายแดง คนพอเข้ากัน
8. ตักส่วนผสมที่ได้ลงในแม่พิมพ์ให้ทั่ว โดยให้ส่วนผสมพูนขึ้นมาตรงกลางพิมพ์ ปิดหน้าเค้กด้วยกระดาษฟลอยด์ 9. นำเข้าเตาอบ อบประมาณ 40 นาที แล้วเปิดกระดาษฟลอยด์หน้าเค้กออก อบต่ออีก 15 นาที หรือจนกระทั่งสุก 10. นำเค้กออกจากเตาอบ วางไปบนตะแกรง ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงเคาะออก แล้วห่อด้วยกระดาษฟลอยด์เก็บไว้ในตู้เย็นได้ 2 สัปดาห์

ความรู้คู่ครัว
- ไข่ขาวที่ตีและผสมเข้าไปในส่วนผสมของเค้กนั้น เปรียบเสมือนผงฟู เพราะฟองอากาศในไข่ขาวที่ตีแล้วจะทำให้เค้กฟู และเค้กเบามากขึ้นเวลาอบ.
ที่มา เดลินิวส์

มาดูนิสัยลูกคนโต พี่คนกลาง น้องคนเล็ก

บ่อยครั้งที่มักตัดสินลูกๆ ว่า ก็เพราะเขาเป็นลูกคนโต หรือเพราะเป็นน้องเล็กสุดท้อง นิสัยเลยเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้วันนี้ขอนำเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของลูกคนโต คนกลาง และคนเล็ก (โดยส่วนใหญ่) อย่างนั้นก็ลองมาดูสิว่านิสัยของลูกแต่ละคนเป็นอย่างไร

นิสัยลูกคนเดียว
ข้อดี : เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต มีความรับผิดชอบ
ข้อเสีย : เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเองทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้าง sensitive

นิสัยลูกคนโต
ข้อดี : เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา คนที่เป็นลูกคนโตมักยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ข้อเสีย : มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับเมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเอง บางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึงมักผิดพลาดได้ง่าย เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่นเหมือนกับที่วางใจตัวเอง

นิสัยลูกคนกลาง
ข้อดี : เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดีและมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขจึงมีแนวโน้มที่จะ เป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี
ข้อเสีย : มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโตและเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอม รับของคนอื่น จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น หรือทำให้คนที่คบรอบข้าง มีความสุขจนเกินขอบเขต หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป

นิสัยลูกคนเล็ก
ข้อดี : มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหา เป็นคนเปิดเผย จริงใจ
ข้อเสีย : มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางค่อนข้างเอาแต่ใจ เมื่อคบหากับใคร ช่วงแรกๆ ก็ดูน่าตื่นเต้น น่าสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกรา การสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวจึงดูเป็นเรื่อง ยากสักหน่อย

เกี่ยวกับชีวิตคู่

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต : น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง : จุดอันตรายของคนคู่นี้ อยู่ที่ว่าลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน แต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งมักชอบวางอำนาจแม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอน อ่อนผ่อนตาม แต่นานๆ เข้าคนที่เป็นลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ๆ กับตัวเอง และจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กก็จะเป็นคู่ ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง : จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุด เพราะคนที่เป็นลูกคนโตจะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบ ให้กับชีวิตซึ่งช่วยให้แก้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนาน ร่าเริง มาให้คนที่เป็นลูกคนโต ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา

คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่ : คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2 ทางคือหากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโตและอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว แต่ถ้าหากทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้ แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัยของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไร ออกมา คู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนกลาง กับลูกคนสุดท้อง : ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี แต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริงๆ แล้ว ก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงามกับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กแล้วละก็ ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว

คู่ทีเป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่ : คนคู่นี้ ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน แต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหา เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาแต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก
ที่มา http://webboard.sanook.com/forum/3313824

30 วิธี เผาผลาญแคลอรี่ใน 30 วัน

30 วิธี เผาผลาญแคลอรี่ใน 30 วัน

เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ เพื่อ สุขภาพ วันนี้เรามีเรื่องดีๆ มาฝากเพื่อน ๆ กันอีกแล้ว นั่นคือ เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ เพื่อ สุขภาพ เรื่อง 30 วิธี เผาผลาญแคลอรี่ใน 30 วัน สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ออกกำลังกาย และระบบเผาผลาญอาหารต่ำ 30 วิธีต่อไปนี้จะทำให้เพื่อนๆ เผาผลาญแคลอรีได้ง่าย ๆ เลย...

การเผาผลาญแคลอรีสำหรับบางคนแล้วอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ระบบเผาผลาญอาหารต่ำ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ต่อไปนี้คือ 30 วิธีที่จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้ง่ายๆ (ไม่มากก็น้อย) ภายใน 30 วัน

1. ตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โน้มตัวลงใช้มือแตะสลับเท้า รวมทั้งจัดเตียงและพับผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าทางและดูเรียบร้อยทุกวัน แค่ 20 นาที ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวย

2. ยืดเวลา "ยืน" แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้นานขึ้น

3. จัดห้องด้วยตัวเอง ถึงเวลาเสียทีสำหรับการตกแต่งห้องใหม่ เริ่มด้วยการย้ายรูปภาพ เลื่อนตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา โคมไฟ และอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณเสียเหงื่อมากกว่าการนอนนิ่งอยู่บนโซฟา

4. ดูดฝุ่นด้วยตัวเอง เปลืองเวลาแค่ 20 นาทีครับ ทำตอนดึกๆ หรือหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้

5. ตัดใจและจัดการทิ้งข้าวของที่ไม่ใช้ เช่น กระดาษ และแมกกาซีนกองโตที่ตั้งเรียงสูงเกือบถึงเพดาน

6. รักษาโลกสีเขียวของทุกคนด้วยการแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระป๋อง แก้ว ขยะมีพิษ และขวดพลาสติก

7. เมิน "Car Care" หรือร้านล้างรถชั่วคราว แล้วหันมาล้างรถด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ

8. ตกแต่งกิ่งก้าน ดึงวัชพืช รดน้ำต้นไม้ รวมถึงซ่อมรั้วที่คุณจดๆ จ้องๆ จะซ่อมมานาน

9. ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข อย่าลืมพามันออกวิ่งและเที่ยวใกล้ๆ บ้าน ส่วนใครที่ไม่รักสัตว์ คุณยังมีเครื่องเล่น MP3 และเพลงเพราะๆ จากหูฟังดีๆ ที่จะช่วยให้คุณวิ่งหรือเดินได้นานขึ้นกว่าเดิม

10. ใช้รถเข็นซื้อข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่เคยทำ เราอยากให้คุณลองซื้อของใช้เข้าบ้านสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาเดินให้นานขึ้น ลองดูครับ เข็นแล้วเดินไปรอบๆ อย่างน้อย 20-30 นาที

11. จอดรถของคุณไว้ที่บ้าน แล้วเดินหรือใช้รถสาธารณะแทน

12. หนังสือที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แกะออกจากถุงดีกว่าครับ ใช้เวลานิดหน่อยจัดเรียง และถ้าชั้นวางของไม่พอก็วางแผนต่อชั้นวางใหม่ด้วยตัวเองเสียเลย

13. ถ้าเล่นดนตรีเป็น ลองเล่นดนตรีชิ้นโปรด โดยเฉพาะแซ็กโซโฟน เปียโน และกลอง แต่ถ้าไม่สะดวก ลองเปิดเพลงโปรดแล้วเต้นดูก็ได้ครับ หรือจะโค้งเชิญคนรู้ใจที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับด้วยก็ได้...ไม่ว่ากัน

14. หลังจากกดปุ่ม "Start" พยายามปลีกตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เดินไปไหนมาไหนในบ้านบ้าง บางครั้ง คุณก็ควรปล่อยวาง และใช้เวลา 25 นาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับการเช็กอี-เมล์

15. อาสาล้างจานแทนสาวๆ หลังจบงานปาร์ตี้ที่บ้านของเธอ

16. ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี

17. เดินทักทายเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องในแผนกในบางโอกาส

18. กินอาหารกลางวันนอกที่ทำงาน แทนการซื้อเข้ามา โดยไม่ได้ลุกออกไหนเลย

19. เดินดูสินค้าในแผนกเครื่องเสียงหรือแผนกไอที

20. ถ้าคุณมีความสามารถในด้านการทำอาหาร หรืออย่างน้อย ก็อุ่นอาหาร ใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้สักประมาณ 20 นาที

21. ในการขึ้น-ลงไม่กี่ชั้นในสำนักงาน คุณควรเลือกใช้บันได แม้แต่ในบ้านก็ใช้บันไดในการออกกำลังกายได้ด้วยการเดินขึ้น-ลงเป็นเวลาประมาณ 5 นาที

22. ในงานเลี้ยง การนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ลุกไปไหน นอกจากจะทำให้คุณเป็นคนไม่น่าสนใจแล้ว ไขมันของคานาเป้ แซนด์วิชแฮมชีสและเบียร์ที่คุณดื่มยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีคุณควรลุกขึ้นมาขยับและเริ่มบทสนทนาเดินคุยกับผู้คนหน้าใหม่ๆ หรือไม่ก็หันมาโชว์สเต็ปทันทีที่ได้ยินเพลงโปรดของตัวเอง

23. ถึงจะเป็นงานของผู้หญิง แต่คุณก็สามารถพับหรือรีดเสื้อผ้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำได้

24. ถ้าคุณเป็นคนชอบดูรายการโทรทัศน์ อย่าลืมลุกไปทำโน่นทำนี่ทุกครั้งที่มีโฆษณา

25. หาซื้ออุปกรณ์ง่ายๆ อย่างดัมเบลล์ หรือเสื่อโยคะติดบ้านไว้ อาจรวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างจริงจัง

26. การบิด สะบัด และตากเสื้อผ้าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดี แม้ว่าคุณจะซักด้วยเครื่องตามปกติ

27. เป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ด้วยการอาสาทำงานออกแรงที่สุภาพสตรีไม่ถนัด

28. เดาะบอลที่สนามหลังบ้าน หรือไม่ก็วิ่งบนลู่วิ่งเก่าเก็บที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้งาน

29. "ยืน" คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องพรรคการเมือง "พรรคนั้น" เรื่องฟุตบอลแมตช์ที่ผ่านมา หรืออ่านบทความสำคัญใน Forbes ไปจนจบ ใช้เวลา 22 นาทีก็น่าจะลงตัว

30. และสำหรับข้อสุดท้ายที่หลายคนสนใจมีวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้ คือ คุณสามารถงีบหลับไปได้ 45 นาที ซึ่งจะช่วยเผาผลาญได้ถึง 50 แคลอรี จากการสูดอากาศหายใจ ก็อย่างที่คุณรู้น่ะครับ แค่ขยับ..ก็เท่ากับออกกำลังกาย

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=980583#ixzz15Rx5XYpI

ลดปัญหาจุดด่างดำด้วย ´องุ่น ´

ขึ้นชื่อว่า ริ้วรอยและจุดด่างดำ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนไม่พึงปรารถนา แต่จะทำอย่างไรให้ปัญหาเหล่านั้นหายไป วันนี้เรามีคำตอบ

พระเอกของสูตรเด็ดวันนี้คือ "องุ่น" เริ่มจากเตรียมองุ่นเขียวประมาณ 4-5 เม็ด, โยเกิร์ต 2 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จากนั้นนำองุ่นมาผ่าเอาเมล็ดออก แล้วนำไปบดให้ละเอียดใส่โยเกิร์ตและน้ำผึ้งตามลงไป คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

เพียงเท่านี้ใบหน้าก็จะสวยใสไร้จุดด่างดำแล้ว แต่สูตรนี้จะเห็นผลก็ต่อเมื่อทำบ่อย ๆ อาจจะทุก 2-3 วัน ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 15 วัน จะเห็นผลดีที่สุด

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ส่องพฤติกรรมเสี่ยง!!! 'อะนอเร็กเซีย'

ภัยร้ายสุขภาพ

อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกโรคของคนสมัยใหม่สำหรับ อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia nervosa) กลุ่มอาการผิดปกติของการกิน ซึ่งในวันวานโรคดังกล่าวอาจจะยังไม่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางนัก

อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา โรคนี้เกี่ยวข้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเป็นค่านิยมของสังคมในยุคปัจจุบันซึ่ง ไม่นิยมความอ้วน อยากมีรูปร่างผอม วิตกกังวลหมกมุ่นกลัวอ้วนผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวจึงคลั่งไคล้ความผอมพยายามสารพัดวิธี ลดน้ำหนักทั้งการอดอาหาร ล้วงคอให้อาเจียน ใช้ยาระบาย ฯลฯ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าถึงความอันตรายของโรคนี้ว่า โรคดังกล่าวเป็นกลุ่มอาการผิดปกติของการกิน กินน้อยเกินซึ่งจากที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวปรากฏข่าวคราวให้ติดตามอย่างที่เกิดขึ้นกับแวดวงนางแบบในต่างประเทศ แวดวงแฟชั่น กลุ่มวัยรุ่น ฯลฯ ซึ่งอยากจะมีรูปร่างผอม มีความคิดว่าผอมแล้วสวย

“โรคดังกล่าวสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากสภาพจิตใจที่ไม่มีความมั่นใจ ขาดความเข้มแข็ง เมื่อถูกทักหรือล้อเย้าแหย่ถึงความอ้วนก็อาจคิดว่ามีปมด้อยก็จะเกิดความรู้สึกเหล่านี้ซึ่งโรคดังกล่าวนี้พบในกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และการจะเรียกเป็นโรคจะต้องปรากฏอาการอย่างเช่น ทำให้ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ มีความรู้สึกว่าถูก รบกวนจากอาการ”

ในกลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ยอมรักษาน้ำหนักปกติ แม้จะ มีการกำหนดว่าสูงเท่านี้ควรจะหนักเท่าไรก็จะไม่พึงพอใจจะมีความต้องการลดน้ำหนักที่เกินพอดีด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอดอาหาร ออกกำลังกายหักโหม บางทีก็ใช้วิธีเมื่อรับประทานอาหารเสร็จจะล้วงคอให้อาเจียน ใช้ยาถ่าย ฯลฯ สรรหาสารพัดวิธีเพื่อทำให้น้ำหนักลดลง

ขณะที่อีกอาการคือ กลัวอ้วนมาก หมกมุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องความอ้วนเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองมากเกินไป ไม่ว่าจะกินอะไรแม้จะเป็นเพียงนิดหน่อยก็จะมีความวิตกกังวลกลัวจะอ้วนซึ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสัญญาณที่ต้องพึงระวัง!

“อาการเหล่านี้เมื่อมีเกิดขึ้นก็จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารจะปรากฏอาการทางกาย ผมจะร่วง ประจำเดือนไม่มา หรือขาดหายไป และหากเป็นมากขึ้นโรคนี้สามารถทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันเวลา ทั้งนี้เพราะน้ำหนักจะลดลงเรื่อย ๆ ร่างกายซึ่งไม่สามารถรับอาหารได้อยู่แล้วกลุ่มเหล่านี้ก็จะ ผอมมากเหมือนหนังหุ้มกระดูก”

ความพอดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งไม่ว่าจะเป็นความอ้วนหรือความผอม หากเกินความพอดีก็คงจะไม่ดี คงต้องดูแลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่ง หลักในการพิจารณาถึงความอ้วนก็มีหลายวิธีทั้งการวัดเส้นรอบเอว วัดค่าดรรชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งวัดได้จากน้ำหนัก/ส่วนสูงยกกำลังสองซึ่งถ้าน้อยกว่า 18.5 ถือว่ามีน้ำหนักน้อย เกินไป แต่ถ้า 25 หรือ เกินจากนี้ไปก็อาจถือว่ามีความอ้วน

ในวิธีการคำนวณดังกล่าวใช้ได้เฉพาะ ในกลุ่มวัยรุ่น เด็กโต ส่วนเด็กเล็กแรกคลอดไปจนถึงเด็ก 10 ขวบ ไม่สามารถใช้เกณฑ์ ดังกล่าวนี้ได้ แต่อย่างไรแล้วโรคนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเด็กเล็กแต่จะพบในวัยรุ่นและผู้ใหญ่มากกว่า
ส่วนถ้าพบว่ามีความผอมผิดปกติก็คงต้องรักษาที่ต้นเหตุ คงต้องรับการรักษาโดยพบแพทย์เพื่อวินิจ ฉัยถึงสาเหตุความผอมว่ามาจากสิ่งใด อย่างเช่น ถ้ามีอาการเนื้องอกในสมอง โรคลำไส้ไม่สามารถดูดซึมได้ก็อาจทำให้ผอมผิดปกติได้ ก็คงต้องหาสาเหตุจากความผอมเหล่านั้น

แต่สำหรับโรคอะนอเร็กเซียเป็นเรื่องของความตั้งใจลดน้ำหนักไม่ได้เกิดจากโรค อย่างไรแล้วเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่านิ่งนอนใจควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา

“โรคดังกล่าวเป็นความตั้งใจจะลดน้ำหนัก วิตกกังวลกลัวอ้วน หมกมุ่นแต่เรื่องอ้วนจนมากเกินความพอดี การรักษาดังที่กล่าวคงต้องตรวจหาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้อยากผอม หากพบว่ามีความตั้งใจลดน้ำหนักโดยไม่ได้เกิดจากโรค กลัวอ้วนมากโดยมีความกลัวฝังจิตใจมีพฤติกรรมชั่งน้ำหนักวันละหลายครั้ง กินอะไรนิดหน่อยก็มีความเครียดกลัวน้ำหนักขึ้น ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสัญญาณ ซึ่งในการรักษาจิตบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงทัศน คติเดิม จากที่เชื่อว่ายิ่งผอมยิ่งสวยนั้นไม่ใช่ให้เขาได้ยอมรับตนเอง รู้สึกถึงความมีคุณค่าจากภายใน”

การดูแลรักษาสุขภาพทั้งการรับประทานอาหารในแต่ละวันให้เพียงพอ ออกกำลังกายและพักผ่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญซึ่งในความอ้วนสาเหตุหนึ่งมาจากการบริโภคที่มากเกินพอดี ขณะเดียวกันก็อาจเกิดจากโรคได้เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะมีรูปร่างอย่างไรสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยควรมีจิตใจที่ดี ทั้งนี้เพราะคุณค่าของคนเรานั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่รูปร่าง

แม้จะมีรูปร่างไม่สวยงามแต่หากมีคุณงามความดี มีจิตใจงดงามก็จะเป็นความงามที่คงทน ควรภาคภูมิใจในคุณค่าของตนมากกว่าให้ความสำคัญกับภายนอกเน้นแต่เรื่องของรูปร่าง แพทย์ท่านเดิมกล่าว.

@@@ เคล็ดลับสุขภาพดี @@@

'กระถิน' ผักริมรั้วมากสรรพคุณ

กระถิน เป็นผักริมรั้วบ้านที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะปลูกง่าย ทนความแล้งได้ดี แถมดอกยังมีกลิ่นหอมอบอวลอีกด้วย คุณแม่บ้านมักชอบเก็บมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำยอดกระถิน หรือนำไปลวกหรือกินสดจิ้มกับน้ำพริกก็ให้รสชาติดีไม่แพ้กัน ที่สำคัญคุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ทั้งดอก ใบ และรากของกระถินนั้นล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณเป็นยาช่วยรักษาโรคได้ทั้งสิ้น

กระถินเป็นไม้พุ่มยืนต้น อยู่ในตระกูลถั่ว สูงประมาณ 1.5-5 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ออกสลับใบย่อยออกเป็นคู่ 5-20 คู่ มีขนาดเล็กรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบมน ดอกสีขาวนวลกลมฟู ออกเป็นช่อตามซอกใบบริเวณปลาย กิ่ง มีกลิ่นหอม ฝักออกเป็นพวง ฝักอ่อนแบนตรงสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมแดง เมล็ดสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีน้ำตาล มีชื่อเรียกทั่วไปว่า กระถินน้อย กระถินบ้าน ภาคกลางเรียกว่า กระถินไทย กระถินดอกขาว ภาคอีสานเรียก กะเสด ภาคตะวันตกเรียก กระถินบ้าน ภาคเหนือเรียก ผักก้านถิน และ ภาคใต้เรียก สะตอเทศ แสดงให้เห็นว่า กระถิน เป็นไม้ที่ขึ้นง่าย โตเร็ว มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดีมาก เพราะขึ้นได้ทุกภาคของประเทศไทย ชาวบ้านสามารถเก็บยอดขายหรือกินได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วง ฤดูฝนยอดอ่อน จะกรอบอร่อยมากที่สุด

ส่วนคุณค่า ทางอาหารนั้น สำหรับยอดกระถินอ่อน 100 กรัม ให้พลังงาน 80.7 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย เส้นใย 3.8 กรัม แคลเซียม 137 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม วิตามินเอ 7,883 IU.วิตามิน(บี 1) 0.33 มิลลิกรัม วิตามิน (บี 2) 0.09 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.7 มิลลิกรัม วิตามินซี 8 มิลลิกรัม เราสามารถ นำยอดอ่อน ใบอ่อน ฝักอ่อน และเมล็ดอ่อน มากินเป็นผักสดกับน้ำพริก ส้มตำ ขนมจีน แกงที่มีรสจัด และกินคู่กับหอยนางรมสด ทำให้เนื้อหอยมีรสชาติหวานยิ่งขึ้น โดย ใบกระถิน มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงสายตา ดอก บำรุงตับ ราก ขับลม ขับระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ เมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม ใบและเมล็ด แก้โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แก้ท้องร่วง และ ฝัก ใช้เป็นยาฝาด

เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมเลือกรับประทานผักกระถินเพิ่มอีกชนิดหนึ่งเพื่อสุขภาพที่ดี หรือใครจะปลูกไว้รับประทานเองก็ได้เพราะเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่ายทนแดดทนฝนได้ดีค่ะ.

@@@ สรรหามาบอก @@@

- โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ร่วมกับบริษัทโนวาร์ตีส (ประเทศไทย) ขอเชิญผู้สนใจตรวจสุขภาพฟรีเนื่องในวัน เบาหวานโลก ใน วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา 07.00-16.00 น. ณ ห้องเทพธารินทร์แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 17 อาคาร ไลฟ์สไตล์ บิวดิ้ง รพ.เทพธารินทร์ สนใจลงทะเบียนร่วมงาน โทร. 0-2248-2000 ต่อ 261-262

- นิตยสารรักลูก ร่วมกับ จอห์นสัน เบบี้ คลับและโรงพยาบาลเจ้าพระยา ขอเชิญร่วมกิจกรรมสาธิตหัวข้อ “พลังเล่น...สร้างสมองลูก เสริมจินตนาการ” ใน วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 โรงพยาบาลเจ้าพระยา สำรองที่นั่ง โทร. 0-2913-7555 ต่อ 3522, 3531 (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)

- โรงพยาบาลพญาไท 2 ขอเชิญคุณพ่อคุณแม่เข้าร่วมสัมมนา “สร้างส่วนสูงก่อนจะสาย และภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย” โดย พญ.นวลผ่อง เหรียญมณี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบต่อมไร้ท่อและการเจริญเติบโต ในวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 9 (ฝั่งใหม่) อาคารจอดรถ 1 โรงพยาบาลพญาไท 2 (สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนหน้างาน 30 ท่านแรก รับหมอน ผ้าห่ม ฟรี) สำรองที่นั่ง โทร. 1772

- โรงพยาบาลศิครินทร์ ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์และผู้สนใจทุกท่านร่วมงาน “สัมผัสรัก สู่ลูกน้อยในครรภ์” และร่วมกิจกรรม เวิร์กช็อป โยคะเพื่อครรภ์คุณภาพของแม่ช่วยปรับสมดุล พร้อมเทคนิคการดูแลทารกแรกคลอด ใน วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2553 เวลา 08.00-12.00 น. ณ อาคาร นวัตกรรม โรงพยาบาลศิครินทร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1728 ต่อแผนกลูกค้าสัมพันธ์.
ทีมา เดลินิวส์

'ข้าวแกงปักษ์ใต้' ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ

อาหารปักษ์ใต้” ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว เป็นที่ชื่นชอบและนิยมของคนไทยจำนวนมาก เพราะมีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อนถึงพริกถึงเครื่องสมุนไพรเอามาก ๆ ชนิดที่ว่าน้ำแกงเข้มข้น ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด เด็ดถึงใจกันเลยทีเดียว หลายคนเมื่อใดที่นึกถึงเมนู อาหารปักษ์ใต้ อย่างพวกแกงเหลือง, แกงไตปลา, คั่วกลิ้งแล้วละก็ อดที่จะน้ำลายสอที่มุมปากไม่ได้ ทำให้นึกอยากกินอาหารปักษ์ใต้ขึ้นมาทันที วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีเทคนิคการทำอาหาร ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” มาแนะนำ เพื่อพิจารณาเป็นอีกช่องทางอาชีพ...

อนัญญา เที่ยงน้อย หรือคุณกุ้ง เจ้าของร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช ) เนื่องจากเป็นคนที่แพ้ผงชูรส เวลาไปทานอาหารนอกบ้านเจอร้านที่ใส่ผงชูรสทำให้แพ้ ท้องอืด ปากชา ไม่สบายทุกทีไป ประกอบกับเป็นคนชอบทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็กและคุณแม่สอนทำอาหารพื้นบ้านชาวใต้ จึงมีความคิดที่จะทำร้านอาหารปลอดผงชูรส และนำผักพื้นบ้านที่หากินในกรุงเทพฯไม่ได้ มาให้ชาวใต้ได้กินกันถึงในกรุง ซึ่งอาหารใต้ส่วนใหญ่มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้านเป็นส่วนประกอบหลัก จึงดีต่อสุขภาพ

คุณกุ้งบอกว่า ด้วยความตั้งใจอยากมีร้านอาหารปักษ์ใต้เป็นของตัวเอง ประกอบกับได้รู้จักเจ้าของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ลที่มีพื้นที่เหลืออยู่ จึงขอเช่าทำร้านอาหารอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ จึงเกิดร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดีขึ้น

วัตถุดิบที่ใช้ สั่งตรงจากบ้านเกิดโดยให้น้องชายส่งขึ้นรถทัวร์มาทุกเช้า เช่น ใบเหลียง, มันขี้หนู, ใบลาน้ำ, ใบมันปู ส่วนเนื้อสัตว์จะสั่งจากร้านที่คัดเกรด หลังจากได้วัตถุดิบมาแล้ว ผัก จะทำการล้างด้วยน้ำยาล้างผัก และน้ำส้มสายชู จนกว่าจะสะอาดจริง ๆ ใบที่ไม่สวยก็จะคัดทิ้ง หลังจากนั้นถึงจะนำมาให้ลูกค้ารับประทาน

สำหรับเมนูอาหารของร้าน ที่ลูกค้ามาต้องสั่งทานเพราะหารับประทานยาก เช่น ใบเหลียงผัดไข่ แกงเหลืองมันขี้หนูปลากะพง, ปลาแดง-ปลากระบอกทอดขมิ้น, ขนมจีนเส้นสด-น้ำยาใต้, คั่วเนื้อข่าอ่อน, กุ้งต้มกะทิหน่อไม้อ่อน, คั่วกลิ้งหมู , น้ำพริกแมงดา, ต้มส้มปลากระบอก, ผัดเผ็ดสะตอกุ้ง เป็นต้น

เมนูพระเอกของร้านที่จะแนะนำคือ ใบเหลียงผัดไข่ เป็นอาหารจานผัดที่ดูธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดา และอีกหนึ่งเมนูโปรดชาวใต้ ปลาแดงทอดขมิ้น ซึ่งเมนูนี้คุณกุ้งบอกว่าจะใช้ปลาทะเลอื่น ๆ ก็ได้

อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำร้านข้าวแกงปักษ์ใต้นั้น ต้องเตรียมให้ครบครัน ที่ขาดไม่ได้คือครกหิน นอกนั้นก็เป็นพวกเขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อหลาย ๆ ขนาด, กะละมัง, กระทะ, เตาแก๊ส, เตาถ่าน, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด เป็นต้น

วิธีทำ “ใบเหลียงผัดไข่” วัตถุดิบก็มี... ใบเหลียง, ไข่ไก่, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล, น้ำมันรำข้าว, น้ำปลา, กระเทียม การทำเริ่มจากล้างใบเหลียงให้สะอาด นำมาหั่น ทุบกระเทียมดี ๆ ให้พอแตก จากนั้นตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันรำข้าวเล็กน้อย ใส่กระเทียมที่เตรียมไว้ลงไปผัดพอหอม ตอกไข่ใส่ลงไป คั่วให้เกือบจะสุกแล้วนำใบเหลียงที่หั่นเตรียมไว้ใส่ตามลงไป ผัดกลับไปกลับมาสองสามครั้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาล พอผักสลด ตักขึ้นใส่จาน เป็นอันเสร็จ ขายในราคาจานละ 40 บาท ต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบประมาณ 60%

วิธีทำ “ปลาแดงทอดขมิ้น” วัตถุดิบที่ใช้... ปลาแดงขนาดพอเหมาะ, ขมิ้นชัน, กระเทียม, เกลือ การทำเริ่มจากคัดปลาสด ๆ ขนาดพอดี นำขมิ้นชันกับกระเทียมดี ๆ ใส่ครกโขลกเข้าด้วยกันพอหยาบ ๆ แบ่งเป็นสองส่วน นำส่วนหนึ่งไปหมักปลาที่เตรียมไว้ กับน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมง จากนั้นนำปลาไปทอดใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ทอดจนเหลืองสวย นำขึ้นใส่จาน นำขมิ้นโขลกที่เหลือไปทอดน้ำมันอุ่น ๆ พอเหลืองกรอบ ตักไปราดบนตัวปลา จัดแต่งให้สวยงาม พร้อมขาย ราคาตัวละ 40 บาท ทุนวัตถุดิบประมาณ 60%

แต่ละวันเมนูข้าวแกงจะมีประมาณ 20 อย่าง สลับสับเปลี่ยนไป เรื่อย ๆ แต่ก็ต้องมีเมนูเด็ดยืนพื้นไว้ส่วนหนึ่ง เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา ต้มส้มปลากระบอก หมูผัดกะปิ แกงคั่วหอยขม แกงหมูมะเขือ พวง ฯลฯ

รวมถึง ใบเหลียงผัดไข่, ปลาแดงทอดขมิ้น

ราคาขายนั้น ถ้าเป็นข้าวแกงราดกับข้าว 1 อย่าง ราคา 30 บาท, ราด 2 อย่าง 40 บาท, แกงถ้วย 40 บาท, ขนมจีนน้ำยากะทิ-น้ำยาป่า ชุดละ 30 บาท พร้อมผักเคียง หรือผักเหนาะจานใหญ่ ๆ มากมาย ซึ่งก็ถือว่าไม่สูง เมื่อเทียบกับคุณภาพอาหาร และผักที่บางอย่างหากินไม่ได้ในกรุงเทพฯ

คุณกุ้งบอกว่า กำไรไม่มาก เพราะต้นทุนสูง แต่ก็อยากให้ลูกค้าทานอาหารที่มีคุณภาพดี เน้นความสะอาดและสดใหม่ และที่สำคัญรสชาติอาหารไม่เพี้ยนจากสูตรของชาวใต้ ซึ่งเหล่านี้คือ “จุดขาย”

ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช) ของคุณกุ้งอยู่ตรงสี่แยกเกษตร-นวมินทร์ ตัดถนนสุคนธ์สวัสดิ์ ด้านซ้ายของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ล เปิดบริการเวลา 08.00-15.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ เบอร์โทรฯ คุณกุ้ง 08-9798-4555 ทั้งนี้ ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” ก็นับเป็นทางเลือกหนึ่งของอาชีพขายอาหารที่น่าสนใจ.

เชาวลี ชุมขำ เรื่องและภาพ
ที่มา เดลิินิวส์

คู่มือลงทุนพิซซ่าญี่ปุ่นฝึกทำขายได้ไม่ยุ่งยาก

"อาหารญี่ปุ่นตอนนี้ก็ยังบูมในบ้านเรา ร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ระดับบนลงล่าง ตั้งแต่ภัตตาคาร ร้านอาหาร รถเข็น ตลาดนัด ฯลฯ และรูปแบบอาหาร ก็มีมากมาย ทั้งอาหารหลัก ขนม เครื่องดื่ม มีการพัฒนาปรับปรุงกันออกมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ถูกใจลูกค้าคนไทย ทั้งหน้าตา รสชาติ ซึ่งแต่ละร้านต่างก็มีจุดขายที่แตกต่างกัน และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนออีกหนึ่งรูปแบบ กับ “พิซซ่าญี่ปุ่น”

@@@

ไชยวัฒน์ สุนทรโรจน์พัฒนา หรือ เชฟไชยวัฒน์ เปิดร้านบะหมี่สายรุ้ง อยู่ที่สี่แยกภาสยา ซอยงามวงศ์วาน 74 แยก 42 เจ้าตัวบอกว่า เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นมาปีกว่า ๆ ได้แล้ว ซึ่งถือว่ายังพอไปไหว เพราะอยู่ย่านที่มีนักศึกษา มีประชาชน มีคนทำงานมาทานกันได้ไม่ลำบาก ซึ่งที่ร้านก็มีอาหารมากมายหลายอย่าง อาทิ ราเมง หรือบะหมี่ญี่ปุ่น ข้าวแกงกะหรี่ เกี๊ยวซ่า ยากิโซะบะ อุด้ง วาฟเฟิล สาคูแคนตาลูป ฯลฯ

เชฟไชยวัฒน์บอกว่า ส่วนตัวมีฝีมือทางการทำอาหารอยู่แล้ว และเมื่อหลายปีก่อนตนไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ญี่ปุ่น เมื่ออยู่บ้านเพื่อน ก็ไม่มีอะไรทำ ก็ทำกับข้าว ทำอาหารให้เพื่อนกิน ซึ่งเพื่อนก็เห็นว่าหน่วยก้านดีมีฝีมือ ก็เลยฝากงานเชฟที่ร้านอาหารญี่ปุ่นให้ทำ อยู่ไปอยู่มาก็ 2 ปีพอดี โดยทำงานในเมืองโอซาก้า และโตเกียว จนเมื่อกลับมาเมืองไทยก็มองหางานที่เมืองไทย ซึ่งก็อยากทำอาหารญี่ปุ่นที่ตนเองถนัด หาทำเลใกล้บ้าน ซึ่งเป็นทำเลที่ดี สะดวกในการเดินทางสำหรับทุกคน และก็มาลงตัวที่ร้านที่ทำอยู่ทุกวันนี้

นอกจากบะหมี่สายรุ้ง หรือบะหมี่ 7 สี ที่เป็นจุดขายของร้านแล้ว ก็ยังมี “พิซซ่าญี่ปุ่น” ที่เป็นอาหารว่าง อาหารทานเล่น ซึ่งก็ได้รับนิยมไม่แพ้กัน และวันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็จะนำเสนอ

พิซซ่าญี่ปุ่นนี้ เชฟไชยวัฒน์บอกว่า แบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่น คือแป้งต้องหนา และนุ่ม ส่วนความชอบของคนไทย คือแป้งต้องบาง กรอบ ซึ่งตนนั้นต้องมาปรับใหม่หมดเลย เพื่อให้เข้ากับความนิยมของคนไทย

การทำพิซซ่าญี่ปุ่นนั้น ในส่วนของอุปกรณ์ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก เป็นอุปกรณ์ทำครัวหรืออุปกรณ์ร้านอาหารปกติทั่วไป อาทิ เตาแก๊ส กระทะเทปล่อน กะละมังคลุกแป้ง ทัพพี กะละมังต่าง ๆ ฯลฯ

ส่วนผสมของพิซซ่าญี่ปุ่น จำนวน 1 ชิ้นนั้น มี แป้งสาลี 250 กรัม, นมสด 100 กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง, น้ำซุป 120 กรัม และขิงดอง 100 กรัม นอกจากนี้ก็มีผัดสด อย่าง แครอท และกะหล่ำปลีซอย โดยวิธีทำ คือ ให้นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในกะละมังสำหรับคลุก ซึ่งจะเป็นกะละมังสเตนเลส หรือกะละมังพลาสติกก็ได้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน และเติมผัดสดลงไป มากน้อยตามใจชอบ คลุกเคล้าให้แป้งนั้นเหนียว เท่านี้ก็ใช้ได้

ขั้นต่อไปนำไปทอดในกระทะเทปล่อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว ซึ่งใส่น้ำมันอยู่พอประมาณ ตักแป้งลงไปในกระทะประมาณ 1 ทัพพีใหญ่ และใช้ตะหลิวแบบแบน ๆ ปาดให้แป้งนั้นเป็นรูปวงกลมเท่าขนาดของกระทะ ไม่หนามาก ใช้ไฟร้อนปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว แป้งจะพลอยสุกไปด้วย กลับแป้งทอดไปมา จะใช้ลีลาแบบโยนทอดไปด้วยก็ได้ จนแป้งเหลืองกรอบ ก็เป็นอันใช้ได้

ลำดับถัดมานำแป้งที่ทอดได้วางลงใส่จาน ตัดแบ่งแป้งออกเป็น 8 ชิ้น ในขนาดเท่า ๆ กัน โรยหน้าด้วยงาดำ-งาขาวคั่ว, สาหร่าย, ปลาแห้ง (ปลาโอ) และซอสมายองเนส ซึ่งพิซซ่าญี่ปุ่นตามที่ว่ามานี้ เชฟไชยวัฒน์บอกว่า เป็นหน้าธรรมดา และยังมีพิซซ่าอีก 3 หน้าคือ ไส้กรอก, ปูอัด, เบคอน โดยจะใส่ตอนที่ทอดแป้งพิซซ่าอยู่

สนนราคาขายอยู่ที่ 35-50 บาทต่อชิ้น ซึ่งมีต้นทุนต่อชิ้นประมาณ 30 บาทขึ้นไป

เวลาทานพิซซ่าญี่ปุ่นจะทานควบคู่กับซอสทงคัตสึ แต่จะต้องเติมผสมน้ำซุปลงไปในซอสด้วย ในอัตราส่วน 60 : 40 คือ ซอสทงคัตสึ 60% และน้ำซุป 40%

ทั้งนี้ ทางร้านนี้ยังแนะนำเมนูของว่างอีกอย่างคือ “ราเมง ช็อกโกแลต” ซึ่งเป็นการดัดแปลงบะหมี่มาเป็นของหวาน วิธีทำเริ่มต้นที่การทำบะหมี่ ใช้แป้งสาลี 500 กรัม ไข่ไก่ 4 ฟอง และผงช็อกโกแลต 30 กรัม นวดให้เข้ากันด้วยมือ จากนั้นให้นำไปคลึงให้เป็นแผ่น หรือถ้ามีเครื่องรีดแผ่นบะหมี่ก็ใช้เครื่องรีดแผ่นก็ได้ แล้วนำเข้าเครื่องตัดเส้น จากนั้นแบ่งบะหมี่เป็นก้อน ๆ ละ 50 กรัม เมื่อจะขายก็ลวกเส้นบะหมี่ให้สุกก่อน แล้วจับให้เส้นเป็นก้อนกลม แต่งด้วยไอศกรีมช็อกโกแลต, ครีมนม, วิปปิ้งครีม และเม็ดเจลลี่ ขายในราคาชุดละ 40 บาท

@@@

เชฟไชยวัฒน์เปิดร้านบะหมี่สายรุ้งอยู่ที่สี่แยกภาสยา ซอยงามวงศ์วาน 74 แยก 42 เยื้องเซเว่นอีเลฟเว่น หมายเลขโทรศัพท์ 08-7919-9393 และ 08-9828-3939 ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. ใครสนใจพิสูจน์ “พิซซ่าญี่ปุ่น” และราเมงช็อกโกแลต ก็ลองแวะไปได้ ทั้งนี้ เมนูอาหารญี่ปุ่นนั้น บางทีฝึกทำเพียง 1-2 อย่าง ก็อาจจะสามารถทำขายเป็นอาชีพได้ ก็ลองพิจารณากันดู.

@@@ คู่มือลงทุน พิซซ่าญี่ปุ่น @@@

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 30 บาทขึ้นไป / ชิ้น
รายได้ ขายราคา 35-50 บาท / ชิ้น
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านที่มีกำลังซื้อสูง
จุดน่าสนใจ หลาย ๆ ย่านยังไม่มีคนทำขาย

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : เรื่อง-ภาพ
ที่มา dailynews

5 พฤติกรรม กับการทำลายความสวยแบบไม่รู้ตัว

สาวๆพอเริ่มขึ้น เลข 3 ก็เริ่มมักมีอาการกังวล แต่หารู้ไมว่า... "เลข" ไหนๆ ก็อาจทำลายความสวยของเราได้แบบไม่ทันตั้งตัว!!!!บางครั้งสิ่งที่ทำเป็นประจำจนเกิดความเคยชิน แต่ใครจะคิดละ...ว่านั่นจะเป็นต้นเหตุทำลายความงามของเรา เลิกซะกับ 5 พฤติกรรมที่ทำลายความสวยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
- บีบสิว จะทำให้เกิดแผลได้ง่าย และเป็นการทำร้ายผิวอย่างรุนแรง ต้องใช้เวลาในการรักษาอีกทั้งเสี่ยงต่อการอักเสบ ควรรอให้สิวยุบเอง หรือหายามาแต้มจะดีกว่าค่ะ

- ขยี้ตา ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ง่าย เพราะผิวบริเวณดังกล่าวเป็นผิวที่บอบบางที่สุด การขยี้ตาจะเป็นการทำลายความยืดหยุ่นของผิวเร็วกว่าปกติ

- เกาแรงๆ การเกาสามารถทำลายผิวสวยๆ และเสี่ยงกับการเป็นแผลเป็น รอยด่างดำ และรอยเส้นเลือดฝอยแตก ดังนั้นเวลาคันเราควรที่จะทายาแก้คัน หรืออาบน้ำเย็น

- กัดเล็บ นอกจากจะเสียบุคลิกแล้วยังทำให้เชื้อโรคในเล็บ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายแล้วก็เชื้อโรคในน้ำลายก็ไปสะสมในเล็บ

- เลียปาก การเลียปากจะทำให้ปากแห้ง แตกเป็นขุย และเมื่อน้ำลายแห้งที่ริมฝีปาก จะดูดกลืนแสงแดดได้มากกว่าปกติอีกด้วย ทำให้คนที่ชอบเลียปากมีริมฝีปากที่คล้ำดำค่ะ

...แล้วเพื่อนๆยังคงเผลอทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่บ่อยๆ กันรึป่าว...? ถ้าเช่นนั้นก็รีบเลิกทำซะ...เพราะมันจะเป็นตัวทำให้เพื่อนๆหมดความสวยก่อนวัยอันควร
ที่มา sanook

วิธีบรรเทาอาการปวดขาของสาวช็อปปิ้ง

ผู้หญิง กับการช็อปปิ้ง เป็นอะไรที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ จะเห็นได้ว่าคุณสาวๆ จะมีความสุขจนลืมทุกอย่างไปเลยเมื่อได้ช็อปปิ้ง ยิ่งช่วงที่มีการลดราคากระหน่ำ หรือมิดไนต์เซลตาม ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนอาจลืมไปว่าร่างกายของเราจะต้องแบกรับน้ำหนักจากข้าวของที่พะรุงพะรังมาก มายแค่ไหน จนเป็นเหตุให้สาวนักช็อปหลายคนเกิดอาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมา

นายแพทย์เกรียงไกร เบญจวงศ์เสถียร ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปัญหาของสาวๆ ที่รักการช็อปปิ้งที่พบมากก็คือ

ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และ หลังทำงานหนัก เกิดการหดเกร็ง เนื่องจากต้องแบกหรือถือถุงหนักๆ

ปวดข้อมือ ชาตามปลายนิ้ว เนื่องจากการคล้องกระเป๋า หรือถุงต่างๆ บริเวณแขนและข้อมือ ทำให้เส้นประสาท ถูกกดทับ อาจเกิดอาการชาตามปลายนิ้วต่างๆ ได้ บางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟชอร์ตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้

เอ็นอักเสบ โดยอาจเป็นที่เอ็นบริเวณข้อหัวไหล่ เอ็นบริเวณ ข้อศอก ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะนิ้วล็อก (Trigger finger) แต่ถ้าใครรู้ตัวว่ายังไม่สามารถลด ละ เลิก การช็อปปิ้งได้ ก็ควรหาวิธีป้องกันอาการเจ็บปวดเหล่านี้ด้วยตัวเองง่ายๆ คือ

- หลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าใบใหญ่มาก เพราะจะยิ่งเผลอตัวใส่ของมากเกินไป น้ำหนักก็จะมากตามไปด้วย เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเองจะดีกว่า

- ใช้บริการฝากของหรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้าก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

- เลือกใส่รองเท้าสบายๆ ยามที่เดิน ช็อปปิ้ง

- บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่ายๆ เช่น ยืนชิดผนังแล้วใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ทาบและไต่ขึ้น – ลงบนผนัง 10 ครั้ง, หมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย – ขวา 10 ครั้ง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า – หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง

- หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อมาก ใช้แผ่นประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมใน 1 – 2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวด หรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ที่มา teenee

50 ฉากเด่นที่แสดงว่าเป็นละครไทย แน่นอน มาดูว่าจริงใหม?


50 ฉากเด่นที่แสดงว่าเป็นละครไทย แน่นอน มาดูว่าจริงใหม?
1.ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่มีงานทำก็มีเงินกินข้าว และเปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง

2.โฆษณามักจะตัดตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะกินยานอนหลับ

3.ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลาแม้เวลานอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่าโป๊ะเต็มหน้า

4.ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว

5.พระเอกนางเอกไทยจะเริ่มปิ๊งกันเพียงแค่ล้มทับกันแต่จ้องตาเป็นประกายประมาณ 3 วิ.ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบน
ด้วยนะ

6.เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตกจะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ ....

7.หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกหาได้ทุกที่

8.นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร

9.ตื่นมาจะแปรงฟันกันน้อยมาก

10.เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกันมักโดนตัดบทเสมอ

11.แม้พระเอกจะจบสูงมากแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัสจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่าพระเอกจะเชื่อทุกเรื่องยกเว้น
เรืองจริง

12.บุหรี่ เหล้า และยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกันภาพกับใสแจ๋ว

13.พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้ด้วยมือเปล่า โดนท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชกและพระปัดมือกันแล้วโดนเตะออกไป

14.นางเอกร้องให้หน้ายังสวย

15.เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเองเหมือนคนบ้า(คิดในใจไม่เป็น)

16.ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า หรือกลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ

17.เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายพระเอกจะดูออกเป็นคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีแรก

18.บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร

19.ยิงปืนไม่เคยโดนกันถ้าจะโดนก็โดนหัวหรือแขน

20.และตอนตายหน้าตาจะยังสดสวยแม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงหัวสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู

21.นักธุรกิจมีการประชุมน้อยมาก

22.เลขาหน้าห้องมักสวย และเป็นสายให้กับนางร้าย

23.ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว

24.ท่าเต้นในผับมีท่าเดียว

25.การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึงทำให้การตบหน้าด้วยมือดูโลโซไป

26.เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้

27.ถุงชอบปิ้งหรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดใหนก็จะเบาเหวงเพราะข้างในไม่มีอะไรเลย

28.ตำรวจ หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรคไหนก็เจออยู่คนเดียวและตำรวจมักจะมาตอนจบ

29.แอบฟังคนพูดกันในห้องถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน

30.พระเอกจะเห็นเสมอเวลานางเอกจับมือกับผู้ชายแบบพี่น้องหรือเพื่อนแล้วก็เข้าใจผิด

31.พระเอกต้องมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับนางเอกหรือญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะว่าตัวเองเป็นคนให้เลือดหนังจะจบเร็ว

32.ตอนจบพระเอกนางเอกยืนจับมือ มองหน้ากัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพือน คนใช้ ยืนแอบดู แล้วปรบมือ...แป๊ะ ๆ

33.คนใช้หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่องประสานช่องโหว่ที่คนดูไม่เข้าใจ

34.ตัวละครที่ยังไม่ทันได้พูดความจริงทั้งหมดก็ตายไปซะก่อน

35.ช่วงหลังนางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยคล้ายกัน

36.พระเอกหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปี ๆ พอนางเอกโผล่มาปุ๊บนางร้ายจะมีข้อเสียปั๊บ

37.พ่อพระเอกหรือนางเอกต้องมีเมียน้อย

38.ต้องมีคนใช้สองฝ่ายธรรมะและอธรรมตีกันเอง

39.ตอนจบอาจจะมีใครคนใดคนหนึงเป็นบ้าชีจะนั่งอยู่บนเตียงคนป่วยพร้อมตุ๊กตาหนึ่งตัว

40.ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และพระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย

41.กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดแล้ว

42.เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องจะต้องซูมเข้าไปให้เห็นหน้าจอว่าใครโทรมาแล้วถึงจะรับโทรศัพย์ได้

43.ฉากงานหมั้นหรือแต่งงานจะมีคนมาขัดจังหวะ แฉ และเปิดโปงความจริง

44.ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าห่มสีขาว

45.จูบแล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนี

46.ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกจะต้องถูกแยกกันตั้งแต่เกิด คนหนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน

47.เวลาที่มีฉากข่มขืนผู้หญิงจะวิ่งไปล้มบนที่นอนเหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว

48.พ่อไปดูลูกนอน หรือพระเอกไปดูนางเอกนอนจะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์หรือไม่ไช่หน้าหนาวก็ตาม

49.ไม่ว่าตัวละครใด ๆ ที่เป็นผู้หญิงจะต้องแต่งตัวเวอร์มาก ๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ

50.ช่อง 3 ตอนจบ ช่อง 7 ตอนอวสาน

ขอบคุณ dek-d.com

"อีสุกอีใส" ภัยเงียบกวนใจแม่ช่วงลมหนาว

ปฏิทินวันเวลาเดินทางเข้ามาสู่ช่วงฤดูหนาวกันแล้ว หลายคนตื่นเต้นกับเทศกาลส่งมอบความอบอุ่นและความสุขให้แก่กัน แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นและยากจะหลีกหนี ทำให้ผิวของทุกคนแห้งตึงและแตกเป็นขุยๆ รวมถึงผิวที่บอบบางของลูกน้อยด้วย นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ยังต้องเฝ้าระวังโรคยอดฮิตช่วงฤดูหนาวอย่าง "โรคอีสุกอีใส" อีกด้วย

เนื่องจาก ทีมงาน Life & Family ได้รับข้อมูลดีๆ จากศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพได้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคดังกล่าวว่า โรคอีสุกอีใสเป็นอีกโรคหนึ่งที่มักแพร่ระบาดในฤดูหนาวยาวนานไปจนถึงต้นฤดูร้อน ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อย เพราะโรคนี้จะส่งผลต่อสุขภาพและทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้แก่ผิวใสๆ ของลูกๆ

ถึงแม้คุณแม่มือใหม่หลายท่านอาจจะไม่กังวลใจ เพราะรู้ไม่เท่าทันภัยจากโรคนี้ โดยคิดว่าโรคอีสุกอีใสไม่ได้ร้ายแรงมากนัก แต่ความจริงแล้วเป็นโรคที่น่ากลัวเหมือนกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องมีความรู้ในการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับโรคนี้ ดังนั้นทุกคนควรมาทำความรู้จักกับโรคอีสุกอีใสกันค่ะ

"โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Varicella virus มักระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แต่สามารถพบได้ประปรายตลอดทั้งปี สามารถเกิดได้กับคนทุกวัย แต่มักเกิดขึ้นในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ติดต่อกันได้โดยการไอ จาม หายใจรดกัน สัมผัสเนื้อตัว หรือใช้ของร่วมกับคนที่เป็นอีสุกอีใสอยู่"

ส่วนอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคนี้จะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ในช่วงแรกจะเริ่มขึ้นเป็นผื่นแดงราบ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสๆ ข้างใน มีอาการคัน โดยที่ผื่นและตุ่มแดงๆ จะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้า หนังศีรษะ หน้าอก และตามลำตัว นอกจากนั้นอาจมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ และกลายเป็นตุ่มหนองประมาณ 2-4 วัน จึงจะตกสะเก็ดและแห้ง

อย่างไรนั้น แม้ว่าอีสุกอีใสจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง เนื่องจากสามารถรักษาให้หายได้ โดยใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ แต่ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้ หากมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาท ซึ่งอาจเกิดเป็นโรค "งูสวัด" ภายหลังได้ บางรายมีเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อนอยู่โดยอาจจะกระจายเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ และปอดบวมได้ แต่ที่เห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ รอยแผลเป็น ที่ทิ้งไว้บนผิวหนัง บางคนรอยแผลเป็นอาจจางหายไปเอง แต่บางคนอาจมีรอยแผลเป็นติดตัวไปตลอดชีวิต สร้างความน่ารำคาญและมีผลต่อบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ในอนาคตได้

ทั้งนี้ หากทุกบ้านรู้จักวิธีการปกป้องและบำรุงผิวที่เกิดจากโรคอีสุกอีใสอย่างถูกต้อง ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องผิวพรรณของลูกน้อยอีกต่อไป ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพแนะนำว่า การดูแลผิวพรรณสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสทำได้ง่ายๆ โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ อย่าเกาและแกะตุ่มคัน เพราะจะทำให้เกิดแผลติดเชื้อจนกลายเป็นตุ่มหนองได้

ขณะเดียวกัน ข้อควรระวังหากลูกน้อยมีไข้สูงควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ และรับประทานยาลดไข้ แต่ถ้าจะให้ดีการป้องกันไว้ก่อนใน การฉีดวัคซีนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและมีประสิทธิภาพด้วย เพราะจะเป็นผลดีสำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 1-12 ปี ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน เพราะเด็กวัยนี้จะมีการสร้างภูมิต้านทานที่ตอบสนองกับวัคซีนได้ดี โดยวิธีการฉีดนั้นเด็กอายุ 1-12 ปี ฉีดเพียง 1 เข็ม ส่วนเด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป จะต้องรับวัคซีนถึง 2 เข็ม ในระยะที่ห่างกัน 4-8 สัปดาห์ จึงเพียงพอที่จะกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้สูงพอที่จะป้องกันโรค ส่วนผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาแล้วจะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรับวัคซีนอีก

ถึงตอนนี้ คุณพ่อคุณแม่คงจะพอเข้าใจเกี่ยวกับโรคอีสุกอีใสกันบ้างแล้วว่ามีผลเสียต่อสุขภาพลูกน้อยของคุณอย่างไรบ้าง ฉะนั้นช่วงหน้าหนาวนี้พาลูกน้อยของคุณห่างไกลโรคอีสุกอีใสไว้ก่อนที่โรคนี้จะมอบ "รอยแผลเป็น" ทำร้ายผิวของลูกน้อยจนอดอวดผิวสวยๆ ในอนาคตกันค่ะ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คุณแม่เผย..(แอบ)รักลูกชายมากกว่าลูกสาว!

พบกลุ่มตัวอย่างคุณแม่สารภาพว่า รักและเอาใจลูกชายมากกว่าลูกสาว แม้จะตระหนักดีว่า การทำเช่นนั้น อาจส่งผลในทางลบต่อจิตใจของลูกสาวในระยะยาวก็ตาม
งานวิจัยนี้ได้สำรวจความคิดเห็นของคุณแม่ประมาณ 2,000 คนที่มีทั้งลูกชายและลูกสาว ส่วนหนึ่งของผลสำรวจความคิดเห็นจากผู้เป็นแม่ระบุถึงลูกชายของตนว่า "ตลก ทะเล้น ขี้เล่น และน่ารัก" ขณะที่คำจำกัดความที่คุณแม่ทั้งหลายมอบให้ลูกสาวคือ "ดื้อ ช่างต่อปากต่อคำ และเอาจริงเอาจังเกินไป" เสียนี่

ทั้งนี้ยังพบด้้วยว่า ผู้เป็นแม่มีแนวโน้มจะจับผิดลูกสาวมากกว่าลูกชายถึงสองเท่า และ 88 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าปฏิบัติต่อลูกทั้งสองเพศแตกต่างกัน ทั้งที่ทราบว่าไม่ควรทำ และมีกว่าครึ่ง (55 เปอร์เซ็นต์) ที่ยอมรับว่ารู้สึกผูกพันกับลูกชายมากกว่า

แถมแม่เกือบครึ่งยังบอกว่า ลูกชายคือลูกรัก ขณะที่ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่า ลูกสาวเป็นแก้วตาดวงใจของคุณพ่อด้วย

คริสซี ดัฟฟ์ ที่ปรึกษาของเน็ตมัมส์ เตือนว่าทัศนคติดังกล่าวอาจมีผลต่อเด็กผู้หญิงในระยะยาว และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงชอบวิจารณ์ตัวเองมากกว่าผู้ชายที่เติบโตขึ้นมาอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องทุกข์ร้อนใดๆ และมักไม่ยอมรับฟังข้อผิดพลาดของตัวเอง

ผู้เชี่ยวชาญของเว็บไซต์แห่งนี้เสนอแนะเคล็ดลับในการแก้ปัญหาเอาไว้ด้วยว่า คงจะดีหากมีการสลับบทบาท และการเล่นของเด็ก ๆ กันบ้าง เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ถึงมุมมองของแต่ละเพศ เช่น ปล่อยให้ลูกสาวได้เล่นรถไฟของเล่น และตัวต่อเลโก้ ขณะที่ลูกชายควรได้เล่นทำกับข้าวบ้าง แทนที่จะขลุกอยู่แต่ในโรงรถ

นอกจากนั้น เธอยังฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วยว่า จะดีกว่าหากปล่อยให้ลูกสาวมีเวลาและพื้นที่ในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกมีความเคารพในตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เข้าไปช่วยทุกครั้งที่พบว่าลูกมีปัญหา

เรียบเรียงจากเดลิเมล

ข้อดีของการมีลูก ช่วยให้สมองแม่พัฒนา

ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติที่เตรียมความสามารถต่าง ๆ ให้เข้ากับแต่ละช่วงวัยของมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคุณแม่หลังคลอด เมื่อมีงานวิจัยระบุว่า สมองของคุณแม่หลังคลอดบุตรนั้นจะมีบางส่วนขยายใหญ่ขึ้น เพื่อให้พวกเธอพร้อมรับมือกับช่วงของการเลี้ยงดูบุตรที่แสนเหนื่อยนั่นเอง
โดยนักวิจัยพบว่า ในส่วนของ ‘เกรย์ แมตเทอร์’ หรือเนื้อเยื่อประสาทของผู้หญิงจะเกิดการขยายตัวในช่วงหลังคลอด และแม่ที่มีโอกาสได้ประคบประหงมดูแลลูก จะมีการขยายตัวของเซลล์สมองบริเวณนี้มากที่สุด ส่วนหนึ่งนักวิจัยเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรช่วย "กระตุ้นการทำงานของสมอง" และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายหลังการคลอดบุตรนั่นเอง

การค้นพบนี้เผยแพร่โดยอเมริกัน ไซโคโลจิคัล แอสโซซิเอชัน โดยนักประสาทวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐอเมริกาได้ทำการสแกนสมองคุณแม่หลังคลอดจำนวน 19 คน ในระยะเวลาประมาณ 3 - 4 เดือนหลังคลอด ผลการสแกนแสดงให้เห็นว่าปริมาณเกรย์แมตเทอร์ หรือเซลลส์สมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่ามีนัยสำคัญ เพราะปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมักเกิดขึ้นหลังช่วงเวลาที่มีการเรียนรู้อย่างเข้มข้น หรือสมองได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเท่านั้น

ส่วนของสมองที่มีการเติบโตนี้มีความเกี่ยวข้องกับแรงบันดาลใจ การใช้เหตุผล การใช้วิจารณญาณ การประมวลผลอารมณ์และความรู้สึกของความพึงพอใจ และเป็นส่วนสำคัญต่อสัมพันธภาพระหว่างแม่-ลูก

นักวิจัยอธิบายว่า การขยายตัวของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับแรงบันดาลใจนี้ อาจนำไปสู่การดูแลทารกที่ดีขึ้น และมันจะช่วยให้ทารกอยู่รอดโดยมีพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่ที่เห่อลูกนั้นมีแนวโน้มว่าสมองส่วนดังกล่าวจะเติบโตมากที่สุด

ไซโอฟาน ฟรีการ์ด ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เน็ตมัมส์ กล่าวว่า ธรรมชาติมีวิธีการอันน่าพิศวงในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เสมอ เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น

“การมีลูกเป็นโอกาสพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่สมองจะมีพลังเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่อให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ได้นั่นเอง”

ผลการศึกษาจากเยลยังเป็นการตอกย้ำงานวิจัยจากออสเตรเลียที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้น ศาสตราจารย์เฮเลน คริสเตนเซน จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติในแคนเบอร์รา เผยว่ากลุ่มตัวอย่างผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถทำแบบทดสอบความจำ และตรรกวิทยาได้คะแนนดีไม่แพ้ช่วงที่พวกเธอยังอายุไม่มากนัก

เรียบเรียงจากเดลิเมล

ดื่มน้ำบีทรูทยั้บยั้งโรคสมองเสื่อม

การดื่มน้ำบีทรูทช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปยังสมองดีขึ้น ตามผลวิจัยรายงานว่า มันจะช่วยยั้บยั้งโรคสมองเสื่อม

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย เวค ฟอเรสต์ ใน สหรัฐอเมริกา ได้ตรวจสอบผลกระทบของไนเตรทที่มีอยู่ในผักสีแดงเข้ม หัวหน้าทีมวิจัยศาสตราจารย์ เดเนียล คิม-ชาปีโร กล่าวว่า มีงานวิจัยระดับสูงหลายชิ้นแสดงผลการศึกษาว่าน้ำบีททรูสามารถลดความดันโลหิตได้ แต่เราต้องการแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำบีทรูทยังเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองหรือการไหลเวียนเลือดไปยังสมองดีขึ้น

พื้นที่ในสมองกลายเป็นพื้นที่เลือดไหลเวียนได้แย่เมื่ออายุมากขึ้น และยังเชื่อกันว่ามันเชื่อมโยงกับโรคสมองเสื่อมและการรับรู้ที่ลดลง

ปริมาณไนเตรทที่สูงที่พบใน บีททรู และขึ้นฉ่าย กะหล่ำปีและผักใบเขียวอื่นๆ เช่น ผักขม ผักกาดหอม เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไนเตรทสูง แบคทีเรียดีในปากจะทำให้ไนเตรทเป็นไนไทรท

ผู้วิจัยพบว่าไนไทรทสามารถช่วยเปิดหลอดเลือดในร่างกาย เพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนโดยเฉพาะพื้นที่ที่ขาดออกซิเจน อย่างไรก็ตามนี้เป็นการศึกษาครั้งแรกที่พบว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง

ในการศึกษา การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการของสมาคมไนตริกออกไซด์ นักวิจัยพบว่าไนเตรทในอาหารจะส่งผลกับบุคคลอายุ 14-70 หรือมากกว่าในช่วงเวลา 4 วัน

พวกเขากำหนดให้มีทั้งอาหารที่ไนเตรทสูงรวมทั้งน้ำบีทรูท หรือ ไนเตรทต่ำในรายการอาหารสำหรับสองวันแรก พวกเขาได้ทำเอ็มอาร์ไอสแกน(การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก)หลังอาหารเช้าของทุกวันและบันทึกการไหลเวียนของเลือดในสมอง

สำหรับสามและสี่วันของการศึกษา นักวิจัยได้ทำการสลับอาหารและทำซ้ำขั้นตอนแต่ละคน การทำเอ็มอาร์สแกนพบว่า หลังจากรับประทานอาหารที่มีไนเตรทสูง ในผู้สูงอายุจะมีเพิ่มการไหลเวียนเลือดในเนื้อสมองสีขาวหรือพูสมองส่วนหน้าที่เป็นพื้นที่เชื่อมโยงกับส่วนที่เสื่อมสภาพซึ่งนำไปสู่โรคสมองเสื่อมและกระบวนการรับรู้

นักวิจัยรวม ศาตราจารย์ เกร์รี มิลเลอร์ กล่าวว่า ผมคิดว่าผลลัพธ์นั้นสอดคล้องและสนับสนุน อาหารที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยผักและผลไม้

ข้อมูลจากเดลี่เมล์ออนไลน์

ดื่มน้ำบีทรูทยั้บยั้งโรคสมองเสื่อม

การดื่มน้ำบีทรูทช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปยังสมองดีขึ้น ตามผลวิจัยรายงานว่า มันจะช่วยยั้บยั้งโรคสมองเสื่อม

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย เวค ฟอเรสต์ ใน สหรัฐอเมริกา ได้ตรวจสอบผลกระทบของไนเตรทที่มีอยู่ในผักสีแดงเข้ม หัวหน้าทีมวิจัยศาสตราจารย์ เดเนียล คิม-ชาปีโร กล่าวว่า มีงานวิจัยระดับสูงหลายชิ้นแสดงผลการศึกษาว่าน้ำบีททรูสามารถลดความดันโลหิตได้ แต่เราต้องการแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำบีทรูทยังเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองหรือการไหลเวียนเลือดไปยังสมองดีขึ้น

พื้นที่ในสมองกลายเป็นพื้นที่เลือดไหลเวียนได้แย่เมื่ออายุมากขึ้น และยังเชื่อกันว่ามันเชื่อมโยงกับโรคสมองเสื่อมและการรับรู้ที่ลดลง

ปริมาณไนเตรทที่สูงที่พบใน บีททรู และขึ้นฉ่าย กะหล่ำปีและผักใบเขียวอื่นๆ เช่น ผักขม ผักกาดหอม เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไนเตรทสูง แบคทีเรียดีในปากจะทำให้ไนเตรทเป็นไนไทรท

ผู้วิจัยพบว่าไนไทรทสามารถช่วยเปิดหลอดเลือดในร่างกาย เพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนโดยเฉพาะพื้นที่ที่ขาดออกซิเจน อย่างไรก็ตามนี้เป็นการศึกษาครั้งแรกที่พบว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง

ในการศึกษา การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการของสมาคมไนตริกออกไซด์ นักวิจัยพบว่าไนเตรทในอาหารจะส่งผลกับบุคคลอายุ 14-70 หรือมากกว่าในช่วงเวลา 4 วัน

พวกเขากำหนดให้มีทั้งอาหารที่ไนเตรทสูงรวมทั้งน้ำบีทรูท หรือ ไนเตรทต่ำในรายการอาหารสำหรับสองวันแรก พวกเขาได้ทำเอ็มอาร์ไอสแกน(การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก)หลังอาหารเช้าของทุกวันและบันทึกการไหลเวียนของเลือดในสมอง

สำหรับสามและสี่วันของการศึกษา นักวิจัยได้ทำการสลับอาหารและทำซ้ำขั้นตอนแต่ละคน การทำเอ็มอาร์สแกนพบว่า หลังจากรับประทานอาหารที่มีไนเตรทสูง ในผู้สูงอายุจะมีเพิ่มการไหลเวียนเลือดในเนื้อสมองสีขาวหรือพูสมองส่วนหน้าที่เป็นพื้นที่เชื่อมโยงกับส่วนที่เสื่อมสภาพซึ่งนำไปสู่โรคสมองเสื่อมและกระบวนการรับรู้

นักวิจัยรวม ศาตราจารย์ เกร์รี มิลเลอร์ กล่าวว่า ผมคิดว่าผลลัพธ์นั้นสอดคล้องและสนับสนุน อาหารที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยผักและผลไม้

ข้อมูลจากเดลี่เมล์ออนไลน์

โซเชี่ยลเน็ตเวร์คทำให้คนเหงาขึ้น

มีคนเป็นพันที่เป็นเพื่อนกันในโลกออนไลน์ ที่คุยกันผ่านข้อความจาก ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค และโปรแกรมต่างๆ แต่ชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี ที่เรียกกันว่า เฟซบุ๊ค เจเนเรชั่น เป็นกลุ่มคนที่ที่เหงามากที่สุดตามรายงาน

หนึ่งในสามของวัยรุ่นพวกนี้บอกว่าพวกเขาเบื่อกับวิถีชีวิตของตนเอง เมื่อเทียบกับผู้สูงวัยเกีษณมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ และ 28 เปอร์เซ็นต์บอกว่าความเหงาทำให้เขาไม่มีความสุข

น่ากังวลว่า หนึ่งในสี่ใช้แอลกอฮอลล์ในการประโลมจิตใจ และครึ่งหนึ่งกินอาหารขยะเพื่อตอบสนองทางอารมณ์ มีการสำรวจชีวิตในอุดมคติที่มีความสุขของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในอังกฤษโดยบีบีซี เรดิโอ 3 วัยรุ่นและหนุ่มสาวชาวอังกฤษมีความกังวลเกี่ยวกับการงานและการเงินสูง

คำถามว่า อะไรที่ทำให้คุณไม่มีความสุข

70 เปอร์เซ็นต์ของเฟซบุ๊คเจเนเรชั่น บอกว่าเรื่องการเงินที่ไม่มั่นคง มากกว่าหนึ่งในสามกังวลเกี่ยวกับควมมั่นคงในตำแหน่งงาน เมื่อเทียบกับหนึ่งในสี่ของผู้ตอบวัยกลางคน

หนึ่งในสามทุกข์ทรมานกับปัญหาคความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือคนใกล้ชิด กลุ่มนี้ดูเหมือนจะดิ้นรนมากในสถานะทางสังคมของพวกเขา ทั้งหมดนี้เงินเป็นเหตุผลข้อใหญ่ที่ทำให้ไม่มีความสุขของทุกกลุ่มอายุ รองลงมาเป็นเรื่องงาน ความสัมพันธ์และความโดดเดียว แต่เฟซบุ๊คเจเนเรชั่นที่มีอายุมากความกลัวเรื่องการเงินก็ยังคงมีอยู่ แต่พวกเขาสามารถเติมเต็มในด้านอื่นๆได้

มีรายงานว่าหนึ่งในสามของคนรุ่นใหม่เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ ในวัย 55-64 ปี และหนึ่งในสามของเฟซบุ๊คที่มากว่ากลุ่มอายุอื่น บอกว่าพวกเขาต้องการย้ายไปต่างประเทศเพื่อค้นหาความสุข

นักจิตวิทยาพฤติกรรม โจ เฮมมิง กล่าวว่า โซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ถ้าใช้แทนการประชุมที่พบหน้าค่าตาหรือใช้โทรศัพท์จะทำให้รู้สึกห่างเหิน

เพื่อที่แท้จริงต้องมีการใช้ประสบการณ์รวมกันและผูกพัน เพื่อนในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเกือบไม่พอกับความคุ้นเคย ปราศจากความหมายแท้จริงหรือความใกล้ชิด
ที่มา prachachat

ปลูกกุหลาบกระถางให้ออกดอกสวย

อยากมีต้นกุหลาบในกระถางที่ออกดอกสวย ราก ต้น ใบแข็งแรง ต้องรู้วิธีดูแลที่ถูกต้อง เริ่มจาก ‘ดิน’ การปลูกลงในกระถางต้องใช้ทั้ง ดิน:ปุ๋ยคอก:ปุ๋ยหมักหรือแกลบดิบ ในอัตราส่วน 1 : 1 : 2 และสามารถผสมปุ๋ยเม็ดละลายช้าเข้าไปด้วยได้ และควรเปลี่ยนดินในกระถางปลูกทุกปี เมื่อใส่ดินลงไปแล้ว ต้องรดน้ำให้ชุ่ม ให้ดินกระชับราก แล้วกดดินให้แน่น แต่ไม่ควรแน่นเกินไป เพราะน้ำจะไม่สามารถซึมผ่านได้

'การรดน้ำ' กุหลาบชอบน้ำปานกลาง ให้รดในช่วงแสงแดดอ่อน พอให้ดินชุ่ม รดน้ำทุกวัน ไม่เกิน 15.00 น. เพราะจะทำให้ใบและดินเปียกชื้นจนเกิดเป็นโรค

ส่วน 'แสงแดด' กุหลาบชอบแสงแดดจัด จึงต้องตั้งกระถางปลูกไว้ในที่โล่งแจ้ง ให้แสงแดดส่องถึงได้นาน 6 ชั่วโมงต่อวัน

สำหรับ 'การใส่ปุ๋ย' เมื่อเริ่มปลูกใหม่ ๆ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-0-0 หรือ 25-7-7 แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสูตรตัวกลางต่ำ ตัวหลังสูง ทั้งยังควรใช้ปุ๋ยออสโมโค้ท สูตร 14-14-14 โรยรอบโคนต้น

อัตราส่วนที่เหมาะสมของปริมาณปุ๋ย คำนวณจากขนาดของกระถาง เช่น กระถาง 5 นิ้ว ใช้ 5 กรัม กระถาง 10 นิ้ว ใช้ 10 กรัม และกระถาง 20 นิ้ว ใช้ 20 กรัม

ปลูกกุหลาบในกระถางตามเคล็ดลับที่บอก ต้นกุหลาบก็จะแข็งแรง ลดโอกาสเสี่ยงเกิดโรคได้.
ที่มา เดลินิวส์

เคล็ดลับดื่มชาเพื่อสุขภาพ

ใคร ๆ ก็รู้กันว่า การดื่มชาแก้ง่วงและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เพราะในชามีคาเฟอีน ช่วยให้กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท

การดื่มชา ต้องดื่มให้ถูกเวลา ควรดื่มหลังมื้ออาหาร หรือภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ควรดื่มชาในช่วงท้องว่าง เนื่องจากจะทำให้ท้องผูก ยิ่งถ้าเป็นชาที่เข้มข้นมาก ๆ ด้วยแล้ว เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะอาหาร

สรรพคุณของชา โดยทั่วไปจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทกลางและระบบ หมุนเวียนโลหิต แก้ปวดหัว แก้ง่วง ขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก สลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล

แถมชายังช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ สมานแผล ขับและชำระ สารพิษในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ แก้กระหาย ป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูก

จะให้ดีชาที่เลือกดื่มควรเป็นชนิดชงร้อน ไม่เติมน้ำตาล ซึ่งมีให้เลือกดื่มมากมายหลายรสชาติ และมีสรรพคุณเฉพาะที่ต่างกัน อย่าง ‘ชากุหลาบ’ ช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดันสูง ‘ชาคาโมมายล์’ ทำให้รู้สึกสงบ หลับลึก ‘ชาเลม่อนไทม์’ ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร ‘ชาลาเวนเดอร์’ แก้ปวดหัว ‘ชาอัญชัญ’ บำรุงสายตา และ ‘ชาใบหม่อนกับกุหลาบ’ สามารถต้านอนุมูลอิสระได้

ไม่ว่าจะชารสชาติใด หากดื่มให้ถูกเวลา รับรองช่วยเสริมสุขภาพของคุณผู้อ่านได้แน่.
ที่มา เดลินิวส์

หุ่นสวยด้วยกล้วยหอม

หนุ่มสาวที่กำลังอยากลดหรือควบคุมน้ำหนัก วันนี้ 'เกร็ดความรู้' มีวิธีไดเอ็ทที่ไม่ต้องทนหิว ค่อย ๆ ลดน้ำหนักลงไปได้อย่างสวย-หล่อ ปลอดภัย ไม่โทรม ด้วยผลไม้ที่หาทานไม่ยาก ราคาไมแพง อย่าง 'กล้วยหอม'...

กล้วยหอมให้พลังงาน 92 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัม หากทานกล้วยหอมวันละ 2-3 ลูก ร่างกายก็จะได้พลังงานที่เหมาะสม แต่อย่าคิดที่จะทานเฉพาะกล้วยหอมอย่างเดียวในช่วงลดอ้วน เพราะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร

สำหรับวิธีไดเอ็ทด้วยกล้วยหอม แนะนำให้ทานกล้วยหอม 1 ใบ กับน้ำอุ่นหรือนมไขมันต่ำ เป็นอาหารมื้อเช้า ขณะที่มื้อกลางวัน ทานได้ตามปกติ แต่ให้เลี่ยงอาหารทอดหรือผัด หนังสัตว์ อาหารมัน ๆ เน้นเมนูต้มหรือนึ่ง ทานผักให้มากกว่าเนื้อสัตว์

ส่วนมื้อเย็น ควรทานให้เรียบร้อยก่อนเวลา 18.00 หรือ 19.00 น. หากทานช้ากว่านั้น อาหารที่ทานเข้าไปจะถูกร่างกายเก็บสะสมในรูปของไขมัน

หากรู้สึกหิวนอกมื้ออาหารให้ทานกล้วยหอม พร้อมดื่มน้ำอุ่นหรือนมไขมันต่ำ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อ้วน ยังช่วยป้องกันอาการท้องผูก ผิวพรรณดี ไม่เป็นตะคริวด้วย.
ที่มา เดลินิวส์

โน้สอุดมกับมุกเสี่ยงตายในงานคอนเสริตพี่ติ๊กชิโร่

Note Udom @ Tik Shiro Concert - รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงโน้ส อุดม แขกพิเศษของ Tik Shiro "ชัดเจน" เสาร์ที่ 30 ต.ค. 53 Impact 2 จัดโดย ExpoLink ต้องฟังให้จบกระทบนักการเมืองน้ำเน่า ฮาสุดๆ... แถมมาในชุดกางเกงแดงเสื้อเหลือง โดนใจจริงๆ... film-Annie, 3G, รถเมล์เช่า, นายกหน้าหล่อ, ตัดไม้ที่เขาใหญ่, นักการเมืองหน้าเดิม
โน้สอุดม แต้พานิช กับมุกเสี่ยงตายในงานคอนเสริตพี่ติ๊กชิโร่ โต้ชีลิก ปล่อยมุกแบบไม่กลัวโดนเก็บ ฮาสุดๆ ฮาโตรคๆโดนใจเต็มๆ
มาดูกันเร็ว

(มื 5 ตอน คลิกที่นี่)