มาเพิ่มอาหารให้ สมอง กันเถอะ

มาเพิ่มอาหารให้ สมอง กันเถอะ ‘เฮ้อ! ช่วงนี้เป็นอะไรไปนะ หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ค่อยออกเลย แถมยังลืมนั่นลืมนี่เป็นประจำเสียด้วยสิ’ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมี ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่จะต้องหันมาดูแลสมองให้มากกว่านี้เพราะผู้หญิงทำงานอย่างเราจำเป็นต้องใช้สมองคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา หากยังทำเมินปล่อยปละละเลยไม่สนใจ

ระวัง! คราวหน้าคุณอาจจะลืมหน้าแฟนไปเลยก็ได้นะคะ ว่าแล้ว ขอแนะนำอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสมองมาให้สาวๆ ได้รู้จักกัน เริ่มที่...

1.ธัญพืช
สาวขี้ลืมอย่างนี้ ต้องหันมากินอาหารที่มีธัญพืชสูงแล้วค่ะ เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าว-ซ้อมมือเพราะจากผลการศึกษาพบ ว่า ผู้หญิงที่ได้รับกรดโฟลิกมากๆ วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 จะมีความจำดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้เลย

2.บลูเบอร์รี่
จากการวิจัยของ Tufts University สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่าสารสกัดจากบลูเบอร์รี่สามารถช่วยป้องกันอาการความจำสั้นได้ค่ะ

3.ไขมันจากปลา
กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างกรดโอเมก้า 3 ที่พบในปลาที่มีไขมัน หรือไขมันจากวอลนัทและเมล็ดจากต้นแฟล็กซ์ จะมี DHA (Decosapentaenoic Acid) สูง ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญต่อเซลล์สมองของเรา เพราะถ้าหากระดับของ DHA ในร่างกายต่ำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ นอกจากนี้ปลาก็ยังมีไอโอดีน ช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วยค่ะ

4.มะเขือเทศ
มีหลักฐานยืนยันว่า ไลโคพีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่พบในมะเขือเทศ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ที่พบในอาการของโรควิกลจริตและโรคอัลไซเมอร์

5.ซีเรียล
คนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี Homocysteine อยู่ในปริมาณที่สูง กรดโฟลิกและวิตามินบี 12 จะสามารถช่วยขัดขวางการสะสมของ Homocysteine ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ และซีเรียลเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 12 แถมยังมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกด้วย ช่วยให้พลังงานนานและทำให้ความจำ Alert ตลอดทั้งวัน

6.Black Currant
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างความจำของเราให้ว่องไวขึ้น และแหล่งที่มีวิตามินซีอยู่เยอะก็คือ ต้น Black Currant นี่แหละค่ะ

7.เมล็ดฟักทอง
สังกะสีมีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความจำและทักษะในการคิด ดังนั้น หากคุณกินเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

8.บร็อกโคลี
เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

9.ถั่ว
จากผลการวิจัยที่ลงใน American Journal of Epidemiology ได้แนะนำเอาไว้ว่า วิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม และถั่วเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี นอกจากนี้วิตามินอียังพบได้ในผักใบเขียว เมล็ดพืช ไข่ ข้าวซ้อมมือ และธัญพืชค่ะ

โทษของบะหมี่สำเร็จรูป

โทษของบะหมี่สำเร็จรูป ใครที่ชอบทานบะหมี่สำเร็จรูปเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า บะหมี่สำเร็จรูปมีโทษต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีโทษของบะหมี่สำเร็จรูปมาบอกกัน...

ส่วนประกอบของบะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่เป็นแป้งสาลีถึง 60-70% ส่วน 15-20% เป็นไขมัน (อยู่ในเครื่องปรุง) ที่เหลืออีก 5-6% เป็นเกลือและผงชูรสล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถ้าทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่า 1 ซองต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการถึง 50-100% ซึ่งเป็นอันตรายต่อไต และยังจะทำให้ความดันโลหิตสูงอีกด้วย

ต่อไปนี้ถ้าอยากจะทานบะหมี่สำเร็จรูปก็ควรจะทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณะสุข

- ใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป

- ควรเลือกซื้อบะหมี่สำเร็จรูปที่เขียนว่า เพิ่มสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ ไว้หน้าซอง

- ไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปดิบ ๆ เพราะเส้นบะหมี่จะไปพองตัวในกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดได้

- ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง เพื่อป้องกันโรคที่เกิดกับไต และโรคความดันโลหิต

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าทานบะหมี่สำเร็จรูปเกินวันละ 1 ซอง เพื่อสุขภาพที่ดี

ที่มาจาก เดลินิวส์

สูตรอาหารลดความอ้วน

สูตรอาหารลดความอ้วน สูตรที่ 1
สูตรอาหารไฮโซค่ะ 3 วัน 3 กก. อึม เป็นไง อ่านแล้วน่าสนใจดีไม๊คะ วันละ 1 กก. แบบนี้ 1 อาทิตย์ก็ผอมเพรียวสมใจอยาก แถมรายการอาหารยังไม่โหด เหมือนซุปผักเมื่อกี้อีกด้วย ได้ทานขนมปังอีกตะหาก สวรค์ของคนลดน้ำหนักเลยค่ะ แต่ขอบอกค่ะว่าแต่ละวันอาหารตามสูตรหายากมากกก แบบออกแนวไฮโซ บ้านๆ อย่างเราไม่ค่อยซื้อทานหรอกค่ะ สูตรมีดังนี้นะคะ

วันที่ 1
เช้า กาแฟ หรือ ชา ไม่ใส่น้ำตาลและครีมเทียม 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น (โฮลวีทได้ก็จะดีมาก)
ถั่ว baked bean 120 กรัม (ถั่วในซอสมะเขือเทศ)
ส้ม 1 ลูก

กลางวัน กาแฟ หรือชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ปลาทูน่า 120 กรัม

เย็น ถั่วฝักยาวต้ม 120 กรัม
บีทรูท หรือ แครอท ต้ม 120 กรัม
แฮมไก่ 2 แผ่น ไก่เท่านั้นนะคะ
ไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็ก

วันที่ 2
เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ไข่ต้ม 1 ฟอง
กล้วยหอม 1/2ผล

กลางวัน แครกเกอร์แบบเค็ม 5 แผ่น
ชีส low fat 1 แผ่น (อาจเปลี่ยนเป็น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ)

เย็น บล๊อคโครี่ กับแครอท ต้ม อย่างละ 120 กรัม
แฮมไก่ 2 แผ่น
กล้วยหอม 1/2ผล
ไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็ก

วันที่ 3
เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วย
แครกเกอร์ เค็ม 5 แผ่น
ชีส low fat 1 แผ่น
แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

กลางวัน กาแฟหรือชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ไข่ต้ม 1 ลูก

เย็น ดอกกะหล่ำต้ม กับ แครอท อย่างละ 120 กรัม
ทูน่า 120 กรัม
แตงไทย หรือ แคนตาลูป 1 ชิ้น
ไอศกรีมวานิลา 1 ถ้วยเล็ก

สูตรที่ 2
เห็นเค้าบอกว่าเป็นสูตรพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพฯ สูตรน่าสนใจมากค่ะ และยังบอกอีกว่าสามารถลดน้ำหนักได้ อาทิตย์ละ 9 กก. ค่ะ เห็นสูตรครั้งแรกดิฉันจดอย่างเร็วเลย ถ้าลดได้ขนาดนี้ละล่ะก็ ต่อให้ทานผิดพลาดยังไง อย่างต่ำคงลดได้ 3 กก. แหละค่ะ อาหารก็หาง่ายๆ เหมือนเราทานทุกวันนี่ล่ะค่ะ

วันที่ 1
เช้า...น้ำผลไม้คั้นหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน... ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น... สลัดผัก

วันที่ 2
เช้า... น้ำผลไม้คั้นหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน...ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น...โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 3
เช้า... กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน... เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ,หมู)
เย็น... สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 4
เช้า...น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน... สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น...โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5
เช้า... น้ำผลไม้คั้นหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน... ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น... สลัดผัก

วันที่ 6
เช้า... น้ำผลไม้คั้นหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน... ปลานึ่งหรือปลาเผาไม่จำกัด
เย็น... นมสด 1 แก้ว(พร่องมันเนย)

วันที่ 7
เช้า... ข้าว 1 ทัพพีและเนื้อ 1 ชิ้นหรือไข่ต้ม 1 ฟอง
กลางวัน... เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม(เนื้อ,หมู)
เย็น... สับปะรด 1 ชิ้น

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก น้องเนย

สูตรพอกหน้าสวย ของสาวผิวแพ้ง่าย

สูตรพอกหน้าสวย ของสาวผิวแพ้ง่าย สูตรนี้ถือเป็น สูตรที่มีความอ่อนโยนสูง จึงดีต่อผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย


น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ


หัวไช้เท้า 1/2 ถ้วยตวง


มาใส่เครื่องปั่น แล้วปั่นให้ละเอียด เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นจึงนำไปพอก บริเวณใบหน้า


สักประมาณ 20 นาที


คุณอาจจะรู้สึกตึงๆ และคันยิบๆ เล็กน้อยเนื่องจากกรดในน้ำมะนาว และสารเคมีในหัวไช้เท้า กำลังทำงานอยู่ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งหัวไชเท้ามีประโยชน์จะช่วยให้ผิวของคุณขาวกระจ่างใสได้ด้วยนะ เมื่อครบกำหนดตามเวลาแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ผิวคุณก็จะสดใสเปล่งปลั่งขึ้นมาทันทีเชียวล่ะ


ขอบคุณ เคล็ดลับดีๆ จาก สวย จริง ทน นาน ด้วยเคล็ดลับจากธรรมชาติ

เคล็ดลับ สู่หุ่นสวย หน้าใส สุขภาพดี

เคล็ดลับ สู่หุ่นสวย หน้าใส สุขภาพดี สาวๆคนไหน อยากมีสุขภาพดี ขอบอกว่าไม่ยากเลยค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆ เพื่อสุขภาพที่ทำตามได้ง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

1 ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้การขับถ่ายดีแล้ว ยังช่วยลดปริมาณอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อได้ด้วย

2 สำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้ ขอแนะนำ ให้ดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาลค่ะ เพราะจะช่วยลดความอยากอาหารลง แถมยังส่งผลให้น้ำหนักเราคงที่ในระยะยาวอีกด้วยนะคะ

3 กินอาหารธัญพืชเต็มรูป อย่างเช่น ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขัดสี เพราะอาหารพวกนี้จะมีไฟเบอร์ช่วยทำให้สุขภาพการขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วยค่ะ

4 รู้หรือไม่ว่า วิตามินเอ บี ซี และอี จากผักผลไม้และธัญพืชเต็มรูป สามารถช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันดี ทำให้ไม่เป็นภูมิแพ้ง่าย

5 ถั่วแห้ง เมล็ดพืช หรือวอลนัท อาหารเหล่านี้ จะมีวิตามินอีอยู่ ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวสำคัญทีเดียว โดยเฉพาะถั่ววอลนัท จะมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ และโอเมก้า 3 สูงมากๆด้วย

6 ในผงโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า ในชาเขียวและไวน์แดง เพราะฉะนั้นหากสาวคนไหนที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำแล้วละก็ ควรหันมาดื่มโกโก้แทนได้แล้วค่ะ ถ้ายังอยากให้สุขภาพดี และหน้าใสอ่อนกว่าวัยอยู่นะจ๊ะ

7 ผลไม้สีเข้มจัดๆ หรือผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยบำรุงผิวพรรณและมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอย่างดี

8 หากอยากจะลดน้ำหนัก ควรลดอาหารประเภทไขมันให้น้อยที่สุด ฉะนั้นในแต่ละวัน ควรกินคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 70 % โปรตีน 20 % และไขมัน 10 % ค่ะ

Good Choice
*** แอปเปิ้ล ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลือด

*** องุ่น เครือและราก ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบและมีฤทธิ์ระงับประสาท

*** สตรอเบอร์รี่ ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอร์รอลได้ระดับหนึ่ง และมีประโยชน์ต่อระบบเลือด และหัวใจ รวมทั้งช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งบางชนิดได้

*** แตงโม มีสารให้ความชุ่มชื้นต่อผิว ที่แห้งหรือผิวที่ร้อนในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี

เรื่องจากนิตยสาร women plus

สูตรแก้ปัญหาสิว

สูตรแก้ปัญหาสิว
สูตรนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวประเภทหัวสิวเม็ดใหญ่ๆ ซึ่งเมื่อใช้สูตรนี้แล้ว สิวที่คุณเป็นจะค่อยๆ ยุบลงได้เอง

ส่วนผสม

ดินสอพอง 1 เม็ดใหญ่หน่อย

น้ำมะนาวบีบสด ประมาณ 1 ช้อนชา

วิธีแต้มสิว

โดยให้คุณใช้ ดินสอพองสัก 1 เม็ดใหญ่ ผสมกับน้ำมะนาวสัก 1 ช้อนชา แล้วนำมาแต้มบริเวณสิวที่เป็นอยู่ ก่อนเข้านอน แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ในตอนเช้าให้หมดจด จ ะสังเกตได้ว่า หัวสิวยุบลงมากและผิวก็กระจ่างใสขึ้นด้วยนะ

เคล็ดลับดีๆ จากหนังสือ สวยจริงทนนาน

ที่มา http://women.mthai.com/views_health_11_47_7715_1.women

เผย 4 เคล็ดลับสาวสุขภาพดี

เผย 4 เคล็ดลับสาวสุขภาพดี เชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากมีสุขภาพดีแข็งแรง อยู่แล้วใช่มั้ยคะ เราเลยถือโอกาสแนะนำเคล็ดลับเด็ดๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินให้กับสาว ๆ ได้รู้กัน จะช่วยให้สาวๆ มีสุขภาพแข็งแรงและดูดีจนหนุ่มๆ จะต้องมองเหลียวหลังกันเลยละ
1. ลองเมนูใหม่ๆ
สำหรับใครที่นึกไม่ค่อยออกว่าจะกินอะไรดีและสุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยเมนูแบบเดิมๆ ซ้ำๆ กันเป็นประจำทุกวัน คุณรู้หรือเปล่าว่าการที่คุณกินอาหารซ้ำๆ กันทุกวันอย่างนี้จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอได้นะคะ ถ้าใน 1 วันคุณสามารถเลือกกินอาหารที่มีหลากหลายหมวดหมู่ อย่างผัก ผลไม้ ถั่ว เมล็ดพืช และไขมัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและสารต้าน อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นได้ค่ะ

2.หาเวลาเข้าครัวทำอาหาร
การที่คุณลงมือทำอาหารกินเองที่บ้านจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมส่วนผสมต่างๆ ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ต่างจากการไปกินข้าวนอกบ้าน ซึ่งคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าปริมาณและส่วนผสมต่างๆ ที่ใส่เข้าไปมีอยู่เท่าไหร่ อาจทำให้คุณกินอาหารเข้าไปในปริมาณที่มากกว่าปกติก็เป็นได้ นอกจากนี้ การเข้าครัวทำอาหารก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างควาสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในครอบครัวได้ด้วยนะ ก็แหมลองนั่งนึกภาพดูสิคะว่า หากเจ้าน้องชายจอมซ่ากำลังช่วยกันจัดโต๊ะ ส่วนน้องสาวอีกคนก็ช่วยคุณเตรียมส่วนผสม และคนที่เหลือ ก็อาสาช่วยกันล้างจาน ดูช่างเป็นภาพที่น่าเอ็นดูสุดๆ เลยจริงมั้ยคะ

3. กินธัญพืช
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าธัญพืชสามารถช่วยป้องกันคุณจากโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคลม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็ง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยต่อสู้กับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ธัญพืชยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณอิ่มท้องได้นานโดยไม่จำเป็นจะต้องหาของจุกจิกกินอยู่บ่อยๆ

4.กินของว่างระหว่างมื้อ
รู้หรือไม่ว่าการที่คุณกินมื้อเล็กๆ แทรกระหว่างวันจะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ด้วยละ เพราะคุณจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการนอกเหนือไปจากอาหารมื้อหลักๆ ทั้ง 3 มื้อ อีกทั้งการกินของว่าง ระหว่างมื้อก็เป็นการช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และทำให้อารมณ์ดีขึ้นด้วยค่ะ

ทำครีมพอกหน้าใช้เองกันเถอะ

ทำครีมพอกหน้าใช้เองกันเถอะ

ครีมพอกหน้ากระปุกละหลายสตางค์ เราไม่สน เพราะเราสามารถทำครีมพอกน้าอย่างง่ายๆ ใช้เองได้ วัตถุดิบทั้งหลายอยู่ในตู้เย็น เป็นของธรรมชาติ และราคาไม่แพงค่ะ

สูตรแรกคือ น้ำผึ้ง นั่นเอง น้ำผึ้งกินอร่อยแล้วยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดีด้วย ควรทาน้ำผึ้งหลังจากล้างหน้า ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นใช้นิ้วตบทั่วใบหน้าเบาๆ แล้วล้างออกให้สะอาด น้ำผึ้งจะทำความสะอาดรูขุมขนและช่วยขจัดรอยสิวเสี้ยนดำด้วย

ไข่ขาว ใช้วิธีตีไข่ขาวให้ขึ้น ทาทั่วใบหน้าและลำคอ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างด้วยน้ำเย็น ไข่ขาวจะทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น

หากอยากได้ความรู้สึกสดชื่นผิว ใช้แตงกวาเย็นๆ หั่นเป็นแว่น ไม่ต้องหนา นำมาวางให้ทั่วใบหน้า รวมทั้งบนเปลือกตา นอนหงาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ความเหน็ดเหนื่อยล้าต่างๆ จะพลอยหายไปเป็นปลิดทิ้ง

หรือใช้โยเกิร์ตเย็นๆ ทาทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้สักครู่และล้างออก ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นเช่นกัน

การพอกหน้าจะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้ามีการอบไอน้ำเสียก่อน ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ รินน้ำร้อนใส่อ่างหรือกะละมัง ยื่นหน้าไปรับไอน้ำ พร้อมโพกผ้าขนหนูคลุมศีรษะและรอบอ่างให้เหมือนกระโจม ประมาณไม่เกิน 5 นาที หรืออาจใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนแล้วนำมาเช็ดหน้าก็ได้

สังเกตให้ดี ถ้าผิวถลอกและแห้งแสดงว่าอาจร้อน หรือคุณถูหน้าแรงเกินไป สำหรับคนผิวแห้งควรอบไอน้ำแค่อาทิตย์ละครั้งหนึ่ง หรือถ้าผิวแห้งมากก็เว้นไปเป็น 2 อาทิตย์ครั้งก็พอ

มาบริหารเพิ่มขนาดหน้าอกกัน(ท่าบริหารให้อกใหญ่)

มาบริหารเพิ่มขนาดหน้าอกกัน(ท่าบริหารให้อกใหญ่)
เป็นเรื่องเล่าปรัมปรามากกว่า ที่ว่าการบริหารหน้าอกจะเพิ่มขนาดหน้าอกได้ การที่หน้าอกใหญ่ได้นั้นขึ้นอยู่กับเซลล์ไขมัน แต่การบริหารจะไล่ไขมันออกซะมากกว่า

ทำให้หน้าอกเล็กลง ในขณะที่การออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับแข็งแรง ทำให้หน้าอกกระชับแน่นไปด้วย นั่นคือเซลล์โดยรวมกระชับขึ้น สาวๆที่เข้าใจผิดก็เข้าใจใหม่ให้ถูกต้องนะจ๊ะ

ท่าที่ 1

ยื่นเท้าขวาไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและงอเล็กน้อย เท้าซ้ายเหยียบผ้าฟิตเนสโดยใช้ปลายเท้าเหยียบเอาไว้ ใช้สองมือยึดปลายผ้าทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง กางแขนและก้มตัวลง โดยไม่เคลื่อนไหวต้นแขน (ก้มลงและยืดตัวขึ้น) ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 2

นั่งขัดสมาธิลำตัวตั้งตรง งอแขนโดยใช้ฝ่ามือประกบกัน และตั้งอยู่ในระดับหน้าอก จากนั้นเกร็งแขนและหน้าอก ดันฝ่ามือเข้าหากันประมาณ 2-3 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 16 ครั้ง

ท่าที่ 3

นั่งขัดสมาธิ มือจับผ้าฟิตเนสสองข้างโดยให้ผ้าพาดอยู่ด้านหลังอ้อมใต้รักแร้ งอแขนและเกร็งแขนดึงผ้าเข้าหากันมาที่หน้าอก ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 4

คุกเข่าและก้มตัวไปกับพื้น พาดผ้าฟิตเนสไว้ด้านหลัง ใช้สองมือจับผ้าไว้ทั้งสองด้าน และใช้สองแขนพยุงไหล่ไว้ กางแขนและก้มตัวลง ทำ 10-15 ครั้ง

ท่าที่ 5

ยืนกางขาและงอขาเล็กน้อย ใช้สองเท้าเหยียบกลางผ้าฟิตเนสไว้ ใช้สองแขนจับปลายผ้า ปล่อยแขนไว้ที่สะโพก โดยให้ข้อศอกชี้ไปด้านหลัง แขนขวาดึงปลายผ้าไปข้างหลัง แขนซ้ายงอทำเป็นเส้นทแยงมุม ดึงขึ้นไปด้านบน สลับข้างและทำข้างละ 15 ครั้ง

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาก nurnia.com

3 สูตรสมุนไพรไร้สิว

3 สูตรสมุนไพรไร้สิว เมื่อสิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ดๆ ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อกระวนกระวายใจ ต่างเสาะหาวิธีกำจัดสิวกันให้วุ่นวาย แถมยิ่งเครียดมากสิวก็ยิ่งเห่อได้

แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคนรุ่นคุณย่าคุณยายถึงได้มีผิวพรรณและหน้าตาผ่องใส โดยไม่ต้องพึ่งสารพัดเครื่องสำอางหรือยาแต้มสิวราคาแพงๆ อย่างที่คุณรุ่นหลังใช้กันแต่อย่างใด นั้นเพราะท่านมีสูตรสมุนไพรที่ได้จากพืชธรรมชาติ ซึ่งเป็นตำรับแก้สิวฝ้าชนิดที่ไม่ต้องไปหาซื้อจากที่ใด เพราะสามารถหาได้จากในสวนครัวหลังบ้านนี่เอง มีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันค่ะ


หอมแดง นำมาทุบหรือฝานให้เป็นแว่นบางๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิวหรือจุดด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะจางหายไปค่ะ

กล้วยหอม ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน โดยนำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกันน้ำผึ้ง 1ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใสและไร้สิวได้

มะนาว เมื่อนำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมไข่ขาว 1 ช้อนชา ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต้มที่ตุ่มสิว ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้ใบหน้าคุณจะดูสดใส ไร้รอยสิว

แล้วอย่าลืมหมั่นดูแลจิตใจ ไม่ให้เคร่งเครียด ด้วยการมองโลกในแง่ดีกันนะคะ

สูตรหน้าใส ไร้ความหมองคล้ำด้วยตัวเอง


สูตรหน้าใส ไร้ความหมองคล้ำด้วยตัวเอง
สำหรับสาวๆที่มีปัญหาเรื่อง ผิวหน้าหมองคล้ำ มองแล้วไม่สดใส ควรใช้สูตรสวยสูตรนี้ เหมาะมากๆ เพราะจะทำให้หน้าคุณดูใสขึ้น แน่นอน และไม่ต้องกลัวจะแพ้ด้วย เพราะเป็นสูตรที่มาจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยการนำ น้ำมะนาว และ นมผงเด็ก และ น้ำสะอาด ประมาณอย่างละ 1 ช้อนชา มาผสมรวมกัน แล้วก็นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที และพยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้า ในช่วงนี้ด้วย เพราะทำให้เกิดริ้วรอยได้

เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้ล้างออกด้วย น้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลย ว่าผิวหน้าของคุณ กระจ่างใสขึ้น เนื่องจากการทำงานของกรดในน้ำมะนาว และความชุ่มชื้นจากนมผงด้วย

รู้แล้ว กลับบ้านเย็นนี้ก็แวะซื้อมะนาวกับนมผงโดยด่วน รับรองว่า พรุ่งนี้หน้าใสกิ๊ก..แน่นอนค่ะ

สิวอักเสบ..ทำไงดี

สิวอักเสบ..ทำไงดี ต๊าย!!!ตายแล้ว อีก2วันนัดหนุ่มไว้ สิวเจ้ากรรมดันผุดขึ้นมาซะเม็ดบะเร่อกลางหน้าผาก เฮ่อ..ส่องกระจกเองแล้วยังต๊กกะใจ นึกว่าแผดผู้น้องอุลตร้าแมน(ถ้าใครผิวแทนหน่อยก็อาจจะละม้ายท่านเปา) จะหายทันหรือปล่าวก็ยังไม่รู้ ประโคมโปะ มันทั้งครีมแต้มสิว ครีมทาหน้า ครีมลดอักเสบ ...โอ้ย คุณขา มันจะไปหายได้อย่างไรกัน


จริงๆแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการลดอาการสิวอักเสบนั้น แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติน่ะดีเลิศที่สุดแล้ว เพราะว่ายิ่งไปบีบไปเค้นไปโบ๊ะมันเนี่ยก็ยิ่งไปยุให้มันอักเสบใหญ่ สิวอักเสบก็เหมือนเด็กสาววัยรุ่นเนี่ยล่ะคะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ


วิธีการก็ง่ายๆแค่ผสมดินสอพอง1เม็ดกับน้ำมะนาวนิดหน่อยแต้มก่อนนอนบางๆแค่นั้นพอ เช้ามาก็ล้างด้วยน้ำอุ่นๆซักหน่อย แต่ที่สำคัญมือเนี่ยห้ามไปแตะต้องเลยค่ะ


หรืออีกวิธีที่พอช่วยได้ก็คือ ให้กินพวกผักใบเขียว หรือไม่ก็พวกปลาแซลมอน ช่วยลดการอักเสบได้ดีไม่น้อยทีเดียว หรือดื่มน้ำมากๆ อันนี้ก็เวิร์คค่ะ เพราะนอกจากจะลดอักเสบเนี่ย ยังช่วยเรื่องผิวพรรณเปร่งปรั่งได้อีกด้วย และถ้าจะให้ดี ช่วงนี้ก็เลี่ยงแสงแดด หรือที่ที่ฝุ่นเยอะๆ หรือพวกหมูกระทะจิ้มจุ่มนี่ก็ควรเลี่ยงด้วยค่ะคุณ เพราะว่าพวกนี้มันคอยซ้ำเติมอาการสิวเปร่งของคุณแบบสุดๆเลยค่ะ

สิวอักเสบ..ทำไงดี
ที่มา http://women.mthai.com/views_health_11_47_290_1.women

8 วิธีแก้อาการปวดหลัง

8 วิธีแก้อาการปวดหลัง สำหรับคุณๆสาวออฟฟิตทั้งหลาย ที่ต้องนั่งตรากตรำทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันละ7-8ชั่วโมงนั้น อาการที่ถามหากันถ้วนหน้าคงหนีไม่พ้นอาการปวดหลังแน่ๆ บางคนถึงขนาดเดี้ยงคาเก้าอี้ กันมานักต่อนักแล้วค่ะ เราจึงไม่รอช้า หาวิธีมาให้คุณๆสาวๆเรียนรู้วิธีง่ายๆที่จะช่วยบรรเทาอาการให้คุณค่ะ

1. พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย ทั้งในระหว่างการเดิน การนั่ง การยืน หรือแม้แต่การนอน อยู่เสมอ

2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ระวังอย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวกดทับกล้ามเนื้อหลังและข้อต่อ

3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอริยบถหนึ่งนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อได้ง่าย

4. เลือกนอนบนฟูกที่นอนที่มีความมั่นคง ไม่ยุบตัว หรือแข็งจนเกินไป และใช้หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง รองรับสรีระช่วงคอได้เป็นอย่างดี

5. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความหยืดหยุ่น

6. รักษาท่วงท่า ให้อยู่ในจุดสมดุลตลอดเวลา เช่นการงอเข่าลดละดับลำตัวลงเมื่อจะเก็บของลงจากพื้นแทนการงอหลัง

7. เลือกรองเท้าที่สวมสบาย และรองรับน้ำหนักร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ

8. หลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ที่เคร่งเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตึงตัวและปวดเมื่อย

จริงหรือที่ "เด็กโกงเกม" นำไปสู่ "คนโกงชาติ"!

จริงหรือที่ "เด็กโกงเกม" นำไปสู่ "คนโกงชาติ"! ยุคสมัยนี้ "เกม" สิ่งที่มาคู่กันกับเด็กคงหนีไม่พ้นเรื่อง "กลโกง" โดยใช้สูตรโกงเกมเป็นเป้าหมายเพื่อการเอาชนะ ปัจจุบันได้กลายเป็นกระแสฮิตในหมู่นักเล่นเกมทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ไปแล้ว โดยเฉพาะในเด็กที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงเกิดคำถามน่าฉุกคิดว่า พฤติกรรมการโกงโดยใช้สูตรเกมในวัยเด็ก ถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ติดนิสัยขี้โกงในช่วงวัยต่อๆ ไป จนนำไปสู่การโกงชาติได้จริงหรือ

ในเรื่องนี้ ทีมงาน Life and Family เปิดประเด็นกับ "อิทธิพล ปรีติประสงค์" นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาโครงการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการพัฒนาสังคมไทย ได้ให้ความเห็นว่า สูตรโกงเกมเป็นทางลัดเพิ่มระดับ และคะแนนให้สูงขึ้น

โดยการโกงเกม มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบคือ ใช้สูตรโกงเกมธรรมดา และการโกงเกมด้วยโปรแกรมบอท (โปรแกรมช่วยเล่น ซึ่งเป็นการโกงโดยใช้ตัวช่วยให้เล่นแทน) เมื่อเด็กใช้การโกงบ่อยครั้ง ถือเป็นความคุ้นชิน ทำให้เด็กติดนิสัยขี้โกง และขาดทักษะความวิริยะอุตสาหะ หรือนับ 1-10 ไม่เป็น ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมด้านลบตามมา

"เมื่อเป้าหมายของเด็กคือการเอาชนะ ไม่สนใจวิธีการ จึงต้องใช้วิธีการโกง เมื่อคุ้นกับวิธีดังกล่าวมากขึ้น อาจนำไปสู่การโกงที่ผิดกฎหมาย เช่น เป็นแฮกเกอร์ หรือถ้าอยากได้เงินเยอะๆ ต้องใช้การโกง หรือหลอกลวงคนอื่น ขาดคุณธรรมจริยธรรม" นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดลกล่าว

อย่างไรก็ดี นักวิชาการท่านนี้ กล่าวต่อว่า พ่อแม่ถือเป็นผู้ช่วยหลักในการให้ความรู้ และวิธีคิดที่ถูกต้อง โดยสอนให้ลูกรู้จักเป้าหมายของการเล่นเกมไปทีละระดับ สร้างความภูมิใจให้ลูก เมื่อใช้วิธีเล่นบนความถูกต้อง พร้อมกับเข้าไปเล่นเกมกับลูก แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน

ด้าน "รศ.ดร.โสรีช์ โพธิแก้ว" รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ทัศนะว่า เกมเป็นของเล่นที่สนุก และให้ความสุขกับเด็ก แต่ในปัจจุบันเกมได้เปลี่ยนสภาพจากความสนุกมาเป็นความสนุกเพื่อความรุนแรง เอาชนะเพื่อความสะใจ หรือบางกลุ่มเน้นวิธีการโกงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ เมื่อเด็กเริ่มมีนิสัยโกง ทำให้ซึมซับเชื้อโกง ซึ่งเป็นไปได้ว่า เมื่อโตขึ้น เด็กจะมีนิสัยชอบเอาชนะ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น

"โกงเกมมีส่วนให้เด็กโตมาพร้อมกับเชื้อโกง มีผลต่อจิตวิทยา เด็กจึงชอบความชั่วร้าย มากกว่าสิ่งที่ดีงาม ซึ่งเป็นไปได้ว่า ถ้าเริ่มโกงตั้งแต่เด็ก จะติดนิสัยโกง เป็นพ่อแม่ก็โกง เป็นผู้กุมอำนาจก็โกง เหมือนกับการโกรธ จะเริ่มโกรธไปทีละระดับ และถ้ายิ่งไม่รู้จักควบคุม ระดับความโกรธก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น" รศ.ดร.โสรีช์ เผยถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเด็ก

ดังนั้น "รศ.ดร.โสรีช์" บอกทิ้งท้ายว่า ครอบครัวคือจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างวิธีคิด และควรเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาเกม รวมทั้งเข้ามาเล่นกับลูกบ้าง เช่น เวลาเล่นเกม ควรสร้างความภูมิใจเมื่อลูกเล่นชนะด้วยความสามารถของตัวเอง ลดการเอาชนะด้วยวิธีการโกง นอกจากนี้ ควรชี้ให้ลูกเห็นว่า วิธีการเอาชนะบนความล่มสลายของผู้อื่นเป็นอย่างไร ส่งผลต่อตัวเอง และคนอื่นอย่างไร
เสียงสะท้อนจาก "เด็กเซียนเกม"

อย่างไรก็ดี ทีมงานได้ลงพื้นที่สอบถามกลุ่มเด็กๆ ตามร้านเกมย่านอ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดย "เบิร์ด" เซียนเกมวัย 13 ปี บอกว่า ส่วนใหญ่จะเล่นเกมออนไลน์ ตอนแรกก็เล่นไปธรรมดา แต่พอเกมเริ่มเล่นยาก และกว่าจะทำแต้มได้ต้องใช้เวลานาน สูตรโกงเกมจึงเป็นตัวช่วยที่ดี ทำให้เกมเล่นได้ง่าย สนุก และชนะได้เร็ว

"สูตรเกมเขามีให้โหลดเยอะแยะในอินเทอร์เน็ต หรือใครไม่เล่นเกมออนไลน์ แต่เล่นเกมเพลย์สเตชัน ก็หาซื้อหนังสือสูตรเกมมาเปิดอ่านก็ได้ ผมว่ามันไม่ทำให้ติดนิสัยโกงหรอก เล่นเอามันส์ แพ้ก็เลิก เออ แต่ก็ไม่แน่สำหรับบางคน ที่โกง และเอาชนะจนเข้าสายเลือด โตไปอาจโกงอย่างอื่นก็ได้ แต่สำหรับผม ผมโกงแค่ขำๆ เท่านั้น" เบิร์ดกล่าว

เช่นกันกับ "แบงค์" เซียนเกมย่านวังหลัง ที่ใช้สูตรโกงเกมค่อนข้างบ่อย บอกว่า ช่วยให้เล่นเกมง่าย และได้คะแนนสูง ซึ่งบางเกมสามารถนำเงินที่โกงไปซื้ออาวุธ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในเกม ได้ เป็นสูตรตายตัว ถ้าใครไม่รู้ ก็ต้องใช้ความสามารถ และใช้เวลานานมาก กว่าจะเอาชนะเกมได้ ส่วนมากจะซื้อหนังสือสูตรโกงเกมมาดู เพราะว่าสมัยนี้สามารถหาซื้อได้ง่าย หรือถ้ามีกลุ่มเพื่อนคนเล่นเกม ก็นำมาพูดคุย และแลกเปลี่ยนกัน

ส่วนการโกงเกมมีส่วนให้ติดนิสัยโกงในเรื่องอื่นๆ ได้หรือไม่นั้น แบงค์บอกว่า "ก็มีส่วนทำให้เกิดนิสัยโกงได้ เพราะคนที่เล่นเกม หรือติดเกม มักจะชอบเอาชนะ และทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการด้วยวิธีลัด หรือวิธีง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนัก"

ขณะที่ "นุ่น" เด็กสาวย่านงามวงศ์วาน เผยว่า ไม่ค่อยได้เล่นเกม แต่ถ้าเล่นก็จะเล่นเกมออดิชั่น ไม่ค่อยได้ใช้สูตรโกงเกม แต่เธอจะมีหลานที่เล่นเกม และใช้สูตรโกงเกมอยู่บ่อยครั้ง เพราะเกมออนไลน์ต่างๆ จะต้องมีการเพิ่มระดับการเล่นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และต้องใช้เงินเพื่อชื้อของในเกม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นจึงต้องใช้สูตรโกงจากหนังสือสูตรเกมตามท้องตลาด เป็นหนังสือที่เผยวิธีเอาชนะเพื่อทำแต้ม

อย่างไรก็ดี เธอบอกสะท้อนว่า การใช้สูตรเกมบ่อยๆ มีความเป็นไปได้ที่จะปลูกฝังให้เป็นคนโกง และชอบเอาชนะเป็นนิสัย แต่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนด้วย ถ้าเป็นผู้ใหญ่อาจจะคิดได้ว่าเป็นแค่การโกงเกมในเกม แต่ถ้าเป็นเด็กๆ การใช้สูตรโกงเกม มีส่วนในการปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยขี้โกงได้

"เด็กไม่สามารถแยกแยะได้ และจะมีนิสัยที่รักสบาย การที่ได้อะไรมาด้วยวิธีที่ง่ายๆ เมื่อเจอความลำบากก็ไม่มีความอดทน ส่งผลให้หาแต่วิธีที่ไม่ถูกต้องมาใช้ในการตัดสินปัญหา ซึ่งถ้าเล่นเพื่อวัดความสามารถของตนเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้สูตรโกงเกม อยากฝากน้องๆ ถึงการเล่นเกมว่า ควรเล่นเพื่อความสนุกสนาน และใช้ประโยชน์จากเกมให้มากกว่าการถูกเกมครอบงำความคิดได้" นุ่นทิ้งท้าย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปลุกเด็กยุค 2010 สนุกกับ "งานบ้าน" ง่ายนิดเดียว

ปลุกเด็กยุค 2010 สนุกกับ "งานบ้าน" ง่ายนิดเดียว หากพูดถึง "งานบ้าน" กลายเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็กยุคใหม่ไปเสียแล้ว ["ดร.วรนาถ รักสกุลไทย"]ส่วนหนึ่งเพราะทัศนคติอันเนื่องมาจากกระแสการแข่งขันในสังคม ซึ่งส่งผลให้พ่อแม่กลุ่มหนึ่ง ต่างผลักดันให้ลูกมุ่งเรียน เพื่อแย่งชิงโอกาสทางการศึกษา ขณะที่งานบ้านปล่อยให้ตกมาเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ พี่เลี้ยง หรือแม่บ้านแทน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดร.วรนาถ รักสกุลไทย นักการศึกษาและกรรมการสมาคมอนุบาลแห่งประเทศไทย เผยถึงแนวโน้มของเด็กไทยในทศวรรษที่ 21 ว่า เด็กจะขาดวินัย และความรับผิดชอบ เพราะแม้แต่เวลาไปโรงเรียน พ่อแม่ยังช่วยแบกเป้ สะพายกระเป๋า ถือปิ่นโต ห้อยกระติกน้ำแทนลูก ดังนั้นถ้าพ่อแม่สอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นการสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ มีระเบียบวินัย กล้าเผชิญกับปัญหา แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้

อย่างไรก็ดี หนึ่งในงานที่ช่วยฝึกหน้าที่ และความรับผิดให้เด็กได้ดีนั้น คือ "งานบ้าน" เพราะถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกควรจะมีส่วนร่วมอย่างเหมาะสมในแต่ละวัย ฝึกให้เด็กเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิต เนื่องจากเด็กจะเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น พ่อแม่ต้องทำให้งานบ้านเป็นเรื่องเล่นๆ สำหรับเด็ก ทำให้ลูกรู้สึกว่าอยากทำ และเชื่อว่าสามารถทำได้ โดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ เช่น การมีน้ำใจหยิบน้ำเย็นๆ มาให้ญาติผู้ใหญ่ดื่ม หรือให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่กลับจากทำงานนอกบ้านมาเหนื่อยๆ

"เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบขึ้นไป สามารถสื่อสารกับผู้ใหญ่อย่างเข้าใจได้ แต่ต้องใช้เวลา ซึ่งพ่อแม่ต้องมีความอดทนในการสอนงานบ้านให้กับลูก อย่าดูถูกความสามารถของลูก ให้เวลากับเขาได้ใช้ความพยายาม อาจมีการท้าทายแบบชักชวน เช่น การขัดรองเท้าว่าวันนี้ลูกขัดรองเท้าข้างซ้ายสะอาดกว่าข้างขวาอีกนะ แล้วจะทำยังไงให้มันสะอาดเหมือนกันดีค่ะ เด็กจะพยายามทำให้รองเท้าคู่นั้นสะอาดเหมือนกันได้" กรรมการสมาคมอนุบาลฯ อธิบาย
สำหรับข้อควรระวัง ดร.วรนาถย้ำว่า เมื่อต้องการให้ลูกมีส่วนร่วมในงานบ้าน พ่อแม่ไม่ควรใช้คำสั่งกับลูก เพราะเด็กจะคิดทันทีว่าถูกจำกัดอยู่ในกรอบ ทางที่ดีควรพูดชักชวนให้มาร่วมทำกิจกรรมด้วยความสนใจเอง โดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ควรมีคำชมให้ลูกทุกครั้ง เมื่อลูกทำความดี เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูก เช่น "วันนี้หนูเก่งจังเลยคะ หนูล้างจานได้ตั้ง 5 ใบ ได้เยอะกว่าเมื่อวานอีก" คำพูดเหล่านี้ จะช่วยให้เด็กมีกำลังใจ และเกิดความพยายามที่จะทำต่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของเด็กอนุบาลรายนี้ได้ยกตัวอย่างจากครอบครัวของตัวเธอไว้เป็นแนวทางว่า สมัยก่อนครอบครัวเป็นชาวประมง มีกิจวัตรประจำวันหลังอาหารมื้อเย็นที่ทุกคนในบ้านต้องรับผิดชอบ ด้วยกันคือ นั่งล้อมวงกันเพื่อช่วยกันเก็บเศษไม้ใบหญ้าที่ติดมากับกุ้ง หอย ปู ปลาที่หามาได้ ทุกคนจะไม่คิดว่าเป็นการทำงานเลย

นอกจากนี้ ยังมีเกมที่ดึงเด็กให้สนุกกับงานบ้าน ชื่อว่า "งานบ้านตามล่ามหาสมบัติ" โดยเกมนี้ ดร.วรนาถ เล่าว่า คุณตาคุณยายมักจะชอบวางเงินไว้ตามใต้แจกัน หลังตู้เสื้อผ้า บนเก้าอี้ หลานๆ คนไหนขยันทำความสะอาด หรือว่าทำงานบ้านก็จะได้เงินไป เหมือนเป็นเกมตามล่ามหาสมบัติ สร้างแรงจูงใจในตัวเธอ และพี่น้อง ขยัน ที่จะทำงานบ้านอย่างเต็มที่ และสนุกในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ในประเด็นนี้ ทีมงานได้พูดคุยกับครอบครัวที่ให้ลูกมีส่วนร่วมกับงานบ้าน เริ่มจากครอบครัวของ "รุ่งนภา นิ่มน้อย" หรือ "ฝน" คุณอาของน้องบีม วัย 3 ขวบ เล่าว่า เธอเลี้ยงหลานคนนี้มาตั้งแต่อายุได้ 2 เดือน ที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ มี ย่า พ่อ แม่ น้า อา น้องชาย น้องสาว และหลาน (น้องบีม) โดยที่บ้านจะมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ส่วนมากผู้ใหญ่บ้านนี้จะออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนเด็กๆ จะอยู่ในความดูแลของเธอ ทั้งน้อง และหลาน ซึ่งหลักการเลี้ยงหลานของเธอ คือ ให้รู้จักหน้าที่ เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการเรียนรู้งานบ้านเป็นพื้นฐาน
"ปกติจะสอนน้อง และหลานทำงานบ้าน เช่น ทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน โดยเฉพาะบีม ที่ตอนนี้เริ่มหัดให้ช่วยเหลือตัวเอง ทั้งเก็บที่นอน กินข้าว โดยที่ไม่ต้องตามป้อน แต่ให้เขานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ เพื่อฝึกให้เขาได้ใช้กล้ามเนื้อ ถึงแม้ว่าเขาจะกินหกเลอะเทอะเปอะเปื้อนบ้าง ก็ไม่ต้องไปตามเช็ดทำความสะอาด ให้เขาเก็บกวาดเอง เวลาทำผิด ก็จะไม่ตำหนิ ดุด่าเด็ก เนื่องจากเป็นสร้างความกดดันให้กับเขา แต่ตรงข้ามควรสอนให้เขารู้จักการช่วยเหลือหรือแบ่งปันงานในบ้านเพียงเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเองและในสิ่งที่ได้ทำ" คุณอาฝนของหลานๆ เล่า

ไม่ต่างจาก "ครอบครัวเห็นการไกล" ถึงแม้จะเป็นครอบครัวที่มีแม่บ้านคอยดูแลจัดการงานในบ้านอยู่แล้ว แต่คุณแม่บี-บงกช เห็นการไกล ก็ให้ความสำคัญในการฝึกให้ลูกสาว (นีน่า) วัย 3 ขวบ 3 เดือนทำงานบ้าน

"ที่บ้านมีแม่บ้าน 2 คน แต่พี่ก็สอนให้น้องนีน่ามีความรับชอบในหน้าที่ของตัวเอง อย่างการเล่นของเล่น พี่ก็จะบอกกับลูกทุกครั้งว่า ถ้าน้องนีน่าเล่นแล้วเก็บให้เป็นระเบียบนะคะ พอกลับมาเล่นอีกครั้ง ลูกก็จะหาของเล่นได้ง่ายกว่า ซึ่งลูกเข้าใจและจดจำ สร้างเป็นนิสัย เพราะทุกครั้งที่เขาหยิบของมาใช้ เมื่อใช้เสร็จเขาจะเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ" คุณแม่บีเผย

ถึงตอนนี้ เธอบอกว่าเริ่มให้ลูกสาวหัดทำงานบ้านแล้ว โดยเฉพาะ เวลาที่อากาศร้อนๆ น้องนีน่าจะอาสาไปช่วยแม่บ้านซักผ้า พับผ้า หรือตอนเช้าก็แต่งตัวไปโรงเรียนเอง แม้ว่าเด็กวัย 3 ขวบ จะทำได้ไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่ แต่เธอก็เชื่อว่าจะเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักหน้าที่ได้

แม้ว่า "งานบ้าน" จะถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่เป็นงานที่สอนให้เด็กรู้จักหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ถ้าพ่อแม่ทำให้เป็นเรื่องสนุก และเลือกทำอย่างเหมาะสม ถึงจะทำได้ไม่เต็มที่ อย่างน้อยลูกจะได้ซึมซับความรับผิดชอบ หน้าที่ และการช่วยเหลือคนอื่น ไม่เห็นแก่ส่วนตนเพียงอย่างเดียว
ที่มา http://www.mgronline.com/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000072288

2 คุณแม่ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้านลูก" ไม่ยากอย่างที่คิด

2 คุณแม่ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้านลูก" ไม่ยากอย่างที่คิด ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อรั้วโรงเรียนเปิด ภาพชินตาหลังเลิกเรียนของเด็กๆในเมืองส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นการรวมกลุ่มเข้าเรียนที่สถาบันสอนเสริมต่างๆ เนื่องจากพ่อแม่หลายคนได้ให้เหตุผลว่า "ไม่มีเวลาสอนการบ้านลูก" ในขณะที่อีกกลุ่มบอกว่า "ครั้นจะสอนเองที่บ้าน ลูกก็ดันมีเงื่อนไข ต่อรอง ชักช้า ไม่ได้ ดั่งใจ อารมณ์เสีย" ดังนั้นปัญหาจึงตกไปอยู่กับครูที่โรงเรียน และสถาบันสอนเสริมแทน

แต่สำหรับ 2 คุณแม่ที่ทีมงาน Life and Family นำมาเปิดประสบการณ์ในวันนี้ พวกเธอกลับสวนกระแส และเลือกสอนการบ้านให้ลูกเองที่บ้าน ถึงแม้จะมีปัญหาบ้างในช่วงแรกก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี

ฟังเสียงได้จากบ้านแรก "เปล่งสุรีย์ จิตต์เทอดไทย" อายุ 47 ปี คุณแม่ของลูกวัย 13 ปี และ 9 ขวบ บอกว่า ลูกเลือกที่จะไม่เรียนพิเศษ เพราะเหนื่อยจากการเรียนในห้องเรียน ทำให้เธอกับสามีตัดสินใจรับหน้าที่เป็นครูสอนการบ้านให้ลูกเอง ถือเป็นการใกล้ชิด และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก ที่สำคัญ สามารถประเมินความเข้าใจในรายวิชาต่างๆ ของลูก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้ตรงจุดอีกด้วย

"การให้ลูกเรียนกับเราที่บ้าน เราพ่อแม่ลูกได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมทั้งรู้จุดอ่อนของลูก และช่วยส่งเสริมได้อย่างถูกทาง เพราะครูที่โรงเรียน 1 คนต่อเด็ก จำนวนมาก บางครั้งเข้าไม่ถึงเด็กทุกคน ดังนั้นพ่อแม่คือครูที่บ้าน คอยผู้ช่วยของครูอีกทีหนึ่ง" คุณแม่แอร์เผย

ช่วงเวลาการสอน เธอกับสามีจะใช้เวลาหลังกลับจากทำงานทุกวันจันทร์-ศุกร์ ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยเธอจะสอนวิชาภาษาไทย และสังคมศึกษา ขณะที่สามีจะสอนภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ โดยเธอยอมรับว่า การสอนในช่วงแรก ลูกมักชอบสร้างเงื่อนไข ไม่ตั้งใจ อิดออด ทำให้ต้องตั้งกฎเหล็ก เช่น "ถ้าไม่ให้ความร่วมมือลูกก็จะเสร็จช้า และได้พักช้า"

"การสอนให้ได้ผล บรรยากาศการเรียนในบ้านต้องดี มีกฎกติกาชัดเจน เริ่มตั้งแต่ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ จากนั้นปรับอารมณ์ของเราให้สบาย ไม่หงุดหงิด และค่อยๆ ทำการสอน มีคำชมเป็นกำลังใจให้ลูก ถ้าทำผิด หรือทำไม่ได้ พยายามไม่ดุ หรือตำหนิลูก แต่ควรให้ลูกค่อยๆ แก้ไข" คุณแม่แอร์กล่าว

นอกจากนี้ เธอจะสอนโดยอิงกับบทเรียน และยกตัวอย่างจากสิ่งรอบตัวลูก เช่น เรียนคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ก็จะเอาสิ่งที่ลูกชอบมาเรียนด้วยกัน ลูกก็จะสนุก และเรียนอย่างมีความสุข รวมไปถึงการจะเรียกลูกมาทำการบ้านกับพ่อแม่ เธอจะมีเวลาให้ลูกเตรียมตัวก่อน จะไม่ใช่เรียกในทันที เช่น "แม่ให้ เวลาอีก 10 นาทีนะคะ แล้วเรามาทำการบ้านกัน" วิธีนี้ทำให้ลูกมีเวลาเตรียมพร้อมทั้งกาย และใจ ไม่ถูกเร่ง หรือกดดัน
อย่างไรก็ตาม เธอกับสามีไม่ได้สอนลูกเรียนในบ้านเพียงอย่างเดียว แต่วันหยุดเสาร์ หรืออาทิตย์ จะพาลูกไปเรียนรู้นอกบ้านด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์ หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ โดยจะสอดแทรกความรู้รอบตัวอยู่ตลอด

"ครอบครัวที่ไม่มีเวลาสอนลูก ควรสร้างความเข้าใจกับลูกว่า เพราะเหตุใดถึงสอนไม่ได้ ถ้าสอนไม่ได้จริงๆ ควรฝึกให้ลูกมีวินัย และความรับผิด ชอบต่อการเรียน โดยเฉพาะการเรียนในห้องเรียน ชี้ให้ลูกเห็นว่า ถ้าตั้งใจเรียน และกลับมาทบทวนที่บ้านอีกที การเรียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป" คุณแม่แอร์ฝาก

หันมาฟังเสียงของ "จารุวรรณ ลอยพิพันธ์" แม่บ้านวัย 37 ปี คุณแม่ "น้องมันแกว" อายุ 10 ขวบ อยู่ชั้นป.5 โรงเรียนอนุบาลสุธีธร จ.นครปฐม ที่เลือกสอนการบ้านให้ลูกแทนการเรียนเสริม บอกว่า วัยนี้เป็นวัยที่ต้องการความสนุก และไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร เธอจึงสอนการบ้านลูกที่บ้าน เพราะลูกเป็นคนเลือกเอง โดยจะสอนการบ้านทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน ส่วนวันเสาร์จะขอลูกแค่วันละครึ่งชั่วโมง โดยนำบทเรียนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สรุป และทำแบบฝึกหัดทบทวนด้วยกันอีกที จากนั้นจะปล่อยให้เป็นเวลาพักผ่อนของลูก

"แม่ให้เขาเลือก และเขาก็เลือกที่จะเรียนกับแม่ เมื่อลูกเลือกแล้ว แม่ก็ตั้งใจ และเต็มที่กับสิ่งที่ลูกเลือก ซึ่งแม่ถือว่าเป็นการช่วยครูที่โรงเรียนไปด้วย เพราะครู 1 ต่อ เด็ก 50 อาจเข้าไม่ถึง แต่ถ้า 1 ต่อ 1 แม่กับลูก ช่วยเสริมได้มากกว่า เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ และได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะเวลาระหว่างแม่ กับลูกหายไปกับที่โรงเรียนเยอะมาก ดังนั้นทำการบ้านกับลูก ช่วยให้เราได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น สามารถรับรู้ความเข้าใจของลูกในแต่ละรายวิชาได้มากขึ้นด้วย" คุณแม่จารุวรรณกล่าว
สำหรับเทคนิคการสอน เธอจะนั่งสอนกับลูกตัวต่อตัวในห้องที่เงียบ ปิดโทรทัศน์ และอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่าง ระหว่างที่ทำการสอน จะค่อยๆ สอนลูกไปทีละข้อ หรือทีละเรื่อง ถ้าเกิดอารมณ์หงุดหงิดระหว่างการสอนจะพักไปทำกิจกรรมอื่นแทน จากนั้นค่อยกลับมาทำกันต่อ โดยดึงจากสิ่งรอบตัวลูกมาเรียนด้วยกัน และใช้อุปกรณ์จริงที่นอกเหนือจากภาพในหนังสือสร้างความสนุกในการทำการบ้าน

ถึงตอนนี้ หลายโรงเรียนได้เปิดเทอมกันแล้ว คุณแม่ท่านนี้ ได้ฝากว่า พ่อแม่มีความสามารถที่จะสอนลูกได้ทุกคน เพียงให้เวลา แต่ถ้าบ้านไหนที่ ไม่มีเวลาจริงๆ ควรให้ความสำคัญกับการบ้านของลูกหลังกลับจากโรงเรียน เช่น ถาม หรือพูดคุยเรื่องเรียนกับลูกบ้าง ลูกได้อะไร และเจอปัญหาในการเรียนจากที่โรงเรียนหรือไม่

นอกจากนี้ พ่อแม่กับครู ควรจับมือพูดคุยกัน ไม่ใช่มีหน้าที่ไปรับส่งลูกที่โรงเรียน หรือปล่อยให้การเรียนของลูกเป็นหน้าที่ของคุณครู หรือให้ลูกเรียนจนลืมที่จะเล่น เพราะถึงอย่างไร เด็กก็คือเด็ก ถ้าเด็กไม่เป็นเด็ก บางสิ่งคือความสุขอาจหายไป ซึ่งเมื่อโตขึ้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับมาได้อีก

*** ตกผลึกเทคนิค "สอนการบ้าน" ให้ได้ผล

- ตั้งกติกาการสอน กำหนดเวลาทำการบ้านของลูกให้ชัดเจน และควรบอกให้ลูกทราบด้วยว่า จะเริ่มสอนเมื่อไร ถึงเมื่อไร มีช่วงพักกี่นาที เพื่อให้ ลูกเข้าใจ และรู้กำหนดเวลาที่แน่นอน

- ไม่เรียกลูกในทันที เมื่อใกล้ถึงเวลาเรียน ไม่ควรเรียกลูกมาทำการบ้านในทันที แต่ควรให้เวลาลูกได้เตรียมตัวสัก 10 นาที เช่น "ลูกจ๋า แม่ให้เวลา เตรียมตัวอีก 10 นาทีนะคะ จัดแจงอุปกรณ์ และสมุดการบ้านให้พร้อม แล้วเรามาสนุกด้วยกัน"

- ออกแบบการสอนให้สนุก พ่อแม่ย่อมรู้ดีกว่าใคร ว่าลูกสนใจอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นในวิชาที่เข้าใจยาก อย่างคณิตศาสตร์ สิ่งที่ลูกสนใจควรนำมา เรียนคู่กับลูกด้วย เช่น ลูกชอบโดเรมอน ก็เอาโดเรมอนมาแก้โจทย์

- ชมเชยทุกครั้งที่ลูกทำสำเร็จ คำชมเป็นยาใจดีที่ดี เช่น "เก่งมากจ้ะ มาให้แม่หอมหนึ่งที" พยายามเลี่ยงการตี แต่ควรเข้าใจ และลองนึกย้อนกลับ ไปสมัยที่คุณยังเป็นเด็ก แล้วจะเข้าใจดีว่า เด็กต้องการ และอยากได้อะไรในตอนนี้

- มีพักช่วงระหว่างเรียน ไม่ควรใช้เวลาในการสอนนานเกินไป 1 วัน ต่อ 1 หัวเรื่องเท่านั้น และควรมีการพักให้เด็กได้ผ่อนคลายบ้าง นั่นจะช่วยให้ เด็กเรียนอย่างมีความสุข และไม่กดดัน

- อารมณ์เสียให้หยุดสอน และเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นๆ กับลูกแทน เช่น เล่นเกม วาดภาพระบายสี เมื่ออารมณ์ดีทั้งสองฝ่าย บอกให้ลูก เตรียมพร้อมเพื่อกลับมาทำการบ้านต่อให้เสร็จ ถ้าไม่ได้ผลบอกให้ลูกเลือกว่า จะทำการบ้าน หรือจะถูกครูทำโทษพรุ่งนี้ หรือถ้าเสร็จเร็วก็ได้เล่นเร็ว

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รู้ทันปัญหา "เด็กนอนกรน" ก่อนพัฒนาการลูกจะเสื่อมถอย!

รู้ทันปัญหา "เด็กนอนกรน" ก่อนพัฒนาการลูกจะเสื่อมถอย! สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว ซนมากผิดปกติ เรียนรู้อะไรได้ช้า อาการเหล่านี้คงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนใดปรารถนาให้เกิดกับลูกน้อยอย่างแน่นอน แต่คุณพ่อ คุณแม่รู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้ เด็กทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น หากลูกของคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการ "นอนกรน"

เรื่องภาวะการนอนกรนในเด็ก (Snoring Children) เสียงกรนเล็กๆ ที่กลายเป็นปัญหาหนักอกของบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ทางการแพทย์ยืนยันว่า ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกาย และสติปัญญาของลูกน้อย หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยอาจมีอันตรายถึงชีวิต

ในเรื่องนี้ "นพ.พลพร อภิวัฒนเสวี" โสต ศอ นาสิกแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบภาวะนอนกรนในเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะนอนกรนที่เป็นอันตรายในเด็กพบมากขึ้นประมาณ 10% ส่วนใหญ่จะพบในช่วงอายุก่อนวัยเรียน (Preschool) หรือช่วงอายุ 2-6 ปี เนื่องจากวัยนี้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกายจะโตขึ้น รวมทั้งต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ด้วย ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจจนเกิดเสียงกรนซึ่งเป็นภาวะที่อันตราย และกำลังกลายเป็นปัญหาที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายกลุ้มอกกลุ้มใจ เพราะอันตรายที่แฝงมากับเสียงกรนน้อยๆ นั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองของลูก

ด้านปัจจัยที่ทำให้ลูกน้อยนอนกรน อาจเกิดได้จากการเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจ มีอาการของต่อมทอนซิล หรือต่อมอดีนอยด์โตผิดปกติ หรือเกิดในเด็กที่มีรูปร่างอ้วน น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน รวมถึงบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนอนกรน

"นอนกรน" ตัวทำลายพัฒนาการลูกน้อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกมีปัญหานอนกรน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบภาวะนอนกรนในเด็กรายนี้บอกว่า จะทำให้การนอนหลับของลูกไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และจะอันตรายมากเมื่อมีอาการหยุดหายใจร่วมด้วย เนื่องจากการหยุดหายใจตอนหลับมีผลทำให้ออกซิเจนในเลือดตกลง ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายมากขึ้น หากอาการดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน จะทำให้มีอาการหัวใจโตขึ้น ในรายที่เป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมาได้

"นอกจากนี้ เด็กจะมีอาการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน ปัสสาวะรดที่นอน หลับไม่สนิท นอนดิ้นไปดิ้นมาเหมือนนอนหลับไม่สบาย ผวาตื่นหรือฝันร้ายได้ และจะอ้าปากเสมอเวลานอน เนื่องจากต่อมอะดินอยด์โตทำให้มี ลักษณะกระดูกเพดานปากโก่งสูง ฟันหน้ายื่นเหยินออกมาจนผิดรูป เนื่องจากเด็กหายใจเข้าออกผ่านทางปากไม่ค่อยหายใจทางจมูกซึ่งเป็นช่องทางหายใจปกติ นอกจากนี้ยังกระทบต่อพัฒนาการการเรียนรู้ ความจำไม่ดี สมาธิสั้น มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือซุกซนมากกว่าปกติ" นพ.พลพร กล่าว
[(ซ้าย) นพ.พลพร อภิวัฒนเสวี (ขวา) พญ.มณินทร วรรณรัตน์] ด้าน "พญ.มณินทร วรรณรัตน์" กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก จากโรงพยาบาลเดียวกัน กล่าวเสริมว่า สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็กที่มีนอนกรน คือ เด็กมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต จนเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ เกิดการสั่นสะเทือนของโครงสร้างระบบทางเดินหายใจ คือลิ้นไก่และเพดานอ่อนจึงทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น หรือเกิดอาการแน่นจมูกเรื้อรัง เป็นโรคภูมิแพ้จมูก หรือในรายมีความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกใบหน้าผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคดาวน์ซินโดรม โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงเด็กที่มีรูปร่างอ้วน จะมีไขมันรอบคอมาก ขณะหลับกล้ามเนื้อจะหย่อนตัว ไขมันรอบคอจะไปกดทางเดินหายใจมากขึ้นก็ทำให้เกิดเสียงกรนได้เช่นกัน

"คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ว่าลูกมีภาวะนอนกรนที่เป็นอันตรายหรือไม่ เช่น เมื่อลูกหลับแล้วมีเสียงกรนดังเป็นประจำหรือไม่ เสียงนอนกรนขาดๆ หายๆ มีอาการหายใจเฮือกเหมือนคนขาดอากาศ หยุดหายใจเป็นช่วงๆ มีอาการเขียวรอบปากหรือริมฝีปากคล้ำขณะหลับ นอนหายใจอกบุ๋มท้องโป่ง หรือในตอนกลางวันมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติเหมือนนอนไม่พอ หงุดหงิดง่าย ซุกซนมาก อยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น หรือปัสสาวะรดที่นอนหลังอายุ 5 ปี อาการเช่นนี้แสดงว่าลูกของคุณอาจอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายจากโรคนี้" กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก กล่าว

ปัจจุบันทางการแพทย์มีแนวทางตรวจวินิจฉัยได้หลายวิธี โดยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้นอนกรน เช่น เด็กมีต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โตผิดปกติ เป็นโรคจมูกอักเสบจากโรคภูมิแพ้ หากอาการไม่ชัดเจนและคุณพ่อคุณแม่ยังไม่แน่ใจว่าลูกมีอาการหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่ แพทย์จะทำการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อยืนยันว่ามีอาการหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่ และอาการรุนแรงมากแค่ไหน

สำหรับวิธีการรักษา หลังจากที่แพทย์วินิจฉัยถึงสาเหตุและความรุนแรงของการนอนกรนแล้ว แพทย์จะให้การรักษาจากสาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น รักษาภูมิแพ้จมูกอักเสบ รักษาต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์ที่โตผิดปกติในเด็กโดยการผ่าตัดรักษา หรือการใช้เครื่องเป่าอากาศขณะหลับ ที่มักใช้ในการรักษาในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

อย่างไรก็ตาม ภาวะนอนกรนในเด็ก เป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยปละละเลย หากพบว่าลูกมีอาการนอนกรน ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพื่อพัฒนาการที่ดีเยี่ยมของลูกน้อย จะได้ไม่มีฝันร้ายมาทำลายให้สะดุดลง

///////////////

*** ข้อมูลต่อจากข่าว

สำหรับเด็กที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับผิดปกติ ทางโรงพยาบาลเวชธานี ขอเชิญพ่อแม่ร่วมปฏิบัติภารกิจสังเกตการนอนของลูกน้อย ในกิจกรรม "ฝันดีได้ พัฒนาการดีด้วย" โดยการบันทึกภาพวิดีโอขณะที่ลูกน้อยนอนหลับ ความยาว 15-20 นาที 100 ท่านแรกจะได้รับการตรวจวินิจฉัยภาวะการนอนหลับผิดปกติผ่านวิดีโอคลิป โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบภาวะนอนกรนในเด็ก และรายงานผลการตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้-15 มิ.ย. 53

- ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.vejthani.com

- บันทึกภาพพร้อมเสียง ความยาว 20-30 นาที ความละเอียดภาพ 640 x 480 pixel ขึ้นไป โดยเปิดเสื้อให้เห็นช่วงอกและหน้าท้องระหว่างบันทึกภาพ (ช่วงเวลาที่เหมาะในการบันทึกคือ 02.00 - 04.00 น.หรือใกล้รุ่งเช้า และเปิดไฟห้องให้สว่าง เห็นภาพชัดเจน)

- ส่งคลิปวีดิโอ มาที่ คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลเวชธานี ชั้น 12 เลขที่ 1 ถ.ลาดพร้าว 111 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240 ตั้งแต่วันนี้-15 มิถุนายน 2553 สอบถามรายละเอียดที่ Call Center โทร. 0-2734-0000

ที่มา http://www.mgronline.com/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000066341

ฟังกูรูแนะเทคนิคเลือกซื้อ "แบบฝึกหัด" ให้ลูกวัยอนุบาล

ฟังกูรูแนะเทคนิคเลือกซื้อ "แบบฝึกหัด" ให้ลูกวัยอนุบาล แม้หนังสือจะมีหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือ หรือตัวช่วยในการเรียนรู้ของเด็ก[ผศ.ดร.ธัญสุตา จิรกิตตยากร]แต่ปัจจุบัน นอกจากหนังสือเแบบเรียนอย่างเดียวคงไม่พอ ทำให้พ่อแม่หลายบ้าน เลือกที่จะซื้อหนังสือเสริมประสบการณ์ให้ลูกทบทวนเพิ่มเติม แต่ปัญหาอยู่ที่ตามท้องตลาดมีหนังสือเด็กประเภทนี้จำนวนมาก จนไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ว่า จะเลือกซื้ออย่างไรดี ???

ดังนั้นก่อนที่จะใช้วิธีการลองผิดลองถูกเลือกหยิบหนังสือประเภทนี้มาให้ลูกเรียนรู้ ทีมงาน Life and Family มีคำแนะนำ จากผู้เชี่ยวชาญมาแนะวิธีการเลือกสรรหนังสือ และแบบฝึกหัดให้กับลูกวัยอนุบาลที่ถูกต้องกัน

ในเรื่องนี้ "ผศ.ดร.ธัญสุตา จิรกิตตยากร" ในฐานะคณะกรรมการร่างหลักสูตรหัวหน้างานศูนย์พัฒนาศักยภาพผู้เรียน โรงเรียนสาธิต มศว. ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) แนะว่า หลักการเลือกหนังสือและสื่อการเรียนรู้ให้กับลูกวัยอนุบาล เพื่อการเรียนรู้ อย่างสัมฤทธิ์ผล มีดังนี้

1. เริ่มจากสังเกตุด้วยตาก่อนว่า รูปภาพและภาพประกอบต่างๆ ต้องเหมาะกับเด็กอนุบาล คือมีความเป็นธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมจินตนาการของเด็กได้ เช่นเป็นรูปร่างหน้าดูอ่อนหวาน ดูไม่ดุ ดูแล้วมีความสุข และไม่ใช่ภาพวาดที่เป็นแฟชั่น

โดยหลักสำคัญที่ควรรู้คือ สื่อการเรียนการสอนที่ดีควรต้องมีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้เด็กสามารถจินตนา ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด รวมทั้งมีความสุขในการเรียนรู้ ส่วนสื่อที่ผิดเพี้ยน ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ควรใช้เด็ดขาด

2. เปิดดูแต่ละหน้า ควรระบุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้ทราบ และด้านล่างมีคำสั่งประกอบ ถ้าเด็กอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผู้ปกครองสามารถเสริมให้กับเด็กได้ เพราะการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพ่อ แม่ ลูกเป็นการเสริมสร้างปฎิสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัว

3. แบบฝึกหัดภายในเล่ม ควรเลือกจำนวนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก คือไม่ควรเยอะเกินไป เพราะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายกับเด็กต่อการเรียนรู้ พ่อแม่ สามารถใช้วิธีพูดคุยร่วมกันกับลูก และให้ทำแบบฝึกไม่ต้องมาก แต่ได้ ทำอย่างมีความสุข
[หนังสือเสริมประสบการณ์แบบต่างๆ ]
นอกจากหลักการเลือกซื้อหนังสือ หรือแบบฝึกหัดสำหรับลูกวัยอนุบาลอย่างถูกต้องแล้ว ผศ.ดร. ธัญสุตา เน้นย้ำว่า วิธีการ ใช้หนังสือไม่ว่าจะเตรียมความพร้อม หรือเสริมสร้างประสบการณ์ สิ่งสำคัญคือการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครองและครูผู้สอน ซึ่งควรสอนลูกอย่างใกล้ระหว่างการทำแบบฝึกหัด หรือเรียนรู้เรื่องต่างๆ ภายในหนังสือ และยิ่งถ้ามีอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้เข้ามา ประกอบด้วยยิ่งเป็นการดี เพราะนอกจากทำให้เด็กสนุกสนาน ตื่นเต้นกับการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ ยังทำให้เด็กได้สัมผัสกับของจริง ประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้นั้นสัมฤทธิ์ผลอย่างดีเยี่ยม

อย่างไรก็ดี ข้อควรระวัง คือ การเรียนรู้ของเด็กในวัยนี้ ควรเรียนรู้ แบบ 1วัน 1 วัตถุประสงค์เท่านั้น เพราะหนังสือเตรียม ความพร้อมและเสริมสร้างประสงค์ของเด็กอนุบาล ไม่ใช่หนังสือที่เป็นแบบเรียน ที่มีไว้เพื่อฆ่าเวลา การพูดคุยกับลูกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้รู้ว่าแต่ละวันลูกเป็นอย่างไร คิดอะไร สิ่งที่เราเพิ่มเติมให้น่าจะเป็นอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังควรสื่อสารกับโรงเรียนเพื่อ ให้การเรียนมีความสอดคล้องกัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

7 ข้อทำง่าย ช่วยทุกบ้านห่างไกล 'ไข้หวัดใหญ่' ในฤดูฝนสาด!

7 ข้อทำง่าย ช่วยทุกบ้านห่างไกล 'ไข้หวัดใหญ่' ในฤดูฝนสาด! เมื่อฤดูเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงฝนพรำ แน่นอนว่า เหล่าเชื้อโรคต่างออกมาเริงระบำ แพร่กระจายโรคให้กับทุกครอบครัวกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเชื้อไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วงนี้ สมาชิกทุกคนในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ควรจะเริ่มสร้างเกราะกำบังให้กับร่างกายไว้บ้าง เพื่อป้องกันโรคภัยต่างๆ ในช่วงฤดูฝนสาดนี้

"ดร.ทอม สมิธ" ไคโรแพรคเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวว่า ทุกระบบ และทุกส่วนในร่างกายมีความสัมพันธ์กันหมด โดยมีสมอง และศูนย์กลางของระบบประสาท คอยทำหน้าที่รับผิดชอบเชื่อมโยงร่างกาย รวมไปถึงเซลล์ต่างๆ ถ้าหากสมอง ศูนย์กลางระบบประสาททำงานได้ดี ร่างกายก็จะมีความแข็งแรง

แต่ถ้าหากการทำงานเสื่อมลง หรือมีการติดขัดของเซลล์ หรือบางระบบภายในร่างกาย ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง เนื่องจากระบบภูมิต้านทานอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย เพราะระบบภูมิต้านทานร่างกาย (Immune System) คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทำอันตรายและทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย

ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ และหนึ่งในวิธีดูแลรักษาสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ คือ แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพแบบ*ไคโรแพรคติก ในเรื่องนี้ "บัณลักข ถิรมงคล" ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก อธิบายให้ฟังว่า เป็นแนวทางที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่ระบบโครงสร้างร่างกาย การทำงานของกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ ระบบประสาท เพื่อให้อยู่ในสภาพที่ดี สมดุล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ มีความสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงของร่างกายเป็นอย่างมาก

"ในช่วงนี้มีประชาชนที่มารับการบริการรักษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากต่างตื่นตัว ซึ่งนอกจากไคโรแพรคเตอร์จะให้การรักษา ปรับ คืนความสมดุลให้กับระบบโครงสร้างร่างกาย แก้ไขปัญหากระดูกเคลื่อน ชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง" ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติกกล่าว

แนะ 7 วิธีดูแลร่างกายห่างไกล 'ไข้หวัดใหญ่'

โดยทั้งนี้ได้ให้แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ระบบเชื่อมต่อในร่างกายต่างๆ ทำงานได้สมดุล มีประสิทธิภาพ และสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงให้กับร่างกาย ซึ่งมีด้วยกัน 7 ข้อดังนี้

1. ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวันโดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอน และช่วงระหว่างวัน เฉลี่ย 1.5 ลิตร จะช่วยทำให้ร่างกายขจัดของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบนที่จะช่วยป้องกันและดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังช่วยให้เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้อย่างปกติ เพื่อสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย
2. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ผักสด และผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารพวกเบต้าแคโรทีน วิตามินซี อี บี เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง มะละกอ มะเขือเทศ ส้ม มะนาว ฝรั่ง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว ถั่ว และกระเทียม (ควรเลือกผัก ผลไม้ อินทรีย์ ปลอดสารพิษ) เพื่อช่วยในเรื่องของการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกระเทียมจะมีสารอัลลิซิน (Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfides) จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ที่สำคัญที่สุดควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และทำให้ระบบภูมิต้านอ่อนแอลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อาหารที่ปรุงด้วยผงชูรส หรืออาหารที่มีรสหวาน และรสจัด

3. ควรรักษาความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง โดยควรล้างมือบ่อยๆ และแปรงฟันหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรสอนใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเชื้อโรคตามซอกฟัน

4. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพอเหมาะ ไม่หักโหมเกินไป เพื่อรักษาสภาวะภูมิต้านทานที่ดี

5. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างต่ำวันละ 7 ชั่วโมง เพราะการนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี

6. พยายามลดความเครียด เพราะอารมณ์เครียดจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง และยังทำให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลง คนเครียดจึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย

7. ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาอยู่ในที่ชุมชนและคนแออัด เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค และหากมีการไอหรือจามควรจะยืดกล้ามเนื้อหลัง และงอเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหลัง หรือข้อกระดูกเคลื่อนที่ เนื่องจาก การไอและจาม ที่รุนแรงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของข้อกระดูกในร่างกายได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่อการทำงานระบบอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงด้วย

/// ข้อมูลประกอบข่าว ///

*"ไคโรแพรคติก" คือ ศาสตร์วิชาการแพทย์แขนงการดูแลสุขภาพ โดยตรวจรักษาระบบประสาท การดูแลกระดูกสันหลัง และโครงสร้างของร่างกายเพื่อให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้ยา เข็ม หรือ การผ่าตัด ในการรักษาความผิดปกติของโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติของกระดูกสันหลัง โดยให้ความสนใจกับส่วนสำคัญของร่างกาย 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ กระดูกสันหลัง (Spine) ระบบประสาท (Nervous System) ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย (Structure) โภชนาการด้านอาหาร และวิตามิน (Nutrition)

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เช็กความบกพร่อง "การรับความรู้สึก" ของสมองลูก!

เช็กความบกพร่อง "การรับความรู้สึก" ของสมองลูก! เมื่อพูดถึง "การรับความรู้สึก" ของเด็ก เป็นส่วนหนึ่งการทำงานของสมองในการปรับสมดุลการรับความรู้สึก และการผสมผสานการรับรู้ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ เพราะในทุกๆ วินาที จะมีข้อมูลไหลเข้าสู่สมองตลอดเวลา และมากเกินกว่าที่สมองจะจัดการได้พร้อมกันทีเดียว จึงจำเป็นต้องหยุดความรู้สึกที่ไม่จำเป็นเอาไว้

เพราะไม่เช่นนั้น เด็กจะให้ความสนใจกับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา และมีการตอบรับกับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น ถ้าการรับความรู้สึกดี เด็กจะมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้ดี เช่น จดจ่อกับการสอนของครู โดยลืมไปว่ามีเสียงพัดลม หรือเสียงดังจากเด็กห้องถัดไป แต่ถ้ามีความบกพร่อง เด็กจะมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ และตอบสนองพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ในเรื่องนี้ "สันติ จันทวรรณ" นักกิจกรรมบำบัด โรงพยาบาลมนารมย์ อธิบายว่า ดร.เอ จีน แอร์ (A.jean.ayres) นักกิจกรรมบำบัด และนักจิตวิทยาการศึกษา ชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีการปรับสมดุลของสมองตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จาก Brain Research Institute of University of California และเสนอแนวคิดการรับรู้ความรู้สึกของสมอง (Sensory Integration) ที่เป็นความสามารถในการผสมผสานกันระหว่างการรับความรู้สึกของอวัยวะรับสัมผัส การจัดระเบียบข้อมูล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และตอบสนองพฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผลวิจัยในช่วง 7 ปีแรกของชีวิต ถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญ เพราะการทำงานของการบูรณาการของประสาทความรู้สึกดีจะส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของเด็กอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านภาษา อารมณ์ การรับรู้ เรียนรู้ รวมทั้งทักษะในการเข้าสังคมของเด็กได้อีกด้วย

ด้านระบบประสาทการรับรู้ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน มีทั้งหมด 7 ระบบ ได้แก่ 1. การมองเห็น (Visual) 2. การสัมผัส (Touch) 3. การได้ยิน (Hearing) 4. การรับรส (Taste) 5. การดมกลิ่น (Smell) 6. การรับความรู้สึกผ่านระบบเอ็นข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Proprioceptive) และ 7. การรักษาสมดุลของร่างกาย (Vestibular) สำหรับทฤษฎีการผสมผสานประสาทในการรับความรู้สึกของสมอง หรือ Sensory Integration (SI) นั้น จะเน้นความสำคัญกับระบบประสาทเพียง 3 ระบบเท่านั้น คือ

1. การสัมผัส (Touch) ระบบนี้สามารถรับความรู้สึกได้ทั่วร่างกาย ทั้งความรู้สึก เจ็บ ร้อน เย็น แรงกด ความรู้สึกจะถูกส่งไปยังสมองเพื่อประมวลผลการรับความรู้สึก ทำให้เกิดการเรียนรู้และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล รู้จักรักตนเอง รู้จักไว้วางใจผู้อื่น ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาด้านอารมณ์ สังคมและสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้อย่างเหมาะสม

2. การรับความรูสึกผ่านระบบเอ็น ข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Proprioceptive) ระบบนี้มีอวัยวะรับความรู้สึกซึ่งอยู่ภายใน เอ็น ข้อต่อและกล้ามเนื้อของแต่ละคน ทำให้เราสามารถทราบตำแหน่งของแขนขา ทิศทางและความเร็วของการเคลื่อนไหวแขนขา ระบบนี้มีส่วนช่วยในการออกแรงเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้เหมาะสม เช่น การเขียนหนังสือไม่กดดินสอเบาหรือแรงเกินไป สามารถทรงท่าทำกิจกรรมต่างๆได้เหมาะสม เช่น สามารถทรงตัวนั่งโต๊ะเขียนหนังสือได้ ไม่นั่งฟุบโต๊ะ เป็นต้น

3. การรักษาสมดุลของร่างกาย (Vestibular) ระบบนี้มีอวัยวะรับความรู้สึกอยู่ในหูชั้นใน จะทำงานทันทีที่ศีรษะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากแนวกลางลำตัว ส่งผลให้ร่างกายสามารถรักษาสมดุล ไม่ล้มลงเมื่อมีการเคลื่อนไหว ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการปรับระดับความตื่นตัวต่อการทำกิจกรรมที่เหมาะสม มีช่วงสนใจทำกิจกรรมได้ต่อเนื่อง

คนที่มีปัญหาในระบบนี้ อาจแสดงออกโดย เกิดอาการกลัวเมื่อต้องการเคลื่อนไหวบนพื้นที่ไม่ราบเรียบ โยกเยก หรือสูงจากพื้น ทำให้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่งุ่มง่าม ไม่คล่องแคล่วสมวัย ไม่ชอบปีนป่ายหรือขึ้นลงบันได บางคนมีลักษณะกระตุ้นตัวเอง คือ ชอบหมุนตัวเอง อยู่ไม่นิ่งเคลื่อนไหวตลอดเวลา เป็นต้น
สำหรับการรับความรู้สึกทั้ง 3 ระบบนี้ นักกิจกรรมบำบัดกล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการรับรู้ การเรียนรู้ต่างๆ เช่น การรับรู้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย การวางแผนการเคลื่อนไหว การพัฒนาทักษะทางด้านการศึกษาหรือการเรียนรู้

เช็กจุดบกพร่อง "การรับความรู้สึก" ของสมองลูก

อย่างไรก็ดี นักกิจกรรมบำบัดได้ให้วิธีการสังเกตเด็กที่มีความบกพร่องของการรับความรู้สึกและการผสมผสานการรับรู้ ที่เข้าข่ายว่าเด็กอาจจะมีความบกพร่องในการรับความรู้สึก เพื่อจะได้หาทางบำบัดรักษาได้อย่างถูกวิธี ดังนี้

1. เคลื่อนไหวเกือบตลอดเวลา วิ่งมากกว่าเดิน กิจกรรมที่ทำดูเหมือนไม่มีเป้าหมาย สมาธิไม่ดี ไม่นั่งนิ่ง ยากที่จะนั่งทำกิจกรรมได้นาน วอกแวก เสียสมาธิได้ง่าย เห็นชัดมากที่โรงเรียนหรือขณะนั่งเรียนในห้องเรียน

2. เด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม จะค่อนข้างหงุดหงิดง่าย เด็กบางรายมีลักษณะไวต่อการรับความรู้สึกที่มากเกินไป เช่น จะรอคอยไม่ได้ อยากได้อะไรต้องได้ทันที ไม่ชอบให้คนอื่นมาสัมผัสตัว และอยู่ใกล้ๆ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบลักษณะเฉพาะเจาะจงบางอย่าง กลัวความสูงมากกว่าปกติ

3. มีปัญหาด้านการสื่อสาร คือ พูดช้า หรือพูดไม่ชัด

4. มีปัญหาร่างกายอ่อนปวกเปียก เหนื่อยง่าย ต้องใช้แรงหรือความพยายามเยอะมากที่จะทรงตัว/ตั้งศีรษะให้ตรง ชอบนั่งเอามือเท้าคางหรือศีรษะไว้บ่อยๆ เด็กเสียสมดุลร่างกายง่าย สะดุดหกล้มบ่อย ขณะเขียนหนังสือ ดินสอจะหลุดมือบ่อย เหมือนจับไม่ถนัด บางทีมักจะตกจากเกาอี้หรือตัวมักลื่นไถล

5. พัฒนาการด้านการเล่นล่าช้าหรือไม่เหมาะสมกับวัย หากเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน เช่น การเล่นของเล่น เด็กจะมีปัญหาเล่นที่เป็นแบบโครงสร้างตัวต่อแบบโมเดลต่างๆ เช่น ตัวต่อบล็อก จิ๊กซอว์

6. เด็กจะมีปัญหาด้านการเรียน โดยเฉพาะในด้านการอ่าน การเขียน ส่วนมากที่พบบ่อยก็คือ เด็กเขียนขนาดตัวหนังสือใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ออกแรงกดในสมุดขณะที่เขียนมากหรือน้อยเกินไป ทำงานเสร็จล่าช้า หรือถ้าทำเสร็จเร็วก็จะงานไม่เรียบร้อย

7. เด็กมีปัญหาทักษะสังคม สังเกตง่ายๆเด็กมักจะหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องอาศัยทักษะการเคลื่อนไหว เช่น เต้นรำ เล่นกีฬา หรือการเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี รวมทั้งจะมีปัญหาการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เลี้ยวหรือเดินไปผิดทิศทางเป็นประจำ จำหมายเลขโทรศัพท์ผิดๆ หรือจำไม่ได้ และนับเงินทอนผิด เป็นต้น

สำหรับการบำบัดรักษาอาการผิดปกติ หรือมีความบกพร่องของการรับความรู้สึกนั้น ขั้นตอนแรกนักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมินผลการรับความรู้สึกที่มีปัญหาและวางแผนการบำบัดโดยจัดกิจกรรมให้สอดคล้องเพื่อพัฒนาการจัดระเบียบของสมอง โดยจะเน้นการกระตุ้นให้เด็กทำกิจกรรมด้วยตนเองให้มากที่สุด จากนั้นคอยสังเกตพฤติกรรมการตอบสนองและคอยปรับกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นสมองให้พัฒนาขีดความสามารถให้สูงขึ้น และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างเหมาะสม

ที่มาhttp://www.mgronline.com/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000060665

โยคะง่ายๆ : ท่าลดหน้าท้อง

โยคะง่ายๆ : ท่าลดหน้าท้อง โยคะกับสุขภาพ การปฏิบัติโยคะอย่างถูกต้องและครบถ้วนสมดุล ผู้ปฏิบัติย่อมได้รับผลดีทั้งในระบบโครงสร้าง ระบบพลังงาน และระบบสั่งการอย่างทั่วถึง

การที่จะปฏิบัติโยคะอย่างถูกเทคนิควิธี ผู้ปฏิบัติจะต้องมีจิตใจที่ตื่นตัวและละเอียดอ่อน สังเกตแต่ละขณะแห่งการเคลื่อนไหว การหยุด ต้องมีจิตใจที่มั่นคง

เมื่อเพียรปฏิบัติโยคะอย่างสม่ำเสมอแล้ว จิตใจย่อมได้รับการพัฒนาให้มั่นคงตื่นตัว นั่นคือคุณสมบัติของจิตที่มีสมาธิ จิตที่เข้มแข็ง อันหมายถึงการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง

ท่าลดหน้าท้อง ของโยคะมีหลายชุด สัปดาห์นี้มีมาให้ผู้หญิงที่รักสวยรักงามได้ลองฝึกกันอีกหนึ่งท่าค่ะ

ประโยชน์

- ช่วยฝึกกำลังและลดไขมันหน้าท้องและเอว

- ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง

- บริหารต้นขา ลดไขมันต้นขา

วิธีปฏิบัติ

- นอนหงาย มือประสานกันใต้ศีรษะ เท้าชิด

- หายใจเข้า หายใจออก ยกลำตัว ยกขาซ้ายขึ้น 45 องศา ขาตรง ไม่งอเข่า เกร็งหน้าท้อง ไม่กลั้นหายใจ ค้างไว้ หายใจเข้า-ออก 5–10 วินาที ลดลง

- หายใจเข้า หายใจออก ยกขาขวา ยกลำตัว หายใจเข้า-ออก 5–10 วินาที แล้วลดลง ทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง

- หายใจเข้า หายใจออก ยกทั้งสองขาและลำตัว ค้างไว้หายใจเข้าออก 10 วินาที แล้วลดลง

โยคะ นับได้ว่าเป็นวิธีหนึ่งที่เป็นการแก้ไขรูปร่างที่ดี และยังส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย . . . อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะคะ


ขอขอบคุณที่มาจาก ไทยรัฐ

เคล็ดลับขาสวยสำหรับสาวออฟฟิศ

เคล็ดลับขาสวยสำหรับสาวออฟฟิศสำหรับสาวออฟฟิศนั้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่กับเก้าอี้ วางนิ้วอยู่บนคีย์บอร์ด และสายตาจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสาว ๆ รู้หรือไม่คะว่า การนั่งเป็นเวลานาน ๆ โดยที่เราไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบทเลยนั้น คือสาเหตุหลักของการเกิดเส้นเลือดขอด

เพราะการที่เรานั่งเป็นเวลานาน ๆ นั้น ทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขาไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้สะดวก ซึ่งอาการเช่นนี้จะส่งผลให้หลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขอดขด จนอาจไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เหตุนี้จึงทำให้คุณรู้สึกปวดเมื่อยขา และขาบวมขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไร วันนี้เรามีวิธีการแก้อาการเส้นเลือดขอด สำหรับสาวออฟฟิศมาฝากกันค่ะ

1. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร : น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับชีวิตคนเรา ไม่เฉพาะแต่สาวออฟฟิศเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศนั้น ต้องดื่มน้ำมากก็เพราะว่า ป้องกันให้เลือดในร่างกายไม่เข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ 2 ลิตรของน้ำที่ดื่มอาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรือน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าธรรมดา แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

2. อย่านั่งนานเกินไป : ควรที่จะลุกเดินไปไหนมาไหน ยืดเส้นยืดสายมาก แต่ไม่ได้บอกว่าให้อู้งานนะคะ ซึ่งการยืดเส้นยืดสายนี้ ก็เหมาะกับคนที่ต้องขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ และใช้เวลามาก ๆ ด้วย ควรจะแวะพัก เพื่อเดินยืดแข้งขาบ้างเป็นระยะ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรบริหารเท้าด้วยท่าง่ายๆทุกๆชั่วโมง อย่างเช่น หมุนข้อเท้า หุบและยกนิ้วเท้าขึ้นลงไปมา

3. งดเสื้อรัดติ้ว : สาว ๆ อวบอั๋นทั้งหลายที่ชอบใส่เสื้อตัวเล็ก ๆ จนปลิ้นทางนั้นที ทางนี้ที ก็ควรเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่นะคะ เพราะการใส่เสื้อรัดติ้วนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก รวมไปถึงการรัดเข็มขัดแน่จนเกินไปด้วยนะคะ

4. นอนตัวตรง : นอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่นอนตัวงอคุดคู้ และควรปล่อยให้ขาเหยียดตรง

เอาล่ะคะ ไม่อยากขาเป็นเส้นเลือดขอด ลาย จนใส่กระโปรงสั้นได้แล้วล่ะก็ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพของขาคุณเป็นประจำนะคะ...

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน

วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน

ใครที่รู้ตัวว่าเป็น สาวสวย พลาดไม่ได้ เพราะเรามี เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ เทคนิค เรื่องความสวยความงาม เกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย วิธีบริหารขาก่อนเข้านอนมาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแต่... จะต้อง ออกกำลังกาย บริหารขาท่าไหนบ้าง ไปอ่าน เกร็ดความรู้ นี้พร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ

ใครที่รู้ตัวว่าขาใหญ่ แล้วอยากจะลดความใหญ่ของขาลงล่ะก็ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีบริหารขาก่อนเข้านอนมาฝากกัน...

วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน มีดังต่อไปนี้

1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ

2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที

3. ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง

4. ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง

5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง

ถ้าอยากให้ขาเล็กลง ก็ลองปฏิบัติตามวิธีที่แนะนำก็ได้

ที่มา : http://www.healthcorners.com

ท่าบริหารลดต้นขาให้เรียวสวย

ท่าบริหารลดต้นขาให้เรียวสวย ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าการบริหารต้นขาคุณจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการ warm up ร่างกายทุกครั้ง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ บางท่าของการบริหารต้นขาแต่ละส่วนมีให้เลือกทำ คุณสามารถเลือกท่าที่คุณถนัด หรือจะบริหารครบทุกท่าเลยก็ได้

บริหารต้นขาด้านหน้า 1
1. นอนหงายราบลงบนพื้น สอดมือทั้งสองข้างรองไว้ที่ก้น งอเข่าซ้ายเข้าหาอก แล้วเหยียดขาขวาตรงขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ
2. เมื่อเหยียดขาขวาได้สุดแล้ว ให้นิ่ง และหายใจตามปกติ
3. ให้รู้สึกได้ถึงความตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขาทั้งหมด
4. กลับสู่ท่าเริ่มต้นใหม่ โดยให้เข่าขวางอเข้าหาหน้าอก แล้วเหยียดขาซ้ายตรงขึ้นข้างบนบ้าง ทำสลับกันเช่นนี้ ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
5. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์

บริหารต้นขาด้านหลัง 1
1. นอนคว่ำหน้าลงบนหลังมือทั้งสองข้าง โดยมีเบาะรองพื้น
2. กดสะโพกให้แนบติดพื้น ขณะเดียวกันก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเอาไว้
3. ค่อยๆ งอขาขวาเข้าหาก้นอย่างช้าๆ โดยต้นขาด้านหน้ายังแนบติดกับพื้นเบาะ
4. นิ่งสักครู่ก่อนที่จะลดเท้าลงเหมือนเดิม จะรู้สึกได้กับกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังในขณะปลายเท้างอเข้าใกล้กัน
5. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
6. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท/วัน 3-5 วัน /สัปดาห์

ข้อแนะนำ : ควรควบคุมจังหวะในการบริหารให้สม่ำเสมอ ร่างกายส่วนบนต้องนิ่ง ยกขาขึ้นในแนวตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง กดสะโพกแนบพื้นอยู่เสมอ

บริหารต้นขาด้านนอก 1
1. นอนตะแคงเอียงข้างซ้าย(หรือขวาก็ได้ตามแต่จะถนัด)ลงบนเบาะ ร่างกายอยู่ในแนวเส้นตรง หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. มือขวาวางอยู่บนพื้นด้านหน้า เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักตัว ขาซ้ายงอเล็กน้อย
3. สะโพกตรง เกร็งกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้
4. ค่อยๆ ยกขาขวาขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเกร็งหัวเข่า
5. เมื่อยกได้สูงสุดแล้วให้นิ่งไว้สักครู่ จากนั้นค่อยๆ ลดขาลง แล้วหยุดอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย
6. จะรู้สึกได้ถึงความตึงของต้นขาด้านนอกขณะที่ยกขาขึ้น
7. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
8. ควรปฏิบัติ 3 ชุด / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์

บริหารต้นขาด้านใน 1
1. นอนตะแคงข้างซ้ายบนเบาะ หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. งอเข่าขวาชี้ตรงมาด้านหน้า ท่อนล่างทำมุมฉากกับต้นขา โดยวางเข่าขวาบนพื้น หรือยกพ้นพื้นเล็กน้อย
3. ขาซ้ายเหยียดตรง พยายามดึงกล้ามเนื้อจากเท้าขึ้นตามแนวของต้นขา
4. ยกขาซ้ายขึ้นสูงให้เป็นแนวเส้นตรง แล้วลดลง
5. จะรู้สึกได้กับความตึงของต้นขาด้านใน ขณะที่ยกขาขึ้นจากพื้น
6. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง ( 1 เซ็ท)
7. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 ครั้ง / สัปดาห์

ข้อควรระวังหลังออกกำลังกาย และเกิดการเหนื่อยเต็มที่
ห้ามหยุดนิ่งทันที ถ้าต้องหยุดยืนควรขยับเท้าช้าๆ เพื่อให้ชีพจรค่อยๆ เต้นช้าลงทีละน้อย
ห้ามนั่งลงทันที

ที่มาจาก นิตยสาร Health Today

แปรงลิ้นช่วยแก้กลิ่นปาก


แปรงลิ้นช่วยแก้กลิ่นปาก
เราจึงหาหลากวิธีมากำจัดกลิ่นปาก ไม่ว่าจะใช้น้ำยาบ้วนปาก งดอาหารกลิ่นฉุนอย่างหอม กระเทียม แต่ก็ไม่อาจกำจัดแบคทีเรียในปากที่ก่อกลิ่นน่ารำคาญได้
ดร.แอนดรู ไวล์ พ่อมดแห่งการแพทย์ทางเลือกจึงมีวิธีแปรงลิ้นมาแนะนำ เพียงแค่ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มแปรงลิ้นให้ลึกถึงโคนลิ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และแปรงลิ้นพร้อมกับการแปรงฟันทุกครั้ง

เพื่อทุกอวัยวะสุขภาพดีค่ะ

ที่มา นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 271

สูตรสครับ ขัดผิว ทำเอง การันตีคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญ

สูตรสครับ ขัดผิว ทำเอง การันตีคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญ วันนี้ women mthai เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่ได้รับคำแนะนำ จาก นายแพทย์ มาศ ไม้ประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ ชื่อดัง จาก S Spa Medical มาฝากสาวๆ women mthai เป็นพิเศษกันไปเลย

สงสัยกันไหม ว่าทำไมเราต้องขัดผิว คุณหมดให้คำแนะนำกับเราว่า ถ้าหากเรา ทาลองพื้นแล้วรู้สึกว่าหน้าลอย หรือเวลาทาครีมแล้วรู้สึกว่าทำไมมันไม่ซึมลงไป หรือหน้ามันผิดปกติ นั่นล่ะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้เรารู้ว่า ถึงเวลาต้องสคลับผิวได้แล้ว

สำหรับสาวๆ ที่อยากมีผิวสวยสุขภาพดี กับ สูตรการทำสคลับขัดผิวหน้าและผิวกาย ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เอาไว้ให้สาวๆ ทำเองที่บ้าน นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ยังทำให้ผิวหน้าสาวๆ ดูสดใสได้อีกด้วยนะจ๊ะ มาดูส่วนผสมกันเลย

- แตงกวาสด 1 ผล นำมาบดให้ละเอียด (มีส่วนในการช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น ทดแทนน้ำที่สูญเสียไปบนผิวหน้า )

- โยเกิร์ต ครึ่งถ้วย ( ที่คุณหมอแนะนำให้ใช้โยเกิร์ต เนื่องจาก โยเกิร์ตนั้นมีกรด AHA ของผลไม้อยู่ จึงช่วยในการย่อนสลาย เซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหน้าเรา ให้หลุดออกง่ายขึ้น และที่สำคัญยังไม่มีสารเคมีตกค้างด้วย)

- เกลือละเอียด 1 ช้อนชา ( ไว้เป็นตัวสคลับผิว)

- น้ำมันหอมละเหย อโรมา ( เพิ่มกลิ่นในการบำบัดผิว ช่วยให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น)
เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้ว เราก็นำทั้งหมดมารวมกัน คนให้เข้ากัน จากนั้น ก็พอกที่ผิวหน้า หรือบริเวณที่เราต้องการ ทิ้งไว้ ประมาณ 5 - 15 นาที แล้วก็ล้างออก ทำแบบนี้ประมาณ เดือนละ 2 ครั้ง แค่นี้ก็ช่วยให้ผิวของสาวๆ นุ่มชุ่มชื่น ไม่ต้องเสียเงินไปทำสปานอกบ้านได้ด้วยนะจ๊ะ

เรื่องจาก Women Mthai Team
ให้ข้อมูลโดย นายแพทย์ มาศ ไม้ประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ ชื่อดัง จาก S Spa Medical

วิธีแก้รองเท้ากัด

วิธีแก้รองเท้ากัด รองเท้ากัด มักจะเป็นปัญหาของคนที่ซื้อรองเท้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหนัง รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าพลาสติก เมื่อถูกกัดแล้วจะทำให้เกิดแผลและเกิดอาหารปวด ทำให้เดินไม่สะดวก แถมยังเสียบุคลิกภาพอีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาฝากกัน..
วิธีแก้ คือ ทาปิโตรเลียมเจลข้างในรองเท้า ทิ้งไว้ข้ามคืน เช็ดออกด้วยผ้าให้สะอาดแล้วค่อยสวม หรือทาน้ำมันมะพร้าวด้านในรองเท้า สามคืนติดต่อกัน น้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้รองเท้านุ่มขึ้น หรือใครที่ไม่ชอบความมัน ก็ลองฝานมันฝรั่งดิบเป็นแผ่น ๆ วางไว้ในรองเท้า โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ทำซ้ำเช่นนี้สองคืน
วิธีรักษา และลดอาการเจ็บเมื่อโดนรองเท้ากัด คือ ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมน้ำให้พอข้น ทาบนบริเวณที่โดนรองเท้ากัด ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้ง จะช่วยลดความเจ็บแสบลง หรือจะใช้ใบสะเดาสองสามใบ ผสมกับผงขมิ้น เติมน้ำ แล้วบดให้กลายเป็นครีมข้น ทาลงบนแผลรองเท้ากัด วิธีนี้จะช่วยลดอาการเจ็บลงได้ อีกทั้งยังช่วยให้แผลแห้ง
ใส่รองเท้าคู่ใหม่ครั้งต่อไป ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

เรื่องจาก เดลินิวส์

สูงสง่าได้ โดยไม่เสียสุขภาพ

สูงสง่าได้ โดยไม่เสียสุขภาพ ขอสวยขอสูงสง่า เพรียวระหงด้วยรองเท้าส้นสูงไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณจะรู้วิธีใส่อย่างไรให้สวย และปลอดภัยต่อสุขภาพของคุณเอง วันนี้จึงมีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับวิธีเลือกรองเท้าส้นสูงของสาว ๆ มาฝากกัน

เริ่มจากดูที่ส่วนหัวของรองเท้า ความกว้างของหัวรองเท้าต้องพอดี ขนาดต้องไม่แคบจนรู้สึกว่าบีบรัดนิ้วเท้าไว้แน่น เพราะความกว้างของหัวรองเท้า ถ้าแคบและไม่ได้มาตรฐานตามขนาดเท้าของแต่ละคน ผลที่เกิดตามมาคือ นิ้วจะถูกบีบเข้าหากัน จึงทำให้นิ้วโป้งได้รับผลกระทบบิดเบี้ยวผิดรูปงอเข้ามาทางนิ้วก้อย หรืออาจทำให้โคนของนิ้วมีข้อปูดออกมา ถ้าแย่กว่านั้น!! นิ้วโป้งจะเข้าไปซ่อนอยู่ใต้นิ้วชี้ ซึ่งลักษณะนี้จะส่งผลให้ใส่รองเท้าไม่ได้เลย

ไม่ได้หมายความว่า คุณจะใส่รองเท้าหัวแหลมปรี๊ดไม่ได้ แต่คุณต้องเลือกดีไซน์ของหัวรองเท้าให้ดูเพรียวแหลมยาว เหลือพื้นที่ให้เท้าวางได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกบีบรัดในขณะที่ลอง

ความสูงของส้นสูง หากมีความสูงเกินกว่า 1 นิ้ว มักจะให้โทษมากกว่าประโยชน์ เพราะเมื่อเราใส่ส้นสูงลักษณะการยืนจะอยู่ในท่าเขย่ง โอกาสที่จะเกิดการพลิกจึงเป็นไปได้มาก การยืนเมื่อใส่ส้นสูงยังเปรียบเสมือนการเล่นกล้าม สังเกตได้จากคนที่ใส่ส้นสูงบ่อย ๆ น่องจะเป็นกล้ามโป่ง สาเหตุก็มาจากการใช้กล้ามเนื้อตรงน่องช่วยทรงตัวเพื่อเขย่ง นอกจากนี้ การใส่ส้นที่สูงมาก ยังทำให้การทรงตัวของเราเหมือนเอียงล้มไปข้างหน้า

คนที่ใส่ส้นสูงต้องพยายามแอ่นตัวขึ้น เพื่อพยุงตัวให้ตั้งตัวตรง

ข้อดี ก็คือท่าทางการเดินของผู้หญิงจะดูสง่าขึ้น

ข้อเสีย จากการที่ต้องแอ่นตัวตลอดคือกล้ามเนื้อหลังจะทำงานหนัก จนเกิดเป็นอาการปวดหลังตามมา
โดยเฉพาะคนที่ใส่ส้นสูงจนติด แนะนำให้เปลี่ยนมาใส่ส้นเตี้ยบ้าง สลับกันเพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้มีโอกาสพัก ไม่ควรใส่ส้นสูงคู่เดิมทุกวัน
วัสดุที่ใช้รองตรงพื้นส้นสูง ควรเลือกชนิดที่เป็นแผ่นยาง จะมีโอกาสลื่นและล้มได้ยากกว่าพื้นส้นสูงที่ทำจากหนัง และถ้ารองเท้ามีวัสดุปูพื้นรองฝ่าเท้าด้านในยิ่งส่งผลดีกับเท้ามาก เพราะจะช่วยให้การกระจายของแรงไปได้ทั่วฝ่าเท้าเท่า ๆ กัน ซึ่งช่วยลดอาการปวดเท้าได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับสาว ๆ ที่ยังรักการใส่ส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อตรงน่องกับเอ็นร้อยหวายตึงมาก ควรมีการยืดกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว วิธีการบริหาร เริ่มจากยืนหันหน้าเข้ากำแพง และใช้แขนทั้งสองข้างยันไว้กับกำแพง ถ้าต้องการบริหารเท้าข้างไหน ก็ก้าวเท้านั้นถอยออกไปนิดนึง ให้ส้นเท้าแตะพื้นและปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า จากนั้นโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเป็นการยืดเส้น ค้างไว้อย่าขย่ม นับ1-10 จากนั้นก็สลับข้างและทำเหมือนกัน

ที่มาจาก สสส.

ประโยชน์ของมะเขือเทศ สร้างภูมิคุ้มกันโรค

ประโยชน์ของมะเขือเทศ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ร้อน ๆ แบบนี้ ต้องระวังตัวกันหน่อยทั้งกายและใจ เดี๋ยวโรคภัยไข้เจ็บจะถามหาเอาง่าย ๆ กินดี มีเครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ไม่ให้ล้มป่วยได้ง่าย มาอัพเดท ส่วนผสมหลัก

มะเขือเทศ 2 ถ้วย
ขึ้นฉ่าย 1 ถ้วย
ขิง 1 แง่งเล็ก
กระเทียม 3-4 กลีบ
ฮอร์สแรดิช 1/4 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
ปรุงน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ ด้วยการฝานมะเขือเทศเป็นแว่นบาง ๆ ขิงและกระเทียมบุบพอแตก ซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ หั่น ผักชีฝรั่งและฮอร์สแรดิชหยาบ ๆ แครอตขูดเป็นเส้นเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เติมน้ำแข็งป่นเพื่อเพิ่มความสดชื่น ดื่มได้ทันที

อิ่มอร่อยกันแล้ว มารู้ประโยชน์กันสักนิด มะเขือเทศ เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร ขึ้นฉ่าย ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ขิง ช่วยขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กระเทียม เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง แครอต มีซัลเฟอร์และคลอรีนที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียลิสทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ และ ฮอร์สแรดิช พืชตระกูลผักกาดหัว มีต้นกำเนิดจากป่าในยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตก สรรพคุณทางยา ใช้ขับเสมหะ บรรเทาภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่ แก้ปัญหาโรคทางเดินหายใจ ไซนัส แก้ไข้ ขับปัสสาวะ ช่วยแก้โรคที่เกิดกับกระเพาะปัสสาวะ และขับระดู
อร่อยแล้วสุขภาพดี เครื่องดื่มนี้ท้าให้ลอง
takecaredd@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

มะม่วงสุก-เสาวรส เพื่อผิวกระจ่างใส

มะม่วงสุก-เสาวรส เพื่อผิวกระจ่างใส สูตรเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ รสชาติเย็นช่วยคลายร้อน ทั้งยังมีสรรพคุณล้างพิษ ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็เพราะได้สารอาหารจาก มะม่วง ผลไม้แห่งฤดูกาลนี้ อากาศร้อนอบอ้าวอย่างนี้ กินดี เตรียมสูตรเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ รสชาติเย็นช่วยคลายร้อน ทั้งยังมีสรรพคุณล้างพิษ ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็เพราะได้สารอาหารจาก มะม่วง ผลไม้แห่งฤดูกาลนี้ ยิ่งเลือกรับประทานผลที่สุก อร่อยยิ่งอย่าบอกใคร ในมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินบี 3 แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง และเบตาแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี

ส่วนผสมร่วมเติมสุขภาพให้ผิวยังมี เสาวรส อัดแน่นด้วยวิตามินซี และสารอาหารที่ใกล้เคียงกับมะม่วง อย่าง เบตาแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินบี 3

อีกอย่าง คือ แอปเปิ้ล ช่วยล้างพิษ และลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 โดยในสูตรนี้เลือกใช้แอปเปิ้ลแดง

สำหรับส่วนผสมที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย...

แพชันฟรุต (เสาวรส) 1 ถ้วย
มะม่วงสุก 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 2 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนการผสม เริ่มจากคว้านเอาแต่เนื้อและเมล็ดของแพชันฟรุตออกมาแล้วสับพอหยาบ ปอกเปลือกมะม่วงหั่นเป็นชิ้นขนาดพอประมาณ ต่อด้วยการหั่นแอปเปิ้ลพร้อมเปลือกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องคว้านเอาแกนออก นำผลไม้ทั้ง 3 ชนิดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เทใส่แก้วเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที.
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ตำรับน้ำขับของเสีย

ตำรับน้ำขับของเสีย ในแต่ละวัน เราคงไม่ทราบได้ว่า อาหารหรือเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไปถูกระบบในร่างกายย่อย ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่



ดังนั้น คุณผู้อ่านควรมอบหน้าที่ในการขับของเสีย เพื่อทำความสะอาดร่างกายให้กับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของลูกแพร์ และวอเตอร์เครส

สำหรับลูกแพร์ อุดมไปด้วยวิตามินซี ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดโฟลิก ทั้งยังจัดเป็นหนึ่งในอาหารเพียงไม่กี่ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ สามารถทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดคอเลสเตอรอล ล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต แถมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใยเพ็กติน ช่วยขับโลหะหนักออกสู่ร่างกาย

ส่วน วอเตอร์เครส มีรสเผ็ดร้อนคล้ายพริก แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าจากวิตามินซี เหล็ก กำมะถัน คลอโรฟีลล์ เบต้าแคโรทีน ไบโอติน แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และไฟโตเคมิคอล ไอโซไทโอไซยาเนต ซึ่งทั้งหมดช่วยทำลายสารก่อมะเร็ง ดีต่อลำไส้ใหญ่และระบบทางเดินอาหาร ล้างพิษจากตับและไต ฟอกเลือด ล้างของเสียออกจากร่างกาย ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์กับลำไส้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย


ส่วนผสมที่ต้องเตรียมตามส่วนในสูตร ประกอบด้วย...

ลูกแพร์ (สุกงอมเต็มที่) 1 ถ้วย
วอเตอร์เครส 1/2 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่ม เริ่มจากหั่นลูกแพร์เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วหั่นวอเตอร์เครสพอหยาบ นำไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เทใส่แก้วเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็น ดื่มได้ทันที.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

5 วิธี ที่ช่วยลดอาการปวดฟัน

5 วิธี ที่ช่วยลดอาการปวดฟัน
บางครั้งอาการปวดฟัน ทำให้เราหงุดหงิดอารมณ์เสีย หรือบางทีปวดจนหูตาลาย พาลให้ปวดหัวคิดอะไรไม่ค่อยออก!
เรื่อง พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี

ในบางสถานการณ์เราไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้ทันท่วงที อาจจะต้องทนทุกข์ทรมาน จากการปวดฟันอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ทำไมต้องปวดฟัน ?
โดยปกติแล้วอาการปวดฟันจะมีปัญหาพื้นๆ มาจากฟันผุเสียส่วนใหญ่ หากว่ารูผุนั้นไม่ลึกมากก็จะมีอาการเสียวฟัน แต่ถ้ารูผุใกล้โพรงประสาทฟันหรือทะลุโพรงประสาทฟัน ก็จะเริ่มมีอาการปวดบ่อยๆ ปวดเป็นบางที จนถึงปวดมาก ปวดตลอดเวลา บางครั้งยาแก้ปวดไม่สามารถช่วยได้

ฟันเป็นหนองปลายราก
เมื่อฟันผุมากไม่รับการรักษาทำให้เชื้อ Bacteria สามารถเข้าไปจนเกิดหนองปลายรากฟัน หนองที่มีมากก็เกิดแรงดัน ทำให้ปวดปลายรากอย่างรุนแรง มีอะไรมากระทบฟันก็ปวด

ฟันเป็นโรคเหงือกอักเสบ
มีการละลายตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันเป็นที่กักขังของ Bacteria เป็นหนองรอบรากฟัน ฟันโยก ทำให้เกิดเสียวฟัน และปวดได้

ฟันร้าว, ฟันแตก
แน่นอน กรณีที่มีฟันร้าว ก็มีโอกาสที่โพรงประสาทฟันติดต่อกับภายนอกผ่านรอยร้าวได้ / น้ำเย็น / น้ำร้อน ก็ส่งถึงโพรงประสาทฟันทำให้ปวดได้

เศษอาหารติดฟัน
กรณีฟันห่าง ฟันผุด้านข้างเป็นรูใหญ่ เป็นโรคเหงือกอักเสบ ฟันโยก มีช่องว่างระหว่างฟัน เวลาเคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่ๆ เช่น เนื้อก้อนใหญ่ เวลาไปอัดตรงช่องว่างเหล่านี้มันจะกดให้เหงือกช้ำ เป็นที่สะสมของแบคทีเรีย จะปวดเหงือกและฟันบริเวณนี้มาก

เรามีวิธีลดอาการปวดฟันได้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถไปพบทันตแพทย์ได้ทันที

วิธีแรก

ลดสิ่งกระตุ้นที่มีผลทำให้ปวดฟันเพิ่มขึ้น หรือทำให้ประสาทฟันบาดเจ็บมากขึ้น
เช่น - ของเย็นจัด : น้ำแข็ง ไอศกรีม
- ของร้อนจัด : น้ำร้อน ชาร้อน กาแฟร้อน อาหารร้อน
- อาหารที่มีรสหวานจัด รสเปรี้ยว

ลดการกระทบกระแทกกับฟันซี่นั้นๆ
อาการปวดฟันจะเป็นมากขึ้น ถ้าฟันซี่นั้นถูกกระแทกบ่อยๆ หรือตัวฟันสูงกว่าซี่อื่นๆ บางครั้งฟันถูกหนุนลอยตัวขึ้นมาเพราะมีหนอง มีการติดเชื้อที่ปลายรากฟันจากฟันผุหรือโรคเหงือกอักเสบ

วิธีง่ายๆ คือ รับประทานอาหารที่ไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก เช่น อาหารนิ่มๆ ไม่ควรเคี้ยวอาหารแข็งๆ หรือเหนียวๆ เนื้อเหนียวๆ ที่ต้องใช้แรงบดเคี้ยวมาก อีกวิธีคือ เลี่ยงไปเคี้ยวอีกด้าน

ถ้าอาการปวดจากเศษอาหารติดฟัน อาการจะเป็นมากถ้าอาหารถูกอัดแน่นในซอกเหงือกเป็นเวลานานๆ วิธีที่ดีที่สุดให้รีบเอาเศษอาหารเหล่านั้นออกให้เร็วที่สุด โดยการใช้ Dental floss อย่าใช้ไม้จิ้มฟัน

ถ้ามีฟันผุทะลุโพรงประสาทฟันและเป็นหนองปลายรากฟัน และมีอาการบวมเห็นได้ชัด การใช้น้ำร้อนช่วยประคบบริเวณที่บวมภายนอกช่องปากช่วยลดอาการปวดฟันได้ดี และช่วยเพิ่มการระบายหนองได้ดีขึ้น ก็จะบรรเทาอาการปวดชะงัดทีเดียว

น้ำมันกานพลู เป็นยาที่ช่วยลดอาการปวดฟันที่มีการใช้มาเป็นเวลานานแล้ว โดยใช้สำลีชุบน้ำมันกานพลู แล้วอุดลงไปในรูที่ผุ ฤทธิ์ของน้ำมันกานพลูจะออกฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดฟันที่ดีมาก

วิธีการที่แนะนำมานั้นเป็นวิธีช่วยให้ท่านหายหงุดหงิดอารมณ์เสียจากการปวดฟันในกรณีที่ยังไม่สามารถไปพบหมอฟันได้ทันท่วงที แต่ไม่ใช่เป็นวิธีการรักษาที่ถาวร เป็นวิธีการที่แค่บรรเทาอาการปวด ถึงอย่างไรหากท่านมีโอกาสพบทันตแพทย์ก็ไม่ควรรอช้า เพื่อรักษาให้ถูกต้องและตรงจุดที่สุด อาการของโรคฟัน โรคเหงือกจะได้หายอย่างถาวร และไม่ลุกลามต่อไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เจาะหู เจาะปาก เจาะลิ้น

เจาะหู เจาะปาก เจาะลิ้น
แฟชั่นที่สร้างความแปลกใหม่ในกลุ่มวัยรุ่นนอกจากการสักลวดลายตามผิวหนังแล้ว การเจาะอวัยวะเพื่อติดเครื่องประดับ นับวันจะเป็นที่นิยมมากขึ้น พ.ต.ท.ทพ. พจนารถ พุ่มประกอบศรี
แม้นจะแลกความเท่กับความเจ็บปวดก็ตาม การเจาะหู เราจะเห็นเป็นเรื่องคุ้นเคยสำหรับคุณผู้หญิง และถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผู้ชาย แต่สำหรับการเจาะลิ้น เจาะริมผีปาก เพื่อติดเครื่องประดับนี้ กำลังมาแรง เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นในแง่ของความแปลกใหม่ และเอกลักษณ์ของบุคคล ในมุมมองของแพทย์ช่องปากแล้วก็อยากจะฝากบางประเด็นให้บางท่านที่จะตัดสินใจทำได้ทบทวนสักนิดหนึ่ง

การเจาะเนื้อของร่างกาย มันก็คือการทำให้เกิดแผลไม่ว่าที่ไหนของร่างกาย เรามีแนวคิดคือ เหมือนกับการผ่าตัด ซึ่งพื้นฐานเลยต้องแบบเดียวกันคือ สะอาด ปราศจากเชื้อ ความสะอาดแบบแพทย์ นั้นต้องระดับที่เครื่องมือปราศจากเชื้อจริงๆ เครื่องมือต้องผ่านการนึ่งฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี ไม่ใช่แค่เช็ดแอลกอฮอลล์ ทีสองทีแล้วไปทิ่มไปแทงกัน

อีกเรื่องหนึ่งคือเวลาเราจะทำอะไรบนอวัยวะโดยเฉพาะการเจาะการผ่า ทางการแพทย์จะต้องศึกษาอย่างละเอียดว่าบริเวณรอบๆ นั้นมีอะไรอยู่บ้าง เช่นเส้นเลือด เส้นประสาท ซึ่งจะทำให้เสียเลือด กระทบเส้นประสาท ทุกอย่างจะกระทำอยู่บนพื้นฐานวิชาความรู้ ไม่ใช่ทำแบบคาดเดา ดังนั้นการเจาะลิ้น แบบแฟชั่นจึงมีเรื่องราวที่น่าเป็นห่วงตามหลังมาหลายอย่าง เช่น

ความเจ็บปวด
มีการติดเชื้อ อัดเสบบวม บางครั้งอาการบวมไม่จำกัดตรงจุดนั้น แต่อาจลุกลามไปใต้ลิ้น ไปที่ลำคอ ทางเดินหายใจ หายใจไม่ออก เป็นเรื่องเป็นราวต้องนอนโรงพยาบาลกันเลย
เจาะไม่ดีไปถูกเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลไม่หยุด
พอใส่ลูกตุ้ม น้ำลายจะไหลมากขึ้น พูดไม่ชัด เวลากิน เวลาพูด ลูกตุ้มกระทบลิ้น อาจแตกร้าวได้ มีเหตุให้เสียวฟันมาก
ลูกตุ้มอาจหลวมแล้วหลุดเข้าคอได้

ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถ้าคุณยังกล้าเสี่ยง ก็คงไม่ห้ามกันละครับ ได้แต่หวาดเสียวแทน ขอให้โชดดีครับ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today