Buy Blythe ตุ๊กตาเงินล้าน

Buy Blythe ตุ๊กตาเงินล้าน
คอลัมน์ : World Wide Wheel
บายไลน์ : ตะวันอ้อมข้าว
sun2rice@gmail.com

วาเลนไทน์นี้นอกจากดอกกุหลาบหรือช็อกโกแลตแล้ว ตุ๊กตาบลายธ์ ยังได้รับการคาดหมายจากหลายเว็บไซต์ว่าจะเป็นของขวัญที่หนุ่มๆ กะจะให้เซอร์ไพรส์หวานใจด้วย โดยเฉพาะที่โตเกียว จากสถิติปีที่ผ่านมาแค่วันที่ 14 กุมภาพันธ์วันเดียว ร้านค้าทั่วนครโตเกียวจำหน่ายบลายธ์ไปราว 2,000 ตัวทีเดียว
กลับมามองที่บ้านเราบ้าง กระแสความนิยมของตุ๊กตาบลายธ์บูมสุดๆ เมื่อปีที่ผ่านมา มีเซเลบริตี้เปิดร้านจำหน่ายตุ๊กตาชนิดนี้กันคึกคัก บลายธ์เข้ามาในชีวิตของเด็กวัยรุ่นไทย จนมีคำขวัญวันเด็กกวนๆ แซวว่า "วัยรุ่นสมัยนี้ เล่นบีบีเพลิน เดินสยาม ตามกระแส ไม่แคร์สื่อ ซื้อบิ๊กอาย มีบลายธ์เป็นของตัวเอง ครื้นเครงอยู่ในผับ นั่งหลับเวลาเรียน" ก่อนที่เราจะเห็นบลายธ์เต็มสยามสแควร์ในช่วงวาเลนไทน์นี้ เรามาย้อนดูเส้นทางของ "ตุ๊กตามีราคา" ชนิดนี้กันว่าเป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปในปี 1972 ตุ๊กตารุ่นหนึ่งถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของบริษัท Kenner สหรัฐอเมริกา โดยดีไซเนอร์ชื่อว่า "แอลลิสัน แคตซ์แมน" (Allison Katzman) เธอได้หยิกเอาเค้าโครงภาพวาดเด็กผู้หญิงตาโต ของจิตรกรอเมริกันนามว่า "มาร์กาเร็ต คีนน์" (Margaret Keane) มาเป็นต้นแบบ ถ้าใครได้เห็นงานเพนติ้งของมาร์กาเร็ต แล้วจะร้องอ๋อทันที จุดแข็งและจุดขายของตุ๊กตาชนิดนี้ในยุคแรกเริ่ม คือ หัวโตตัวเล็ก มีดวงตากลมโตที่ขยับเปลี่ยนสีได้ 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม น้ำเงิน (สีสันเหมือนคอนแทกต์เลนส์) ผู้เล่นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับตุ๊กตาได้ 12 ชุด การวางขายครั้งแรกเมื่อ 38 ปีก่อน มีให้เลือก 4 ชื่อ คือ Karess, Willow, Skye และ Blythe
หลังวางขายไปได้ 1 ปีเศษ ตุ๊กตาหัวโตชนิดนี้ก็เจ๊งไม่เป็นท่า เด็กๆ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ตุ๊กตาอะไรนี่...หัวโต-ตาโตน่ากลัวชะมัด หนูขอเล่นบาร์บี้อย่างเดิมดีกว่า" ตั้งแต่นั้นเรื่องราวของตุ๊กตาอาภัพรุ่นนี้ก็เงียบหายไป

จนกระทั่งปี 1997 สาวนิวยอร์กชื่อว่า "จีน่า กาแรน" (Gina Garan) เกิดเบื่อๆ เปิดเข้าไปประมูล Vintage Doll ตัวหนึ่งมาได้จาก ebay ในราคา 15 เหรียญ เธอถามเพื่อนๆ ว่ารู้จักตุ๊กตาหัวโตตัวนี้มั้ย? ก็ไม่มีใครพยักหน้าด้วย จีน่าเริ่มพาตุ๊กตา "Blythe" ไปไหนมาไหนด้วย ความที่ชีเป็นช่างภาพ จีน่าเกิดไอเดียบรรเจิด ค่อยๆ ถ่ายรูปตุ๊กตาของเธอเสมือนเป็นนางแบบกับสถานที่ต่างๆ เวลาผ่านไป 3 ปี จีน่ามีภาพไว้หลายพันใบ เธอเลือกภาพส่วนหนึ่งไปตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ Chronicle Books ใช้ชื่อว่า "This is Blythe" ปรากฏว่าในปี 2001 หนังสือภาพเล่มนี้กลายเป็น Best Seller ทั่วโลก ขายได้มากกว่า 100,000 เล่ม ซะงั้น!!!
ในปีเดียวกันตุ๊กตาตัวนี้ยังปรากฏตัวในหนังโฆษณาความยาว 15 วินาที ที่บลายธ์รับหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์สำหรับแคมเปญเทศกาลคริสต์มาสให้กับปาร์โก้ (Parco) ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของญี่ปุ่น ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่า เกิดปรากฏการณ์อะไรตามมา กระแสของตุ๊กตาบลายธ์กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ บลายธ์ขึ้นแท่นเป็นขวัญใจของสาวๆ ฮาราจูกุไปในทันที

วันแรกที่บริษัททาคาระ (Takara) ซื้อลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบลายธ์เพื่อมาผลิต รุ่น PARCO Limited, June 2001 จำนวน 1,000 ตัว ก็ขายหมดเกลี้ยงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทุกคอลเลกชั่นของ Neo Blythe หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมา ถึงขั้นว่าในอเมริกา ผู้ที่มีตุ๊กตาบลายธ์รุ่นบุกเบิกสมัยที่ผลิตโดยบริษัท Kenner ได้นำตุ๊กตาที่ยังมีชื่อติดว่า Karess, Willow, Skye มาเปิดประตูใน ebay ก็ทำราคาได้สูงสะใจ ถึงตัวละ 3,500 เหรียญ หรือ 1.22 แสนบาท จนถึงวันนี้ตุ๊กตาบลายธ์ที่เคยหน้าแปลกและแปลกหน้าได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Pop Culture การกลับมาลงตลาดครั้งที่ 2 เพียง 8 ปีเศษ ตุ๊กตาบลายธ์ก็ทำรายได้มหาศาลชนิดที่เจ๊ใหญ่อย่างบาร์บี้ยังแอบมองค้อน

นอกจากนี้ บลายธ์ยังขึ้นชื่อเป็นตุ๊กตาตัวแม่ที่ขยันออกรุ่น Limited Edition ให้ตามเก็บ เช่น ในปี 2007 มีรุ่น "Princess a la mode" ทำมา 2,007 ตัวในโลก หมดแล้วหมดเลย ราคาในเน็ตวันนี้แบบขายยกกล่องก็อยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท และมีทีท่าว่าจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เสียด้วย!!!

กุมภาพันธ์นี้คงมีหนุ่มๆ หมดตัวเพราะน้องบลายธ์กันหลายคน

ที่มา โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์/http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9530000019611